28 กุมภาพันธ์ 2549 19:32 น.
กวินทรากร
ในความคิดของนักปรัชญาการเมืองอิตาเลี่ยน นิโก๊ โหละ มาคิอา เว้ หลิ (Niccolo Machiavelli) อาจได้รับการมองว่าเป็นปรัชญาการเมืองแบบทางโลก(secularization)ที่สมบูรณ์.และมีความโดดเด่นทางแนวความคิดคือ แยกคุณธรรมจริยธรรมออกจากการบริหาร ในงานเขียนที่ชื่อ The Prince : เจ้าผู้ปกครอง ,แปลเป็นภาษาไทยโดย ศ.ดร. สมบัติ จันทรวงศ์
Machiavelli เป็นนักการฑูตและนักบริหารที่มีประสบการณ์เขาได้อธิบายว่า การต่อสู้กันด้วยอำนาจนั้น มันได้รับการชักนำขึ้นมาอย่างไรในสมัยเรอเนสซองค์ของอิตาลี, จากการบรรยายถึงเรื่องนี้ทำให้เขาได้รับชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันไปทั่ว.งานเขียนในช่วงปลดเกษียณหลังจากการถูกถอดถอนทางการเมือง, ในเรื่อง The Prince เขาได้กล่าวว่า ผู้ปกครองจะต้องรวมความเข้มแข็งของ "ราชสีห์" เข้ากับความหลักแหลม(ฉลาดแกมโกง)ของ "วฤก" เอาไว้ด้วยกัน: เขาจะต้องระมัดระวังตัว ไหวตัว ไร้ความเมตตา และมีความพร้อมทันที ฆ่าหรือขจัดปรปักษ์ หรือทำให้ศัตรูเป็นอัมพาตโดยปราศจากการเตือนให้รู้ล่วงหน้า. และเมื่อเขากระทำการอันใดที่เป็นอันตรายมันก็จะต้องเป็นไปพร้อมกันทั้งหมด. สำหรับมนุษย์แล้ว ควรจะได้รับการปฏิบัติด้วยดีหรือไม่ก็บดขยี้ เพราะพวกเขาสามารถที่จะแก้แค้นและนำอันตรายมาถึงตัวท่านได้เป็นขบวน แต่ถ้าเอาจริงเอาจังพวกเขาจะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้. ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าชายหรือนักปกครองที่มีความลังเลใจ ผู้ซึ่งดำเนินรอยตามหนทางที่เป็นกลาง โดยทั่วไปแล้ว จะประสบกับความพินาศ. เขาแนะนำว่า มันจะเป็นการดีที่สุดที่จะลงจากอำนาจในช่วงเวลาที่เหมาะสมตอนที่เป็นฝ่ายชนะ และนครต่างๆที่พ่ายแพ้ควรที่จะถูกปกครองโดยตรงโดยทรราชเอง ด้วยการพำนักอยู่ที่นั่นหรือไม่ก็ทำลายมันเสีย. นอกจากนั้น บรรดาเจ้าชาย(นักปกครอง)ไม่เหมือนกับคนที่สันโดษทั่วไป ไม่ต้องรักษาศรัทธาใดๆไว้: นับแต่ที่การเมืองต่างๆได้สะท้อนถึงกฎหมายที่สับสนยุ่งเหยิงและรกรุงรัง รัฐก็คือกฎหมายของตัวมันเอง, และการปกครองที่มีศีลธรรมธรรมดาไม่จำต้องใช้มันแต่อย่างใด Machiavelli ยังได้กล่าวต่อไปอีกว่า การเป็นที่รักนั้นดีกว่าการเป็นที่หวาดกลัวหรือว่ากลับกัน เราอาจตอบว่าเราย่อมปรารถนาจะเป็นทั้งอันหนึ่งและอีกอันหนึ่ง แต่เนื่องจากยากที่จะผสมคุณสมบัตินี้เข้าด้วยกัน ถ้าอันใดอันหนึ่งในสองอันนี้จะต้องขาดไป การเป็นที่หวาดกลัวจึงเป็นการปลอดภัยมากกว่าเป็นที่รัก เพราะเราสามารถจะพูดสิ่งนี้โดยทั่วไปเกี่ยวกับมนุษย์ได้ว่า พวกเขาอกตัญญู เปลี่ยนใจง่าย เป็นพวกมือถือสากปากถือศีล และพวกอำพราง พวกหลีกเลี่ยงอันตราย ผู้รักผลได้ และในขณะที่ท่านทำดีต่อพวกเขา พวกเขาก็จะเป็นของท่านเต็มตัว อุทิศโลหิต สิ่งของต่างๆ ชีวิตและบุตรชายแก่ท่าน อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น เมื่อความจำเป็นนั้นอยู่ห่างไกลออกไป แต่เมื่อความจำเป็นเข้ามาใกล้ท่าน เมื่อนั้นพวกเขาก็จะเป็นกบฏ และเจ้าผู้ปกครองที่วางรากฐานบนถ้อยคำของพวกนั้นอย่างเต็มตัว หากพบว่าตนเองขาดการเตรียมการอย่างอื่นๆเมื่อใด ก็จะถูกทำลาย เพราะมิตรสหายที่เราได้มาด้วยการซื้อหาและมิใช่ด้วยความยิ่งใหญ่และความสูงส่งของจิตใจนั้น เราสมควรจะได้พวกเขา แต่เราไม่ได้พวกเขาเลย เมื่อเวลามาถึงก็ไม่อาจใช้พวกเขาได้ และมนุษย์มีความระมัดระวังในการทำให้คนที่ทำให้ตนเป็นที่รักต้องขุ่นเคือง น้อยกว่าคนที่ทำให้ตนเป็นที่หวาดกลัว เพราะความรักนั้นคงรักษาไว้ได้ด้วยสายโซ่แห่งภาระผูกพัน ซึ่งเนื่องจากความชั่วร้ายของมนุษย์จึงถูกตัดขาดได้ทุกโอกาส
เพื่อผลประโยชน์ของตน แต่ความกลัวนั้นคงรักษาไว้ได้โดยความหวาดกลัวการลงโทษ ซึ่งไม่เคยจากท่านไปเลย
ยกตัวอย่างเช่นเจ้าผู้ปกครอง (ผู้ชาย) จะต้องมีหน้าที่ รั ก ษ า ค ว า ม เ ป็ น รั ฐ ไว้ (ในที่นี้หมายถึงความเป็นสามีภรรยา) ถ้าจะต้องให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างการทำให้แฟน ก ลั ว กับการทำให้แฟน ช อ บ เพื่อที่จะรักษาเธอไว้ ในสภาวการณ์เช่นนี้ เจ้าผู้ปกครอง ย่ อ ม ต้ อ ง เ ลื อ ก ใ ห้ เ ธ อ ก ลั ว เพราะความกลัวจะทำให้เธอไม่กล้าไปไหนโดยไม่บอกไม่กล่าวเพราะเธอรู้ว่าแฟนเธอดุ แต่ถ้า เลือก ทำ ใ ห้ รั ก เพื่อที่จะรักษาเธอไว้ ธรรมชาติมนุษย์ไม่มีความซื่อสัตย์ ถ้าคุณรักเธอเกินไปตามใจเธอทุกอย่างเธออาจเห็นว่าคุณใจอ่อน และคุณอาจรักษาเธอไว้ไม่ได้
สิ่งที่Machiavelli กล่าวถือว่าถูกในส่วนหนึ่ง เพราะการที่องค์อธิปัตย์จะทำให้ประชาชนจงรักภักดีได้นั้นถ้าไม่ด้วยการทำให้รักก็ด้วยการทำให้กลัว การทำให้รักนั้นย่อมไม่ใช่ความรักในความหมายแบบโรแมนติก หากแต่เป็นความรักในแบบมิตร(Mitra) ในความหมายแบบ Indo-Iranian หรือไมตรี หรือ เพื่อน ( Friend ) ในความหมายแบบละติน
ซึ่งล้วนแล้วแต่หมายถึง สัญญา (contract) ของขวัญ ( Gift ) หรืออื่นๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความหมายในเชิงของการแลกเปลี่ยน ( Exchange) ผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน เป็นมิตรกันในลักษณะของพันธมิตรคือเป็นมิตรกันด้วยพันธะของการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ซึ่งความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้สามารถพังทลายลงได้อย่างง่ายดายหากมีผลประโยชน์อื่นที่สามารถสนองความต้องการได้ดีกว่า และความจงรักภักดีนั้นก็จะหมดไปในทันที ซึ่งความจงรักภักดีที่เกิดจากความกลัวนั้นต่างออกไป องค์อธิปัตย์สามารถทำให้ประชาชนจงรักภักดีได้ด้วยความกลัวการถูกลงโทษ และการลงโทษนั้นก็คือความโหดร้ายทารุณนั่นเอง ความโหดร้ายทารุณหากใช้อย่างดีก็จะส่งผลให้เกิดความจงรักภักดีได้อย่างคงทน แต่หากความโหดร้ายทารุณนั้นใช้อย่างเกินพอดี(หรืออย่างเลว)เมื่อใด เมื่อนั้นความกลัวก็จะกลับกลายไปเป็นความเกลียดชัง และเมื่อนั้นความจงรักภักดีก็จะสูญสลายตามไปด้วย จุดที่Machiavelli มิได้กล่าวไว้โดยตรงก็คือ การรวมคุณสมบัติทั้งสองคือความรักและความกลัวเข้าด้วยกันนั้นแม้จะยากแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่องค์อธิปัตย์พึงกระทำก็คือ สร้างความจงรักภักดีโดยใช้ความรักควบคู่ไปกับความกลัว เป็นทั้ง Mitra และ Varuna มิเช่นนั้นหากจะสร้างความจงรักภักดีด้วยความหวาดกลัว
ก็ควรจะทำให้ตนเป็นที่หวาดกลัวในแบบที่แม้ไม่ได้ความรักมา แต่ก็ไม่เป็นที่เกลียดชัง ซึ่งการทำให้หวาดกลัวแต่ไม่เป็นที่เกลียดชังนี้ก็สามารถทำได้โดยใช้ความโหดร้ายทารุณด้วยความสุขุมรอบคอบ กล่าวคือใช้ความโหดร้ายทารุณอย่างดีนั่นเอง ซึ่งการใช้ความโหดร้ายทารุณอย่างดีนั้นก็ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าคือความทารุณโหดร้ายที่กระทำอย่างฉับพลัน เหมาะกับความจำเป็นที่ต้องทำให้ตนเองมั่นคง และหลังจากนั้นแล้วก็ไม่ดำเนินต่อไปแต่เปลี่ยนไปให้ประโยชน์อันยิ่งใหญ่สูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้แก่ผู้อยู่ใต้ปกครอง ลักษณะของการใช้ความทารุณโหดร้ายอย่างดีนั้นหากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วก็จะพบว่าลักษณะดังกล่าว คือลักษณะของกฎหมายนั่นเอง
สรุป คุณธรรมจริยธรรม บางคราวก็ต้องแยกออกจากการบริหารประเทศ เช่นกรณีเกิดสงครามการสู้รบเข่นฆ่า ในภาวะสงครามย่อมไร้ซึ่งศีลธรรมจริยธรรม เมื่อมีคนเอามีดมาจ่อคอเรา เราจะเลือกยกมือไหว้ ถอย หรือ สู้ หากยกมือไหว้แล้วเขายังจะฆ่า ก็ต้องหนี หากหนีไม่ได้ก็ต้องสู้ และเมื่อคิดจะสู้ก็ต้องเกิดการสูญเสีย ผู้ที่มี จริยธรรมและศีลธรรมในใจก็ย่อมไม่ต้องการให้เกิดการสูญเสีย แต่ความเป็นจริงของธรรมชาติผู้เข้มแข็งเท่านั้นจึงจะเป็นผู้อยู่รอด ในภาวะความเป็นความตายอยู่ใกล้กันชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด น้อยคนนักที่ยังจะมีคุณธรรมและจริยธรรม (จะมีก็แต่มหาตมคานธี ที่ต่อสู้แบบ อหิงสา แต่สุดท้ายก็ตายเพราะโดนยิง) ฉันใดก็ฉันนั้น ในภาวะสงครามหากต้องการรักษาศีลธรรมจริยธรรมไว้ ก็จำต้องสู้รบเข่นฆ่า (เพราะหลีกเลี่ยงไม่ได้ การต่อสู้แบบอหิงสา ถึงไม่เข่นฆ่าแต่ก็ถือเป็นการต่อสู้ทางชนชั้นรูปแบบหนึ่ง) และเมื่อการสู้รบเข่นฆ่าจบสิ้นลง ความสงบจักมาเยือน ศีลธรรมจริยธรรม จักกลับมาอีกครั้ง ยกตัวอย่างเช่น การทำสงครามกับยาเสพย์ติดที่จำต้องรักษาความสงบด้วยการยอมสละศีลธรรมจริยธรรมในการปกครองเพื่อรักษาความสงบส่วนรวมไว้ นี่คือความจำเป็นและไม่จำเป็นของคำว่า ศีลธรรมจริยธรรมทางการปกครอง ซึ่งควรและไม่ควรแยกออกจากการเมืองการปกครอง ในภาวะปัจจุบัน สงครามที่ว่าคือสงครามเศรษฐกิจ จะเอาแต่คำว่าศีลธรรมจริยธรรมมาใช้ในสงครามเศรษฐกิจไม่ได้หรือใช้ได้แต่น้อย ฉะนั้นในภาวะสงครามเศรษฐกิจผู้นำควรเป็นได้ทั้ง วฤก (หมาป่า,สุนัขจิ้งจอก) และราชสีห์ (สิงห์โต) และทำให้ประชาชนรักและกลัว ถ้าพูดเป็นแบบไทยๆก็คือรู้จักใช้ทั้งพระเดชและพระคุณ เลิกพูดเสียทีครับ คำที่ว่าผู้นำต้องมีจริยธรรม มัน เป็นอุดมคติเกินไป เหมือน กับเราพยามแสวงหา "สวนดอกท้อ" ที่ กวีจีน เถาหยวนหมิง แต่งไว้ ถ้าฝรั่งก็ต้อง ยูโทเปีย (Utopia) แปลเป็นไทยว่าสังคมนิยมเพ้อเจ้อ ของท่านเซอร์โทมัส มอร์ (SIR THOMAS MORE)
29 ตุลาคม 2548 15:27 น.
กวินทรากร
เข้าไปที่ลิงค์ http://FreeMobs.co.uk/index.php?referral=5153 เลือกรุ่นของโทรศัพท์ที่ต้องการ ล็อกอินในอี เมล์ของคุณ กรอก ชื่อ ที่อยู่ ตามความเป็นจริง เพื่อความสะดวกในการจัดส่งโทรศัพท์ เขาจะส่งเมล์กลับมาให้คุณ เข้าไปล็อกอินเมล์ เพื่อยืนยันการสมัครอีกครั้ง จากนั้นแนะนำให้เพื่อน สมัคร ให้ครบตามจำนวนคะแนนที่ต้องการ แล้วเขาจะส่งโทรศัพท์กลับมา เพราะเพื่อนเราได้โทรศัพท์มาแล้ว คุณอาจจะได้อีกเป็นคนต่อไป
24 มกราคม 2548 21:29 น.
กวินทรากร
Decorating Bedroom for My love
Chettapat Wisaijorn
English translation by Pavaphun Tohsang
Collecting stars from the sky to wall your room,
Spreading beautiful silk blanket to tuck you up tonight
Look up! Little angel flying above
A shabby teddy bear sitting by your side to warm your night
Fireflies in the sky making a journey to the Milky Way
Collect as many as you want and well keep them together.
Sweet cicadas singing lullabies
To complete the night whole with beautiful sounds.
Tiding clouds into a soft pillow
A magic touch of flowers dancing around
I wish you a sweet dream my little angel.
Twinkle little stars and the moon will be your friends.
Kiss on a cheek that means my heart,
Harmonizing gently is about to start.
Lovely words are sweet, but real enough.
Take some rest my dear,
I am sitting next to you, here.
Sharing the lullabies in your bedroom,
Including the beautiful poem written from my heart
Sweetened stars sparkling up my night
I hope you find the other Milky Way, the one I had prepared for you.
Let the world discover my heart.
My love and poetry are there and forever!
Until the end of my day,
My words will never fall away.
Literary Analysis
The poem Decorating Bedroom for My Love is originally written in Thai by Chettapat Wisaijorn, and has been translated to English by Pavaphun Tohsang.
This poem can be interpreted in many ways, but principally here, we will examine it in two levels.
First of all, the main theme of the poem is about romantic love. According to the poem, the poet created a lullaby love song for the girl he was in love with. The sweet nocturnal ambience was written down in words. The way the bedroom was fascinatingly decorated by his comprehensive poetic language shows the warmth of his heart and how much he adored her.
We may notice the influence of Buddhism and Renaissance beliefs in the poem. The poet, despite being Thai, is so much influenced by Petrarchan sonnet tradition in which we see the lover complaining of his mistress rejection and displaying his own resolution resulting from it. However, what the poet did is something different. In its place one finds the central theme of mutability, the imperfection and impermanence of the sublunary world in the first five stanzas and providing the foil for the rest of the poem.
In contrast to the mutability theme, the concluding stanza proclaims the poets Buddhist belief as the antidote to time and change. The poets love for his own work transcends the limitations of the fallen world. The Latin saying of Ars longa, vita breve (art is long, life is brief) becomes the underlying theme, arrayed by the Thai poets handwriting. So the Latin saying goes, the poem means more than just an expression of love. Although the feelings the poet has for the woman fade away, the charming words he has chosen will still remain there and he, himself, will be remembered, too. Therefore, it can be concluded that the poet sees the poem as the monument of himself.
After beginning of the poem which begins with a noun phrase Collecting stars in the sky to wall your bedroom, the next five stanzas develop metaphors which conveys to readers five senses of perception.
For examples, first, the light of stars, the Milky Way, and fireflies, the little angel hung above and the teddy bear give the sense of vision. That the poet mentions about stars makes the poem so fairytale-like since stars symbolize something fantasy and invaluable. Also, the Milky Way is a symbol of the majesty of the whole universe. It can be seen that the poet is sharing what he perceives with the person he is addressing to. Second, the sweet lullabies of cicadas portray the imagery of auditory. When the poet is not in love, the cicadas might mean nothing to him. On the other hand, when he is in love, things he used to take for granted become beautiful and precious. The olfactory is also portrayed in the word the magic touch of flower. It is generally known that women love flowers. Here, flowers have been written down in words as a symbol of love. Fourth, the touch of warmth is expressed by the word beautiful silk blanket. The blanket does not only give the touch of warmth but also the wonderful look of value and beauty since it is made of beautiful silk. One might even discern the sense of taste in the word kiss, as the language in the poem can be both moral and erotic. Morally, in the sense of altruistic love maternally and paternally people often kiss to express the warmth of the family. Yet, romantically, to kiss someone can be further considered erotic and sexual desire as well.
The poets criticism of the night being more preferable than the day suggests the setting of rural area. The Western Romantic concepts of primitivism, naturalism and individualism are also obvious here as the picture of the beautiful nature is written down in the poem. To the poet, himself, in order to express love to someone, he would rather choose to create pictures of nature and pieces of art than to buy luxurious ornaments. Girls, in general, may like gifts such as trendy high heel shoes, necklace, mobile phones. However, those materials can be bought anytime very easily, as long as we have money. Furthermore, since fashion in the modern world changes very fast, precious things or expensive possessions change and lose their value very fast too. However, the treasures of art or poetry hold dear and its value which can never be traced as it is from the inner soul of the creator. It shows that superficiality does not really matter in the long term, especially for love. Therefore, according to the poem, in order to convey love to someone, to create a piece of art will bring about passion more strongly than to give other materials in the world of the consumerism.