วันอาทิตย์ ที่ผ่านมาข้าพเจ้า ตื่นสายเป็นพิเศษ ด้วยจำต้องไปทำหน้าที่ ยังต่างจังหวัด ณ ในช่วงบ่ายค่ำของวันเสาร์ ครั้นธุระเรียบร้อยจึงกลับมายังที่ซุกกายในเวลาดึกๆดื่นๆ ภาพที่ผ่านพบในชนบทสัมผัสทางสายตา จากที่เมืองไทยคือเมืองแห่งเกษตรสมบูรณ์ ในนามีข้าวในน้ำมีปลา (ตอนนี้ในนาย่อยยับด้วยสายน้ำ ฝูงปลาลอยหงายตายฟ่อง) สมบูรณ์พูนผลเอาเสียจริงหนอ....จากความเป็นเกษตรกรรมในอดีตตอนนี้กำลังผ่องถ่ายแปรเปลี่ยนก้าวไปสู่โลกอันศิวิไลรุ่งเรืองเฟื่องในภิภพ ในหลายสิบปีก่อน เรื่องการเปลี่ยนแปลงถูกจุด ด้วยคำ ว่าเป็นนิกส์ ซึ่งถุกปลุกฝังในสมองเพื่อให้ชิน จนข้าพเจ้ามึนงงไปเพราะยังเยาว์อยู่ แต่ข้าพเจ้า มีเพื่อนชื่อเจ้านิก เคยถามมันว่าทำไม ตรูต้องไปเป้นแกรด้วยฟระ มันก็เอ่อๆ เช่นกันมันบอก เฮ้ย เอ็งอย่ามาเป็นข้าเลยวะ ตูมันตัวดำ พ่อก็ไม่ได้เป็นตำหนวด ..ปัจจุบันเจ้านิกของกิ่งโศก มันก็ยังคงอยู่กับไร่กับนาเช่นเดิม ในขณะนี้ 555 แต่กระนั้นการซึมการแทรกของความอารยะวิไลกิเลสนิยม ก็ได้ซึมทีละน้อยๆ แปรเปลี่ยนจารีตหนึ่งถุกกลืนไปยังอีกจารีตหนึ่ง เกลียวสัมพันธ์ที่ผูกร้อยสำแดงความเป็นอัตลักษณ์แบบไทยค่อยๆคลายเกลียวฝั้นทีละเปลาะทีละปล้อง??? เหอๆๆ แถมเจ้านิก ของกิ่งโศกเดี๋ยวนี้ มันแต่งตัวโก้ขึ้น กิ่งโศกขำด้วยอารมณ์อันแหบแห้ง อารมณ์ถุกกระตุ้นด้วยภวังค์อันหวั่นกลัวด้วยภัยภิบัติ ที่กำลังชะล้างแผ่นดิน ล้างบาป ของมนุษย์ด้วยสายน้ำอยู่ในขณะนี้ ในยุควิถีการดำเนินชีวิตกำลังถูก วางให้เปลี่ยนแปลง เปลี่ยน? ไปแบบไหน อย่างไรลองหาอ่านกันเอาเถิดพี่น้อง หากมองเรื่องราวในการเปลี่ยนแปลงในแง่ร้าย ย่อมชวนตระหนกตกใจ ในแนวคิดแบบนี้ยิ่ง แต่อาจมีหลายเสียงสำเนียงเย้ยหยันในกรอบความคิดหัวอนุรักษ์แบบนี้ แต่กิ่งโศกยังคงมองถึงผลลบที่จะบังเกิดขึ้นนั้นมีมากว่าผลบวก หากจะมองในความเป็นชาวพุทธที่ไม่ได้ลึกซึ้งหรือบรรลุธรรม มองแบบชาวพุทธมามกะพื้นฐานธรรมดา มันก็คือห้วงกาลเวลาที่กำลังผันสู่วัฏจักรแห่งกรรม เท่านั้นเอง ..ฤา นี่คือลิขิตคนกำหนด หรือจะสู้ลิขิตแห่งฟ้ากำหนด ฟ้าผู้มองเห็นความเป็นไปทั้งในโลกหน้าแลโลกนี้ ยามบ้านเมืองที่ระส่ำระสาย ด้วยมหาภัยจากน้ำ น้ำที่เหนือกว่าการคาดหมาย หลังจากน้ำลด เราอาจเผชิญยุคข้าวยากหมากแพง ไข่แพง สาระพัดแพง ในหลายๆหย่อมหลายๆหญ้าคงเดือดร้อนกันมากมาย ...นี่คือการท้าทาย ผู้นำบ้านผู้นำเมือง ที่จะนำพาฝ่าฟันไปจากภัยพิบัตินี้ อย่าให้คำแช่งด่า ดูถูกสติปัญญา มาบั่นทอนกำลังใจ จงรีดเค้น ศักยภาพความสามารถของผู้นำสั่งการฉับๆๆ ด้วยภาวะตนเอง จงฉายแสงแห่งความเลอล้ำ ในสติปัญญาที่มองลอดพ้นเงาดำที่ปกปิด จงสำแดงความเข้มแข็งให้ ผู้ตามหลายล้านชีวิตได้อ่นุใจเถิด...แม่..น้ำตาให้มันตกเต็มอยู่ในอก อย่าให้มันย่ำย้อยบ่อยจนผู้ตามต้องหัวตก สิ้นหวัง..อนาถ(.ใส่สระอา) อย่ายืนหยัดอยู่เพียงแค่ถ้อยสรรเสริญเยินยอด้วยคำพุดของบริวารสอพลอ จงยืนหยัดอยู่ด้วยดวงตาสว่างที่รู้แจ้งจริงต่อปัญหาและพร้อมจะเอื้มมือไปปลดสภาพความยุ่งเหยิงนั้น เมืองไทยยามนี้ ยามที่ผ้คนในศักราชนี้พึงจดจำไว้ อย่าได้ลืมเลือนเพราะเหตุแบบนี้มันไม่ได้มาง่ายๆ วันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้โทรศัพท์ไปพุดคุยกับคุณแบม ตามปกติตอนบ่ายโมง พบว่า คุณแบม (แก้วประภัสสร) ได้ไปช่วยแพ็คของอยู่ศูนย์สภากาชาดกับเพื่อนๆหลายคน คุณแบมบอกว่า มีคนมากันมากมาย มากกำลังใจ มากรอยยิ้ม มากความช่วยเหลือทั้งแรงกายแรงใจ มันทำให้ความห่อเหี่ยวเปลี่ยวใจในยามนี้ของกิ่งโศกพอจะยิ้มออก ยิ้มในน้ำใจชาวไทยยังไม่เลือนลางหายไปไหนยังคงมีอยู่ ขอปรบมือและคาราวะด้วยใจให้กับกลุ่ม จิตอาสา ที่มากด้วยน้ำใจ รวมทั้งกลุ่มทหารหาญ น้องๆนิสิตนักศึกษา ประชาชน องค์กรมูลนิธิ ที่ไม่มุ่งเอาผลตอบแทน มีแต่เนื้อแท้ ของการช่วยเหลือ ครั้นเมืองไทยที่จะกลายเป็นตลาดน้ำ รัฐน่าจะพลิกวิกฤต ห้เป็นโอกาส นำเสนอเมกะโปรเจค เอ๊ยเหล่งท่องเที่ยวหาเงินเพื่อนำมาฟื้นฟุประเทศ ให้นักการตลาดมือโปร... นำเสนอตลาดน้ำแห่งกรุงสยาม ....แทนน้ำอีกชนิดหนึ่งที่กำลังท่วมเมืองของนักการเมืองที่กำลังประดิษฐ์ตลาดน้ำลาย บ้านเมืองจึงรอล่มจมเพราะน้ำอย่างหลังนี่แหละ ..วันนี้เลยฟังคลื่นวิทยุเอเอ็ม จำคลื่นไม่ได้แล้ว เปิดเพลงลุกทุ่งเก่าๆ อาจจะถือว่าเก่าจากกลางๆ ไปหาต้นๆ ของความเก่า 55 ผมฟังเนื้อหา ดุจะเข้าท่าเข้าทางกับสถานะการณ์ขณะนี้เป็นอย่างยิ่ง ขับร้องโดย เพลิน พรมแดน ชื่อเพลง อย่าลืมเมืองไทย ใครที่ไม่เคยฟังเพลงลูกทุ่ง ก็ลองทนฟังดูสักนิด๊ ก้ดีครับ เชิญ..รับชมรับฟัง ขอรับ เพลง อย่าลืมเมืองไทย ศิลปิน เพลิน พรหมแดน อย่าลืมเมืองไทย อย่าลืมเมืองไทย อย่าลืมเมืองไทย หนุ่มไทยสาวไทยเด็กไทย จำไว้ให้ดีทุกคน อย่าได้รังเกียจอย่าหยามหย่าเหยียด จะมีหรือจนหญิงชายชาวไทยทุกคนอย่าได้ลืมตนว่าเป็นคนไทย ได้อยู่เมืองกรุงเจริญดีจริง อย่าหยิ่งผยอง เห็นคนบ้านนาป่าคลองโง่งมเป็นดังเหมือนควาย กินหมูแก้มโป่งอย่าเมินคนกินหอยโข่งเผาไฟ นั่งโต๊ะเก้าอี้ยิ่งใหญ่อย่าข่มคนไทยหากินเช้าเย็น สะเน็คๆ ฟิตๆ งูๆ ปลาๆ ฟังเพลงไทยแล้วอย่าส่ายหน้า ฉันฟังเพลงไทยไม่เป็น ทีเพลงฝรั่งฟังได้เป็นวรรคเป็นเวร นิยมว่าดีว่าเด่นอวดทำเป็นลืมของไทย แม่คุณทูนหัวได้ผัวต่างชาติต่างศาสนา อย่าลืมพระปฏิมาวัดวาอารามของไทย ไปเรียนเมืองนอกกลับมาบางกอก อย่าลืมหลงไปว่าตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ฟุตฟิตโฟไฟจมลืมไทยแลนด์ กิ่งโศก คนยาก...ฝากถ้อยท้ายรำบายจิต ๏.. ลำนำ..น้ำตาฤาจะแก้ปัญหาได้.. ๏ ๏ ร่ำหาอย่าร่ำไห้......โหยลน ลานอา สร้างภาพแสร้งฉงน......ชะแง้ กระเส่ากระส่ากล..... ซ้อนซ่อน แฝงเนอ ลุเล่ห์ล้ำลึกแล้.......หลอกเร้นลวงหลอน ๚ะ๛ ๏ อย่าร่ำไห้สิ้นหัวระรัวหาย สำแดงฤทธิ์กรีดสายน้ำตาสา แล้วรั้งจับคันเหของเภตรา โยกคัดท้ายโถมฝ่ามหาภัย ๏ เลือกประดิษฐ์จิตเด่นดังเพ็ญดื่น อย่าได้ขืนกรอกคำตอกตำไข่ ให้ดูดีภาพโด่โก้อันใด หลอมหัวจิตหัวใจใฝ่ประจัญ ๏ จงตรองตนจนเต็มด้วยสติ อย่ามัวเมาเคล้าทิษฐิเริงสีสรร คำคนยอมักยกกระดกดัน ลบปากแดงแป้งปั้นขยันเป็น ๏ อย่าพึงฉวยเรื่องโฉ่ผลุบโผล่ฉุบ แอบริบห่อหาบหุบชนชุบเห็น เอาใจใส่บรรดาหัวกระเด็น ที่กระแซะฉาวเหม็นมิเว้นวาร ๏ สำแดงตัวให้กว้างท่ามกลางกล่าว- สัตย์สาบานเมื่อคราวที่เจ้าขาน ฟังสิเสียงก่นขึ้งอื้ออึงคาน รอเจ้าแก้ไขการอันบานเกิน ๏ อย่าร่ำไห้สิ้นหัวระรัวหาย เก็บน้ำตาที่ขายระบายเขิน ลบคำสบประมาสวิภาษเมิน อย่าเป็นเพียงเผอิญถูกเชิญ..เชิดเอว อิอิ ๚ะ๛ + กิ่งโศก+ ขอบคุณ ภาพ จากอินเทอเนตล้วนๆจ้า
.......ทะเล คือเวิ้งแห่งชลสถานอันเป็นที่รวมบรรดาของเหลวที่เราเรียกว่าน้ำ นั่นเองหรืออีกนัยหนึ่งคือกลุ่มมวลก้อนน้ำที่มีจำนวนอันมหาศาลมีอาณาบริเวณกว้างไกลสุดหล้าสุดลูกหูลูกตา หรือที่จะต้องเรียกว่ามหาสมุทร หรือท้องทะเลนั่นเอง ชาวเรือคงจะมีความรู้สึกอันซาบซึ้งดีว่า ยามอยู่ท่ามกลางทะเล เอาแค่เพียงในขณะที่ท้องทะเลยังราบเรียบสงบไร้พายุพัดกระพือ ภาพที่มองทอดไกลในครองจักษุที่แลเห็นพร้อมมองข้ามไปยังอีกยังขอบฟ้าอีกฟากนั้น จะพบเส้นโค้งมนเป็นวง สักครึ่งวงกลมโดยที่ตัวเราเป็นจุดศูนย์กลาง ภาพสีครามเป้นเส้นเห็นได้เด่นชัด ครั้นแลภาพผิวของผืนน้ำภาพที่ชคล้ายเทพแห่งวารีท่านสลักให้เราๆได้พึงยลย หรือครั้งคราวที่เราพบความระยิบระยับเต้นในจังหวะวิบๆวับๆ ริ้วคลื่นน้อยๆของผืนน้ำทแห่งท้องะเลต้องสะท้อนแสงสุรีย์ฉายฉาบทาบเร้นเค้นความงดงามตระกานตายิ่ง พร้อมๆอาจก่อบังเกิดจินตภาพอันเชิงวิจิตรพิศดาร หรืออีกในมุมหนึ่งบางครั้งเราอาจสัมผัสได้ถึงความรสชาติของความเปล่าเปลี่ยวเอกาในชีวิตยามยาก ความเวิ้งว้างที่เห็นไกลลิบๆนั้นอาจทำให้ตัวเราเป็นเพียงสิ่งเล็กๆที่ไม่อาจต้านทานแรงเคลื่อนไหวใดๆ ได้ พลันจะบังเกิดเรียวเส้นของความอ้างว้างที่มักจะพุ่งแล่นจี๊ดวิ่งเข้าสู่กลางหัวใจ ความรู้สึกพึงวาบไหว จนเกิดหวั่นพรั่นสัมผัสพบ ในอนุสติของมนุษย์ตัวน้อยๆเฉกเช่นเรา ..อา...นี่แหละทะเลอันกว้างไกล ทะเล ในอีกหลายๆช่องหลายสิ่งถูกนำไปเปรียบเปรยในหลากหลายความหมาย บางครั้งนำไปเปรียบเทียบถึงสิ่งที่ไม่ดี เป็นสิ่งที่พึงรังเกียจ หรือเป็นสิ่งที่น่ากลัว เช่น ผีทะเล หรือคนผีทะเล ที่สำแดงในเชิงว่ากล่าว หรือการต่อว่าอีกฝ่ายเหมือนเป็นคนบ้าๆบอๆ หรือบางทีก็นำไปเปรียบกับลักษณะนิสัยของผู้คน เช่นกับคนที่ประหยัดมัธยัตไม่สุรุ่ยสุร่าย ว่า โอ้โหพี่นี่โคตะระเค็มยิ่งกว่าทะเลซะอีก ความหมายก็คือเป็นคนขี้เหนียวนั่นเอง หรือแม้แต่คำเปรียบเปรยถึงคนที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มากจิตมิตรใจมีจนมากมายมากล้นเกินกว่าจะกะเปรียบเทียบให้เท่าเทียมได้ เช่น มีน้ำใจท่านนั้นยิ่งกว่าทะเล อาจจะมีอีกในหลายๆสถานการณ์ ที่จะถูกนำมาเปรียบเปรยในทางที่ดูไม่ดี เช่น ออกทะเล อันบ่งบอกมีนัย ที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย คือไม่มีแผนการปฏิบัติอันชัดเจน หมายถึงอาจนำพาฝ่าอุปสรรคไปหรือนำไปแบบสะเปะสะปะ ไม่รู้ทิศเหนือใต้ใดๆ คือไม่สามารถบอกได้ว่าข้างหน้า ข้างหลัง ซ้ายขวาคือทิศอะไร และจะพบเผชิญเจออะไรในข้างหน้าบ้าง หรือพาเข้ารกเข้าพงแทนที่จะเดินตามทางที่กำหนดให้เดิน ไปแบบผิดแผนผิดทาง ห่างไกลซึ่งเป้าหมายอยากนักที่จะบรรลุเป้าหมายได้ และนั่นคืออีกความหมายหนึ่งกับคำว่า ออกทะเล หากจะย้อนกล่าวเล่าถึงในเรื่องเล่าในวรรณคดีไทยหรือในนิทานปรัมปราของไทย มักผุกเรื่องราวถึงการลอยผุ้คนลงในทะเล เพราะถูกท่านมหาโหราจารณ์ ทำนายทายทักดวงชะตาหรือดวงชีวิตผุกกับดวงเมือง ว่าเป็นกาลกิณีต่อชาติต่อบ้านเมือง จึงจำต้องปล่อยลอยน้ำ ปล่อยลงทะเล เพราะแก้กรรมหรือสะเดาะเคราะห์ โดยในความหมายชัดๆก็คือปล่อยลงทะเลให้เผชิญโชคเผชิญพายุคลื่นแบบไม่รู้ชะตากรรม ภาพผู้คนบ้านเมืองเราตอนนี้กำลังอกสั่นขวัญแขวน กับอุทกภัย แนวทางในการแก้ไขป้องกันของหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง และพวกไม่เกี่ยวข้องยังไม่เห็นความชัดเจนว่าดำเนินแก้ไขปัญหาที่ผุ้คนเผชิญอยู่ขณะนี้ นั้นมันมาถูกทางหรือยัง เพราะเท่าที่เห็นที่ผู้นำที่นำพาพวกเราย่างก้าวฝ่าฟัน คล้ายๆกับจะพาเข้ารกเข้าพงไปหลายรอบแล้ว หรือในบางคราวนำพาไปโน่นกลางทะเล หรือเรียกว่าพาออกทะเล เง้อ....เพ่น้องคร้าๆๆๆ ...อัตตาหิ อัตโนนาโถ เด้อคร่าๆๆ ว่ากันด้วยเรื่องเค็มๆ เกี่ยวกับทะเล กิ่งโศกเลยเชิญชวนบรรดาเพื่อนๆมากมิตรที่มีวัยอันควร 555 มาฟังเพลงแนวนาวีรัญจวน หรือชาวเรือ ชาวเล ตะหานน้ำ (ทหารเรือ) รัญจวนครวญกันอย่างได้อารมณ์ กับเพลงยุคสุนทราภรณ์กันเถิดลองฟังสิครับเพีบงประโยคนี้ ..มองเห็นริมฝั่งสักครั้งดีใจ มาบกทีไรให้แสนปรีดา...โอ้ประทับจิตกิ่งโศก คนยากคนนี้นักละครับ มะไปฟังพร้อมๆกันครับ พรานทะเล ( นักล่าแห่งมหานที) พรานทะเล สุนทราภรณ์ ..ชีวิตที่คร่ำ กลางน้ำเวียนวน ...ลอยล่องกลางชลไม่พ้นทนไป ...อยู่กับเรือเบื่อใจ ผองพรานทะเลเร่ไป อยู่ห่างไกลกลางสายชล ...มองน้ำตรงหน้า จรดฟ้าไกลไกล ...ว้าเหว่ดวงใจไม่เห็นผู้คน ...คลื่นและลม สู้ ทน ทุกข์ใจปานใดไม่บ่น สู้แดดฝนลำบาก กาย ...อยู่หว่างทะเล นาน นาน ท้องเรือเป็นบ้าน ท้องธารเรือนตาย ...สิ้นชีพสิ้นชนม์ เคราะห์ร้าย ศพฝังโดยง่าย ฝากเอาไว้ใต้ คงคา ...เพียงเห็นริมฝั่ง สักครั้งดีใจ ...มาบกทีไรให้แสนปรีดา ...ใกล้แผ่นดิน เข้า มา เหมือนมีวิมานตรงหน้า ปลื้มหนักหนา แทบจูบดิน กิ่งโศก คนยากฝากถ้อยท้าย ด้วย กลอนห่อโคลง ๐ ท่ามมหานที ๐ ๏ ชลนัยน์ไหลเนื่องนองสนาน สายนทีเฉกม่านวิกาลหมาย- คร่าสีคล้ำดำด่างจวนวางดาย สู่สุดท้ายทิ้งผลอยเฉกลอยแพ ๚ะ๛ ๏ ชลนัยน์ไหลเนื่องซ้อน ผสานนอง นทีเฮย ม่านโศกหมกสุมหมอง .. ทั่วแม้น ปุเลงปลาตปอง . ปุระ ป่นแล คล้ายวรรษคุเวิ้งแคว้น .. วับครื้นลื่นเขว ๚ะ ๏ เอกาอ้าเกร่อ้อม .. กอดอำ เฉกเดี่ยวเปลี่ยวแดสัม- . ผัสรู้ ระรัวระริกลัมพ์ . ลัยคต ความแฮ ผ่าวก่นโพ้นกล่าวผู้ โอดพ้อโอยเผา ๚ะ ๏ เนาพรากหนีพ่ายน้าว . พะเนียง นางนอ ร้าวปวดรวดเปรยเรียง ป่วนแล้ว ประดักประเดิดเดียง .. ดิ้นปร่า กะหย่งก่งเยี่ยงแก้ว แยกกร้อมย้อมราน ๚ะ ๏ กาลใดใกล้ด่าวดิ้น . แดโดย หันเหล่เหระโหย ลุห้อม อกแตกแอกตกโอย ระอุ อ่วมอา ริ้วเศษเหลือชุล้อม ชะล้างสางหลอม ๚ะ ๏ แลขอนรอนคุ้งลับ . ไรไร สิ้นหมดแสงสมัย . เสาะรู้ ทิศาท่าที่ใด . บ่พบ พานพ่อ ผ่าวอกผกอ้าวผู้ .. พิษเอื้อเถือแถ ๚ะ ๏ ลำแพลอยพรากพลิ้ว ..ยุดพราย ยั้งแฮ สู่กระแสกริ้วสาย .. สบแกล้ง ฤาจุติแตกตาย ต่อดับ ยมราชฤยั่วแย้ง ... หยิกเย้าวิญญาณ ๚ะ๛ + กิ่งโศก+ ขอบคุณ ภาพ จากอินเทอเนตล้วนๆจ้า
ในขณะที่คนเมืองและเหล่าคนนอกเมืองต่างก็จมจ่อมดิ่งดับด้วยความเย็นจนยะเยือกใจอารมณ์ด้วยสภาวะการจมน้ำ กันทั่วพารา หันหาไปทิศใดสุดเหนือสุดใต้ คืบก็น้ำ ศอกก็น้ำ วาก็น้ำ กิโลก็น้ำ น็อต ไมล์ เอเคอร์ก็คงมีแต่น้ำ จะเรียกเป็นสุภาษิตจะได้ไหมหนอ เพราะตอนนี้คลับคล้ายยังกะอยู่ใต้บาดาล บ้านเรือนผู้รากมากดี หรือไม่มากดีก็ตาม ต่างมิดน้ำอย่างมาตรฐานเดียวกัน ไม่มีให้น้อยหน้า ทุกผู้ทุกคน ในช่วงทุกคืน ทุกค่ำ ทุกวันเลยก็เห็นจะได้ ดุเหมือนหน่วยลาดตะเวณกองทัพน้ำ จะจ้องคอยหาทางเจาะไช ทะลุทะลวง มุ่งหาอริศัตรูปานนั้น ยิ่งผู้นำนารีของเราหนีทัพไปหนทางไหนตำบลใด น้ำมันก็เกาะติดท่านนายก ยังกะเป็นคู่ตุนาหงันกันมาแต่ชาติปางก่อน สถานที่ราชการ โรงเรียน ไม่เว้นแม้แต่วัดวาอาราม ชุ่มฉ่ำจนโชก กันไปหมด รังนอนมลายพัง น้ำอารามแห่งศาสนจักรก็จม....คำว่ารังวัด จึงผุดมาในหัวของกิ่งโศก รัง แปลว่าการสร้าง ปรุงแต่งในที่นี่คือที่ นอน ส่วนวัด คงเป็นที่สงบจิต สงบใจ และสุดท้ายเป็นที่นอนเมื่อตอนปลายชีวิต ยังงั้น คำที่ว่าเสียรังวัดนี่คงเป็นการเสียที่หลับที่นอน อันอบอุ่นละมุนเนื้อเป็นแน่แท้ น้ำมาทำให้หลายๆ คนเสียรังวัด กันจริงๆ นะนี่ นะ ....วันนี้ภาษาน้ำ เอ๊ย ภาษาไทย เสนอคำว่า เสียรังวัด 555 หากแต่เปิดพจนานุกรมฯ เสียรังวัด นี่เขาบอกว่า ไม่ทำเองแท้ๆ แต่ต้องมาพลอยรับผิดชอบ หุหุ กิ่งโศกก็กำลังสับสนยิ่งกว่าโฆษก ศุนย์ประสพภัยเองที่แถลงแต่ละครั้งขนาดตั้งใจฟังยัง งง ว่าตกลงชีวิตตรู จะอยู่ หรือจะไปกันดี แล้วในสิ่งที่ตัวเองทำเองแล้วมันเสียเองจะเรียกว่าอะไรดี ขอรับ คงไม่ใช่แค่พื้นที่วัด และรวมตัวอาคารวัด (กุฏิ) หรอกนะขอรับ มองในแง่ดีๆ ไว้บ้างคงเป็นเพราะผืนแผ่นพสุธาผืนใหญ่ผืนนี้ที่มนุษย์ได้อาศัยดำรงชีพอย่างผาสุก จนบางครั้งก็ยืนเหยียบ อาจถึงย่ำจนยีเลยก็มี ในช่วงนั้นอาจมีสิ่งที่เรียกว่าบาปมันหล่น กองสุมเกระกรัง เปียดเปื้อนหนาจน ในเนตรทิพย์แห่งองค์เทวะเจ้า คงแลเห็นว่าถึงเวลาอันควรแก่การชะล้าง ซะบ้าง จึงบัญชาพระแม่มาคงคา มาทำการชะล้าง แต่จอมเทพ คงไม่ได้ช็อตโน๊ต ว่าเวลาล้างก็สงสารมนุษย์มันบ้างนะ เลยเป็นอย่างที่เราพบเห็นกัน กิ่งโศกยังมองอีกมุมว่า น้ำมันคงไม่อยากอยู่กับเรานานๆหรอก เพราะมันคงไม่ชอบใจในความเป็นน้ำของมนุษย์เหมือนกัน เพราะมนุษย์เริ่มไร้น้ำใจ มนุษย์เริ่มไร้น้ำอดน้ำทน ตอนนี้ทุกถ้วนน้ำคำต่างแปรเป็นศัตราวุธห่ำหั่นกัน บางทีก็สมน้ำหน้ากันก้มี ดังนั้นเห็นว่า สายน้ำคงไม่อยากอยู่กับพวกเรา แน่ๆ มันคงจะพยายามหาช่องหารูเพื่อวิ่งไปรวมกับชนกลุ่มใหญ่ในมหาสมุทร น้ำมันไกลบ้านไกลรัง วันนี้เลยหาเพลง ไกลบ้าน เหมือนกลอน น้องมะกู๊ด อิอิ เอาแบบต้นฉบับมาสเตอร์เลยนะครับ ชรินทร์ ขับกล่อมเพลงนี้ ที่ทำเอาผู้คนที่อยู่ต่างประเทศร้องเพลงไป น้ำตาตกไป ด้วยอาลัย แห่งเคหสถาน ไกลบ้าน ครับ มอบแด่คนบ้านไกลด้วย ไกลบ้าน ชรินทร์ นันทนาคร Abดนตรี 3 Bars..1...2... 3....วิปโยคโศกใจ เหมือนเมื่อไกลบ้าน ไกลสถานพักพิง ยิ่งใจเหงา ห่างไกลหัวใจจำเศร้า เจ้าอยู่ดีเป็นไฉน พลัดที่พึ่งที่พิง ทิ้งที่พำนัก ไกลที่รักพักพา จะอาศัย เจ้ามีเพื่อนชมคนใหม่ แล้วทิ้งพี่ให้ชอกช้ำชีวี อันรักกันอยู่ไกล ถึงสุดขอบฟ้า เหมือนชายคา เข้ามาเบียด ดูเสียดสี อันชังกัน นั้นใกล้สักองคุลี ก็เหมือนมีแนวป่า มาปิดบัง เพราะไกลบ้านซ่านมา โถนิจจาเจ้า จะเงียบเหงาแล้วลืม ซึ่งความหลัง ฝากเพียงเสียงกระซิบสั่ง ขอน้องอย่าชัง คนร้างแรมไกล ดนตรี 8 Bars 6...7... 8.อันรักกันอยู่ไกล ถึงสุดขอบฟ้า เหมือนชายคา เข้ามาเบียด ดูเสียดสี อันชังกัน นั้นใกล้สักองคุลี ก็เหมือนมีแนวป่า มาปิดบัง เพราะไกลบ้านซ่านมา โถนิจจาเจ้า จะเงียบเหงาแล้วลืม ซึ่งความหลัง ฝากเพียงเสียงกระซิบสั่ง ขอน้องอย่าชัง คนร้างแรมไกล กิ่งโศก คนยากฝากถ้อย ในความท้าย ....ครั้ง....ที่เดียวดายและเดียวแด... ๏ บุรีล่มล่วงเร้น ..... ชลาลัย ล้วนเฮย นรสบไฉน ........... เหตุนี้ พิบากพรากบิภัย .... พอกบ่ม ลั่นระงมงุดลี้ ......... เภทเร้าภัยผลาญ ๚ะ๛ ๏ บุรีล่มจมบ่าทุกท่าถ้วน เสียงร่ำไห้ครางหวนคร่ำครวญโหย อนาถแท้อึงอัดระบัดโอย ฤดีแดประโดยระโหยดาล ๏ กาลวิบัติบ่งบอกกรรมบท ในเงื้อมหัตถ์รากษสพิโรธฉาน- เพลิงเริงสุมรุมรอเข้าจ่อราน หวังขย้ำยีมานเถือบั่นม้าง ๏ เหตุใดฟ้องคล้ายฟ้ากำหนดฝั้น- ขมึงเกลียวเรียวกลั้นสบั้นกร่าง ดื่มในฤทธิ์ฟาดฆ่าเงื้อง้าค้าง เมตตาต่างหมดตักประจักษ์ตรม ๏ จักอาดูรเจียรวายในว่ายเวิ้ง สิ้นแล้วเส้นสายเทิงเปิดเปิงถม ปลิววิญญานยู้ลู่พลิ้วพรูลม ให้ลิ่วคว้างลิ่มล่มเกินจมล้ำ ๏ เมื่อหันแลแดเดียวยิ่งเปลี่ยวดับ ไร้แสงโคมอัจกลับไหววับก่ำ- ขจายไล่มืดคืนม่านครื้นคล้ำ กฤติยายอกกล้ำระกำกอง ๏ จะแลรอบขอบข้างระคางขรม สายน้ำล่มลุพรากวิบากผอง คอชะเง้อเผลอตกผงกตรอง หวังมือใครคว้าคล้องพ้นปล่องโคลน ๚ะ๛ + กิ่งโศก+ เครดิตภาพ จากอินเทอเนต
...ในขณะที่คนเมืองและเหล่าคนนอกเมืองต่างก็จมจ่อมดิ่งดับด้วยความเย็นจนยะเยือกใจอารมณ์ด้วยสภาวะการจมน้ำ กันทั่วพารา หันหาไปทิศใดสุดเหนือสุดใต้ คืบก็น้ำ ศอกก็น้ำ วาก็น้ำ กิโลก็น้ำ น็อต ไมล์ เอเคอร์ก็คงมีแต่น้ำ จะเรียกเป็นสุภาษิตจะได้ไหมหนอ เพราะตอนนี้คลับคล้ายยังกะอยู่ใต้บาดาล บ้านเรือนผู้รากมากดี หรือไม่มากดีก็ตาม ต่างมิดน้ำอย่างมาตรฐานเดียวกัน ไม่มีให้น้อยหน้า ทุกผู้ทุกคน ในช่วงทุกคืน ทุกค่ำ ทุกวันเลยก็เห็นจะได้ ดุเหมือนหน่วยลาดตะเวณกองทัพน้ำ จะจ้องคอยหาทางเจาะไช ทะลุทะลวง มุ่งหาอริศัตรูปานนั้น ยิ่งผู้นำนารีของเราหนีทัพไปหนทางไหนตำบลใด น้ำมันก็เกาะติดท่านนายก ยังกะเป็นคู่ตุนาหงันกันมาแต่ชาติปางก่อน ........สถานที่ราชการ โรงเรียน ไม่เว้นแม้แต่วัดวาอาราม ชุ่มฉ่ำจนโชก กันไปหมด รังนอนมลายพัง น้ำอารามแห่งศาสนจักรก็จม....คำว่ารังวัด จึงผุดมาในหัวของกิ่งโศก รัง แปลว่าการสร้าง ปรุงแต่งในที่นี่คือที่ นอน ส่วนวัด คงเป็นที่สงบจิต สงบใจ และสุดท้ายเป็นที่นอนเมื่อตอนปลายชีวิต ยังงั้น คำที่ว่าเสียรังวัดนี่คงเป็นการเสียที่หลับที่นอน อันอบอุ่นละมุนเนื้อเป็นแน่แท้ น้ำมาทำให้หลายๆ คนเสียรังวัด กันจริงๆ นะนี่ นะ ....วันนี้ภาษาน้ำ เอ๊ย ภาษาไทย เสนอคำว่า เสียรังวัด 555 หากแต่เปิดพจนานุกรมฯ เสียรังวัด นี่เขาบอกว่า ไม่ทำเองแท้ๆ แต่ต้องมาพลอยรับผิดชอบ หุหุ กิ่งโศกก็กำลังสับสนยิ่งกว่าโฆษก ศุนย์ประสพภัยเองที่แถลงแต่ละครั้งขนาดตั้งใจฟังยัง งง ว่าตกลงชีวิตตรู จะอยู่ หรือจะไปกันดี แล้วในสิ่งที่ตัวเองทำเองแล้วมันเสียเองจะเรียกว่าอะไรดี ขอรับ คงไม่ใช่แค่พื้นที่วัด และรวมตัวอาคารวัด (กุฏิ) หรอกนะขอรับ มองในแง่ดีๆ ไว้บ้างคงเป็นเพราะผืนแผ่นพสุธาผืนใหญ่ผืนนี้ที่มนุษย์ได้อาศัยดำรงชีพอย่างผาสุก จนบางครั้งก็ยืนเหยียบ อาจถึงย่ำจนยีเลยก็มี ในช่วงนั้นอาจมีสิ่งที่เรียกว่าบาปมันหล่น กองสุมเกระกรัง เปียดเปื้อนหนาจน ในเนตรทิพย์แห่งองค์เทวะเจ้า คงแลเห็นว่าถึงเวลาอันควรแก่การชะล้าง ซะบ้าง จึงบัญชาพระแม่มาคงคา มาทำการชะล้าง แต่จอมเทพ คงไม่ได้ช็อตโน๊ต ว่าเวลาล้างก็สงสารมนุษย์มันบ้างนะ เลยเป็นอย่างที่เราพบเห็นกัน ..........กิ่งโศกยังมองอีกมุมว่า น้ำมันคงไม่อยากอยู่กับเรานานๆหรอก เพราะมันคงไม่ชอบใจในความเป็นน้ำของมนุษย์เหมือนกัน เพราะมนุษย์เริ่มไร้น้ำใจ มนุษย์เริ่มไร้น้ำอดน้ำทน ตอนนี้ทุกถ้วนน้ำคำต่างแปรเป็นศัตราวุธห่ำหั่นกัน บางทีก็สมน้ำหน้ากันก้มี ดังนั้นเห็นว่า สายน้ำคงไม่อยากอยู่กับพวกเรา แน่ๆ มันคงจะพยายามหาช่องหารูเพื่อวิ่งไปรวมกับชนกลุ่มใหญ่ในมหาสมุทร น้ำมันไกลบ้านไกลรัง วันนี้เลยหาเพลง ไกลบ้าน เหมือนกลอน น้องมะกู๊ด อิอิ เอาแบบต้นฉบับมาสเตอร์เลยนะครับ ชรินทร์ ขับกล่อมเพลงนี้ ที่ทำเอาผู้คนที่อยู่ต่างประเทศร้องเพลงไป น้ำตาตกไป ด้วยอาลัย แห่งเคหสถาน ไกลบ้าน ครับ มอบแด่คนบ้านไกลด้วย ไกลบ้าน ชรินทร์ นันทนาคร Abดนตรี 3 Bars..1...2... 3....วิปโยคโศกใจ เหมือนเมื่อไกลบ้าน ไกลสถานพักพิง ยิ่งใจเหงา ห่างไกลหัวใจจำเศร้า เจ้าอยู่ดีเป็นไฉน พลัดที่พึ่งที่พิง ทิ้งที่พำนัก ไกลที่รักพักพา จะอาศัย เจ้ามีเพื่อนชมคนใหม่ แล้วทิ้งพี่ให้ชอกช้ำชีวี อันรักกันอยู่ไกล ถึงสุดขอบฟ้า เหมือนชายคา เข้ามาเบียด ดูเสียดสี อันชังกัน นั้นใกล้สักองคุลี ก็เหมือนมีแนวป่า มาปิดบัง เพราะไกลบ้านซ่านมา โถนิจจาเจ้า จะเงียบเหงาแล้วลืม ซึ่งความหลัง ฝากเพียงเสียงกระซิบสั่ง ขอน้องอย่าชัง คนร้างแรมไกล ดนตรี 8 Bars 6...7... 8.อันรักกันอยู่ไกล ถึงสุดขอบฟ้า เหมือนชายคา เข้ามาเบียด ดูเสียดสี อันชังกัน นั้นใกล้สักองคุลี ก็เหมือนมีแนวป่า มาปิดบัง เพราะไกลบ้านซ่านมา โถนิจจาเจ้า จะเงียบเหงาแล้วลืม ซึ่งความหลัง ฝากเพียงเสียงกระซิบสั่ง ขอน้องอย่าชัง คนร้างแรมไกล กิ่งโศก คนยากฝากถ้อย ในความท้าย
.........แม้นในยามที่หลับตาภาพเหล่านั้นยังผุดให้แลเห็นในมโน ในโสตยังได้ยินเสียงที่อื้ออึง ยามลืมแลตาพินิจเห็นภาพตรึงให้จ้องมองคือภาพโกลาหนถึงขั้นตะหนกตื่นกันทั่วทั้งเมืองไทยในยามนี้ พร้อมๆกับมอง เหล่าแม่ทัพนายกองแห่งกรุงสยามได้แต่ต่างเบิกตาตื่น วิ่งตั้งรับกันฉุกละหุกล้มลุกล้มหงายสู้พลางถอยพลาง ความจอกแจกจอแจพลันบังเกิดแล้ว ทั้งที่หลายแม่ทัพนายกองให้ความมั่นใจมาตลอด สงครามที่เมืองไทยกำลังรบกองทัพอันทรงพลัง ไทยถุกกองโจรแนวหน้าแอบต่อตีมิหยุดหย่อนจากกองทัพวารี อันมีจอมทัพนามพระแม่คงคา ..........จึงอดชวนให้กังขาจนถึงกังแขนสงสัยว่าทัพวารีนี้คงไปลอกเรียนตำหรับพิชัยยุทธสงครามของเมืองพม่าเป็นแน่แท้ เพราะครั้งในอดีตกองทัพของพม่านั้นก่อนจะยกทัพโยธามาตีกรุงอโยธยา เมืองหลวงแห่งสยามประเทศครั้งใด ย่อมศึกษาตำราพิชัยสงคราม จับยามสามตา หาฤกษ์บุก พร้อมวางกลยุทธ วางกองสอดแนมมาล่วงหน้า พร้อมๆกับไล่ตีจากหัวเมืองรอบนอกกรุง โดยเน้นลงมาจากทางเหนือ ไล่ลงมา แล้วกวาดต้อนไพร่พล จนมาล้อมกรุงศรีฯ บันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ว่ากรุงศรีอยุธยาต้องแตกถึง ๒ ครั้ง ( ในบางตำราบอกว่าเสียกรุง ๓ ครั้งหมายถึงรวมสงครามช้างเผือก ก็ลองไปหาอ่านกันนะครับ หุหุ ) มาครานี้กองทัพพระแม่คงคาพญาวารี ใช้กลยุทธไล่ตีมาจากทางเหนือเหมือนกัน แรกเริ่มถล่มเมืองอกแตกสองแคว เข้าสู่พิจิตร ผ่านนครสวรรค์ ล่วงลพบุรี ย่ำอยุธยา แลสิงห์บุรี จวบอ่างทอง โดยใช้กองหน้าเข้าตีขยี้เมืองจนแตกแหลกราน ชนิดเอาไม่อยู่ ......พร้อมกันนั้นยังดาหน้ามุ่งเข้าหาใจกลางเมืองกรุงรัตนโกสินทร์ แต่เจอทัพหน้าของเมืองกรุง คือ ด่านปทุม ที่มีฐานเป็นกำลังพื้นที่ภาคเศรษฐกิจรวมอยู่ สี่ห้านิคมฯสุดท้ายก็ต้านไม่อยู่ เอาไม่อยู่ดังคำจอมทัพนารีขี่ม้าสีหมอก บอกแต่แรก กองทัพน้ำยังคงบุกต่อไม่สนหอกสนดาบอะไรเลย ด่านนนท์ ซึ่งทุ่มสรรพกำลังเข้าต่อตี สุดท้าย เอาไม่อยู่ แม้นหน่วยโคดโวยวายจะตะโกนกันตะเบ็งเซ็งแซ่ หนีๆๆๆ มีบางเสียงบอก เฮ้ยไม่หนี ๆๆ เล่นเอางง ก้าวขาไม่ออกว่าจะเอาไงดีกะชีวี จนบัดนี้กำลังรบกับทัพหลวงที่มีฐานตั้งมั่นสุดท้ายต้องเกณฑ์ลุกเด็กเล็กแดงเขียวเหลืองม่วงชมพู น้ำเงินดำ ขาว เอามาหมด เพราะเราถอยไม่ได้อีกแล้ว.....สู้ๆๆ สู้เว้ยๆๆๆๆ ........ระหว่างทนนั่งทนนอนรำพึงรำพัน ฝันๆ เพ้อๆ อยู่ขณะนี้ชักเริ่มจะเบลอแล้วกิ่งโศกเห็นสายน้ำทะลักทะลวงฝ่าแนวต้านได้ทุกจุด พร้อมทั้งงอ่านและทั้งฟังจากหน่วยโคดโวยวาย ทั้งพลเดินสาร ที่อ่านรายงานกันแทบจะทุกสิบนาทีเห็นจะได้ โดยเห็นจากกรอบกล่องเสียงภาพสี่เหลี่ยมมหัศจรรย์ (ทีวี) และอ่านค้นหาจากแหล่งกระแสจิต ในเครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทําหน้าที่เสมือนสมองกล( คอมฯ) ..........ภาพผู้คนวิ่งหนีตายตะลอนๆเอาชีวิตรอดจากสายน้ำที่บ่าท่วมกระหน่ำมาแบบเกินพิกัด (ต่อไปต้องเปลี่ยนจากพิ เป็น มิ มิกัด มั่งดีก่า) ต่างก็ขนข้าวแบกหิ้วของ และมีเจ้าหน้าที่เข้าไปช่วยเหลือ โดยไม่รู้จากเหน็ดจากเหนื่อยจริงๆ โดยเฉพาะ เจ้าหน้าที่ทหาร กลุ่มมูลนิธิ และเหล่าจิตอาสา นักศึกษา โดยที่กลุ่มเหล่านี้สื่อทางทีวีแทบจะไม่ได้ออกให้เห็นกันนัก ที่เห็นออกเสนอหน้าปั่นป่วนก็เป็นกลุ่มชาวบ้านชาวช่องบอกได้คำเดียวว่าปวดหัว เง้อ...(ไม่อยากตำหนิเล้ยพับผ่า) .........แต่ละคนรวมทั้งคนที่ไปช่วยและถูกช่วยสภาพเปียกปอนกระปลกกระเปลี้ยพอๆกัน เห็นแล้วชวนสงสารยิ่ง แต่สิ่งหนึ่งที่เราพบเห็นจาก กลุ่มนิสิต กลุ่มจิตอาสา กลุ่มทหาร กลุ่มมูลนิธิ ที่เข้าช่วยเหลือชาวบ้านในครั้งนี้ จนเกิดความประทับใจในน้ำจิตของคนไทยจริงๆ ซึ้งใจต่อการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน นี่แหละน้ำใจ ที่มากกว่าสายน้ำที่ท่วมอยู่ในขณะนี้ .........ผู้ที่ไม่ทุกข์ก็ช่วยเหลือผู้ที่ทุกข์ ผู้ที่ทุกข์น้อยกว่าก็เอื้อเฟื้อกับผุ้ที่ทุกข์มากกว่า ลำบากก็ลำบากด้วยกัน มะร้อกมะแร็กก็เหมือนๆกัน.....อืม...ในครั้งนี้บนความทุกข์ ยังพอมีบางสิ่งบางอย่างให้ปลาบปลื้มอยู่บ้าง.... วันนี้ กิ่งโศกอยากจะขอมอบบทเพลงในแนวร็อคดูบ้างครับ จะได้ดึงภาพความเป็นเด้กโบฯ ขึ้นมาบ้าง 555 เพลงนี้ออกแนวร็อคเพลงดังเพลงหนึ่งในสมัยขะโน้น เพลงนี้ทำเอาวัยสะรุ่นยุคนั้นชูมือขวากันสลอนเรียงเป็นแถวฝักถั่วเลยละครับ กิ่งโศกชอบเพลงนี้ ในท่อนที่ว่า เรามั่นใจ..เราจะฝ่าฟันเรารู้เรา มีกันและกัน...เราจะแบ่งปันจะบวกใจ ให้เป็นหนึ่งเดียว. มันให้พลังกำลังใจตัวเองและคนอื่นๆได้ดีนัก เพลงนี้ชื่อ รักปอนปอน ครับเป็นเพลงของวงไมโคร จะขอกล่อมน้องพี่ที่ผจญทุกข์กับน้ำท่วม ทั่วประเทศ ด้วยเพลงนี้คร๊าบบบบบ ....รักปอนปอน ..... วงไมโคร ( ชุดร็อคเล็กๆ) ตัวฉันคนอย่างตัวฉันใครจะมาสนใจ คนสวยคนที่ดีพร้อมเขาก็มองข้ามไป เพราะฉันมันเป็นคนแบบปอนปอนทั่วไป ไม่เห็นจะมีดีที่ใดปล่อยชีวิตไปวันวัน ได้แต่ฝันจะมีใครอยู่ข้างเคียง ยามเหงาได้แต่ทนเอาเราเกิดเป็นผู้ชาย เจียมไว้ได้แต่เจียมหัวใจได้แต่คอยซักวัน และแล้วมาเจอคนแบบปอนปอนเหมือนกัน ตัวฉันจึงมีคนรู้ใจไปไหนก็ไปกันต่างก็รู้ในใจกัน เรามั่นใจ..เราจะฝ่าฟันเรารู้เรา มีกันและกันเราจะแบ่งปันจะบวกใจ ให้เป็นหนึ่งเดียว..บางครั้งถ้าหากเจอฝน เราจะทนด้วยกันเราหนาวเราเปียกปอนเท่าใด เดินต่อไปไม่หวั่นเพราะรู้ว่าเราเป็น แบบปอนปอนเหมือนกันมีร่มเพียงคันเดียวก็พอ เท่านั้นก็พอใจหากลมฝนจะแรงไปเราไม่กลัว (Solo....) และแล้วมาเจอคนแบบปอนปอนเหมือนกัน ตัวฉันจึงมีคนรู้ใจไปไหนก็ไปกัน ต่างก็รู้ในใจกันเรามั่นใจไปไหนก็ไปกัน ต่างก็รู้ในใจกันอย่างนี้บางครั้งถ้าหากเจอฝน เราจะทนด้วยกันเราหนาวเราเปียกปอนเท่าใด เดินต่อไปไม่หวั่นบางครั้งถ้าหากเจอฝน เราจะทนด้วยกันเราหนาวเราเปียกปอนเท่าใด เดินต่อไปไม่หวั่น กิ่งโศก คนยากฝากถ้อย.....ร้อยแบบ ฉันท์ห่อโคลง ๏.. ยอมสิโรราปแล้ว .. ๏ ๏ แหลมคมล่มขย้ำ ....... เถือยาง หยาดเฮย โซมเลือดเชือดโลมสาง ... เสพเหล้น เทวษถวายวาง ........ ชีพบัด- พลีเนอ ตรองสติข่มเต้น........ ต่อข้อพิบัติกลัว ๚ะ๛ ๏ คมแหลมเจาะแกมจิก ........ อริริกแปรลุรั่ว หอกเงื้อชะแง้งัว ........ กะจะย่ำระยำยี ๚ะ ๏ อกอ้านราโอ้ ........ สติโถถะถั่งตี รวดร้าวฤทัยชี- ........ วิตแค่นผุแผ่นผาย ๚ะ ๏ ใดใดลุกรรมก่อน ........ มสิย้อนมิพรากย้าย มัวเงาคุเช้างาย ........ ผงะถอยชะรอยร้าง ๚ะ ๏ ขอปราศนิราศปก ........ บ่วิตกตริถึงต่าง สุขพบประสบวาง ........ ชลหลั่งประดังเด ๚ะ ๏ ไกลเถิดเทวษทุกข์ ....... สรนุกสนานเท ท่วมท้นมนาเอ- ........ กผิกางณ หว่างห้วง ๚ะ ๏ ยอกรประนมนบ ........ ศิวภพสวรรค์สรวง ให้ทานมนุษย์ปวง ........ ปริอบายขจายบุญ ๚ะ ๏ วารีชะล้างพร่อง ....... ปะทุปล่องสติตุน ท้ายผุดพิศุทธิ์คุณ ........ ศิระเอี่ยมสะอางองค์ ๚ะ๛ +กิ่งโศก+