1 กุมภาพันธ์ 2548 14:28 น.
กวินทรากร
ทรงพระเจริญเทอญ
ศรีศรีขัติเยศจ้าว ด้าวแดนสยามภพ
ส่ำราษฎร์นบอภิวาท เบื้องบัวบาทภูมี
องค์จักรีนฤบดินทร์ ธ เป็นปิ่นประเทศ
ปกเกล้าเกศนิกร ดับทุกข์ร้อนนานา
ชาวประชาชื่นมื่น ทั่วพ่างพื้นพสุธา
ห่อนหาไหนเทียบท้าว ยศยิ่งยศอะคร้าว ทั่วหล้าลือเขษม
เปรมปรีดิ์ภักดิถ้วน.........หญิงชาย
ชนม์ชีพทูนถวาย............ท่านไว้
พระราชดำรัสหมาย.........สอนสั่ง..พสกเอย
ปวงประณตบทมาลย์ไท้...แซ่ซ้องสดุดี
ทรงมีมานะพร้อม..................พากเพียร
มุ่งมั่นธรรมจำเนียร................เนิ่นช้า
ขันติวิริยะเสถียร.....................สถิตทศ(ะ) ธรรมนา
ราชกิจทั่วหล้า.......................ลุได้ดังประสงค์
ทรง.....ประเทืองประเทศล้ำ.............ล้ำสุข
พระ.....มล้างมลายทุกข์....................ทุกแคว้น
เจริญ..ศักดิ์อัครประมุข....................มุขอมาตย์
เทอญ..เทิดไท้ท่านแม้น..................แม่นแม้นบิตุรงค์
ฝากเนื้อฝากตัว
ฝาก...โคลงโยงเจตน์ร้อย เรียงคำ
เนื้อ...หน่อกวีสำ- ผัสรู้
ฝาก...ฝังวจีจำ- นองโสต
ตัว......อาตม์ปฏิพัทธ์ผู้ พากย์ถ้อยกลกานท์
ฝาก....โคลงโยงเจตน์ร้อย- กรองชดช้อย ถ้อยสื่อสาร
เนื้อ....หน่อ สรญาน สำผัสรู้ ดูเห็นนัย
ฝาก....ฝังยังลำนำ จำนองค้ำ คำอำไพ
ตัว.......อาตม์ มาดมุ่งใจ ปฏิพัทธ์ สมบัติกวี
ลีลาของฉัน(ท์)
ขอร่ำกระทำสิริประกาศ พจนาทประเสริฐศรี
ไว้ชื่อระบือวรกวี ศุภลักษโณดม
เพื่อคู่วิทูนิจนิรัน- ตรวันทนาคม
น้อมนบคำรบ นขประณม บุชิตาคณาจารย์
จงรับสดับพิพิธพรร- ณะจำนรรจ์จำนงกานท์
เป็นหมู่อณูมธุรธาร เซาะกำซาบ ชโลมใจ
อักษรบวรทิพยสาร เสนาะนานระบือไกล
ถ้อยความอร่ามพิริยะไข คติค้ำสำราญเทอญ
รายงานตัวผมชื่อเล่นว่า ตะเอ๋า ครับ
ตะเอ๋า เยาวะด้อย เดียงสา
บรรลุ นิติภา- วะแล้ว
อ่อนอาจอ่อน พักตรา ยังอ่อน อยู่เอย
ย่างยี่ สิบสามแคล้ว คลาดเว้นเกณฑ์ทหาร
ตะเอ๋า เยาวะด้อย เดโช
หาใช่ คนยโส สักน้อย
กำเหนิด เพริศพิญโญ อยู่ภาค กลางเอย
ตัวบ่เตี้ย บ่ต้อย น่าคล้ายพระเอกหนัง
ตะเอ๋า เยาวะเปลี้ย ปัญญา
ลักษณักษรา รึ รู้
การกานท์ กวีตา- นุมัติทื่อ ทึ่มเอย
ไป่เทียบ ไป่เทียมผู้ เพียบพร้อมพิทยางค์
ตะเอ๋า เยาวะรู้ หลักธรรม
เพียงหนึ่ง ในล้านสัม- พุทธเจ้า
ตะเอ๋า กล่าวโคลงคัม- ภีรภาพ พจน์เอย
จงด่ำรงรสเร้า ร่วมฟ้าดินสลาย
เปลวเทียนมลายแท่ง
แท่งเทียนเสถียรแสง ทะลุแจ้งวิถีจร
ทุกอย่างสว่างตอน อคนีทวีคูณ
มองภาพขนาบทั่ว ทิศะมัวสลัวสูญ
แจ่มล้ำและจำรูญ นยนา ณ ราตรี
เปลวไฟวิไลลาง ระยะทางสะอางศรี
เทียนแท่งก็แหว่งที ละทิวาเพราะล้าแรง
ฟ้าผ่อง จะหมองหม่น มหะ อน ธการ แฝง
เหลียวเหลือบ คละ เคลือบแคลง ขณะแลชะแง้ไป
ริบหรี่ กวีขาน ธุระกานท์จะวานใคร
ถั่งโถมและโหมไฟ เถอะสหายมิสายเกิน
กลอนสามบท
วรรณศิลป์ ไม่สิ้นไร้ ไม้ตอกแล้ว
คงเหลือแก้ว แววสดใส ไว้ในผลู
ร้อยกรองกลั่น สรรคำขลัง ยังพรั่งพรู
วรรณศิลป์ โสภินทร์อยู่ นิรันดร
งานประพันธ์ อันงามแง่ นั้นแผ่ซ่าน
ซึ้งคำขาน ผ่านทำนอง ของคำสอน
สื่อสัจจะ ประดับแดน แผ่นดินดอน
ดังขจร กระฉ่อนฟ้า และวารี
ขอมวลชน คือคนไทย ไม่ปล่อยปละ
หลงลืมละ อนุรักษ์ อักษรศรี
วรรณกรรม ล้ำครรลอง ผองความดี
จะยังมี พลีไว้เพื่อ เกื้อสังคม
กลอนหกบท
วรรณศิลป์ หมิ่นเนื้อหา พาสิ้นสวย
สำผัสรวย- รินช่วยเสก เอกอักษร
ซึ้งตรึงติด จิตวิญญา ทั่วนาคร
กลกาพย์กลอน กระฉ่อนไกล ได้เฟื่องฟู
บริบท กำหนดวัด อรรถรส
โวหารพจน์ หยดย้อยความ ตรงตามผลู
ไม่หันเห เฉไฉห่าง นอกทางครู
ไม่เชิดชู ผู้แหกคอก บอกเป็นกวี
ฉันทลักษณ์ จำหลักกานท์ สารล้ำเลิศ
พลันก่อเกิด บรรเจิดศักดิ์ อักขระศรี
การวิวัฒน์ ผลัดเปลี่ยนไป ในทฤษฎี
ล้วนต้องมี วิถีมรรค เป็นหลักเดิน
ถ้าถอยหลัง ลงยังคลอง กลางท้องน้ำ
เพื่อเพ้อพร่ำ คำวิวัฒน์ ดูขัดเขิน
วรรณศิลป์ สิ้นสมัย ถ้าไทยเมิน
วิบัติเทอญ เชิญสำเหนียก ใช้เรียกแทน
ฉันทลักษณ์ จมปลักไป ไร้อิสระ
แต่อย่าละ กระทืบทิ้ง สิ่งหวงแหน
สรวงสวรรค์ ชั้นกวี รุจีแดน
ไม่ไกลแสน แม้นรู้ค่า ภาษานิพนธ์
แม้อาภัพ คนนับถือ ลือฝีปาก
ต้องเพียรพากย์ ฝากจารึก เฝ้าฝึกฝน
กลกาพย์กลอน สะท้อน ณ ดวงกมล
ดีชั่วยล ผลผลิต ความคิดเอย
เสียงคลื่น
เสียงครืนคลื่นซัดซ้ำ.............................ทรายใส
เสียงสมุทรโฆษไกร.............................กึกก้อง
เสียงฟังตดั่งดวงใจ................................เจียรขาด..แม่เอย
เสียงสะอื้นเรียมร้อง.............................เรียกเจ้าจอมขวัญ
เสียงคลื่นคระครืนหา...........................คณวาลุกาศัย
เสียงก้องคะนองใน..............................ชลธีวิถีจร
เสียงฟังก็ดั่งจิต.......................................ขณะหวิดจะขาดรอน
เสียงโศกวิโยคหลอน.............................ฤดิพร่ำคำนึงขวัญ
ไม่มีอะไรทำ
เนตมันหลุด สะดุดกึก มะรึกกึ๊กกึ๋ย
เหตุฉะหนึ๋ย เป็นฉะนี้ ละนี่หนา
จะเข้าเวป เซฟรูปโป๊ โอ้ นิจจา
เนตมันช้า รอเป็นชาติ อนาถใจ
จึงมานั่ง แต่งคำหวาน เป็นงานหลัก
ใช่รู้จัก มักจี่ ซะที่ไหน
โพสไปทั่ว มั่วมั่วส่ง คงเห็นใจ
เอ๊ะชักไม่ เข้าท่า บ้าจริงจริง
จึง ลองแต่ง กลอนตลาด มาดสุขุม
ยิ้มแก้มบุ๋ม ถ้าคนดู เป็นผู้หญิง
หลงมาอ่าน สมานสมัคร ทักท้วงติง
จะนั่งนิ่ง อยู่ไย จีบได้เลย
เอยังงัย กันนี่ อีตาบ้า
เพ้อเจ้อมา ยืดยาว เอาละเหวย
ต้องมีคน บ่นอย่างนี้ ทุกทีเลย
อ่านเฉยเฉย อย่าเพิ่งเถียง เพียงคำวอน
ไม่ได้หมาย จะให้หวาน น้ำตาลหยด
แต่งกำหนด บทระบุ อนุสรณ์
ให้เพื่อนรัก อักษรา วิชากลอน
ไว้ดูตอน คิดร่วมแกล้ง สำแดงคำ
โต้-ตอบ คุณกวนจริงๆ -เรื่องกิ๊ก-ในเวปไซต์ เอ็มไทย
ไม่เคยเรียน รู้ค่า คำว่า กิ๊ก
มันเหมือนพริก เผ็ดไหมนะ คุณตะเอ๋า
ฟังเหมือนว่า กิ๊ก ต้อง เป็นของเรา
แต่หากเขา จะเป็นอื่น ต้องชื่นชม
มีแฟนแล้ว ก็ยังหา กิ๊กมาได้
เป็นดอกไม้ หรือว่า เป็นยาขม
รักษาโรค เบื่อแฟน แสนระทม
ให้กลับคืน ชื่มชม สมฤดี
แถมไม่ต้อง Take care ดูแลด้วย
หลังให้ช่วย ก็ทอดทิ้ง แล้ววิ่งหนี
กิ๊กต้องไม่ ตามล่า คอยราวี
กิ๊ก แสนดี สงสัย ไม่ใช่ คน
กวนจริงๆ
------------------------------------------
หากอยากเขียน เรียนค่า คำว่ากิ๊ก
ต้องระริก ระรี้มา หาตะเอ๋า
จะสาธก ยกโวหาร กานท์พริ้งเพรา
บอกเป็นเค้า ข้อความ ตามสมควร
กิ๊กคงไม่ คล้ายพริก ขี้หนูหรอก
กิ๊กเป็นดอก ไม้ไฉน ให้นึกหวน
กิ๊กเป็นคำ วลี ที่เชิญชวน
คุณคนกวน จริงๆ ให้วิ่งดู
เรื่องของกิ๊ก คลิกโพส ประโยชน์นิตย์
อาจสะกิด ติดวิญญา อย่าหนวกหู
รู้ทันโลกย์ ทันสื่อ ถือเป็นครู
ประดับคู่ สติตรอง สมองไว
ปีสาจสุรา
อันสาเก เมไรย เสพย์ใช่บ่อย
กินน้อยน้อย อร่อยดี ศรีสมัย
ทั้งกระแช่ แม้เลียเลีย พร้อมเบียร์ไวน์
เสพย์เข้าไส้ แสบท้อง ก็ต้องทน
รสมันนุ่ม ภูมิปัญญา ประชาราษฎร์
ดื่มช่วยชาติ ใช้หนี้ ที่ขัดสน
ดื่มพวกเรา เคล้าอกหัก รักเล่นกล
ดื่มเพื่อพ้น ทุกข์ระทม ถมอุรา
เอ้าชนแก้ว แล้วนอน เพื่อผ่อนจิต
หรือยังคิด ตระเวนต่อ หัวล่อหรา
อ้ากุญแจ รถยนต์หาย หน่ายวิญญา
ไปเที่ยวมา เมื่อคืน ขมขื่นจัง
มัลลิกา
มัลลิกา มาลี สีสะอ้าน
กลิ่นจัดจ้าน ซ่านซึ้ง ตรึงนาสา
หอมปรากฎ สดชื่น รื่นอุรา
สุคนธา พามนัส พัดล่องลอย
ลืมวิโยค โศกเศร้า ครั้งเก่าสิ้น
ลืมเล่ห์ลิ้น คำหมิ่นใจ ให้เหงาหงอย
ลืมทุกข์ถม ระทมยิ่ง สิ่งรอคอย
ลืมท้อถอย พลอยภิรมย์ สุขสมทรวง
มัลลิกา ผกานี้ ที่สูงค่า
คือมาลา ลาแหล่ง แห่งแดนสรวง
สู่พ่างพื้น ปถพี พลีดอกดวง
ประดับโลก ประดับห้วง หทัยชน
กลบทยอกย้อนซ้อนกล
เจอแรกรัก หนักทรวง ถ่วงจิตเศร้า
ควงคู่เจ้า เฝ้าฝัน วันสุขเห็น
ห่วงยิ่งพลอย หงอยเหงา เช้าจรดเย็น
เคล้าขุกเข็ญ เพ็ญจันทร์ สั่นแดดวง
ดวงแดสั่น จันทร์เพ็ญ เข็ญขุกเคล้า
เย็นจรดเช้า เหงาหงอย พลอยยิ่งห่วง
เห็นสุขวัน ฝันเฝ้า เจ้าคู่ควง
เศร้าจิตถ่วง ทรวงหนัก รักแรกเจอ
กลบท ยอกย้อนซ้อนกล เป็นกลบทที่อาศัยหลักการซ้ำคำ
บังคับของกลบทนี้คือให้ซ้ำคำย้อนหลังจากท้ายบทมาหน้าบท
หลงรูปจูบภาพ
หลงรูป จูบภาพ ซาบซึ้ง
คิดถึง ซึ่งเธอ เลอค่า
ยามวัน หันมอง จ้องตา
กายา แทบไม่ ไหวติง
สาวงาม สามภพ หลบลี้
เธอนี้ งามยุกต์ ทุกสิ่ง
ฝันใฝ่ ได้แนบ แอบอิง
ประวิง ยิ่งใจ ใคร่ควร
สติ วิตก หมกมุ่น
หันหุน วุ่นวาย ไห้หวน
รักเธอ เพ้อสั่น รัญจวน
ลืมสรวล ลืมเส เฮฮา
ศรศักดิ์ ปักจิ้ม ทิ่มทรวง
ทะลวง ดวงจิตร ตฤษณา
คือไฟ ไหม้คุ ทุมนา
อุรา วิโยค โศกตรม
จงช่วย ด้วยคราว ร้าวร้อน
อย่าจร จาก ลับ ทับถม
น้องนาง ห่างจะ ระทม
อารมณ์ บ่มตรอม ปลอมปน
เติมแต่ง แห่งคำ พร่ำเพ้อ
กลัวเก้อ เผลอไผ ไร้ผล
ฝากรัก หนักใน ใจตน
เป็นกล กลอนให้ รับไว้เอย
ทฤษฎีไร้ระเบียบ Chaos Theory *
ไก่แจ้ตัวหนึ่งครั้น..........ขยับปีก
ก่อพยุอีกซีก...................โลกสะท้อน
ดอกหญ้าเด็ดมาฉีก.......สะเทือนทั่ว..พิภพเอย
เหตุเล็กเล็กซ้ำซ้อน........ส่งให้โทษมหันต์
สังคมเสื่อมเพราะน้ำ.....มือคน
โรคระบาดมาก มล-.......พิษเคล้า
ปัญหาท่วมถนน.............จะโทษ..ใครเอย
แก้วิกฤตรุมเร้า................อย่าแสร้งลืมหลง
รู้เห็นเป็นใจ หน้าไหว้หลังหลอก บอกเล่าเก้าสิบ
รู้.......เสมอเธอร้ายกาจ..................เกินคน
เห็น...อัคคีคือชล............................ชุ่มชื้น
เป็น....ตัวตลกทน..........................ทุกข์เทวษ
ใจ.......เจ็บจะสะอื้น........................โอษฐ์ร้องโทษใคร
หน้า....ใสใสอย่างนี้........................นี่หนอ
ไหว้....พระขอพรขอ.......................คู่น้อง
หลัง.....พี่ที่รีรอ...............................หนุนตัก..นางเอย
หลอก..กับตัวเอ็งต้อง.......................สุขล้ำรำพัน
บอก.....ฉันว่ารักแล้ว.......................ลืมหลง
เล่า.......เรื่องสู่เพื่อนคง....................เยาะเย้ย
เก้า.......คำอนงค์ตรง........................เพียงหนึ่ง..กระมังนา
สิบ........ปากว่านี้เอ้ย........................บ่แม้นตาเห็น
ขึ้นชื่อว่าโคลง
ครรโลงเสนาะคล้าย คีตศิลป์
เสียงเอกโทเทียมพิณ- ภาษพร้อง
ยามวรรณยุกต์ยิน ย่อมยั่ว ใจเอย
ผิดจากอ้างอาจต้อง งดใช้ชื่อโคลง
ครรโลงเสนาะไว้ โวหาร
บุคคลาฐิษฐาน ที่อ้าง
อติพจมาลย์ มาอุป- มาเอย
สัญลักษณ์ ฤา ร้าง รื่นรู้รสโคลง
ครรโลงเสนาะก้อง กวิตา- พุทธเอย
กาพยานุมัติ* มากพร้อม
อย่าศักดิ์ทว่าหา คำใส่..ครบเอย
โคลงที่เอ่ยอ้อมค้อม โทษผู้ประพันธ์เขลา (*โคลงตรีพิพิธพรรณ)
ครรโลงเสนาะล้วน หลายพันธุ์
โคลงสี่สามสองอรรถ์ อะคร้าว
อีกโคลงจัตวทัณฑิ์ ตรีพิธ(ะ)- พรรณเอย
โคลงกบเต้นดั้นด้าว ด่วนรู้ศึกษา
ครรโลงเสนาะอ้อน อารมณ์
รักชอบชิงชังชม ฉาบไส้
อักขระอนุกรม กลโซ่ สร้อยเอย
เพื่อผูกรัดจิตรให้ เสพย์ซึ้งอักษร
กาพย์ครู
ใครครูอาชีพครู จะต้องรู้ประคองตน
ใครครูของผู้คน จะต้องรักฝักใฝ่สอน
ใครครูอาชีพครู จะต้องรู้วิชากร
ผองชนเขาไหว้ วร เพราะล้ำเลิศจริยา
ใครครู บ่ ใช่ครู เป็นเพียงผู้ถือตำรา
คือคนหวังเงินตรา เห็นลูกศิษย์คือกำไร
ใครใครก็เป็นครู หากยึดอยู่เพียงมีใบ-
ปริญญาที่บรรลัย- จรรยาบรรณอันเชิดชู
ตะเอ๋า แกล้งแถลงกาพย์ ใช่หยามหยาบแต่อดสู
อยากเห็นคนเป็นครู มีวิญญาณเพื่อสังคม
ยกฐานะประเทศ ที่ทุเรศและขื่นขม
ให้พ้นจากโคลนตม ด้วยสมองและสองแขน
ครูดีมีไม่มาก ยังหายากและขาดแคลน
ครูดีศรีเมืองแมน บ่ ยอมเนาในดงดอย
ชาวชนบทรอ หัวอกฟ่อแฟบเหงาหงอย
เด็กเด็กเล็กเล็กคอย องค์ความรู้จากครูเอย
อำลาอาลัย คำพูน บุญทวี
คำ..นับประทับไหว้...................หว่างเศียร
พูน..เพียบความเศร้าเพียร..........พากย์ไซร้
บุญ..กรรมส่ำกงเกวียน................เกิดแก่..เจ็บเอย
ทวี..ศักดิ์นักเขียนไว้.....................ชื่อก้องโลกา
ลืม
ตะวันรอนอ่อนแสงแดงฉาน
ใกล้สนธยากาล
พบพานความหม่นปนไป
ทุกย่างต่างก้าวเท้าไว
ชักช้าฉันใด
จะได้เยี่ยมเยือนเรือนชาน
บรรดา ข้าวปลาอาหาร
แม่คงใส่จาน
รอการกลับของลูกชาย
น้ำใจแม่เป็นเช่นสาย
สินธุ ประกาย
ระยิบระยับจับตา
เฉกแสงแห่งดาริกา
บนผืนนภา
งามกว่าดวงจันทร์ พันดวง
เดินเพลินเมิลมองผองปวง
ทิวทัศน์งามยวง
งามยล พน ภาพสุนทร
พลันหันมองพรรณจันทร
พันทุกข์ทอดถอน
ลืมร้อน ระทมถมทรวง
พระคุณของแม่
พระคุณของแม่
มิแปรเปลี่ยนผัน-
เพราะเพ ลาผ่าน
เพราะนานหลายปี
ประดุจดวงจันทร์
วิไลวรรณศรี
สง่างามมี
พระคุณทุกครา
ณ โลกใบนี้
สตรีนางใด
จะคอยรักใคร่
ละม้ายแม่หนา
ก็ไม่พบเจอ
เสมอกล่าวมา
เสมือนมารดา
เสาะหายากเย็น
ศรีบุญเรือน
ศรีบุญเรือน เขยื้อนกาย ในถนน
รถยนต์ชน ชีพม้วย ด้วยหุนหัน
หิวโหยหา อาหาร สารพัน
เลี้ยงชีวัน ฉันจิ้งจก นกหนูนา
เหล่าลูกน้อย กระจ้อยร่อย คงหงอยเหงา
นอนซึมเซา เฝ้ามองเมียง อย่างเดียงสา
ในยามสาย ไม่เห็นแม่ แต่เช้ามา
ลูกวิฬาร์ แสนอาทร นอนลำพัง
เกิดเป็นแมว อนาถา หาที่สุด
ต้องคู้คุด หยุดเหลียว เสียวสันหลัง
เอาใจนาย หมายให้ ไม่ชิงชัง
เพื่อประทัง ยังชีวิต อันอิดโรย
แลกกับข้าว คาวหวาน ท่านขุนให้
ร้องเหมียวเหมียว เทียวไป คลายหิวโหย
โอ้เคราะห์ซ้ำ กรรมสนอง ร้องโอดโอย
ต้องตายโดย สุจริต อนิจจา
พวกลูกแมว ตัวเป็นแมว ใจเป็นแมว
อยู่ลำพัง เสียแล้ว ใครรักษา
เขาสุขสันต์ วันปีใหม่ ไม่นำพา
ปีเก่าลา ชีพคงลับ ไปกับวัน
ณ ที่หนึ่ง ซึ่งจะเงียบ เปรียบป่าช้า
เทคผับบาร์ คราคร่ำ ล้ำสุขสรร
ณ ที่หนึ่ง ซึ่งจะสุข กลับทุกข์พลัน
โอ้สวรรค์ หรือนรก ตกกับแมว
สายเดี่ยว
สักวา สายเดี่ยว เกี่ยวเกาะอก
หวั่นวิตก วัยรุ่น วุ่นแสงสี
เห็นกงจักร ทักทะนง จงกลนี
ดวงชีวี นี้บรรลัย ไม่หวั่นกลัว
สถานที่ อโคจร ตะลอนหา
ท่องเที่ยวรา ตรีกาล อันสลัว
กามารมณ์ ชมชื่น มึนเมามัว
มองความชั่ว ว่าหวาน ซาบซ่านกาย
เรื่องศึกษา เล่าเรียน ลืมเพียรคิด
ยาเสพย์ติด ผิดระบอบ ลอบซื้อขาย
เรื่องอัปรีย์ ศีรษะ มิละอาย
อิ่มอบาย- ะมุข ทุกทิวา
โบสถ์วิหาร การเปรียญ เจียนสุสาน
สมภารพาล นั้นมาก ยากรักษา
สังคมเสื่อม เหลื่อมล้ำ กรรมบีฑา
นรกา คราเสบย กว่าเคยเป็น
คนกระทำ ความชั่ว ลืมกลัวบาป
จริตหยาบ จาบจ้วง ยากล่วงเห็น -
แสงพระธรรม อำไพใจ ร่มเย็น
ลำเค็ญเข็ญ เป็นไป ไร้สิ้นเอย
วาทกรรมการทำบุญ
ใคร เฉ เห ห่างเบื้อง ..............บุญพฺลี
พฤติชั่วมัวเมากี- ....................เลสเร้า
ลนลานพล่านพิถี ...................ทางเบี่ยง
บอกบ่งบาปเบียนเศร้า .........โศกสร้างกรรมทวี
ทำ..ดีทีอย่าสิ้น ......................ศรัทธา
ทำ..นุศาสนา .........................เนิ่นไว้
ทำ..ดีที่ถือถา- ........................วรวัตถุ
ธรรม..บ่ฉุดยื้อให้................. สู่ห้วงสวรรค์
มาราธิราชจ้าว ......................จอมมาร
แปลงร่างเป็นสมภาร............. เพียบแปร้
คณะภิกขุพาน.................. .....พิโยค
ตรัยรัตน์วิบัติแพ้ ...................ภูติแล้วฤาไฉน
เทวาธิราชจ้าว .......................เทวัญ
เสพย์สุไขศวรรย์....................วุ่นแท้
บรรดานราศัลย์ .....................โศกยิ่ง
โปรดประทานพรแก้ ..............กลบเศร้าสลายสูญ
โลกาภิวัฒน์แล้ว .....................ฤาไฉน
โลกย์จึ่งจริยะไกร ...................เท่านี้
สังคม ศริวิไล..........................หรือเสื่อม
บริโภคนิยมชี้ .........................ชัดแจ้งแถลงเอย
ไทย...เอ๋ยเฉยเฉื่อยสร้าง..... ศีลธรรม
ไทย...ย่อมจะถลำ ...............เกลศแล้ว
ไทย...ยุคสนุกสำ- ................ราญรื่น
ไทย...ตื่นคืนคงแคล้ว .........คลาดพ้นอนธการ
กระทงหลงทาง
เพ็ญโพยมโสมมด้วย...........ควันพิษพวยพุ่งรวยริน
ทัศนาพ่างวาปิน..............สินธุกาฬพาลหมองมัว
แลบนสถลมารค..................คนอดอยากลำบากตัว
วายวุ่นครุ่นคิดกลัว..............ว่าวันนี้ไม่มีกิน
สามภพประสพทุกข์.............นิรสุขยุคกลิน
น้ำฟ้าและธานิน................ยินยลเศร้าเร้ารุมทรวง
ดลเดือนสิบสองสมัย...........ไม่สดใสในใจดวง
ประทีปเทียนบวงสรวง.........ปวงกิเลศเหตุอบาย
ยาอีกี่ยาบ้า..............................คงขายค้ากว่าเคยขาย
เสียทีอีกกี่ราย........................และเสียร่างประโลมลอง
วันลอยกระทงบง..................พิศวงงุนงงมอง
ตื่นเถิดเปิดตาตรอง...............ตระหนักทุกขเวทนา
ประเทศพบเพทภัย...............ยังหลับใหลใยเล่าหนา
กระทง หลงมรรคา.................สักแต่ว่าลอยกระทง
คืนลอยกระทง
วันเพ็ญภาคพื้นน้ำ................นองไหล
อิทธิพลพระจันทร์ใส...........ส่องฟ้า
แรงดึงดูด แม้นไกล.............กับโลก
ปรากฎการณ์เนิ่นช้า.............บ่รู้เลือนหาย
วันเพ็ญวันพระพื้น................ภูวดล
วันกระจ่างจิตคน..................ทั่วหน้า
วันลอยกระทงบน-................บานชเลศ
วันที่สัทธรรมจ้า....................จรัสล้ำโลกเกษม
เมษา-อาเภท
อาเภท เมษมาส ร้อน.........................รวี
ผะผ่าวผืน ดินศรี..............................ซีดแล้ง
พายุ พัดพง พี-...................................นาศโค่น..หักเฮย
ภัยพิบัติ แสร้งแกล้ง.........................ก่อผู้ทุกข์เข็ญ
อาเภท ประเทศสู้..............................สงคราม
เหลือแต่ซาก แห่งความ......................เดือดร้อน
ท้าวยมราช ตาม..................................ตัดชีพ..ชนม์เอย
อีกกี่รายหรือ? ต้อน...........................รับขึ้นเสวยสวรรค์
วิพากษสงกรานต์
ลมสะบัด พัดกรรโชก โลกย์ วนวก
หวามสะทก อกสะท้อน นอนผวา
ตรุษสงกรานต์ สนานสนุก ปลุกนัครา-
พ้นนิทรา ในราตรี สีหม่นมัว
ฤดูเดือน เตือนจริต คิดเนาถิ่น
คนเดินดิน ถวิลไป ใคร่ซื้อตั๋ว
หมอชิตสอง ต้องรอเดี่ยว เที่ยวรถทัวร์
คนพันพัว กลัวโรคซารส์ อ้า..! จำทน
นี่น่ะหรือ คือชีวิต คิดแล้วขำ
เช้ายันค่ำ ล้ำลำเค็ญ เห็นสับสน
ตรุษสงกรานต์ สนานสนุก ทุกมณฑล
สาดน้ำฝน ปนปะปา บ้าสิ้นดี
เมืองไทยแล้ง น้ำแห้งผล็อย ซึมรอยไถ
อีศานไห้ ไร้สง่า หมองราศี
วัฒนะ บวกอธรรม์ พลันอัปรีย์
สายวารี มีเพื่อหา ความสามานย์ ?
ไม่มีแล้ว แก้วสามดวง ช่วงโชติฟ้า
ดับเพราะรา คะมหิทธิ์ ผิดสถาน
ตรุษสงกรานต์ สนานสนุก ยุคตำนาน
รุ่นลูกหลาน รั้นลิขิต ผิดเพี้ยนไป
กบาล กรวง ห่วงหรือนึก รำลึกคุณ
ไม่ทำบุญ หนุนทาน บุราณวิสัย
ไม่มีวัด สัทธรรม ค้ำหัวใจ
ไม่มีนัยน์ ชำเลืองชัด พัทธสีมา
สาวหนุ่มลอง มองย้อน ณ ประวัติศาสตร์
ความเป็นชาติ ศาสน์กษัตริย์ หัดรักษา
เมื่อไม่หลง งงงัน ในมรรคา
จะไม่ฆ่า จารีต ผิดเพี้ยนเอย สาธุ
สังเวชลิลิตพระลอ
สังเวชวรรณคดีทวีทุขะกมล
สมพาส สวาท อน- .......................ธการ
ไม่ผิดจาก ทุรสัตว์กำดัดก็ดำริจาร
จิตต่ำระยำพาล ....................................พิกล
สูญศีลส่อ วิปริตก็อิสระประพนธ์
ธรรมหายทลายผล..............................หิริศ
กามารม ณ ทุเรศ นิเทศ หทยะพิษ
สื่ออักขราผิด......................................พิบัติ
ปวงปราชญ์อีกยุวราษฎร์กวีวร สวัสดิ์
จงพึงคะนึงตัด...................................กิเลส
อันผูกพันธนะราคะลามกะเทวษ
ด้วยปาติโมกข์เหตุ.............................กุศล
กรูกล่าวกลอนกาพย์เกลี้ยง..........กานทกาฬ
กรูหื่นราค รส งม........................โง่โก้
กรูกล่าวคล่าวคำขาน...................โข่งโพล่ง..พูดเอย
กรู บ่ำรุง โส้ร้อย.......................ล่ามกาม
สังวาสดาษโจ่งแจ้ง......................จักษุ
สังเวชศัพทสยาม.........................หยาดเยิ้ม
สังคมเภทภัยพุ..............................ผุดอาชญา นา
สังโยคนรนั้นเคลิ้ม......................ขาดศิล
กวินทร์หินชาติ...................อาจอุบาทว์บอกก้อง
โอษฐ์อุโฆษขับร้อง............เล่ห์ลวง
ตัณหาช่วงโชติจิตร............ยามลิขิตขีดอ้า
อักขระบิ่นบ้า.....................บัดสี
เริงโลกีย์กิเลส.....................อันทุเรศเลิศล้น
ดำดิ่งจมสู่ก้น...................นรกา
ศักดินากวีชาติ.................วิปลาสธรรมแล้ว
อสิรพจน์พิษแพร้ว............พากษ์ไกล
เมืองพุทธชำรุดล้ำ.............แรงกรรม
แรงกิเลสระยำ....................ยุดยื้อ
ยูรยาตรถลำ.......................โลกิเยศ..แล้วพ่อ
หลงแก่งแย่งตีบตื้อ............ต่ำช้าอัชฌาสัย
ใครใจใหลหลับแล้ว...........ลืมธรรม์
ล้วนถ่อยปล่อยจิตฝัน.......ใฝ่บ้า
เฝ้าบอกพระพุทธบรร-......หารห่อน..ซึ้งเอย
หลงรูปหลงรสห้า.............โฮ่โฮ้สุขเขษม
อิ่มเอมเปรมเปี่ยมด้วย.........กามกาวย์
ร้อยราคร้อยก(ร)องฉาว-..........โฉ่แท้
โฉดทึ่มกระพี้พราว..........เพ็จพร่ำ..เพ้อเอย
มีแก่นง่อนแง่นแม้.................โม่ห์ล้ำเลยผลาญ
กานท์กลอนสะท้อนซึ่ง........สิ่งจินต์
ดีชั่วตัวกวินทร์.......................เวี่ยไว้
ผู้รักอักษริน ......................เลือกลัพธ์ รจน์เอย
สาส์นสลักจักให้.....................โทษรู้ระงับเสีย
ริมฝั่ง แม่น้ำกก จ.เชียงราย
น้ำกก ลดเลี้ยวเรื่อย............รินสาย
เลี้ยงส่ำชนเชียงราย...........ชื่นล้ำ
ชำเลืองชุ่มฉ่ำชาย...............ฝั่งฟาก..แควเอย
คืออนรรฆโอฆก้ำ-...............กึ่งโพ้นภพสวรรค์
สันเขาคิริมาศม้วน.................เมฆิน
สูงสะกิดอัมรินทร์..................เล่นได้
พฤกษาผกาอิน-.....................ทรีย์รูป
เขียวชะอุ่มพุ่มไล้-................แหล่งฟ้าเกิดฝน
ยลชลมารคคว้าง.....................ควั่งไหล
เรือทะยานโยนใน..................น่านน้ำ
ใจพี่ที่จริงใจ............................ประดิพัทธ์.เจ้าเอย
แล่นรวดเร็วเร่งช้ำ-.................ชอกช้ำคำนึงขวัญ
รันทดกำสรดโอ้...........อนิจา
จิตหม่นจนปัญญา...........ยิ่งแล้ว
เลือนรางพ่างมรรคา.......คราวย่าง...เหยียบเอย
ไร้ประทีปเทียนแก้ว........ส่องให้เห็นทาง
ปางสนธเยศยื้อ...............ยุดทรวง
หวาดระแวงแคลงดวง...จิตแท้
โสมผ่องล่องลอยสรวง....แสงเสื่อม
ไอพยับจับแปร้................ปิดกั้นรัศมี
ราตรีลี้ลับด้วย.................ไร้ดาว
อาตม์ระทมลมหนาว-.......เหน็บเนื้อ
นองอัสสุชลพราว.............พรมพักตร์...นองเอย
นองส่ำสายฝนเกื้อ.............ตกต้องสรรพางค์
หทยางค์หมางบาดเร้า......คิดคะนึงถึงเจ้า
ใฝ่เพ้อรำพึง
ตราตรึงซึ่งรักร้อน..............จิตจึ่งเจ็บสะท้อน
ทุกข์ท้อทรมาน
จารสารเสนาะไว้................คู่โลกาหม่นไหม้
ลุกร้อนรอนทรวง
โคลงกลบท ตลบนกกลางหาว
เอ๋ยอกระกำสุดเศร้า...รักล้นหฤทัย
บอกนุชจำหนึ่งคำ........ค่ำเช้า
ถอด กล
หฤทัยล้นรักเศร้า........สุดระกำ อกเอ๋ย
บอกนุชจำหนึ่งคำ........ค่ำเช้า
เช้าค่ำคำหนึ่งจำ..........นุชบอก
เอ๋ยอกระกำสุดเศร้า...รักล้นหฤทัย
จันทรกระจ่างที่ปักษ์ใต้
เพ็ญพระจันทร์ พรรณผ่องจริง พริ้งไพจิตร
ใจมืดมิด จิตมัวมล จนหม่นหมอง
เมื่อไกลกลาย ไม่ใกล้กัน หมั่นกรึกกรอง
แสงเดือนถ่อง ส่องดิถี สีเด่นทา
ข้าดูดาว คราวดาษดื่น คืนโดดเดี่ยว
ไร้แรงเรี่ยว เหลียวเล็งราง ร้างเริงร่า
ยืนอยู่ไพร ใยอยากพรอด ยอดยุพา
ขอไขว่คว้า คราคียงขวัญ ครั้นคู่เคียง
สำสุโนค โศกสำนวน สวนโสตหนอ
คนซอมซ่อ ข้อซึมเศร้า เคล้าสุ้มเสียง
พฤกษ์เสนาะ เพราะสำเหนียก เพรียกสำเนียง
พลัดน้องเคียง เพียงนึกขาม พล่ามนอนครวญ
จอมเทวินทร์ จินต์ที่วากย์ จากท่านไว้
จงสัมฤทธิ์ จิตรสิ้นไร้ ใจเศร้าล้วน
อิงอนงค์ องค์อิ่มเนื้อ เอื้อโอบนวล
เห็นสุขถ้วน หวนสร้างธรรม์ หรรษาเทอญ
ความกลุ้มใจ
โอ้อก วิตก ยิ่ง..........................ยุวะหญิงสะอิ้งองค์
ทำให้หทัยหลง...........................ลุ สิเน่หะเล่ห์ลวง
รุ่มร้อนและอ่อนล้า......................ทุมนา ประหม่าดวง
แดเดือด บ่ เหือดปวง-.................อคนี ทวีรน
แลรูปก็จูบทาบ..........................ทะนุภาพ ขนาบยล
เก็บใกล้มิไกลตน........................ตะละคราว จะเข้านอน
ยามหลับ ก็ กลับฝัน......................ฤดิพันธนาวรณ์
วิญโญสโมสร............................สิรินิตยารมณ์
ยามตื่นสะอื้นจิต.........................วิปริตคะนึงตรม
ชั่งใจจะงายงม...........................สติเตือนมิเคลื่อนคลาย
ฉันใด นะ ได้ สุข ? ......................มหทุกข์ สลายหาย
ชื่นสมภิรมย์หมาย........................นิรโศกวิโยคทรวง
คิดถึง
คิดถึง ซึ่งลักษณ์ ปักจิตร
ตรึงติด ชิดเชย เคยหลง
ลาห่าง ร้างจะ พะวง
บรรจง ส่งกลอน วอนมา
จงรับ ศัพท์ซึ้ง ตรึงโสต
อย่าโทษ โกรธขึ้ง บึ้งหน้า
ถักถ้อย ร้อยพันธ์ สัญญา
เป็นมาลาพจน์งดงาม
จงคู่ ดูต่าง ข้างหมอน
อย่าค้อน ข้อนเคียด เหยียดหยาม
ทุกคำ จำเนียร เขียนตาม
อารมณ์ บ่มความ รักเอย
Loves Philosophy
THE FOUNTAINS mingle with the river
And the river with the ocean,
The winds of haven mix for ever
Whit a sweet emotion;
Nothing in the world is single,
All thing by a law divine
In one anothers being mingle-
Why not I with thine?
See the mountains kiss high heaven
And the wave clasp one another;
No sister-flower would be forgiven
If it disdaind its brother;
And the sunlight clasps the earth,
And the moonbeams kiss the sea-
What are all these kissings worth,
If thou kiss not me?
Percy Bysshe Shelley (1792-1822)
ปรัชญาของ..ความรัก (Loves Philosophy )
ชลาลัยไหลสู่ห้วง.................มหรรณพ
อากาศธาตุแนบซบ...............สถิตฟ้า
ทั่วแดนแผ่นพิภพ................มีคู่
โอ้อนาถนักข้า...................ขาดผู้บำรุงขวัญ
สันเขาสูงเสียดด้าว.............แดนสรวง
เกลียวคลื่นอันงามยวง.........หยอกน้ำ
เถาวัลย์กระหวัดพวง.............ผกามาศ
งามภาพซาบซึ้งย้ำ............ยั่วเย้าหทัยเสมอ
รพีเผลอจูบล้อ....................ธรณิน
ยามตะวันตกดิน.................ดึกแล้ว
จันทร์จุมพิตผืนสิน-...........ธุชื่น..ชมเอย
ควรรึเราคลาดแคล้ว...........จูบสร้างสมานฉันท์
ตุลาคมรำลึก
ห่ากระสุนที่เปรี้ยง........ปลิดชนม์..ชาดเอย
เพราะเผด็จการคน.......ชั่วช้า
กี่หมื่นนิกรทน..............ทุกข์เทวษ
เลือดหลั่งลงโลมหล้า...แลกด้วยอธิปไตย
ใจข้าคารวะไหว้............วีรกรรม
เดือนตุลาคม รำ-................ลึกไซร้
สืบทอดศรัทธา คำ-.........นับสุท...ธาลัยเอย
ไทยเจริญด้วยได้.............เหล่าผู้พีรชน
การเมืองบนเรื่องร้าย.........แหลกเหลว
กาฬปักษ์ ปวงเลว.............รอบด้าน
กานต์รวมร่วมจุดเปลว........ไฟส่อง..สว่างเอย
กาลกลียุคต้าน..................แต่งเบื้องบุรีรมย์
คมอาวุธยุดยื้อ....................ชีพลง..ลับเอย
แต่อธิปไตยคง......................คู่แคว้น
ลิบลิบสิทธิ์คือธง...................ชัยคู่..นครเอย
โอ้ประเทศแร้นแค้น................ขุ่นข้องพลันเขษม
แด่ผู้นำนิสิตนักศึกษาอนาคตของชาติ
คือข่ายนิสิตเนื้อ......................ในกลวง
เผางบประมาณหลวง............เล่นทิ้ง
ชุมนุมกลุ่มเป็นพวง..............มัลลิ....กาเอย
ซึ่งเวี่ยไว้บนหิ้ง......................เหี่ยวแห้งดอกใบ
ใครใคร่ ได้หน้ารีบ..................รับงาน
สัมมนาวิชาการ........................เก่งโก้
กี่หนกี่หนคลาน................กับที่
จัดส่องสุมเพื่อโม้.....................มากล้ำอัตตา
ถึงคราเสร็จกิจแล้ว..................หลีกหนี
ปีใหม่รุ่นน้องมี.........................ใหม่หน้า
ย่อมย่ำบาทวิถี..........................ทางเก่า
บันทึกข้อความอ้า...................อ่านได้สาระไฉน
อุปไมยลิงวิ่งปล้ำ....................ปีนเสา
เสาชุ่มน้ำมันเขา......................ฉาบแกล้ง
แกล้งไต่ไขว่คว้าเอา...............หวุดหวิด
หวิดหล่นจากเสาแสร้ง.........เกาะได้นานหรือ
มีคนอุปมาว่างานกิจกรรมนักศึกษาก็เหมือนกับลิงปีนเสา
ยุคไหนลิงแข็งแรงก็ปีนเสาได้สูง
เสา ในที่นี้เป็น สัญญลักษณ์ของงานกิจกรรม
ลิงในที่นี้ ก็คือ นิสิตนักศึกษา
รื้อทิ้งเครื่อข่ายซ้ำ...................ซ้อนกรรม์....เถิดเอย
แล้วร่วมเป็นหนึ่งพันธ-........มิตรแท้
แรงฤทธิ์นิสิตอัน.....................บริสุทธิ์
คงจักได้ช่วยแก้.......................วิกฤตล้นสังคม
มรณานุสติ
ดูก่อนฆราวาสผู้...........พบธรรม
มรณานุสติจำ...............จดไว้
ร่างกายมลายคำ-...........นึงมั่น..เถิดเอย
สวยรึหล่อยามไร้-.........ชีพนั้นเสื่อมสูญ
กองกูลกูณฑ์ก่อไหม้........มหจุณ
ชื่อและชั่วดีตุน...............ต่างหน้า
ฉันใดไม่ก่อคุณ..............แก่โลก ล่ะเพื่อน
หลงรูปอินทรีย์บ้า-...........บิ่นด้วยอกุศล
คิมหันตฤดู
Theres a wind that blow over summer day,
And the clouds go chasing, chasing.
Theres a wind that blow over wintry way,
And the rain come racing ,racing.
Theres a wind that blow over midnight hours,
And the stars keep blinking, blinking.
Theres a wind that blow over morning flowers,
And the dew lies winking, winking.
Theres a wind that blow over city mills,
And the smokes go hurrying after.
Theres a wind that blow over grassy hills,
And the children dance to its laughter.
by Isabel M. Laird
คิมหันต์อันผ่าวร้อน....ฤดู
เมฆเลื่อนลอยตามลม..พร่าฟ้า
ฝนพรำฉ่ำเย็นผลู.......พรมพ่าง..ภพเอย
ดึกดื่นดาวนั้นจ้า.........แจ่มพลัน
ดอกไม้ยามเช้าช่าง......โสภี
เมืองใหญ่โรงสีควัน.....พ่นคลุ้ง
เนินผาหย่อมหญ้าขจี......จรดทั่ว..ทิวเอย
เด็กเล่นกึกก้องฟุ้ง......ฝากเสียง
กสิกรรมาลัย
เรียวรวงพวงพุ่มข้าว...........สีทอง
เหลืองอร่ามงามเกิน...........กล่าวอ้าง
งามทิวทัศน์ตามสอง...........ฝั่งฟาก..ถนนเอย
ผืนพิภพนี้กว้าง...............กว่าเห็น
ชาวนาเหนื่อยยากต้อง.........ตรากตรำ
หยาดเหงื่อดังฝนกระเซ็น....เซาะพื้น
ไถแปรปักกล้าดำ..............เป็นกลุ่ม..กอเอย
พลิกแผ่นดินให้ชื้น............ชุ่มเย็น
เรียวรวงพวงพุ่มข้าว............คือเงิน-
ตราที่เปลี่ยนทุกข์เป็น...........สุขไซร้
สุขใดเท่าได้เดิน................ล่วงบ่วง..หนี้เอย
ลัทธิมากซ์อ้างไว้...............เนิ่นนาน
ชาวนานั้นห่วงฟ้า................ห่วงฝน
หนี้เพิ่มดอกเบี้ยบาน............บ่รู้
นายทุนทุรชน...................ฉ้อราษฎร์
ขูดรีดปล่อยกู้ไร้..................มโนชธรรม
วงจรอุบาทว์ล้น..................สังคม
เอารัดเอาเปรียบสำ-.............นึกสิ้น
ชาวนานั่งระทม..................ทุกขเทวษ
เจ็บป่วยนอนร้องดิ้น..............ดุจหมา
สังเวชประเทศเอื้อ................อาทร
กสิกรรมาลัย......................จะร้าง
ชาวนาพเนจร..................อดอยาก
ต่อแต่นี้เวิ้งว้าง....................วอดหวัง
คนจนกับคนรวย
คนยากลำบากล้น..........พสุธางค์
นอนกับกินกลางทราย.....สุดท้อ
มีอิ่มและมีบาง..............วันอด
จนจึ่งจนจิตน้อ...............แน่แท้อนาถใจ
คนคือคนคละเคล้า...........รวมกัน..กระนั้นฤา
สิ่งสู่โลกาอัน.....................อเนกกว้าง
ต่างเพศต่างฐานัน-...........ดรศักดิ์
เงินกำหนดชะตาสร้าง........สุขด้วยอำนาจเงิน
คนรวยจับจ่ายซื้อ..............สุขารมย์
นอนกับกินทิพย์สม............สง่าพริ้ง
แม้นอิ่มมิอิ่มชม...............สิ่งชื่น..ใจเอย
รวยจึ่งรวยราคกลิ้ง............เกลือกใกล้หลุมอบาย
คนคือมนุษย์ผู้..................ใจสูง..กระมังเอย
ซึ่งแตกต่างจากฝูง.............สัตว์ด้วย
มีธรรมนั่นล่ะจูง.................จากกิเลส
กรรมกำหนดชะตาม้วย-......มอดเข้าเมืองผี
ศรีสยามยามไข้..
ประเทศไทย ในวิถี กลียุค
หลายคนลุก ปลุกชาวบ้าน ต่อต้านรัฐ
ใช้กำลัง ชังขันติ พาวิบัติ
ปืนจึงซัด กระสุนสู่ ผู้รับเคราะห์
น้ำเหม็นยิ่ง ล้างสิ่งเน่า เคล้าอุตลุด
เวรประทุษฐ์ ฉุดเวรกรรม์ นั่นหรือเหมาะ
ไฟลุกหรือ สื่อเติมเชื้อ เหลือหัวเราะ
ไข้ขึ้นเพราะ กินยาผิด ชนิดชะงัก
ศรีสยาม ยามเมื่อป่วย มากด้วยโรค
ปล่อยตามโชค ชะตาไป ไข้ยิงหนัก
ยาดีมี อยู่ที่ใจ ไม่รู้รักษ์
จึงจมปลัก แดดักดาน การสู้รบ
กองอัคคี มีน้ำมัน นั้นยิ่งคุ
คอยระอุ ประทุได้ ไม่รู้จบ
หวังวารี สีสะอาด ราดสมทบ
จึงจะกลบ ไฟใต้ดับ กลับสันติ
ให้อภัย ให้กันเถิด ไม่เกิดทุกข์
กลียุค หยุดฆ่าฟัน ฉันอริ
ไทยคือไทย จะได้สุข ทุกลัทธิ
ดอกไม้ผลิ ศริวิไล ในพิภพ
กฎหมาย กลายหมด
กฎหมายใด สมัยที่ มีช่องว่าง
ย่อมเสริมสร้าง ทางฉ้อฉล จนล่ำสัน
เอื้อประโยชน์ เพื่อโคตรเหง้า เหล่าอธรรม์
ระบบนั้น มันเลยเน่า เคล้ากลี
ไม้บรรทัด วัดระยะ กะกำหนด
หากโค้งคด หมดคุณค่า หมองราศี
ตาชั่งเฉียง เอียงเพราะทรัพย์ สุด อัปรีย์
โอ้ความดี นี่หนอแพ้ แก่ศฤงคาร
ยศศักดิ์ล้น คนพาลเพี้ยน ธรรมเหี้ยนหด
อนาคต ตัวบทไซร้ ไร้แก่นสาร
ยุติธรรม คำเคยขลัง ครั้งบุราณ
จะหย่อนยาน บ้านเมืองใหม่ ไร้ขื่อแป
คิดหวังพึ่ง ซึ่งสิ่งใด ที่ไหนช่วย
คนดีม้วย ด้วยเพราะใคร ? ไม่แยแส
อำนาจเถื่อน เกลื่อนถนน หม่นดวงแด
ราษฎร์ย่ำแย่ แน่ทุกครา ก้มหน้าทน
กลียุค
ยุคบ้านเมือง รุ่งเรืองลง หลงวัตถุ
ลืมทำนุ อุปถัมภ์ ธรรมมรรคผล
บูชาเงิน เมินคุณค่า คำว่าคน
สาธุชน ทนก้มหน้า ทั้งตาปี
เมื่อกฎหมาย หลายตัวบท ลดความขลัง
เข็มตาชั่ง ภินท์พังไป ไร้ราศี
น้ำท่วมฟ้า ปลากินดาว คราวกลี
แล้วความดี ก็ลี้ลับ ดั่งดับตะวัน
เกิดสงคราม ตามแว่นแคว้น แสนเศร้าโศก
เกิดซึ่งโรค วิโยคภัย ให้อาสัญ
แผ่นดินแยก แตกระแหง แพงน้ำมัน
ศีลธรรม์ พลันเลือนหาย จากกายคน
ผีป่าวิ่ง เข้าสิงเมือง จนเนืองแน่น
รถลาแล่น แผ่นมรรคา โกลาหล
มลพิษ สถิตทั่ว กลั้วมณฑล
ข่มขืน ปล้น โจรกรรม ไม่ซ้ำวัน
จวบแสงทอง ส่องทาบฟ้า มาอีกหน
สาธุชน จะพ้นทุกข์ พบสุขสันต์
ยุคพระศรี- อาริย์เมตไตย ไม่นานครัน
จงยึดมั่น หมั่นทำดี แต่นี้เทอญ
โลกย์กระจิ๊ด-คลำโคลง
กบเกิด ในสระใต้.........บัวบาน
ฤาห่อน รู้รสมาลย์..........หนึ่งน้อย
ภุมรา อยู่ไกลสถาน........นับโยชน์..ก็ดี
บินโบก มาค้อยค้อย.........เกลือกเคล้าเสาวคนธ์
(โลกนิติคำโคลง)
ผึ้งภู่ บินอยู่เบื้อง...............อุบลบาน
กำซาบซด รสมาลย์............ไม่น้อย
รากบัว คั่วน้ำตาล...............ตฤป ร่ำ..ลิ้นเอย
กบเกิด กลางสระจ้อย.........จึ่งรู้รสหวาน
(โลกย์กระจิ๊ด-คลำโคลง)
จระเข้ คับน่านน้ำ...............ไฉนหา..ภักษ์เฮย
รถใหญ่ กว่ารัถยา...............ยากแท้
เสือใหญ่ กว่า วนา................ไฉนอยู่..ได้แฮ
เรือเขื่องคับชเลแล้...............แล่นโล้ไปไหน
(โลกนิติคำโคลง)
จระเข้ คับน่านน้ำ...................เนาสวน..สัตว์เทอญ
รถใหญ่ รับเนื้อนวล...............นั่งแท้
เสือใหญ่ กว่าป่าควร...............ขังใส่..กรงแฮ
เรือเขื่อง เรืองรุ่งแล้...............แล่นค้าขายของ
(โลกย์กระจิ๊ด-คลำโคลง)
อ่อนหวาน มานมิตรล้น.............เหลือหลาย
หยาบ บ่ มีเกลอกราย.................เกลื่อนใกล้
ดุจดวง ศศิฉาย...........................ดาวดาษ..ประดับนา
สุริยะส่อง ดาราไร้.......................เพื่อร้อนแรงแสง
(โลกนิติคำโคลง)
อ่อนหวาน หาญมิตรล้าง...............ลาหาย
หยาบย่อม เกลื่อนเพื่อนตาย..........ตราบม้วย
จันทร รัศมีฉาย............................ชนหลับ..แล้วนา
สูรย์ส่อง แสงแรงฉ้วย....................ปลุกแล้วสว่างไสว
(โลกย์กระจิ๊ด-คลำโคลง)
อย่าปอง สิ่งแก้วไป่........................ควรปอง
เขาบ่ ตรึกอย่าตรอง..........................ตริบ้า
เร่งคิด คิดแต่ของ...............................ควรคิด..นะพ่อ
การที่ สูญเปล่าอ้า...............................อย่าได้ควรปอง
(โลกนิติคำโคลง)
ลองปอง สิ่งแก้ว ที่..............................ควรปอง
เขาบ่ ตรึกจงตรอง.................................ตริบ้าง
ความคิด สิทธิของ.................................ปัจเจก..นะพ่อ
อัลเบิร์ต ไอน์สไตล์อ้าง........................อวดรู้เลวไฉน
(โลกย์กระจิ๊ด-คลำโคลง)
รู้น้อยว่ามากรู้..................เริงใจ
กลกบเกิดอยู่ใน...............สระจ้อย
ไป่เห็นชเลไกล................กลางสมุทร
ชมว่าน้ำบ่อน้อย................มากล้ำลึกเหลือ
(โลกนิติคำโคลง)
รู้น้อยหากรู้ร่า-....................เริงใจ
รู้รสทะเลไหล......................ละห้อย
ไป่ปองคะนองไป..................กลางสมุทร
ชมว่าสระกระจ้อย.................จืดล้ำดีเหลือ
(โลกย์กระจิ๊ดคลำโคลง)
หมาใดตัวร้ายขบ...................บาทา
อย่าขบตอบต่อหมา.................อย่าขึ้ง
ทรชนชาติช่วงทา-...................รุณโทษ
อย่าโกรธทำหน้าบึ้ง..................ตอบถ้อยถือความ
(โลกนิติคำโคลง)
หมาใดตัวร้ายขบ......................แขนขา
ไม่เตะต่อยต่อหมา..................ไม่ซึ้ง
คู่กรณีครา.................................กล่าวโทษ
เป็นโจทก์โกรธหน้าบึ้ง................บอกฟ้องถือความ
(โลกย์กระจิ๊ดคลำโคลง)
ลูกสะเดา น้ำผึ้งซาบ...............โทรมปน
แล้วปลูก ปองรสคนธ์................แอบอ้อย
ตาบเท่า ออกดอกผล................พวง ดก
ขมแห่ง สะเดาน้อย...................หนึ่งรู้โรยลา
(โลกนิติคำโคลง)
สะเดา ผ่าเหล่าเพี้ยน................พิกล
หวานเมล็ด สุคนธ์.....................ข่มอ้อย
แต่งพันธุกรรมผล.....................พวงดก
ขมแห่ง สะเดาน้อย......................หนึ่งนั้นฤามี
(โลกย์กระจิ๊ดคลำโคลง)
ภูเขา ทั้งแท่งล้วน........................ศิลา
ลมพยุ พัดพา...............................บ่ขึ้น
สรรเสริญ และนินทา.....................คนกล่าว
ใจปราชญ์ ฤาเฟื่องฟื้น...................ห่อนได้จินต์จล
(โลกนิติคำโคลง)
ภูเขา ทั้งลูกล้วน..............................สิขรา
ลมพยุ ฝนหนา.................................หนักขึ้น
น้ำหยด รดหินผา...............................ยัง กร่อน
ใจปราชญ์ อาจเฟื่องฟื้น......................ฟ่องได้โดยจินต์
(โลกย์กระจิ๊ดคลำโคลง)
เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม.............ดนตรี
อักขระห้าวันหนี..................เนิ่นช้า
สามวันจากนารี...................เป็นอื่น
วันหนึ่งเว้นล้างหน้า.............อับเศร้าศรีหมอง
(โลกนิติคำโคลง)
เจ็ดวันหมั่นดีดซ้อม..............ดนตรี
อักขระเลยละหนี...................เนิ่นช้า
สามวันกกสตรี.....................เต็มตื่น
แจ้งบ่ได้ล้างหน้า...................นั่งเศร้าหมองศรี
(โลกย์กระจิ๊ดคลำโคลง)
กระเหว่าเสียงเพราะแท้.........แก่ตัว
หญิงเลิศเพราะรักผัว..............แม่นหมั้น
นักปราชญ์มาตรรูปมัว............หมองเงื่อน..งามนา
เพราะเพื่อรสธรรมนั้น............ส่องให้เห็นงาม
(โลกนิติคำโคลง)
กาเหว่าเสียงเพราะแพ้-..............ภัยตัว
หญิงโสดโลดหาผัว....................ผูกหมั้น
บังทอง ม่องเท่ง หัว....................ขาดหล่น..ล่วงนา
เพราะฤทธิ์อิจฉานั้น..................ส่องให้เห็นทราม
(โลกย์กระจิ๊ดคลำโคลง)
นารายณ์วายเว้นจาก.................อาภรณ์
อากาศขาดสุริยะจร.....................แจ่มหล้า
เมืองใดบ่มีวร.............................นักปราชญ์
แม้นว่างามล้นฟ้า........................ห่อนได้งามเลย
(โลกนิติคำโคลง)
สหัสนัยน์ไดเว้นจาก.....................วิเชียรธร
เวหาศขาดอับสร............................ซิ่นอร้า-
อร่ามไทยไฉนวอน.........................ต่างชาติ
แม้นว่ารวยล้นฟ้า...........................ห่อนได้รวยเลย
(โลกย์กระจิ๊ดคลำโคลง)
ไป่ถามปราชญ์บ่พร้อง........................พาที
เปรียบดั่งเภรีตี..................................จึ่งครื้น
คนพาลพวกอวดดี...............................จักกล่าว
ถามบ่ถามมันฟื้น.................................เฟื่องถ้อยเกินถาม
(โลกนิติคำโคลง)
คนเกลียดเขียดตะปาดร้อง..............ลุกหนี
คนขลาดหวาดกลัวผี..........................ภูติเส้อ
คนบ้าด่าดนตรี..................................ต้อยต่ำ
คนโง่เง่ากล่าวเก้อ................................ก่อนรู้ลัพธ์คำ
(โลกย์กระจิ๊ดคลำโคลง)
หอมกลิ่นดอกไม้ที่....................นับถือ
หอมแต่ตามลมฤา......................กลับย้อน
หอมกลิ่นกล่าวคำคือ...............ศีลสัจ..นี้นา
หอมสุดหอมสะท้อน.................ทั่วใกล้ไกลถึง
(โลกนิติคำโคลง)
กรุ่นกลิ่นดอกไม้ที่.....................เธอถือ
มัลลิการะเกดหรือ......................พุดซ้อน
ซวดทรงอนงค์คือ.......................บุพผรัตน์..นี้นา
หอมทั่วไกลใกล้ย้อน..................ยั่วให้คิดถึง
(โลกย์กระจิ๊ดคลำโคลง)
ฟักแฟงแตงเต้าถั่ว.......................งายล
หว่านสิ่งใดให้ผล ........................สิ่งนั้น
ทำทานหว่านกุศล........................ผลเพิ่ม..พูนนา
ทำบาปบาปซั้นซั้น .....................ไล่เลี้ยวตามตน
(โลกนิติคำโคลง)
ปลูกแปลงแตงมะพร้าว..........พึงยล
วัชพืชปลอมปน......................ปักษ์นั้น
หลังคนทำนาธน-...................บัติงอก..งามนา ..(ทำนา บนหลังคน)
ธุรกิจเหนือชั้น......................เช่นนี้ไฉนจน
(โลกย์กระจิ๊ดคลำโคลง)
ละลอกแก้วกระทบฝั่ง
ลำเคียวคลื่น ไหลครืนคลั่ง เกี่ยวฝั่งยับ
ชนวิ่งหนี ชีวีนับ- หมื่นดับสลาย
ที่รอดโศก ถูกโรคเศร้า รุมเร้ากาย
เกือบเคว้งตาม กับความตาย ทุรายทุรน
คลื่นยักษ์เคลื่อน เขยื้อนฆ่า คนคาหาด
มองแลเหยื่อ มิเหลือญาติ- มิตรดาษถนน
เศษกองไม้ แสนใกล้มาก หลามหลากปน
ทะเลบ้า ถลาบน- ฟากชลธาร
ฤาเวรใด เร็วไวดึง คนถึงฆาต-
สู่ในกรรม สายน้ำกราด- เกรี้ยวสาดผลาญ
ทะเลใส ทลายสิน แผ่นดินดาล
ผู้พิบัติ- ภัยพรัดบ้าน ในกาฬยุค
ผองชาวไทย ผิว์ใช้ธรรม หนุนนำจิต
ยื่นมือนั้น ยึดมั่นนิตย์ สัมฤทธิ์สุข
สละทรัพย์ สำหรับสร้าง ใต้สร่างทุกข์
แรงพอเหลือ ล้มเพื่อลุก ปลอบปลุกประโลม
ค้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ (ลีลา นายผี ในคำประพันธ์ อีศาน)
ในก๊อก บ่มีน้ำ...................ในเรือนซ้ำ บ่มีไฟ
น้ำตา ของคนไทย.............ก็ไหลหลั่ง บ่รอซึม
นายทุน ปั่นหุ้นแหลก..........เอาเงินแลก ซื้อ อึมครึม
สูหวัง กำไรตรึม...............รึหวังช่วย ประชาชี
คนคราว กร้าวกล้าหาญ......ลุกต่อต้าน คร้านเป็นผี
รึไทย ไร้คนดี...................จึ่งปล่อยวาง บ้างรีรอ
แลไป สะดุ้งปราณ.............รัฐบาล ยุคนี้หนอ
นึกไป ในใจคอ..................บ่ค่อยดี ดั่งนี้ฤา
พี่น้อง ผู้น่ารัก..................น้ำใจจัก ไฉนหือ
นั่งนิ่ง บ่ติงคือ..................จะใคร่ได้ อะไรมา
เมื่อรัฐ สมบัติเรา................รอให้เขลา ขายหรือหวา
รักษชาติ เพี้ยงชีวา...............แล้วเหตุใด มาดูแคลน
คนซื่อ สัตย์หรือเซ่อ............ผู้ใดเน้อ นะดีแสน
ฉลาดทาน ท่านผู้แทน............ที่ตั้งหน้า ตั้งตาโกง
ปิดหู ปิดตาเฮา....................ใครนะเจ้า จงเปิดโปง
วิ่งเต้น เส้นสายโยง..............ยอมโป้ปด พจน์หอมหวาน
ครุ่นคิด ยิ่งคับแค้น................อุระแม้น พระเพลิงผลาญ
เสียที ที่หยุดงาน....................ท่านบ่เห็น ประโยชน์ไกล
ในก๊อก บ่มีน้ำ........................ในเรือนซ้ำ บ่มีไฟ
จักษุชล ของคนไทย...............คือเลือดหลั่ง ลงโลมดิน
สองมือ เฮามีแฮง....................เสียงเฮาแย้ง มีคนยิน
เกลียดชัง พวกกังฉิน................อย่าทรุด, สู้ ด้วยสองแขน !
พายุ ยิ่งพัดอื้อ.........................ราวป่าหรื้อ ราบทั้งแดน
คนงาน ประมาณแสน...............สิจะพ่าย ผู้ใดหนอ
บัวบัวบัวบัว
กมุทีสี่เหล่าไท้...................ท่านสอน
บ้างอยู่ปริ่มชโลทร...............ท่าน้ำ
บ้างอยู่ ณ สาคร...................เปื้อนเปือก..ตมเอย
มัตสยาหาร, ช้ำ-...................ชอกแพ้พิพิธภัย
มนุษย์มนัสคล้าย..................สโรชา
อันเนื่องแนบในวา-..............ริศนั้น
ใจสูงจึ่งธรรมา-.....................ทิตย์ส่อง..ซาบเอย
ใจต่ำกรรมกีดกั้น..................เกาะเกี้ยวกลางสนาน
ก้านบัวบอกตื้นลึก.................แหล่งชล
เธียร รึ ทาส เพราะผล.........พูดอ้าง
น้ำนิ่งย่อมใสจน.....................ปานกระจก
น้ำขุ่นวน เคว้งคว้าง..............เฉกผู้ผยองธรรม
ทุกคำโคลงใช่เย้ย....................หยันใคร
อย่าพินิจผิดใจ........................จาปจ้วง
จงวิเคราะห์เหมาะนัย..........เนื้อทิพ(ะ) สารนา
วรพุทธเจ้าท้วง-......................ทักไว้นานสมัย
วานวาสิกาคาถา
อลสสฺส น ชายติ มติ ธนญฺจ
มติธเน ยสฺส อสติ อิธ กถํ
โส สุขี ปรมฺหิ จ อปิ จ ทุขี
ตสฺมา อลโส วตน จ ภเวยฺย
เงินทองกองท่วมบ้าน..........บ่ขยัน
ครั้นเกียจกอบโกยปัญ-........เญศด้อย
สุขังยั่งยืนฉัน-....................ใดเล่า..สหายเอย
สมบัติยศหมื่นร้อย..............ย่อมรู้โรยรา
ปัญญาทรัพย์สมบัติเกิดมีแก่คนเกียจคร้านผู้ใด
เมื่อปัญญาและทรัพย์สมบัติไม่มีแก่คนผู้นั้นแล้ว (เสื่อมลง)
ความสุขในชาตินี้แลชาติหน้าจักมีด้วยประการฉันใด
ยศสมบัติเหล่านั้นนักปราชญ์จักปรารภเอาย่อมไม่มี
จปลาคาถา
ทานํ ธนพีชํ เส
สีลํ สุขพีชํ มิธ มนุชานํ
ตสฺมา สุทานทาตา
สิยา สุสิโล สหิทกาโก
ทานังดั่งพืชให้................โภคทรัพย์
ศีลดั่งพืชให้สรรพ...........สุขแผ้ว
ชนใดใคร่ลิ้มลัพธ์.............รมเยศ
พึงปลูกหน่อธรรมแล้ว.....จึ่งรู้รสทำ
ทานเป็นพืชอันบังเกิดข้าวของสมบัติ
ศีลเป็นพืชบังเกิดสุขในใจแก่คนทั้งหลายในโลกย์
เหตุนั้นผู้ใดปราถนาข้าวของสมบัติอันดีแก่ตน
พึงให้ทานด้วยความศรัทธาแลมีศีลอันดีเถิด
คีติคาถา
โมหวนทฺโธ พาโล
ตณฺหา วสมา คโต จ โกธวสํ
ปาเป สาหส กาลี
อปายภูมี นิวาส คติ มสฺส
พาโลโมหะคลุ้ง..............ครอบงำ
ตัณหราคะกรรม.............โกรธแค้น
คิดบาปหยาบช้าทำ...........กระลีโทษ
มี นรก รอแม้น................มอดม้วยมรณา
ชนพาลอันโมหวิชชาครอบงำ
ลุอำนาจแห่งตัณหา
โกรธแค้นร้ายหนักหนาในบาปกรรม
มีอบายภูมินรกเป็นที่อยู่ที่ไปแห่งชนชั้นแล
อุปคีติ คาถา
ปาเณสุ น การุญฺโญ
ทลิทฺทเกสุ จ วิเหทูยติ
อาธมฺเม นโร ภวติโลเก
โย นโร นหิ สาธุ โส
ปาณาติบาตสิ้น............กรุณา
เบียนเบียฑปวงประชา..ยากไร้
ลืมธัมมะนำพา...............ภพสุข
หาสิ่งดีไม่ได้................หนักพื้นโลกา
คนผู้ใดไม่มีความกรุณาในสัตว์และคนทั้งหลายผู้เข็ญใจ
ย่อมเบียดเบียนผู้อื่นให้เป็นทุกข์
คนผู้นั้นจักเป็นผู้หาดีไม่ได้
ชื่อว่าเป็นคนอธรรมในโลกย์
อาริยาคีติ คาถา
อติมาโน อธิโกโธ
อวมาน กโรนํ เวสุ อภวุฑฺเฒ สุ
โย พหุสุโตมิ โสปิน
บณฺฑิโต พาลํ สมฺมโต อธิโลเก
มานะมีมากครั้ง................เคืองเคียด
ใจจะหยามหมิ่นเกียรติ.....ทุกผู้
แม้นเรียนร่ำละเอียด........เอกอุ
ปากที่ฝากกระทู้.................ถ่อยสิ้นโลกธรรม
คนผู้ใดมีทิฐิมานะใหญ่ยิ่งนัก มีความโกรธเคืองเคียด
ย่อมดูหมิ่นบุคคลอันหนุ่มและแก่กว่าตน
แม้นผู้นั้นจะเป็นพหูสูตร (ผู้ร่ำเรียนมากเท่าใดก็ดี)
จักถือเป็นบัณฑิตก็หามิได้ (เพราะความพาล) ขึ้นชื่อว่าเป็นคนใบ้คนหนึ่งในโลกย์
เวตาลียคาถา
อธิปจฺจํโคธ โย นโร
ตณฺหามาณว วตฺติโต ปเร
ปตาเปติ มตฺตวุฑฺฒิยา
ตถานาคเต ทุกฺขตา ปิโต
ครองแคว้นแค้นข่มข้า................ขุกเข็ญ
เพื่อประโยชน์โฉดเป็น...............ที่ตั้ง
ภายหน้าพ่าห์เพียบเพ็ญ.............พบเพท..ภัยเอย
กรรมเก่าเข้าฉุดรั้ง.....................เร่งให้ฉิบหาย
บุคคลใดถึงความเป็นใหญ่ในโลกย์
ใช้อำนาจเบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน
เพื่อประโยชน์แก่ตน
บุคคลนั้นจักเดือดร้อนในกาลหน้า ด้วยกรรมอันตนได้กระทำไว้
โอปจฺฉนฺทสกคาถา
การุณิโล สนฺนโรธิปจฺจํ
ยธา คโตโส สพฺพปาณเกสุ
กโรติ สุขยํ น ปาปิทุกฺขํ
สพฺพสุขีโน มานภาว ตสฺส
กรุงไกรกษัตริย์เกื้อ................กุศล
เสริมสง่าการุณพล...................ไพร่ฟ้า
ใจจำกำราบรณ........................แรงบาป
สุขสรนุกถ้วนหน้า....................แน่แท้ทุกสมัย
คนผู้มี กรุณามาก ได้เป็นใหญ่ ในโลกย์ ในกาลเมื่อใด
คนผู้นั้นกระทำความสุขให้แก่สัตว์โลกย์ทั้งหลาย
ย่อมไม่กระทำความทุกข์
สัตว์โลกย์ทั้งหลายย่อมมีความสุขด้วยอำนาจของสัตตบุรุษนั้น
อาปาฏลิกาคาถา
โลภนิสฺสาย วินาโส
ภวติ โทสํ จโมหนากํ จ
โย นโร สวาฆนกาโม
สจิตฺตรกฺขํ ทนฺตหิ กเรยฺย
โลภมากกระชากช้ำ.................ฉิบหาย
เหวแห่งจัตุราบาย...................บ่งรู้
โทโสโม่ห์ละลาย.......................รมยสุข
ละเกลศแล้วผู้..........................จิตพ้นสังสาร
ความฉิบหายอาศัยความโลภ ซึ่งเกิดมีแก่สัตว์ทั้งหลาย
ใช่แต่เท่านั้น ! ความฉิบหายย่อมอาศัยโทสะโมหะด้วย
บุคคลทั้งหลายผู้หวังความเจริญ
พึงกระทำการรักษาจิตใจของตนให้พ้นจากความโลภโกรธหลงนั้นเถิด
ทกฺขิณนฺติกา คาถา
ปหาย โกธํภิขนฺติ มา
ทยาลุโก วา เมตฺตาจิตฺตกํ
ทยํ จ ปเณสุ สมฺปเร
สปญฺญวา น จเรติ ทารุนํ
ขันตีนีราศแกล้ว..........โกรธา
ถึงซึ่งเหตุเมตตา............ตริถ้วน
หลบเร้นเข่นฆ่าสา-......ธุสัตว์
สัปปุรษเลิศล้วน............ละเว้นทารุณกรรม
สัตตบุรุษผู้มีปัญญาละเว้นเสียยังความโกรธเป็นผู้ที่มีความอดทน
ความกรุณามากนักย่อมเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่สัตว์ทั้งหลาย
สัตตบุรุษผู้นั้นย่อมไม่กระทำทารุณแก่สัตว์
อุทิจฺจวุติ คาถา
ปรสฺสลาเภ อุปาคเต
เนว นินฺเทยฺย มิสฺสุภา ยตํ
สภาวโต ยํ อธมฺมิกํ
กายเลนฺตํ วนินฺทเย มุนี
เศรษฐิชาติอาจอวดแก้ว.........กองทอง
ปราชญ์ไป่ริษยาหมอง.......หม่นไหม้
ทรัพย์ใดใช่สิ่งของ.........สุจริต
ปราชญ์อาจแนะแคะไค้......ข่มได้โดยควร
ในเมื่อลาภมาถึงแก่ท่านผู้อื่น
ผู้มีปัญญามิพึงติเตียนด้วยความริษยา
วัตถุอันใดได้ด้วยมิชอบธรรม
ผู้มีปัญญาติเตียนในกาลอันควรแล
ปจฺจวุติคาถา
สกาลา ภูตุปาทนํ ยถา
อปฺปกมฺมิ สกลาภเก ตถา
สนฺตุฏฺเฐยฺยว ปญฺญวา
มา ปรสฺสลาเภ ปิหํ จเร
ทุรโภคทุรโชคสร้าง.................ศฤงคาร-
ธนทรัพย์ธนสาร......................ซึ่งน้อย
พึงสันโดษสันดาน....................บัณฑิต
อย่ามักใหญ่ในร้อย...................ลาภผู้อื่นสงวน
การบังเกิดลาภแห่งตนด้วยประการใด
แม้น้อยหนึ่งก็ดี
ผู้มีปัญญาพึงสันโดษในลาภแห่งตนนั้น
บ่มิพึงใคร่ได้ยังลาภแห่งท่านผู้อื่น
ปวสฺตก คาถา
ยโส จลาโภ จ กิตฺติ จ
นิจฺจ ธัมฺมิกา เนว โหนฺติกา
วินาส ธมฺมา ว ปณฺฑิโต
ตาสุ มชฺชโต สพฺพทา ภเว
ชื่อเสียงลาภยศเบี้ย...................บริวาร
ฤาอยู่ยั่งยืนนาน.........................เที่ยงแท้
ย่อมอันตรธาน............................ทุกเมื่อ
ปราชญ์ไป่มัวเมาแล้....................เลิศสร้างทางเขษม
ลาภยศบริวารชื่อเสียงก็ดี
ไม่มีสภาวะอันมั่นเที่ยง
ย่อมมีสภาวะอันรู้ฉิบหายไป
เหตุนั้นบัณฑิตไม่พึงมัวเมาในกาลทุกเมื่อ
อปรนฺติกาคาถา
สพฺพโภคมิตฺตา สกานุคา
เนว สพฺพฐาเน สยํ กตํ
ปุญฺญปาปกมฺมํ สกานุคํ
ตํ ปรมิปโลกานิวัตฺตกํ
สินทรัพย์กับเพื่อนถ้วน.............ทั้งหลาย
เคยติดตามยามตาย..................ต่างสิ้น
บุญบาปขนาบกาย......................เกาะแน่น..นานนา
นรชีพลับดับดิ้น..........................บ่รู้ลาหาย
ข้าวของทรัพย์สมบัติมิตรสหาย
จักตามไปกับตนในสถานทุกแห่งหามิได้
กรรมอันเป็นบาปและบุญที่ตนได้กระทำไว้นั้น
ย่อมตามไปกับตนในสถานที่ทุกแห่งแม้ในปรโลกหน้า
จารุหาสินี คาถา
ยทิ อตฺตโน อถฺเมสิโต
ปหาย ปาปํว โส นโร
ยเทวปุญฺมา ปรายิเก
สุขาวหํตํ จเร สทา
ชนใดไขว่คว้าสุข.......ใส่ตน
ย่อมละเสียซึ่งผล........บาปย้อม
บุญบารมีดล..............แดนเทพ
สู่สุขาวดีน้อม..............เนื่องด้วยกุศลกรรม
บุคคลผู้ได้แสวงหาประโยชน์สุขแก่ตน
ย่อมละเว้นจากบาปกรรมทั้งมวล
กุศลกรรมอันใดซึ่งจักเป็นประโยชน์สุขในเทวโลก
บุคคลผู้นั้นพึงกระทำในกาลทุกเมื่อแล
อจลธิติ คาถา
ติสรณ มคต นรมรุ กลิคหนิ
ทุจริต จริธ กลิผล อนุภวติ
ตุมปคต นรมรุ นหิ กลิคหนิ
สุจริต จริธ สุขผล อนุภวติ
แก้วสามดวงเวี่ยไว้...........หว่างทาง
ทวยเทพนรชนปาง.............ปัดทิ้ง
ถือทุจริตพลาง...................พบพิบาก..กรรมเอย
ทุกข์ประทุกมากหยิ้ง..........ย่อมร้อนกลีผล
เทวามานุษย์ผู้.......................พบตรัย..รัตน์เอย
ในทุรมรรคยาลัย......................รีบคว้า
ถือสุจริตไปร-.........................ษณิยจิตร
เสพสุขรมย์ในหล้า.................แหล่งโน้นนีรันดร์
คนและเทวดาซึ่งไม่เข้าสู่ไตรสรณะ แลถือเอาลัทธิอันผิด
ย่อมกระทำทุจริต แลได้เสวยวิบากเป็นทุกข์ในโลก
คนและเทวดาซึ่งเข้าไปสู่ไตรสรณะ แลไม่ถือเอาลัทธิอันผิด
ย่อมกระทำสุจริต แลได้เสวยสุขในโลก
วิสิโลกคาถา
โลกีย สมฺปท ธรติ สทา
น สาสนมุตฺตมนฺติ กทาจิ
ตสฺมา น เปกขิย โลกโภคํ
ธเรยฺย สาสน อาธรนฺติ
กุศลสร้างจึ่งพร้อม..........สมบัติ
โลกิยนิทัศน์...................ทุกข์ด้วย
ศาสนะอภิวัฒน์.................บางคาบ
ใครฝักใฝ่ธรรม์ฉ้วย.........ชีพรู้สมบัติธรรม
โลกียสมบัติตั้งอยู่ในโลกในกาลทุกเมื่อ ก็ด้วยกุศลแห่งสัตว์ทั้งหลาย
ศาสนาอันประเสริฐ แห่งพระพุทธเจ้า มิตั้งอยู่ในโลกในกาลทุกเมื่อ
ศาสนาตั้งอยู่ในกาลบางคาบ
เหตุนั้นผู้มีปัญญามิพึงฝักใฝ่ในสมบัติ พึงฝักใฝ่ ในศาสนานั้นเถิด
มตฺตาสมก คาถา
สรณตฺตยํ สรณคตฺต นรํ
วฏ์ฎทุกฺขโต ปโม จ ยนฺเต
นาญสรณํ ยทิโย วทิตวา
อวํ ติสรณ คเมยฺย นโร
สังสารวัฏเวิ้ง.................ทุกขะ
พ้นเพราะไตรสรณะ.......นั่นแท้
เพ็ญไอศวรรยะ..............ยังยาก..ลุเอย
พึ่งพุทธ,ธัมม,สงฆ์,แล้........จึ่งล้างขุกเข็ญ
บุคคลผู้ใดซึ่งถึงไตรสรณะ ย่อมหลุดพ้นทุกข์ในวัฏฏสงสาร
ที่พึ่งอันชื่นเช่นท้าวพระยามหาเสนาบดีจักให้หลุดพ้นจากทุกข์ในวัฏฏสงสารหามิได้
เหตุนั้นผู้รู้แล้วด้วยประการดังนี้
พึงถึงซึ่งไตรสรณะเป็นที่พึ่งแก่ตนเพราะวิเศษยิ่งกว่าที่พึ่งอันอื่น