24 เมษายน 2552 14:19 น.
กะลาสีเบจ
ไอละอองกลิ่นควันอันหอมหวน
ลอยตลบอบอวลชวนลองลิ้ม
อุ่นทิพย์ร้อนร้อนมาเชิญชิม
เสพรสกรุ่มกริ่มอันโอชา
แล้ว..ลิ้นสบถน้ำลายกระจายกลั้ว
คลุกคั่วกลืน กรึก! กรึก! กระเดือกกล้า
แสยะสอมุมปากหากไหลมา
ตะบัดกลับทันตากลบอาการ
วงมโหรีเริ่มบรรเลงเพลงกระเพาะ
ทั้ง ดีด สี ตี เคาะ กระเพาะอาหาร
โป๊ะตึง! โป๊ะตึง ตึง! ทรมาน
มือประสานกุมท้องที่ร้องดัง
พยามยามปรุงแต่งตามตำรับ
ให้เสร็จสรรพรสชาติดังคาดหวัง
เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เต็มกำลัง
เพื่อสนองต่อมคลังความต้องการ
หากยามใดโหยหิวจนกิ่วท้อง
แม้ข้าวสวยรสพร่องทางพื้นฐาน
สวาปามอร่อยเหาะด้วยสันดาน
ประดั่งข้าวในจานเป็นกุ้งมังกร
สัจธรรมสามัญความอร่อย
ที่สรรหารูปรอยมาคอยสอน
แท้จริงแล้วคือรูปรส-ราคาทอน
หรือเสียงสั่นคลอนตอนกุมพุง
>........กะลาสีเบจ (๒๔ เมษายน ๒๕๕๒)
1 เมษายน 2552 00:20 น.
กะลาสีเบจ
ตื่นเช้ามองออกนอกหน้าต่าง
ให้ร่างผัสสะอรุณรุ่ง
สูดรับไอดินกลิ่นจรุง
ก่อนใครในมุ้งหลังเดิม
กิจวัตรเช้านี้ของวันนี้
เห็นทีมีใครเข้ามาเสริม
โอ้!..ดอกแดงบานผลิริเริ่ม
แต่งเติมสีสันของวันใหม่
...
..
..นานมาแล้ว...
...
..
มีเด็กชายบ้านนอกผู้หนึ่ง
ชอบซึ่งรวงรอกดอกไม้
เพาะปลูกไว้ริมรั้วขอบใน
ใส่ใจรดน้ำพรวนดิน
ต้นไม้ค่อยค่อยเติบใหญ่
ผลิกิ่งก้านใบบนแร่สิน
หวังออกดอกให้ยลยิน
ประดับกลิ่นกลางใจเด็กน้อย
วันแล้ว..วันเล่า...ผ่านล่วง
ไร้เงาดอกดวงระรวงร้อย
วัชพืชยาตรามาทยอย
กัดกร่อยกินแก่งแย่งชิง
ผืนดินปริแยกแตกระแหง
หน้าแล้งร้อนเผาดั่งเตาผิง
หอบลมผลัดใบต้นไม้ทิ้ง
ชีพจรแน่นิ่งประวิงร่าง
ฤดูร้อน..ก็ผ่านพ้น
ชะตาห่าฝนไม่เข้าข้าง
กระหน่ำใส่กิ่งก้านอันปรอบบาง
หักร้าง..สาหัส..สากัน
กัดฟันหยั่งรากต่อสู้
แล้วฤดูโหดร้ายก็ผ่านผัน
ปีแล้ว..ปีเล่า...นานวัน
ต้นไม้ยังอึดกลั้นลมหายใจ
ยืนระยะ..รอดินฟ้าอากาศ
ธรรมชาติห้วงวันอันสดใส
จะเบ่งบานด้วยความภาคภูมิใจ
ตอบแทนเด็กชายผู้นั้น
...
..
เมื่อวานมองออกนอกหน้าต่าง
เห็นต้นไม้ยังเดินทางอยู่ที่นั่น
หวังว่า..จะผลิดอกในซักวัน
แม้ฝันยังห่างไกล..ความเป็นจริง
........กะลาสีเบจ (๑ เมษายน ๒๕๕๒)