20 ตุลาคม 2552 21:58 น.

2/104 คนเคยรัก (ว่าด้วยกลบทสะบัดสะบิ้ง)

กวีน้อยเจ้าสำราญครับ

*ยามครั้งเคย  เชยชิด สนิทสนม  
ห้วงอารมณ์  พวยพุ่ง กระหนุงกระหนิง
แกล้งแหย่เย้า  เป่าพุงทำ   กระตุ้งกระติ้ง
น้องรีบวิ่ง   ลี้ลัด  ตุปัดตุป่อง

*ยามหายโกรธ  พูดจ้อ  ประจ๋อประแจ๋
ยามงอแง  โกรธกริ้ว  ละลิ่วละล่อง
ยามเคียงครอง  คลอเคล้าเป็น  เจ้าเข้าเจ้าของ
ยามนี้น้อง  แหนงรัก  กระอักกระอ่วน

*คนเคยรัก  พูดจา ติดตาติดใจ
พอห่างไป  ฟูมฟาย ร้องไห้ร้องหวล
หรือใจนาง หันเห  อกเรอกรวน
อกพี่ล้วน รำลึก  ระทึกระทวย

*มองหน้าใคร ใจพรั่น  รำพันรำพ้อ
ทำหน้างอ  พูดซะ ไม่สะไม่สวย
ดั่งเสียดสี  เสียดคำ ไม่ร่ำไม่รวย
เหมือนความซวย เซซัง ประดังประเด

น้ำคำบูด พูดกลบ กระทบกระเทียบ
เหมือนว่าเปรียบ คำคม ประสมประเส
จนพี่เศร้า เหงาหนัก ทุลักทุเล
หลบคำเล่ห์ ร้อยวน  ทุรนทุราย

*กลับไปนอน ครุ่นคิด ระอิดระอา
นอนน้ำตา พร่ามัว สลัวสลาย
คิดถึงเธอ เช้าเย็น มิเว้นมิวาย
นึกเหนียมอาย ในจิต  เป็นพิษเป็นภัย

*คนเคยรัก  เคยชม  ยามขมยามขื่น
เพราะคนอื่น  ผูกพัน  จนเธอหวั่นเธอไหว
เมื่อประมาท  พลาดพลั้ง ไม่ระวังระไว
จนหัวใจ ยุ่งยาก  ลำบากลำบน

*ขอให้มี   ความสุข  อย่าทุกข์อย่าร้อน
พี่ขอซ่อน คู่แข่ง  ทุกแห่งทุกหน
อยู่ท่ามป่า  ฟ้าสลัว  ของตัวของตน
หวังสักคน  ชื่นชิด  ด้วยจิตด้วยใจ 
 
  

/////////////////////////////////////////////

กลบทนี้ ผมยังไม่มี ข้อมูลหรือ วิธีแต่ง น่ะครับ

แต่ว่าลองศึกษา จากท่านๆ  ข้างล่างเหล่านี้ เป็น นิทัศนาอุทาหรณ์ ตัวอย่าง ในการแต่ง นะครับ


กลอน เจ็บไม่จำ  โดย พี่จอมปราชญ์แดนอาคเนย์

รักไม่แน่แปรยิ่งนัก...กระอักกระอ่วน
เริ่มแปรปรวนปลงไม่ตก...ระหกระเหิน
เมื่อไม่สมระทมเกิด...ไม่เพลิดไม่เพลิน
เธอมาเมินพาให้ห่ม...ระทมระทวย

หากว่าเป็นเช่นเมื่อก่อน...แต่อ้อนแต่ออด
เคยพร่ำพรอดรักหวานหยด...ว่าสดว่าสวย
หากเพราะรักที่พาจินต์...ระรินระรวย
เทิดรักสวยกว่าแสงหล้า...อะร้าอร่าม

จากที่เคยเชยชิดรัก...สมัครสมาน
พอไม่นานไม่ซาบซ่าน...ไม่หวานไม่หวาม
ลืมเสียหมดลืมแม้รส...นิยมนิยาม
ลืมแม้นามใยความคิด...จึงบิดจึงเบือน

กลายเป็นฉันที่ยังปลื้ม...จนลืมจนหลง
ยังมั่นตรงคงเวียนวาด...มิคลาดมิเคลื่อน
จมกับอดีตที่ถมทับ...ไม่ลับไม่เลือน
กระทบกระเทือนแทบสิ้นหวัง...ยังรั้งยังรอ..

แบบว่า

//////////////////////////////////////////

กลอน  นิมิตพิศดาร....  โดย  แมวคราว

เพียงแค่เริ่มเคลิ้มหลับกระสับกระส่าย
ในม่านตาพร่าพรายขยายขยับ
เห็นหิ่งห้อยวับวิบระยิบระยับ
ปีกกระหยับเยิบยาบกระซาบกระซิบ

หมู่เมฆลอยพร้อยพลิ้วละลิ่วละล่อง
นกเริงร้องร่อนออกกระจอกกระจิบ
จิกหนอนหมับหงับหงุบกระจุ๊บกระจิ๊บ
กระดุบกระดิบลัดเลาะสะเงาะสะแงะ

บ้างหันรีหันขวางกระด้างกระเดื่อง
ยักย่างเยื้องตามละเมาะกระเตาะกระแตะ
เล็งตาลอดสอดส่ายระคายระแคะ
ตรงเข้าแงะงัดเงื่อนสะเทือนสะท้าน

นั่นเนื้อทรายย้ายโยกกระโดกกระเดก
ลุยโยกเยกธารเย็นกระเซ็นกระซ่าน
ลูกไม้ผลหล่นลงกบงกบาล
เลยลนลานโลดลัดกระจัดกระจาย

แนวหินกว้างกลางลานสะอ้านสะอาด
บุปผชาตินานับขยับขยาย
หมู่ภมรร่อนลงระบงระบาย
เกสรกลายเกลื่อนกลาดระนาดระเน

หมูป่าเปลี่ยวเขี้ยวแข็งกระแย่งกระย่อง
หาหน่อไม้พุงป่องตุปัดตุเป๋
เดินงันงกตกปลักทุลักทุเล
ซัดโซเซปอนเปียกตะเกียกตะกาย

นั่นเหล่าลิงวิ่งลุกขยุกขยิก
บ้างหลุกหลิกลางลิงสวิงสวาย
กินไม้เมาเฝ้าวนทุรนทุราย
แค่นคอคายขลุกขลักสะบักสะบอม

กระเตงลูกลงน้ำกระดำกระด่าง
เพื่อนมาข้างร้องดุทนุถนอม
เข้าแล่นไล่ไม่มีประนีประนอม
ลูกอิงอ้อมโอบพุงพะรุงพะรัง

ลางลิงไล่ไขว่คว้าประสาประสี
จ่าฝูงรี่วิ่งโร่พิโธ่พิถัง
บ้างโลดแล่นเลาะลัดระมัดระวัง
บ้างเหลียวหลังค้อนควักตะหวักตะบวย

เลยแลลอดเหล่าลิงกระติ้งกระตุ้ง
เห็นแสงรุ้งสวยสะสละสลวย
หนึ่งนงรามงามงดระทดระทวย
เผยผ้าผวยเต่งตึงตะลึงตะลาน

หัวใจเต้นเผ่นลุกตะกุกตะกัก
ด้วยนึกรักเอวกลมผสมผสาน
งามระเบิดเถิดเทิงเสริงสราญ
แทบจะคลานคุกเข่าพะเน้าพะนอ

ขยับกายหมายจ้อประจ๋อประแจ๋
นึกแนบนางแน่วแน่จะอี๋จะอ๋อ
นวลละไมเนื้อละเมียดละเอียดลออ
พริ้มตารอจุมพิตกระมิดกระเมี้ยน

พลันหัวงูชูเพ่งเขย่งขยับ
เอื้อมมือรับร้อยรัดวัดเฉวียน
แล้วไล่รุกซุกซนทั้งวนทั้งเวียน
บัดเดี๋ยวปลี่ยนเป็นกิ๊กระริกระรี้

ช่างชื่นชมสมรักเป็นนักเป็นหนา
งามนวลหน้าน้องหนูกระจู๋กระจี๋
เจ้างูใหญ่เลื้อยปราดกระวาดกระวี
ยามนารีออดอิดกระบิดกระบวน

พลันเสียงสายฟ้าฟาดผงาดผงะ
แรงปะทะดังพลั่กกระอักกระอ่วน
โดนเมียเหวี่ยงหมัดตบมิทบมิทวน
ดันเผลอครวญเสียงหลงละมงละเมอ

กระหน่ำมาหลายหมัดสงัดสงบ
แถมลูกตบอีกซ้ำจนป้ำจนเป๋อ
ทนฟังเมียร่ายยาวจะหาวจะเรอ
เลยต้องเจออีกพลั่ก...สะบักสะบอม.....(ฮือ...กรรมเวร..)

////////////////////////////////////////////////

กลอน  ความรัก  (กลบทสะบัดสะบิ้ง+สิงห์โตเล่นหาง)   โดย  โอเลี้ยง

รักนั้นดีหรือชั่วรัวคิดไฉนฉงน
แต่ทุกคนไม่เลี่ยงเกี่ยงการเสาะการหา
ไม่ว่าจะถูกต้องคล้องตามตำรับตำรา
หรือด้นฟ้าดั้นเมฆเสกสรรค์มาเจอะมาเจอ

หรือรักคืออารมณ์สมใฝ่ให้ห่วงให้แหน
จึงคิดวางแผนให้ใจมิเกรอะมิเก้อ
ถ้ารักนั้นคือโศกโยกจิตให้พร่ำให้เพ้อ
คงยากจะเผลอให้ใจต้องเจ็บต้องรอน

แม้นรักคือยาพิษฤทธิ์แรงทั้งขมทั้งฝาด
ใจฤาจะบังอาจคาดคิดมีรักมีหลอน
หรือรักร้อนเหมือนไฟใครหนอจะเว้าจะวอน
ไม่กลัวร้อนลวกผ่าวร้าวทุรนทุราย


กับอารมณ์ของรักทักจิตยากคาดยากคิด
มีทั้งเป็นเหมือนมิตรชิดชื่นมิเหินมิหาย
มีทั้งทุกข์ปลุกครวญชวนช้ำให้วุ่นให้วาย
คิดสักนิดมิสายกรายรักอาจชื่นอาจช้ำ...

////////////////////////////////////////

กลอน  หลง  โดย กุ้งหนามแดง
ยามมั่งมี..มาคลอ..ประจ๋อประแจ๋
ยามย่ำแย่..ยากพบ..ประคบประหงม
เห็นน้ำใจ..ยามฝืด..ผะอืดผะอม
วัตถุนิยม..สำเหนียก..ตะเกียกตะกาย

เข้าวัดวา..ธัมโม..พิโถพิถัง
ไม่เด่นดัง..เท่าทรัพย์..ขยับขยาย
บุญเอาหน้า..จึงเฟื่อง..ระเคืองระคาย
ปิดทองท้าย..หลังพระ..สะลึมสะลือ

คนกราบไหว้..เงินปึก..สะอึกสะอื้น
ระเริงรื่น..แลกเปลี่ยน..กระเหี้ยนกระหือ
วีธีการ..หว่านลึก..กระยึกกระยือ
ใครพาซื่อ..เหยียบย่ำ..ลำบากลำบน

หลงอำนาจ..วาสนา..ระอาระอิด
หลงทางผิด..ติดเปลือก..กระเสือกกระสน
หลงร้อนรุ่ม..ใจกาย..ทุรายทุรน
กับดักตน..สร้างเอง..ละเม็งละคร..
..				
19 ตุลาคม 2552 09:30 น.

คืนเหงา (ว่าด้วยกลบท นาคราชแผลงฤทธิ์) ฉบับเพิ่มเติม แต่ไม่แก้ไข 555+

กวีน้อยเจ้าสำราญครับ

หลังจากที่ ผิดพลาดทางเทคนิค อิอิ ว่าไปนั่น ข้าน้อยเลย ขอโอกาสแก้ตัวให้หัวใจ (เอ้า มาแนวเพลง)  แต่ต้นแบบเดิม ไม่เปลี่ยนครับ เพราะจะได้เป็นตัวอย่าง ของความประมาทเลินเล่อ ของผมเอง  ผิดแล้ว ก็ต้องมีตัวอย่างความผิด

ผมเลยถือโอกาสแต่งใหม่ (หวังว่าคงไม่ผิดอีกนะ)  และขอโทษเป็นอย่างมาก ที่ทำให้อ่านแล้ว ระคายสายตาผู้ชม มากไปหน่อย อิอิ ในบทที่ผ่านมา บทนี้เลย  มาเรียบเรียงใหม่ แต่เนื้อหา เศร้าหน่อยนึง

*ท่ามดึกดื่นคืนเหงาแสงดาวดับ  
ซับดวงเดือนเลือนลับยากหลับใหล
ไยร่ำเรียงเสียงครวญปั่นป่วนใจ
ป่ายปวดจำค่ำไหนจะไร้รอน

*จรรักเริ่มเพิ่มใหม่จากใจเก่า
เจ่าจิตก่อนซ่อนเศร้าหากเจ้าถอน
ห่อนเจียรถามความรักสลักกลอน
ซ้อนเรื่องเก่าเว้าวอนจากตอนใด

*ใจต้องเดียวเปลี่ยวดายความหมายหมด
ขดมัวหมองจ้องจดจำบทไหน
ใจบ้าหน่อยพล่อยพร่ำเสียงร่ำไร
ใส่เรื่องราวยาวไกลในใจครวญ

*นวลแจ้งคำย้ำขื่นค่ำคืนเหงา
เค้าคงงอนอ้อนเฝ้าคอยเจ้าหวน
ครวญจิตหันพลันเหอกเรรวน
อ่วนรักร้าวเศร้าสรวลปั่นป่วนนัก

*ปักประหนึ่งตรึงตราเวลาก่อน
วอนรักเก่าเราย้อนช่วยผ่อนหนัก
สักผิดไหนไตร่ตรองเพื่อครองรัก
ภักดิ์คนแรกแทรกหลักมั่นภักดี

*มีเพื่อนด้วยช่วยคลายวุ่นวายหมอง
เว้าวอนไม่ให้ต้องนั่งหมองศรี
นี้หม่นโศกโรคร้าวยามเรามี
ยีรอยหม่นคนดีคราหนีไป  (ยี มาจาก ย่ำยี)

*ใครหนอเปลี่ยนเวียนวนมีคนอื่น
หมื่นคำอ้างช่างตื้นไม่ชื่นใส
ไม่ชื่นสุขทุกข์ชิดไม่ติดใจ
ไม่เติมจิตคิดไกลกลัวใจคน

*หล่นจากเคยเชยชิดถูกปิดกั้น
ถ่านเปลวกลบลบฝันรำพันหม่น
หล่นเพราะหมางร้างลาชะตาตน
ชนม์ต่ำต้อยน้อยจนจำทนรอ


/////////////////////////////////////////////////////////////////////
อยากขออาภัย ทุกท่านยิ่งนัก ที่ผมแต่งผิดเอง พอดี ได้คุยกับ คุณญามี่  แหะๆๆ  ผิดมาทุกบท เลยครับ  ผมแก้ใหม่ เอาตามแบบ แต่ฉันทลักษณ์ คือ ความหมายไม่ได้ ต้อง ขออาภัย  เป็นอย่างสูง ครับ


*ท่ามดึกดื่นคืนเหงาแสงดาวดับ
ซับดวงเดือนเลือนลับยากหลับใหล
ไยร่ำเรียงเสียงครวญปั่นป่วนใจ
ป่ายปวดจำค่ำไหนจะไร้รอน  (แก้ไข ปรับปรุงโดย ญามี่)

*จรรักเริ่มเพิ่มใหม่จากใจเก่า
เจ่าจมกาลรานเศร้าหากเจ้าถอน
ห่อนเจ็บท่ามถามรักสลักกลอน
สลัดเก่าเว้าวอนจากตอนเดิม

*เจิมต่อดวงห้วงในหทัยมั่น
หั่นท้อเมื่อเชื่อฉันในวันเหิม
เนิมหวามหากฝากฝันแฝงวันเดิม
เฝิมวอนด้วยช่วยเติมฤาเพิ่มพูน

*หลูนเพื่อนพ้องหมองขื่นค่ำคืนเหงา
เข้าคงงอนอ้อนเฝ้ายังเท่าสูญ
ยูนท้อเศร้าเขาเริ่มร้างเพิ่มพูน
หลูนพากเพียรเรียนคูณเกื้อกูลกัน

*กั้นกาลเก่าเราคงคลายปลงตก
คกปะติดชิดกกกอดอกเริ่ม
เกิมอารมณ์สมเจตน์จากเหตุเดิม
เจิมหวนดุ่มรุมเคลิ้มเรื่องเดิมเคย

*เลยเดียวคงจงใจมอบให้เจ้า
เมาหาจันทร์วันเหงาครั้งเราเผย
เคยรักผุดสุดสมชิดชมเชย
เฉยชื่นชอบตอบเลยไม่เคยเกรง

*เความไกลใส่ร้ายเร่งป้ายสี
รราแปลบเศร้าเหงานี้อกพี่เคว้ง
เองพูดคำพร่ำกล่าวนอนหนาวเอง
เหน่งหนาอื่นครื้นเครงร้องเพลงชัย

*ไล่เพราะใช่ใครอื่นคลายคืนเหงา
เค้าคนงามท่ามเศร้าบรรเทาใส
ใบ้ที่สอนวอนเถิดช่วยเปิดใจ
ใช่ปรุงจิตชิดใกล้คืนไกลตา

ตามคำอธิบาย ของเจ้าแม่กลบท  (ญามี่-โอเลี้ยง)

กลบทนาคราชแผลงฤทธิ์

เป็นกลอนที่บังคับให้ใช้

เสียงพยัญชนะ ซ้ำเสียง ๓คำท้ายวรรคไปเป็นคำเริ่มต้นซ้ำวรรคถัดไป 
และซ้ำเสียงสระวรรคละ๓คู่ ตรงคำที่๓-๔ กับ ๕-๗ และ๘กับ๑วรรคถัดไป
และ เลื่อนคำรับสัมผัสไปสัมผัสระหว่างวรรคตรงคำที่๕

ปล.บางบรมครูจะมีกฎเกณท์กลบทนี้ซ้ำเสียงสระแค่ตรงคำที่๓-๔และ๘กับ๑วรรคถัดไป

ไม่มีซ้ำเสียงสระตรงคำที่๕-๗เหมือนของศิริวิบุลกิตต์ที่ลงบทสอนไว้ บทนี้มี่ใช้กฎหลักตามศิริวิบุลกิตต์ค่ะ

////////////////////////////////////////////////////////////////

กลบทนาคราชแผลงฤทธิ์

เป็นกลบทที่บังคับ3แห่งคือ

1. ต้องซ้ำเสียงพยัญชนะ ๓ คำของท้ายวรรคให้สัมผัสกับ๓คำแรกวรรคต่อไปตลอดเรื่อง

2. สัมผัสเสียงสระ ๓ คู่ตรงคำว่า ๓-๔ กับ ๕-๗ และ ๘กับ๑ คือคำแรกวรรคถัดไป

3. เลื่อนคำสัมผัสระหว่างวรรคไปลงตรงคำที่๕(หรือ๖ ในกรณีใช้๙คำ)


ส่วนกลบทนาคเกี่ยวกระหวัด

จะง่ายมากกว่า แค่บังคับถอยหลัง2คำท้ายของวรรคแรกไปเป็นคำต้นวรรคถัดไปตลอดทุกวรรค

ปล.ณ ที่นี้โอเลี้ยงใช้๒คำโดยไม่ได้ถอยหลังเพื่อรักษาความไว้คือคำว่า

ละห้อย และอ้างว้างค่ะ

////////////////////////////////////////////////////////////////////

กลบทนาคราชแผลงฤทธิ์
O O O O O X Y +       X Y + O O X Y +
ซ้ำเสียงพยัญชนะ ๓ คำ ท้ายวรรค กับ ๓ คำ ต้นวรรคถัดไป ซ้ำเสียงสระ วรรคละ ๓ คู่
ในคำที่ ๓-๔, คำที่ ๕ กับ ๗ และคำที่ ๘ กับคำที่ ๑ ในวรรคถัดไป เลื่อนรับสัมผัส
ระหว่างวรรคมารับในคำที่ ๕ ของแต่ละวรรค
กรุงกระษัตริย์ตรัสฟังแค้นคั่งจิตร
คิดแค้นใจไหวหวิดในจิตรฉงน
จนฉงายกายไฉงใจร้อนรน
จนร้าวราญการกระมลจิตรวนเวียน
เจียรวุ่นวายบ่ายพักตร์ให้หนักใจ
ให้น้อยจิตรคิดไปใจหันเหียน
เจียรหวนหาว่าไว้ไม่สมเพียร
เมียนสุดภาคยากเจียนเวียนจิตรใน
(ศิริวิบุลกิตติ์)				
14 ตุลาคม 2552 18:49 น.

ดอกฟ้า กับ ดอกหญ้า

กวีน้อยเจ้าสำราญครับ

17527.jpg
*เธอเปรียบเหมือนดอกฟ้าบุบผาสวรรค์
เทียบเทียมชั้นจันทรานภาสูง
และเปรียบถึงวิหคยอดนกยูง
เทพชักจูงพรหมดลเป็นคนงาม

*ฉันเปรียบเหมือนดอกหญ้ามีค่าน้อย 
แสนต่ำต้อยตัวตนไร้คนถาม
ทั้งหยูกยาผ้าแพรก็แลทราม
มีนิยามหาเช้ากินข้าวเย็น

*เธอนั้นมีบริวารเรียกขานใช้
บ้านโก้ใหญ่สุดหรูพิศดูเห็น
ทั้งเตียงตั่งฟูกหมอนอาภรณ์จำเป็น
วาจาเย็นนิ่มนวลน่าชวนฟัง

*ฉันกลับเป็นชาวนาอยู่ตาปี
พ่อแม่มีหนี้สินแทบสิ้นหวัง
อนาคตหดหู่เหมือนหนูตายรัง
พูดจายังบ้านบ้านหวานไม่มี

*ดั่งสวรรค์เสแสร้งหรือแกล้งหยอก
พรหมปอกลอกหลอกเล่นแล้วเผ่นหนี
ให้มาพบคนงามอร่ามโสภี
ถึงบุญมีกรรมบังบ่วงขังใจ

*ถึงความรักสองเรามีเขากั้น
คิดฝ่าฟันพงหญ้าแม้นป่าใหญ่
ถึงข้ามเขาข้ามฟ้าไม่อาลัย
ขอเพียงให้รักจริงไม่ทิ้งกัน

*แต่เพราะพี่ต่ำต้อยและน้อยศักดิ์
จะหวังหักดอกฟ้ามาเคียงฝัน
คงทำให้เจ้าลำบากยากชีวัน
บุญพี่นั้นน้อยไปจะได้ครอง

*อย่าได้โกรธโทษพี่เลยที่รัก
น้ำตาสักหมื่นแสนทั่วแดนผอง
ยังไม่ครึ่งความช้ำที่จำจอง
เพราะรักของพี่นั้นแค่ฝันไป...

T040709_02C.gif				
8 ตุลาคม 2552 22:03 น.

ลมเคียง-ดาว-ฟ้า-จันทรา-ธารารัก

กวีน้อยเจ้าสำราญครับ

avatar.org.jpg
*เจ้าสายลมพรมพร่างอยู่กลางหาว
ฝันถึงดาวดวงนั้นเหมือนฉันไหม
ฤาเจ้าชื่นเจ้าสุขไร้ทุกข์ใด
เจ้าจึงยิ้มพิมพ์ใจไร้อาทร

*แต่ว่าฉันแอบหาวเป็นดาวเด่น
หาวทุกเย็นทุกเช้าเฝ้ากอดหมอน
หาวไม่อยากหลับตาเพลานอน
กลัวว่าหมอนนอนหนุนอุ่นน้ำตา

*เจ้าลมเอ๋ยเคียงฟ้าเพลารุ่ง
ยังหวังมุ่งสิ่งใดบ้างไหมหนา
เจ้าจึงเพลินเหิรวนบนนภา
ฤาชีวาเจ้าอยู่มีคู่คอย

*แต่ว่าฉันเหม่อฟ้าเกินกว่ากว้าง
สุดแสนอ้างความในยามใจหงอย
เพราะฟ้าไม่ปลดปลงมาลงรอย
ถึงจะคอยร้อยปีอีกกี่วัน

*เจ้าลมเย็นลอยไปที่ใดบ้าง
สุดเส้นทางเจอใครที่ใฝ่ฝัน
ได้ยินข่าวชื่นชมห่มพระจันทร์
เป็นรางวัลความกล้าแสนท้าทาย

*ฉันเปรียบเหมือนกระต่ายที่หมายคว้า
มองจันทราคราใดกลับใจหาย
จันทร์สุดเอื้อมเกินคว้ามาเคียงกาย
มองจันทร์ฉายดายเดียวด้วยเปลี่ยวทรวง

*ลมพัดพาสายธารชื่นบานนัก
คงจะรักบูชาสุดฟ้าสรวง
และคงเย้ยเหยียดหยันฉันไร้ดวง
ไม่อาจควงสายธารรักมาสักครา

*คงจะเป็นเช่นลมลอยพรมพร่าง
ที่กล่าวอ้างความฝันอันปรารถนา
ฉันไร้โชคอับเฉาเบาปัญญา
วาสนาน้อยนักจะรักใคร....

285678_2747873-1.jpg				
2 ตุลาคม 2552 19:16 น.

เบญจกัลยาณี สตรีงาม 5 ประการ *-*

กวีน้อยเจ้าสำราญครับ

1_display.jpg

*ดั่งพระชินสีห์มุนีปราชญ์
อาขยาตเทศน์พร่ำเป็นคำสอน
อรรถชาดกสอนสั่งควรสังวรณ์
งามทุกตอนเบญจ-กัล-ยาณี

*คือหนึ่งงามด้วยเส้นผมดำคมเข้ม
ปลายผมเต็มเอนอ่อนงอนเกศี
ถึงบั้นเอวอวดอ้าไร้ราคี
งามดั่งที่หางนกยูงจำรุงตา

*สองริมฝีปากแดงดุจวิสุทธิ์ชาด
ยิ้มละมาดละไมชวนใฝ่หา
เปรียบดั่งตำลึงสุกลูกโอชา
ไม่แดงกว่าเกินนั้นเช่นบรรยาย

*สามฟันขาวขอบเรียบดูเพียบพร้อม
ไม่ขัดย้อมจนเกิดความเฉิดฉาย
ประดุจสังข์ขาวขัดจัดเรียงราย
ส่องประกายเรียบชิดงามติดตา

*สี่ผิวพรรณบริสุทธิ์ผุดผ่อง
ไม่เป็นสองรองใครทั่วในหล้า
เหมือนแสงจันทร์วันเพ็ญเด่นโสภา
ผิวกายาลอออ่อนพอดี

*ห้าวัยงามงามเลิศประเสริฐศักดิ์
วัยประจักษ์แจ้งสุขไร้ทุกขี
ทุกอย่างพร้อมสมบูรณ์พูนทวี
ถึงร้อยปีสวยเด่นเน้นธรรมา

*เบญจ-กัล-ยาณีสตรีไหน
สมบูรณ์ได้ว่าเลิศประเสริฐหนา
ดั่งกล่าวไว้ในธรรมพระสัมมา
วิสาขากายสวยด้วยใจงาม

*อันคนงามงามใจใช่ใบหน้า
โบราณว่าควรตรองอย่ามองข้าม
แม้นรูปลักษณ์พักตร์ผ่องอาจมองทราม
หากไม่งามภายในจิตใจตน

ของแถม....เล็กๆ น้อยๆ  เอามาให้อ่านครับ  เผื่อท่านใดสนใจ แต่คนโพสต์ มะอยากบอกว่า ยังมะได้อ่าน อิอิ

1 เกสกลฺยาณํ ผมงาม คือ หญิงผู้มีผมยาวถึงสะเอวแล้วปลายผมงอนขึ้น

2 มงฺสกลฺยาณํ เนื้องาม คือหญิงผู้มีริมฝีปากแดงดุจผลตำลึงสุกและเรียบชิดสนิทกันดี

3 อฏฐิกลฺยาณํ กระดูกงาม คือหญิงผู้มีฟันสีขาวประดุจสังข์ และเรียบเสมอกัน

4 ฉวิกลฺยาณํ ผิวงาม คือหญิงผู้มีผิวกายงามละเอียดสวยงาม

5 วยกลฺยาณํ วัยงาม คือ หญิงผู้ที่แม้จะคลอดบุตรกี่ครั้ง ก็ยังคงเต่งตึงไม่หย่อนยาน

******************************************************************************************

ลักษณะของเบญจกัลยาณีอธิบายตามความคิดเห็นของท่านผู้รู้แต่โบราณว่า

ผมงาม หมายถึง เรือนผมเป็นเงางามดุจกับหางนกยูง

ทรงผมสตรีแต่ก่อนคงจะนิยมดัดปลายงอน ท่านจึงพรรณาว่า 

เมื่อปล่อยย้อยยาวถึงชายผ้านุ่ง แล้วกลับมีปลายงอนขึ้นตั้งอยู่

สมัยนี้เห็นจะกำหนดตามนี้ไม่สำเร็จ 

จะให้ดำเป็นเงางามหรืองอนขึ้นหรุบลงทำไม่ยาก ถึงไม่มีผมจะงามเลย 

ก็หาผมปลอมใส่ได้งามทันใจในพริบตา 

เนื้องาม หมายถึง ริมฝีปากงาม เช่นกับผลตำลึง

คงหมายความว่ามีสีแดงดุจผลตำลึงสุก

สาวยุคนี้อย่าว่าแต่สีผลตำลึงสุกเลย จะให้เป็นสีผลอะไรก็ได้

สีทาปากทำไว้พร้อมเสร็จ สีมะละกอ สีลิ้นจี่ หรือสีทับทิมออกคล้ำ

ออกม่วง ออกเหลือง มีให้เลือกตามใจชอบ 

กระดูกงามหมายถึง มีฟันขาวเรียบดุจสังข์ที่ขัดดีแล้ว

ฝรั่งไม่เคยเห็นสังข์และไม่รู้ค่า 

จึงเปลี่ยนให้เป็นไข่มุกแทนฟันเป็นอย่างเดียวที่ขัดสีปานใด 

ก็ไม่อาจขาวเงางามเรียบได้ถ้าสุขภาพฟันไม่มีเป็นปฐม 

ยาเคลือบฟันให้ขาวพอใช้ได้ชั่วครั้งชั่วคราว 

ผิวงาม คือละเอียดอ่อน

สีผิวไม่สำคัญ ผิวดำก็สวยได้ ถ้าเกลี้ยงเกลามีเลือดฝาดสมบูรณ์ 

วัยงาม หมายถึง เนื้อหนังเต่งตึงอยู่จนแก่


ตำนานเรื่องนางวิสาขา ผู้สร้างปุพพรามปราสาทถวายเป็นวัด 

ครั้งพุทธกาล ชมนางวิสาขาว่าวัยงามนักหนา 

นางมีบุตรชาย 10 บุตรหญิง 10 บุตรชายหญิงมีบุตรชายหญิงอีกคนละ 10 

ตลอดชีวิตของนางมีบุตรหลานถึง 8,420 คน นางวิสาขาไปที่ใด

บุตรหลานห้อมล้อมไปเป็นหมู่ ผู้คนดูไม่ออกว่าคนไหนคือนางวิสาขา 

เพราะเห็นเป็นหนุ่มเป็นสาวเสมอเหมือนกันหมด 

นางวิสาขามีอายุยืนถึง 120 ปี และเป็นลูกสาวเศรษฐี ได้กินอิ่ม 

นอนหลับเต็มที่ ประกอบกับใจบุญด้วย จึงงามทั้งกายใจ 
********************************************************************


บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด 
นางวิสาขา เกิดในตระกูลเศรษฐี ในเมืองภัททิยะ แคว้นอังคะ บิดาชื่อว่า ธนญชัย มารดาชื่อว่าสุมนาเทวี และปู่ชื่อเมณฑกเศรษฐี ขณะที่เธอมีอายุอยู่ในวัย ๗ ขวบ เป็นที่รักดุจแก้ว ตาดวงใจของเมณฑกะผู้เป็นปู่ยิ่งนัก * ๗ ขวบบรรลุโสดาบัน เมื่อเมณฑกเศรษฐีได้ทราบข่าวว่า พระบรมศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์จำนวนมากกำลัง เสด็จมาสู่เมืองภัททิยะ ท่านเมณฑกเศรษฐี จึงได้มอบหมายให้เด็กหญิงวิสาขาพร้อมด้วยบริวาร ออกไปทำการรับเสด็จที่นอกเมือง ขณะที่พระพุทธองค์ประทับพักผ่อนพระอิริยาบถอยู่นั้น เด็ก หญิงวิสาขาพร้อมด้วยบริวาร เข้าไปเฝ้ากราบถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่อันสมควรแก่ตน พระพุทธ องค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาให้พวกเธอฟัง เมื่อจบลงก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันด้วยกันทั้ง หมด สมัย พระเจ้าปเสนทิโกศลแห่งเมืองสาวัตถี และพระเจ้าพิมพิสารแห่งเมืองราชคฤห์ มี ความเกี่ยวข้องกันโดยต่างก็ได้ภคินี (น้องสาว) ของกันและกันมาเป็นมเหสี แต่เนื่องจากในเมือง สาวัตถีของพระเจ้าปเสนทิโกศลนั้น ไม่มีเศรษฐีตระกูลใหญ่ ๆ ผู้มีทรัพย์สมบัติมากเลย และได้ ทราบว่าในเมืองราชคฤห์ของพระเจ้าพิมพิสารนั้น มีเศรษฐีผู้มีทรัพย์สมบัติขนานนับไม่ถ้วนอยู่ ถึง ๕ คน ดังนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล จึงเสด็จมายังเมืองราชคฤห์ เข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสารแล้วแจ้ง ความประสงค์ที่มาในครั้งนี้ ก็เพื่อขอพระราชทานตระกูลเศรษฐีในเมืองราชคฤห์นี้ไปอยู่ในเมือง สาวัตถีสักหนึ่งตระกูล พระเจ้าพิมพิสารได้สดับแล้วตรัสตอบว่า การโยกย้ายตระกูลใหญ่ ๆ เพียงหนึ่งตระกูลก็ เหมือนกับแผ่นดินทรุด แต่เพื่อรักษาสัมพันธไมตรีต่อกันไว้หลังจากที่ได้ปรึกษากับอำมาตย์ทั้ง หลายแล้ว เห็นพ้องต้องกันว่าสมควรยกตระกูลธนญชัยเศรษฐี ให้ไปอยู่เมืองสาวัตถีกับพระเจ้าป เสนทิโกศล ธนญชัยเศรษฐีได้ขนย้ายทรัพย์สมบัติพร้อมทั้งบริวารและสัตว์เลี้ยงทั้งหลายเดินทางสู่ พระนครสาวัตถีพร้อมกับพระเจ้าปเสนทิโกศล และเมื่อเดินทางเข้าเขตแคว้นของ พระเจ้าปเสนทิโกศล แล้ว ขณะที่พักค้างแรมระหว่างทางก่อนเข้าเมืองธนญชัยเศรษฐีเห็นว่าภูมิ ประเทศบริเวณที่พักนั้นเป็นชัยภูมิเหมาะสมดี อีกทั้งตนเองก็มีบริวารติดตามมาเป็นจำนวนมาก ถ้าไปตั้งบ้านเรือนภายในเมืองก็จะคับแคบ จึงขออนุญาตพระเจ้าปเสนทิโกศลก่อตั้งบ้านเมืองลง ณ ที่นั้น และได้ชื่อเมืองใหม่นี้ว่า สาเกต ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองสาวัตถี ๗ โยชน์ * หญิงงามเบญจกัลยาณี ในเมืองสาวัตถีนั้น มีเศรษฐีตระกูลหนึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า มิคารเศรษฐี มีบุตรชายชื่อ ปุณณวัฒนกุมาร เมื่อเจริญวัยสมควรที่จะมีภรรยาได้แล้ว บิดามารดาขอให้เขาแต่งงานเพื่อสืบ ทอดวงศ์ตระกูล แต่เขาเองไม่มีความประสงค์จะแต่งเมื่อบิดามารดารบเร้ามากขึ้น เขาจึงหาอุบาย เลี่ยงโดยบอกแก่บิดามารดาว่า ถ้าได้หญิงที่มีความงามครบทั้ง ๕ อย่าง ซึ่งเรียกว่า เบญจกัลยาณี แล้วจึงจะยอมแต่งงาน เบญจกัลยาณี ความงามของสตรี ๕ อย่าง คือ ๑. เกสกลฺยาณํ ผมงาม คือ หญิงที่มีผมยาวถึงสะเอวแล้วปลายผมงอนขึ้น ๒. มงฺสกลฺยาณํ เนื้องาม คือหญิงที่มีริมฝีปากแดงดุจผลตำลึงสุกและเรียบชิดสนิทกันดี ๓. อฏฺฐิกลฺยาณํ กระดูกงาม คือหญิงที่มีฟันสีขาวประดุจสังข์ และเรียบเสมอกัน ๔. ฉวิกลฺยาณํ ผิวงาม คือหญิงที่มีผิวงามละเอียด ถ้าดำก็ดำดังดอกบัวเขียว ถ้าขาวก็ขาวดัง ดอกกรรณิกา ๕. วยกลฺยาณํ วัยงาม คือ หญิงที่แม้จะคลอดบุตรถึง ๑๐ ครั้ง ก็ยังคงสภาพร่างกายสาวสวยดุจ คลอดครั้งเดียว บิดามารดาเมื่อได้ฟังแล้วจึงให้เชิญพราหมณ์ผู้เชี่ยวชาญในด้านอิตถีลักษณะมาถามว่า หญิงผู้มีความงามดังกล่าวนี้มีหรือไม่ เมื่อพวกพราหมณ์ตอบว่ามี จึงส่งพราหมณ์เหล่านั้นออก เที่ยวแสวงหาตามเมืองต่าง ๆ พร้อมทั้งมอบพวงมาลัยและเครื่องทองหมั้นไปด้วย * ชน ๔ พวกเมื่อวิ่งจะดูไม่งาม พวกพราหมณ์เที่ยวแสวงหาไปตามเมืองต่าง ๆ ทั้งเมืองเล็กเมืองใหญ่ จนมาถึงเมือง สาเกต ได้พบนางวิสาขามีลักษณะภายนอกถูกต้องตามตำราอิตถี ลักษณะครบทุกประการ ขณะ ที่นางพร้อมทั้งหญิงบริวารออกมาเที่ยวเล่นน้ำกันที่ท่าน้ำ ขณะนั้นฝนตกลงมาอย่างหนัก หญิง บริวารทั้งหลายพากันวิ่งหลบหนีฝนเข้าไปในศาลา แต่นางวิสาขายังคงเดินด้วยอาการปกติ ทำ ให้พวกพราหมณ์ทั้งหลายรู้สึกแปลกใจประกอบกับต้องการจะเห็นลักษณะฟันของนางด้วยจึง ถามนางว่า ทำไม เธอจึงไม่วิ่งหลบหนีฝนเหมือนกับหญิงอื่น ๆ นางวิสาขาตอบว่า ชน ๔ พวก เมื่อวิ่งจะดูไม่งาม ได้แก่ ๑. พระราชา ผู้ทรงประดับด้วยเครื่องอาภรณ์พร้อมสรรพ ๒. บรรพชิต ผู้ครองผ้ากาสาวพัสตร์ ๓. สตรี ผู้ชื่อว่าเป็นหญิงทั้งหลาย นอกจากจะดูไม่งานแล้วถ้าเกิดอุบัติเหตุจน เสียโฉม หรือพิการ จะทำให้เสื่อมเสียและหมดคุณค่า ๔. ช้างมงคล ตัวประดับด้วยเครื่องอาภรณ์สำหรับช้าง พวกพราหมณ์ได้เห็นปัญญาอันชาญฉลาด และคุณสมบัติ เบญจกัลยาณี ครบทุกประการ แล้ว จึงขอให้นางพาไปที่บ้านเพื่อทำการสู่ขอต่อพ่อแม่ตามประเพณี เมื่อสอบถามถึงชาติตระกูล และทรัพย์สมบัติก็ทราบว่า มีเสมอกัน จึงสวมพวงมาลัยทองให้นางวิสาขาเป็นการหมั้นหมาย และกำหนดวันวิวาหมงคล ธนญชัยเศรษฐี ได้สั่งให้ช่างทองทำเครื่องประดับ ชื่อ มหาลดาปสาธน์ เพื่อมอบให้แก่ ลูกสาว ซึ่งเป็นเครื่องประดับชนิดพิเศษ เป็นชุดยาวติดต่อกันตั้งแต่ ศีรษะจรดปลายเท้า ประดับ ด้วยเงินทองและรัตนอันมีค่าถึง ๙ โกฏิกหาปณะ ค่าแรงฝีมือช่างอีก ๑ แสน เป็นเครื่องประดับที่ หญิงอื่น ๆ ไม่สามารถจะประดับได้เพราะมีน้ำหนักมาก นอกจากนี้ ธนญชัยเศรษฐี ยังได้มอบ ทรัพย์สินเงินทองของใช้ต่าง ๆ รวมทั้งข้าทาสบริวารและฝูงโคอีกจำนวนมากมายมหศาล อีกทั้ง ส่งกุฏุมพีผู้มีความชำนาญพิเศษด้านต่าง ๆ ไปเป็นที่ปรึกษาดูแลประจำตัวอีก ๘ นายด้วย * ธนญชัยเศรษฐีให้โอวาทลูกสาว ก่อนที่นางวิสาขาจะไปสู่ตระกูลของสามี ธนญชัยเศรษฐีได้อบรมมารยาทสมบัติของ กุลสตรีผู้จะไปสู่ตระกูลของสามี โดยให้โอวาท ๑๐ ประการ เป็นแนวปฏิบัติ คือ โอวาทข้อที่ ๑ ไฟในอย่านำออก หมายความว่า อย่านำความไม่ดีของพ่อผัวแม่ผัวและสามี ออกไปพูดให้คนภายนอกฟัง โอวาทข้อที่ ๒ ไฟนอกอย่านำเข้า หมายความว่า เมื่อคนภายนอกตำหนิพ่อผัวแม่ผัวและสามี อย่างไร อย่านำมาพูดให้คนในบ้านฟัง โอวาทข้อที่ ๓ ควรให้แก่คนที่ให้เท่านั้น หมายความว่า ควรให้แก่คนที่ยืมของไปแล้วแล้วนำ มาส่งคืน โอวาทข้อที่ ๔ ไม่ควรให้แก่คนที่ไม่ให้ หมายความว่า ไม่ควรให้แก่คนที่ยืมของไปแล้ว แล้วไม่ นำมาส่งคืน โอวาทข้อที่ ๕ ควรให้ทั้งแก่คนที่ให้และไม่ให้ หมายความว่า เมื่อมีญาติมิตรผู้ยากจนมาขอ ความช่วยเหลือพึ่งพาอาศัย เมื่อให้ไปแล้วจะให้คืนหรือไม่ให้คืน ก็ควรให้ โอวาทข้อที่ ๖ พึงนั่งให้เป็นสุข หมายความว่า ไม่นั่งในที่กีดขวางพ่อผัว แม่ผัวและสามี โอวาทข้อที่ ๗ พึงนอนให้เป็นสุข หมายความว่า ไม่ควรนอนก่อนพ่อผัวแม่ผัวและสามี โอวาทข้อที่ ๘ พึงบริโภคให้เป็นสุข หมายความว่า ควรจัดให้พ่อผัว แม่ผัวและสามีบริโภค แล้ว ตนจึงบริโภคภายหลัง โอวาทข้อที่ ๙ พึงบำเรอไฟ หมายความว่า ให้มีความสำนึกอยู่เสมอว่า พ่อผัว แม่ผัวและสามี เป็นเหมืองกองไฟ และพญานาคที่จะต้องบำรุงดูแล โอวาทข้อที่ ๑๐ พึงนอบน้อมเทวดาภายใน หมายความว่า ให้มีความสำนึกอยู่เสอมว่า พ่อผัว แม่ ผัว และสามีเป็นเหมือนเทวดาที่จะต้องให้ความนอบน้อม * อานิสงส์ของการทำบุญแล้วแถม ธนญชัยเศรษฐี ให้เวลาถึง ๔ เดือนในการเตรียมทรัพย์สมบัติเพื่อมอบให้แก่นางวิสาขา สำหรับใช้สอยเมื่อไปอยู่ในตระกูลของสามี เฉพาะเครื่องประดับมหาลดาปสาธน์เพียงอย่างเดียว ก็ใช้เวลาทำถึง ๔ เดือน เช่นกัน เมื่อถึงกำหนดนางวิสาขาได้ออกเดินทางไปยังตระกูลของสามี พร้อมด้วยข้าทาสบริวารทรัพย์สินเงินทองของใช้อเนกอนันต์ และโคกระบืออีกมากมายมหาศาล ที่บิดาจัดการมอบให้ แม้กระนั้น โคกระบือที่อยู่ในคอกยังทำลายคอกวิ่งออกตามขบวนของนางวิสาขาไปอีก จำนวนมาก ทั้งนี้ด้วยอานิสงส์แห่งการทำบุญถวายทานที่นางทำไว้ในอดีตชาติ คือ ในครั้งที่นาง วิสาขาเดิมเป็นธิดาของพระเจ้ากิกิ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ นางได้ถวายอาหารแก่ พระภิกษุสามเณรเป็นประจำ และทั้ง ๆ ที่พระภิกษุสามเณรกล่าวว่า พอแล้ว ๆ ก็ยังตรัสว่า พระคุณเจ้าสิ่งนี้อร่อย สิ่งนี้น่าฉัน แล้วก็ถวายเพิ่มขึ้นอีก ด้วยอานิสงส์แห่งการถวายเพิ่มนี้ บันดาลให้โคเหล่านั้นแม้จะมีคนห้ามมีคอกกั้นอยู่ก็ยังโดดออกจากคอกวิ่งตามขบวนของนาง วิสาขาไปอีกจำนวนมาก * นางวิสาขาตำหนิพ่อผัว เมื่อนางวิสาขา เข้ามาสู่ตระกุลของสามีแล้ว เพราะความที่เป็นผู้ได้รับการอบรมสั่งสอน เป็นอย่างดีตั้งแต่วัยเด็ก และเป็นผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีน้ำใจเจรจาไพเราะ ให้ความเคารพผู้ ที่มีวัยสูงกว่าตน จึงเป็นที่รักใคร่และชอบใจของคนทั่วไป ยกเว้นมิคารเศรษฐีของสามี ซึ่งมีจิต ฝักใฝ่ในนักบวชอเจลกชีเปลือย โดยให้ความเคารพนับถือว่าเป็นพระอรหันต์ และนิมนต์ให้มา บริโภคโภชนาหารที่บ้านของตนแล้ว สั่งให้คนไปตามนางวิสาขามาไหว้พระอรหันต์ และให้มา ช่วยจัดเลี้ยงอาหารแก่อเจลกชีเปลือยเหล่านั้นด้วย นางวิสาขา ผู้เป็นพระอริยสาวิกาชั้นโสดาบันพอได้ยินคำว่า อรหันต์ ก็รู้สึกปีติยินดีรีบ มายังเรือนของมิคารเศรษฐี แต่พอได้เห็นอเจลกชีเปลือย ก็ตกใจจึงกล่าวว่า ผู้ไม่มีความละอาย เหล่านี้ จะเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ พร้อมทั้งกล่าวติเตียนมิคารเศรษฐีแล้วกลับที่อยู่ของตน ต่อมาอีกวันหนึ่ง ขณะที่มิคารเศรษฐีกำลังบริโภคอาหารอยู่ โดยมีนางวิสาขาคอย ปรนนิบัติอยู่ใกล้ ๆ ได้มีพระเถระเที่ยวบิณฑบาตผ่านมาหยุดยืนที่หน้าบ้านของมิคารเศรษฐี นางวิสาขาทราบดีว่าเศรษฐีแม้จะเห็นพระเถระแล้วก็ทำเป็นไม่เห็น นางจึงกล่าวกับพระเถระว่า นิมนต์พระคุณเจ้าไปข้างหน้าก่อนเถิด ท่านเศรษฐีกำลังบริโภคของเก่าอยู่ เศรษฐี ได้ฟังดังนั้นแล้วจึงโกรธเป็นที่สุด หยุดบริโภคอาหารทันทีแล้วสั่งให้บริวารมา จับและขับไล่นางวิสาขาให้ออกจากบ้านไป แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาจับนางวิสาขาขอชี้แจงแก่ กุฎุมพี ๘ นายที่คุณพ่อได้ส่งมาช่วยดูแลนางก่อน และเมื่อมิคารเศรษฐีให้คนไปเชิญกุฎุมพีมาแล้ว แจ้งโทษของนางวิสาขาให้ฟัง ซึ่งนางก็แก้ด้วยคำว่า ที่ดิฉันกล่าวอย่างนั้น หมายถึง มิคารเศรษฐี บิดาของสามีกำลังบริโภคบุญเก่าอยู่ มิใช่บริโภคของบูดเน่าอย่างที่เข้าใจ กุฎุมพีทั้ง ๘ จึงกล่าว กับเศรษฐีว่า เรื่องนี้นางวิสาขาไม่มีความผิด * พ่อผัวยกย่องนางวิสาขาในฐานะมารดา เมื่อมิคารเศรษฐี ฟังคำชี้แจงของลูกสะใภ้แล้วก็หายโกรธขัดเคือง และกล่าวขอโทษนาง พร้อมทั้งอนุญาตให้นางนิมนต์พระบรมศาสดาพร้อมภิกษุสงฆ์มารับอาหารบิณฑบาตในเรือน ของตน ขณะที่นางวิสาขาจัดถวายภัตตาหารแด่พระบรมศาสดาและภิกษุสงฆ์อยู่นั้น ก็ได้ให้คน ไปเชิญมิคารเศรษฐีมาร่วมถวายภัตตาหารด้วย แต่เศรษฐีเมื่อมาแล้วไม่กล้าที่ออกไปสู่ที่เฉพาะ พระพักตร์พระศาสดา เพราะไม่มีศรัทธาเลื่อมใสจึงแอบนั่งอยู่หลังม่าน เมื่อเสร็จภัตกิจแล้วพระ บรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนา ส่วนมิคารเศรษฐีแม้จะหลบอยู่หลังม่านก็มีโอกาสได้ฟัง ธรรมด้วยจนจบ และได้สำเร็จเป็นพระโสดาบันบุคคลในพุทธศาสนาเป็นสัมมาทิฎฐิบุคคลตั้งแต่ นั้นเป็นต้นมา ทันใดนั้น มิคารเศรษฐีได้ออกมาจากหลังม่านแล้วตรงเข้าไปหานางวิสาขาใช้ปากดูดถัน ของลูกสะใภ้ และประกาศให้ได้ยินทั่วกัน ณ ที่นั้นว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปขอเธอจงเป็นมารดา ของข้าพเจ้า และตั้งแต่นั้นมานางวิสาขาก็ได้นามว่า มิคารมารดา คนทั่วไปนิยมเรียกนางว่า วิสาขามิคารมารดา * คุณสมบัติพิเศษประจำตัวนางวิสาขา ในบรรดาอุบาสิกาทั้งหลาย นางวิสาขานับว่าเป็นผู้มีบุญสั่งสมมาตั้งแต่อดีตชาติมากเป็น พิเศษกว่าอุบาสิกาคนอื่น ๆ หลายประการ เช่น ลักษณะของผู้มีวัยงาม คือ แม้ว่านางจะมีอายุมาก มีลูกชาย-หญิง ถึง ๒๐ คน ลูก เหล่านั้นแต่งงานมีลูกอีกคนละ ๒๐ คน นางก็มีหลานนับได้ ๔๐๐ คน หลานเหล่านั้นแต่งงานมี ลูกอีกคนละ ๒๐ คน นางวิสาขามีเหลนนับได้ ๘๐๐๐ คน ดังนั้น คนจำนวน ๘๔๒๐ คน มีต้น กำเนิดมาจากนางวิสาขา นางมีอายุยืนได้เห็นหลานได้เห็นเหลนทุกคน แม้นางมีอายุถึง ๑๒๐ ปี แต่ขณะเมื่อนางนั่งอยู่ในกลุ่มของลูก หลาน เหลน นางจะมีลักษณะวัยใกล้เคียงกับคนเหล่านั้น คนพวกอื่นจะไม่สามารถทราบได้ว่านางวิสาขาคือคนไหน แต่จะสังเกตได้เมื่อเวลาจะลุกขึ้นยืน ธรรมดาคนหนุ่มสาวจะลุกได้ทันที แต่สำหรับคนแก่จะต้องใช้มือยันพื้นช่วยพยุงกาย และจะยก ก้นขึ้นก่อน นั่นแหละจึงจะทราบว่านางวิสาขาคือคนไหน * นางวิสาขาร้องไห้อาลัยหลาน สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับ ณ พระวิหารบุพพาราม ซึ่งนางวิสาขาเป็นผู้สร้าง ถวายใกล้กรุงสาวัตถี ขณะนั้นหลานสาวชื่อว่าสุทัตตีผู้เป็นที่รักเป็นที่พอใจอย่างยิ่งของนางได้ถึง แก่กรรมลง ทำให้นางเศร้าโศกเสียใจ ร้องไห้รำพันถึงหลานรัก เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคทั้ง ๆ ที่กำลังร้องไห้อยู่ด้วยพระพุทธองค์ตรัสถามเหตุแห่งความเศร้า ทรงทราบโดยตลอดแล้ว จึงตรัส ถามว่า ดูก่อนวิสาขา ในพระนครสาวัตถีนี้ เธอต้องการบุตรหลานสักกี่คน ? ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ต้องการบุตรหลานในพระนครนี้ทั้งหมด พระเจ้าข้า ดูก่อนวิสาขา ก็ในพระนครสาวัตถีนี้ มีคนตายวันละเท่าไร ? ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในพระนครสาวัตถีนี้ มีคนตายวันละ ๑ คนบ้าง ๒ คนบ้าง ถึงวัน ละ ๑๐ คนบ้าง พระเจ้าข้า ดูก่อนวิสาขา ถ้าคนเหล่านั้นเป็นบุตรหลานของเธอจริง เธอก็คงมีหน้าเปียกชุ่มด้วยน้ำ ตาโดยไม่มีวันแห้งเหือด วิสาขา คนในโลกนี้ ผู้ใดมีสิ่งเป็นที่รัก ๑๐๐ ผู้นั้นก็จะมีทุกข์ถึง ๑๐๐ ผู้ ใดมีสิ่งเป็นที่รัก ๕๐ ผู้นั้นก็จะมีทุกข์ถึง ๕๐ เช่นกัน ดูก่อนวิสาขา เราขอบอกเธอว่า ความทุกข์ ความเศร้าโศก ความพิไรรำพัน ที่คนทั้ง หลายประสบกันอยู่ในโลกนี้ ก็เพราะอาศัยสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รัก ถ้าไม่มีสัตว์หรือสัตว์อัน เป็นที่รักแล้ว ความทุกข์ ความเศร้าโศก ความพิไรรำพันเหล่านั้นก็ไม่มี ผู้นั้นก็จะมีแต่ความสุข ดังนั้น ผู้ปรารถนาความสุขให้กับตนเอง ก็ไม่ควรทำสัตว์หรือสังขารให้เป็นที่รัก นางวิสาขา เมื่อได้ฟังพระพุทธดำรัสตรัสสอนจบลงแล้ว ก็คลายจากความเศร้าโศก แต่ เพราะความที่นางมีลูกหลานหลายคน ซึ่งต่อจากนั้นอีกไม่นานนักหลานสาวอีกคนหนึ่ง ที่นางได้ มอบหมายหน้าที่การปฏิบัติดูแลพระภิกษุสงฆ์ซึ่งนิมนต์มาฉันที่บ้านเป็นประจำก็ได้ถึงแก่ความ ตายลงอีก นางวิสาขาก็ต้องเสียน้ำตาร่ำไห้ด้วยความรักความอาลัยต่อหลานสาวเป็นครั้งที่สอง และพระพุทธองค์ก็ทรงเทศนาโปรดนางให้คลายความเศร้าโศกลงดุจเดียวกับครั้งก่อน * นางวิสาขาสร้างวัด โดยปกตินางวิสาขาจะไปวัดวันละ ๒ ครั้ง คือ เช้า-เย็น และเมื่อไปก็จะไม่ไปมือเปล่า ถ้า ไปเวลาเช้าก็จะมีของเคี้ยวของฉันเป็นอาหารไปถวายพระ ถ้าไปเวลาเย็นก็จะถือน้ำปานะไปถวาย เพราะนางมีปกติทำอย่างนี้เป็นประจำ จนเป็นที่ทราบกันดีทั้งพระภิกษุสามเณร และอุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย แม้นางเองก็ไม่กล้าที่จะไปวัดด้วยมือเปล่า ๆ เพราะละอายที่พระภิกษุหนุ่ม สามเณรีน้อยต่างก็จะมองดูที่มือว่านางถืออะไรมา และก่อนที่นางจะออกจากวัดกลับบ้าน นางจะ เดินเยี่ยมเยือนถามไถ่ความสุข ความทุกข์ และความประสงค์ของพระภิกษุสามเณร และเยี่ยม ภิกษุไข้จนทั่วถึงทุก ๆ องค์ก่อนแล้วจึงกลับบ้าน วันหนึ่งเมื่อนางมาถึงวัด นางได้ถอดเครื่องประดับมหาลดาปสาธน์ มอบให้หญิงสาวผู้ ติดตามถือไว้ เมื่อเสร็จกิจการฟังธรรมและเยี่ยมเยือนพระภิกษุสามเณรแล้ว ขณะเดินกลับบ้าน นางได้บอกให้หญิงรับใช้ส่งเครื่องประดับให้ แต่หญิงรับใช้ลืมไว้ที่ศาลาฟังธรรม นางจึงให้กลับ ไปนำมา แต่สั่งว่าถ้าพระอานนท์เก็บรักษาไว้ก็ไม่ต้องเอาคืนมาให้มอบถวายท่านไปเลย เพราะ นางคิดว่าจะไม่ประดับเครื่องประดับที่พระคุณเจ้าถูกต้องสัมผัสแล้ว ซึ่งพระอานนท์ท่านก็มักจะ เก็บรักษาของที่อุบาสกอุบาสิกาลืมไว้เสมอ และก็เป็นไปตามที่นางคิดไว้จริง ๆ แต่นางก็กลับคิด ได้อีกว่า เครื่องประดับนี้มีประโยชน์แก่พระเถระ ดังนั้นนางจึงขอรับคืนมาแล้วนำออกขายใน ราคา ๙ โกฏิ กับ ๑ แสนกหาปณะ ตามราคาทุนที่ทำไว้ แต่ก็ไม่มีผู้ใดมีทรัพย์พอที่จะซื้อไว้ได้ นางจึงซื้อเอาไว้เอง ด้วยการนำทรัพย์เท่าจำนวนนั้นมาซื้อที่ดินและวัสดุก่อสร้างดำเนินการสร้าง วัดถวายเป็นพระอารามประทับของพระบรมศาสดา และเป็นที่อยู่อาศัยจำพรรษาของพระภิกษุ สงฆ์สามเณร พระบรมศาสดารับสั่งให้พระมหาโมคคัลลานะ เป็นผู้อำนวยการดูแลการก่อสร้าง ซึ่งมีลักษณะเป็นปราสาท ๒ ชั้น มีห้องสำหรับพระภิกษุพักอาศัยชั้นละ ๕๐๐ ห้อง โดยใช้เวลาใน การก่อสร้างถึง ๙ เดือน และเมื่อสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ได้นามว่า พระวิหารบุพพาราม * เพราะพระเปลือยกายจึงถวายผ้าอาบน้ำฝน โดยปกตินางวิสาขา จะกราบทูลอาราธนาพระพุทธองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์มาเสวยและ ฉันภัตตาหารที่บ้านของนางเป็นประจำ เมื่อการจัดเตรียมภัตตาหารเสร็จเรียบร้อยพร้อมแล้ว ก็จะ ให้สาวใช้ไปกราบทูลอาราธนาพระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ให้เสด็จไปยังบ้านของนาง วันหนึ่ง สาวใช้ได้มาตามปกติเหมือนทุกวัน แต่วันนั้นมีฝนตกลงมาพระสงฆ์ทั้งหลาย จึง พากันเปลือยกายอาบน้ำฝน เมื่อสาวใช้มาเห็นเข้าก็ตกใจเพราะความที่ตนมีปัญญาน้อยคิดว่าเป็น นักบวชชีเปลือย จึงรีบกลับไปแจ้งแก่นางวิสาขาว่า ข้าแต่แม่เจ้า วันนี้ที่วัดไม่มีพระอยู่เลย เห็นมีแต่ชีเปลือยแก้ผ้าอาบน้ำ กันอยู่ นางวิสาขาได้ฟังคำบอกเล่าของสาวใช้แล้ว ด้วยความที่นางเป็นพระอริยบุคคลชั้น โสดาบัน เป็นมหาอุบาสิกา เป็นผู้มีปัญญาศรัทธาเลื่อมใส มีความใกล้ชิดกับพระภิกษุสงฆ์ จึง ทราบ เหตุการณ์โดยตลอดว่า พระบรมศาสดาทรงอนุญาตให้พระภิกษุมีผ้าสำหรับใช้สอย เพียง ๓ ผืน คือ ผ้าจีวรสำหรับห่ม ผ้าสังฆาฎิสำหรับห่มซ้อน และผ้าสบงสำหรับนุ่ง ดังนั้นเมื่อ เวลาพระภิกษุจะอาบน้ำจึงไม่มีผ้าสำหรับผลัดอาบน้ำ ก็จำเป็นต้องเปลือยกายอาบน้ำ อาศัยเหตุนี้ เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จมาประทับที่บ้านและเสร็จภัตกิจแล้ว นางวิสาขา จึง ได้เข้าไปกราบทูลขอพร เพื่อถวายผ้าอาบน้ำฝนแก่พระภิกษุสงฆ์ พระพุทธองค์ประทานอนุญาต ตามที่ขอนั้น และนางวิสาขาก็เป็นบุคคลแรกที่ได้ถวายผ้าอาบน้ำฝนแก่พระภิกษุสงฆ์ * พระภิกษุคิดว่านางเป็นบ้า นางวิสาขา ได้ชื่อว่าเป็นมหาอุบาสิกาผู้ยิ่งใหญ่ เป็นยอดแห่งอุปัฏฐายิกา ทะนุบำรุงพระ พุทธศาสนาด้วยวัตถุจตุปัจจัยไทยทานต่าง ๆ ทั้งที่ถวายเป็นของสงฆ์ส่วนรวม และถวายเป็นของ ส่วนบุคคลคือแก่พระภิกษุแต่ละองค์ ๆ การทำบุญของนางนับว่าครบถ้วนทุกประการตามหลัก บุญกิริยาวัตถุ ดังคำที่นางเปล่งอุทานในวันฉลองวิหาร คือ วัดบุพพาราม ที่นางสร้างถวายนั้นด้วย คำว่า ความปรารภนาใด ๆ ที่เราตั้งไว้ในกาลก่อน ความปรารถนานั้น ๆ ทั้งหมดของเราได้ สำเร็จเสร็จสิ้นสมบูรณ์ทุกประการแล้ว ความปรารถนาเหล่านั้น คือ ๑. ความปรารถนาที่จะสร้างปราสาทฉาบด้วยปูนถวายเป็นวิหารทาน ๒. ความปรารถนาที่จะถวายเตียง ตั่ง ฟูก หมอน และเสนาสนภัณฑ์ ๓. ความปรารถนาที่จะถวายสลากภัตเป็นโภชนาทาน ๔. ความปรารถนาที่จะถวายผ้ากาสาวพัสตร์ ผ้าเปลือกไม้ ผ้าฝ้าย เป็น จีวรทาน ๕. ความปรารถนาที่จะถวายเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เป็นเภสัชทาน ความปรารถนาเหล่านั้นของนางวิสาขาสำเร็จครบถ้วนทุกประการ สร้างความเอิบอิ่มใจ แก่นางยิ่งนัก นางจึงเดินเวียนรอบปราสาทอันเป็นวิหารทานพร้อมทั้งเปล่งอุทานดังกล่าว พระภิกษุทั้งหลายได้เห็นกิริยาอาการของนางวิสาขาแล้ว ต่างก็รู้สึกประหลาดใจ ไม่ ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง จึงพร้อมใจกันเข้าไปกราบทูลถามพระบรมศาสดาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญตั้งแต่ได้พบเห็นและรู้จักนางวิสาขาก็เป็นเวลานานพวกข้าพระ องค์ทั้งหลาย ไม่เคยเห็นนางขับร้องเพลงและแสดงอาการอย่างนี้มาก่อนเลย แต่วันนี้ นางอยู่ใน ท่ามกลางการแวดล้อมของบรรดาบุตรธิดาและหลาน ๆ ได้เดินเวียนรอบปราสาทและบ่นพึมพำ คล้ายกับร้องเพลง เข้าใจว่าดีของนางคงจะกำเริบ หรือไม่นางก็คงจะเสียจริตไปแล้วหรืออย่างไร พระเจ้าข้า ? พระพุทธองค์ตรัสแก่ภิกษุเหล่านั้นว่า ภิกษุทั้งหลาย ธิดาของเรามิได้ขับร้องเพลงหรือเสียจริตอย่างที่พวกเธอเข้าใจหรอก แต่ที่ ธิดาของเราเป็นอย่างนั้นก็เพราะความปีติยินดีที่ความปรารถนาของตนที่ตั้งไว้นั้นสำเร็จลุล่วง สมบูรณ์ทุกประการ นางจึงเดินเปล่งอุทานออกมาด้วยความอิ่มเอมใจ ด้วยเหตุที่นางวิสาขาได้อุปถัมภ์บำรุงพระภิกษุสงฆ์ และได้ถวายวัตถุจตุปัจจัยในพระ พุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก ดังกล่าวมา พระผู้มีพระภาคจึงได้ทรงประกาศยกย่องนางใน ตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าอุบาสิกาทั้งหลายในฝ่าย ผู้เป็นทายิกา				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกวีน้อยเจ้าสำราญครับ
Lovings  กวีน้อยเจ้าสำราญครับ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกวีน้อยเจ้าสำราญครับ
Lovings  กวีน้อยเจ้าสำราญครับ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกวีน้อยเจ้าสำราญครับ
Lovings  กวีน้อยเจ้าสำราญครับ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงกวีน้อยเจ้าสำราญครับ