24 ตุลาคม 2550 13:56 น.
กะลาสีเบจ
.
กลิ่นบ้านนอกคอกนาที่คลาคลุ้ง
แม้นเข้ากรุงศิวิไลซ์ไฟแสงสี
ยังรำพึงถึงยอดหญ้านาขจี
แมงกุ๊ดจี่ตัวน้อยร้อยชีวา
บ้านพักครูหลังเก่าโคนเสาร้าว
ไม้เป็นข้าวของปลวกกระซวกฝา
เหล็กหน้าต่างพร่างสนิมริมชายคา
ยามฝนมาชุ่มฉ่ำย่ำพื้นใน
ต้นเฟื่องฟ้าหน้าบ้านระรานกิ่ง
ต้นเอนอิงแนวรั้วตัวไม้ไผ่
ค่อยค่อยผุสลายกรายเกรียมไป
เพราะรับใช้มานานมิทานทน
เจ้าไก่แจ้เอ่ยขันเมื่อพลันรุ่ง
ต้องสะดุ้งลืมตาทุกคราหน
กระพือปีก ผับ! ผับ! รับกมล
เอ้ก อี เอ้ก เอ้ก! ณ บัดดลรับตะวัน
บ้านพักครูหลังนี้มีพ่อแม่
สุขภาพดีหรือแย่พ่อแม่ฉัน
สอนเด็กเด็กเล็กประถมคงงมงัน
ชะแรวันลงไปวัยชรา
ถนนลูกรังตัดผ่านหน้าบ้านพัก
ปูนสลักเป็นถนนทุกหนหา
แปรเปลี่ยนผันวันวานกาลเวลา
ให้บ้านนอกคอกนาล้าเจริญ
กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง! นาฬิกาปลุกฉุกให้ตื่น
ให้กายฟื้นจากนิทราที่พาเหิน
เสียงไก่แจ้แลท้องนาพาเพลิดเพลิน
แต่เผอิญเป็นแค่ฝันพรรณนา
.........กะลาสีเบจ (๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๐)
(ในรูปถ้าเปลี่ยนเป็นรถกระบะ อีซูซุ สีดำ รุ่นอักษรตัวใหญ่ จะใช่เลย)
20 ตุลาคม 2550 07:47 น.
กะลาสีเบจ
. มองทางนั้นหันทางนี้มีเป็นคู่
หวานชมพูหยาดเยิ้มเฉิ่มสีสัน
ผลิดอกรักเบ่งบานย่านเถาวัลย์
เลื้อยพัวพันทั่วแคว้นแดนสังคม
มองถนนหนทางข้างฟุตบาท
หวานหยดหยาดปานประดังคลังขนม
เห็นเดินจับปรับมือถือกันกลม
เป็นบ่วงปมสัญลักษณ์หลักกลมเกลียว
มาแพ็คคู่ตู้อบอุ่นรุ่นดีกว่า
ไออุราเสริมแรงแกร่งใยเหนียว
ดีกว่ารุ่นแพ็คหนึ่งพึงคนเดียว
ไอเปล่าเปลี่ยวทั่วร่างกร่างอุ่นไอ
กวาดสายตามาบนแห่งหนฟ้า
พบนกกาคู่หนึ่งตรึงกิ่งไหว
เห็นหยอกเย้าเซ้าจิกสลับไป
แล้วร้องไขว่กล่อมเกลาเจ้าคู่ครอง
สัตว์หรือคนจะบนโลกโขกหินไหน
รักไม่เข้าใครออกใครให้หม่นหมอง
รักคือรักภาษาสากลชนทั้งปอง
ไม่จำกัดเผ่าพันธุ์ของผองชีวา
บดสายตามาเบื้องล่างช่างเริ่มเหงา
เผลอเหยียบเอาตะเกียบแท่งแหว่งคู่ขา
เห็นตกอยู่คู่ไม่มีปรี่อุรา
ไหงเจ้ามาโดดเดี่ยวเปลี่ยวลำพัง
มองตะเกียบเปรียบเป็นเช่นตัวข้า
มีคู่ขาเพียงเงาเฝ้าตามหลัง
จะหาใครใกล้ชิดประดิษฐ์พลัง-
แห่งรักที่จีรังคงไม่มี
รักข้าคงหมดอายุลงกรุแล้ว
ต้องกินแห้วเคล้าบัวบกทุกศกศรี
นอกจากจะมีใครใจปราณี
เป็น"สารกันบูด"ที่..หัวใจให้รักยืน
........กะลาสีเบจ (๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๐)
17 ตุลาคม 2550 19:06 น.
กะลาสีเบจ
การศึกษาแสงสว่างทางชีวิต
ช่วยลิขิตทอดทางรางความฝัน
เฝ้าร่ำเรียนเขียนอ่านผ่านคืนวัน
แล้วฝันนั้นจะคว้าได้ใกล้เอื้อมมือ
ตลอดชีวิตพิชิตข้อสอบหลายรอบครั้ง
แต่ก็ยังพ้นผ่านเพราะอ่านหนังสือ
หลากหลายปีที่ฉันเรียนเพียรฝึกปรือ
แล้วแบมือรับปริญญาค่าตอบแทน
เป็นบัณฑิตเพียงชั่ววันก็ผันผ่าน
ต้องเปลี่ยนม่านบทฉากลำบากแสน
ถือปริญญาเดินหางานทั่วย่านแดน
ก็ไม่มีซักแคว้นรับเข้าทำ
ย่างสองปีที่ตกงานเกินสานฝัน
คิดร้อยพันก่อกลุ้มรุมกระหน่ำ
อยู่คนเดียวเกลียวความคิดริดอธรรม
จะก่อกรรมใส่ตนพ้นความจริง
กว่าจะได้ใบกระดาษวาดฝันนี้
ต้องเสียกี่หยาดเหงื่อไหลเรื่อหริ่ง
ผลตอบแทนแสนสาสมลมปากจริง
ใบกระดาษวาดสิ่งใดให้ฉันเดิน
เช้าขึ้นมาไปหาเพื่อนเยือนถึงตึก
ด้วยใจลึกใบกระดาษขาดความสรรเสริญ
ขึ้นชั้นห้าหาทางออกนอกทางเดิน
ตัวตนเชิญดิ่งร่างจ่างกระจาย
แก้ปัญหาทางนี้ดีแล้วหรือ
ใช่เพิ่มมือถือภาระญาติสหาย
เจ้าทิ้งโลกทั้งใบใส่ร่างกาย
ให้พ่อแม่แก้คลายแทนลูกยา
ถ้าไตร่ตรองลองพินิจคิดซักนิด
ฆาตกรคร่าชีวิตมีหลายหน้า
หนึ่งหน้านั้นอาจจะเป็นเช่นกล่าวมา
คือปริญญากระดาษฤๅ"ฆาตกร"
........กะลาสีเบจ (๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๐)
29 กันยายน 2550 16:51 น.
กะลาสีเบจ
.
รถมอไซต์วัยโจ๋ที่โก้สุด
บิดอุตลุดไร้เกียร์มาเขี่ยขวาง
ต้องออโตเมติกคลิ๊กมีโอโชว์เต็มทาง
ขาดไม่ได้น้องนางซ้อนท้ายพลัน
เมื่อก่อนนี้สีสันตรงคันรถ
จะถูกจดจ้องมองเป็นของขวัญ
โมดิฟายกลายกลับปรับโรมรัน
ทั้งสีสันเครื่องยนต์ท่อพ่นไอ
ถ้าคนซ้อนงอนงามพลามยิ้มสวย
นุ่งสั้นด้วยผิวขาวนวลยะยวลใส
จากมองรถบดสายตาอาหารใจ
มากลิ่มกล่ำทรามวัยที่ซ้อนมา
ปัจจุบันทันด่วนล้วนเปลี่ยนแนว
หรือคิดแล้วว่าผู้คนไม่สนข้า
กางเกงในใส่ทำไมไม่สะดุดตา
แล้วฉีกขาซ้อนสามตามแหล่งคน
แต่อ้ายหนูไม่พอขอจะเด่น
เลยลงเส้นสีของลับกับกอขน
ฉีกขาแข้งแอ่งอ้ามาย่านชน
กลับได้ผลเหลียวมองทั้งท้องทาง
เจ้าอ้างเอ่ยถึงกระแสแลของนอก
แล้วมาลอกเลียนแยบแบบถอดถ่าง
ไม่แปลกเลยคดีข่มขื่นทุกคืนค่าง
จะอวดอ้างไปใยเล่าเด็กเอ๋ย
ดีแล้วหรือ"กางเกงในใส่สีเนื้อ"
จะเอื้อเฟื้อทำไมเล่าเจ้าเขนย
ชายที่มองเขาไม่คิดริดชมเชย
แต่กลับเปรยในใจใคร่"ดอกทอง"
............กะลาสีเบจ (๒๙ กันยายน ๒๕๕๐)
26 กันยายน 2550 17:42 น.
กะลาสีเบจ
ร้อยเรื่องราวสาวโยงเป็นโคลงเค้า
กวีเกลาวจีใส่สีสัน
แต่งเติมแต้มแกล้มทำนองคล้องสัมพันธ์
วาจากลั่นเป็นอักษรกลอนชีวา
อันผู้แต่งแก่งกอทอถักเรื่อง
ต้องปราชญ์เปรื่องเท็จจริงกิ่งปัญหา
มิใช่แต่งแร่งรอยคล้อยตำรา
มินำพาความคิดเห็นเบนเข้าตน
กวีใดใคร่แต่งเพียงแข่งขัน
เพื่อประชันประชาที่มาสน
เพียงตัวเลขยอดเข้าชมลมปากคน
สูงกว่าชนอื่นใดก็ใคร่พอ
กวีใดใคร่ครวญจวนข้างต้น
เป็นแค่"อาชีพกวี"ชนเท่านั้นหนอ
เทิดทูนไว้ในเลขปัจเจกสอพลอ
แล้วเยินยอว่าควรค่ากวีดี
ผิดกับชนคนกวีที่คิดแผก
ที่คิดแยกคนละทางห่างวิถี
ยอดผู้ชมไม่จูงใจในกวี
ร้อยประชาชมนี้หรี่สำคัญ
ถึงมีคนเพียงหนึ่งพึงชมอ่าน
แต่กลับดัดสันดานให้แปรผัน
ดีกว่าร้อยผู้ชมอ่านผ่านมานั้น
มิแสบคันกับข้อคิดชีวิตคน
ยึดหลักมั่นในข้อคิดปริดความทุกข์
ชี้ทางสุขด้วยกาพย์กลอนสอนเหตุผล
มิชักพาความเห็นเบนเข้าตน
ควรค่าคน"กวีอาชีพ"ประทีปไกล
จะเป็น"อาชีพกวี"หรือ"กวีอาชีพ"
จะเลือกกลีบความงามตามไฉน
กลีบข้อคิดสะคิดคนดลจิตใจ
หรือกลีบใคร่จำนวนมวลผู้ชม
.........กะลาสีเบจ ( ๒๖ กันยายน ๒๕๕๐ )