นาฏกรรมแสนเศร้าเจ้าพระยา....!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song25.html
ลุ่มเจ้าพระยา..


ใกล้ค่ำ...ย่ำสนธยา
ดวงนอนสยายผมดูวสันต์ลีลาจากฟากฟ้า
ในกระท่อมทับอย่างดายเดียวเงียบงัน
หากด้วยดวงใจแสนสงบสุข...
หาก..ลึกๆ...ไยเล่า
ใจดวงนวลนวล จึงเจือเศร้า หมองหม่น
ไป...ตามฟ้าฝน...ลำพัง
อาจจะเป็นเพราะ...วันนี้...ดวงมีโอกาสดูทีวี 
ที่นานทีจะตั้งใจดูเอาจริงจังในบางรายการ..


แล้ว...
น้ำตาแห่งรานร้าวก็ซึมซึ้งละหลั่งริน
เมื่อ...ฟังบทเพลง
*ลุ่มเจ้าพระยา*ที่ฟังแล้วราวกับเตือนใจสอนใจ
ให้..*บทเรียน*..เราว่า..
คนเรานี้หนา..*ชีวิตช่างแสนสั้นเป็นยิ่งนัก*
ให้..
เราควรจักปันพลี  ทำความดี เอื้อโอบ  *ให้น้ำใจ*
แก่ทุกใครทุกคน
และ..
กับธรรมชาติทุกสรรพสิ่งที่รายรอบ
อย่างคนที่ถึงพร้อม ไม่ประมาท...


และ..
กับภาพ*วิกฤตการณ์เจ้าพระยา*
ภาพแห่งความทุกข์ยากลำบาก
ของพี่น้องคนไทยด้วยกัน 
ที่ช่างทุกข์แสนสาหัสสากรรจ์นัก


บางที่..ท่วมมานานหลายเดือนแล้ว
จนเกิดความเครียดไปทั่วทุกหย่อมหญ้า
ไปกับพิโรธ แห่งน้ำฟ้า ให้คนไทยไร้ดินที่จะเดินดำรง
คงชีพชอบประกอบการงานอย่างเป็นปรกติสุข....
และ..
นี่คือภัยบุกโหม ที่เรามวลมนุษยชาติ
มิอาจต้านรับได้ หากยังคงหลงประมาท*เฝ้าทำลาย*


สำหรับดวง...ด้วยดวงฤดี รักแผ่นดิน 
ดั่งธุลีหล้า
ที่อยากแสดงกตเวทิตา
แม้นจะทำได้เพียงน้อยนิด 


นานหลายปี ........
ที่ดวง..นี้..อดหลับอดนอนเฝ้า..เวียนวนรจนา
ถึงธรรม ธรรมชาติ อันแสนพิลาสพิไล
หวังเพียงฝากให้..
ทุกดวงใจที่นี่ ...
ทุกมิ่งมิตรน้องพี่  ในร่มรัก
ได้พักพิง อิงใจ ..
ให้...
ได้พบพลังน้ำค้างใสหยาดเย็น...


เพื่อ...
ธำรง..ดำรงดวงใจ ให้รักวิถีไทย
ที่แสนเรียบง่ายสมถะสงบงาม ในท่ามโลกแล้งไร้นี้
และ..
พึงเฝ้า...เพียรพลีลมหายใจแห่งชีวีอันนิดน้อยนี้
แฝงคำพร่ำเพาะบ่มให้เราทุกคนได้รู้รื่นรมย์
รู้คุณค่า ในพระคุณแห่งดินน้ำลมไฟ...
อันคือ...
*สัจจธรรม อันแสนยิ่งใหญ่*
ที่จักหล่อเลี้ยงเคียงข้างร่างใจ
จิตวิญญาณไทยของเราไปตราบชั่วกาล...!


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song25.html
ลุ่มเจ้าพระยา
ลุ่มเจ้าพระยาเห็นสายธารา ไหลล่อง
เพียง แต่มองหัวใจให้ป่วน
น้ำไหลไป มักไม่ ไหลทวน
ชีวิตเรา ไม่มีหวน ไม่กลับทวนเหมือนกัน
เรา เกิดมา ผูกใจรัก กันดีกว่า
เพราะว่าชีวา แสน สั้น
เรา อย่าได้ สะเทือนหัวใจต่อกัน
ทิ้งชีวิตอัน สุขใจ
อย่าแตกกันเลยรักไว้ชมเชย ชิดมั่น
จง ผูกพันรักกันด้วยใจ
ขอจงเป็น เหมือนเช่น นกไพร
ที่เหิรบินคู่กันไป หัว ใจ คู่กัน
เรา เกิดมาผูกใจรัก กันดีกว่า
เพราะว่าชีวา แสน สั้น
เรา อย่าได้ สะเทือนหัวใจต่อกัน
ทิ้งชีวิตอัน สุขใจ
อย่าแตกกันเลยรักไว้ชมเชย ชิด มั่น
จง ผูกพัน รักกันด้วยใจ
ขอจงเป็น เหมือนเช่นนกไพร
ที่เหิรบินคู่กันไป หัว ใจ คู่ กัน... 
...............


และ..กับนาทีนี้...
ใจดวง...ผู้หญิงผู้รักเหว่ว้า..
จึง.....รู้สึกอ้างว้าง...
ราวท่อง...
ในท่ามกลางทะเลโลกย์ ทะเลโศกน้ำตา...ลำพัง
กับ..
ความสิ้นหวัง กับโลกนี้ที่ยากเยียวยา
หาก..
เราไม่เรียนรู้หันหน้ากันมาร่วมมือสมานฉันท์สามัคคี
ไม่รู้การดำรงชีวี อย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
อย่างเอื้อโอบ เมตตา พึ่งพาพึ่งพิง...
อิง...ไปกับธรรม ธรรมชาติแสนงาม 
อย่างผู้อยู่เหนือโลก เข้าใจโลก 
อย่างผู้มีสติมีปัญญา
อย่างชาญฉลาดพอที่จะรู้ว่า....


แท้แล้วไซร้ ..
เรา  มวลมนุษย์นี่หนา
แค่มาอาศัยโลก โศกสุขพบทุกข์สุขร้อนหนาว
ชื่นชมเพียงชั่วครู่ชั่วคราว..แล้วพรากจาก
ให้ฝากเพียงดี 


ให้รู้ที่จะหยุดทบทวน
และ...
พัฒนาดวงจิตภายในให้สวยใสงดงาม..สว่างกระจ่างสงบ
พบแดนดินถิ่นพุทธภูมิ

เพียรพาไปสู่ฝั่งฝันอันคือ
การสิ้นสุดหยุดเกิด ดับ นับนิรันดร์...แค่นั้นเองเช่นนั้นเอง...!
............................................


พร้อมพลีกำนัล..
สายใจเจ้าพระยา.!  ด้วยรักแด่ทุกดวงใจ..ค่ะ


ไพล..ในชุดผ้าลินินสีขาวยาวกรอมเท้า 
เปิดไหล่ล้ำกลมกลึงให้เห็นผิวสีน้ำผึ้งรวง
รายรอบคอจับจีบรูดระบาย 
ผูกเป็นโบว์ปล่อยชายพลิ้วไหวสะบัดลม..ยามย่างเยื้อง
หมวกลายลูกไม้ สีขาว 
ขับเรียวหน้าละออ เนียนละมุน งามสะอ้านหวานจับใจ


แสงอาทิตย์ยามสนธยา ทอทอดสาดส่องต้องเรือนผม
จน เป็นประกายสีน้ำตาลทองเจิดจ้าจรัสมลังเมลือง 
ไล้เรียวหน้าดั่งทองทา..
รองเท้าผ้าใบสีขาว 
รอบข้อเท้าคือสร้อยทองเคงามเรียบ 
มีเพียงเสียงกังวานกรุ๊งกริ๊ง กระทบกันเบาเบาแสนเสนาะ
ยามเธอก้าวเดิน
ไพล..ก้าวลงเรือ ข้ามไปยังอีกฝั่งฝันเจ้าพระยา
ยามอาทิตย์เริ่มลาลับลา 
ทิ้งแสงสวยเศร้าส้มสุกทั่วทั้งท้องนภา
และ
ท้องน้ำราวอาบด้วยมนตราของทองคำ
ทาทาบอาบเปลวระยิบระยับ
ไพล..ทอดสายตาซึมซับรับซาบซึ้ง 
ที่กำลังลึกล้ำถึงด่ำดื่ม
ให้สายน้ำ ซอนแทรกฉ่ำหวานระรินละล่อง
เข้าครองเนื้อใจนวล
ยิ้มหวานตรงเรียวปาก ให้กับคนขับเรือ
เพราะเที่ยวนี้มีเธอข้ามมาเพียงลำพัง
กับค่าโดยสารข้ามฝั่งที่ราคาแค่สองบาท 
ตั้งใจว่าให้คุ้มค่าน้ำใจ ค่าน้ำมัน 
เธอคงจะวางเงินมากกว่าจำนวนนั้น โดยมิหวังเงินทอน


และ
ทุกคราที่เธอข้ามมาณ.เกาะเล็กๆแห่งนี้ 
ซึ่งเป็นเกาะที่สามารถมาซุกซ่อนสุขทุกข์
ซึ้งเศร้า เคล้าคลุกงานงามเครื่องปั้นดินเผา
ที่เลืองชื่อฝีมือชาวมอญ ละเมียด
ให้..
ลืมโลกจริงไปชั่วขณะ ที่มากเรื่องร้อยราว
มากเศร้ามากสุขมากคน หมุนวนหมุนเวียนซ้ำๆซากๆ..


ไพลจะเดินเดียวดาย นั่งริมฝั่งชลใต้เงาไม้ 
ดู...*ลำน้ำลำนำเจ้าพระยา*
เฝ้าเห่กล่อมหลอมดวงใจ...หอมดวงใจ..
ดูบ้านเรือนไทยริมน้ำ 
ที่พาให้หลับตาตามฝันไกลไป
ถึงอดีตอันเรืองรุ่งต้นกรุงรัตนโกสินทร์
ที่คงงามเรียบง่ายสงบสบาย 


และ
คงเหมือนฉากในละครดัง.ในยามนี้ทางช่องเจ็ดสี
เพื่อให้อบร่ำดวงใจ ใสเย็น ให้ผู้มองเห็นงามง่าย 
ได้ชิดใกล้...
การใช้ชีวิตกับสายน้ำและความสะมุนละไม
กับ..
ธารน้ำรักน้ำใจที่ยังระรื่นชื่นฉ่ำ
ไหลเอื่อยอ่อยลอยละล่องราวแดนหิมพานต์..
เป็นธารน้ำใจระรินร่ำที่ยังมีเยื่อใยผูกพัน 


เชื่อมโยง ดั่งลำนำลำน้ำแห่งชีวิต
ไพล..จะแวะเวียนซักถาม ถึงงานดินงานงามดิบนี้ 
ที่ต้องเสกสรรปั้นแต่ง 
แฝงปรัชญาในการรักษา
ให้ดำรงคงอยู่คู่ชีวีคนไทยมากมีมากมายที่รู้คุณค่า 
ที่ผ่านตาผ่านสมองสองมือ
คู่ใจคู่บ้านมานานหลายชั่วอายุคน


ฝีมือปราณีตแฝงเสน่ห์ เนียนละออพ้อหาให้
ดวงใจคนชมคนรุ่นหลังคนรุ่นใหม่ผู้กำลังหยั่งรากฝังลึก
อิงเทคโนโลยี่ หันกลับมามองที่หัวใจแสนดี 
ที่คิดงามคิดเป็นอย่างผู้เข้าถึง..ในงานงามศิลปะอันประณีตนั้น
ไพล..น้ำตาซึมทุกครั้ง   
เมื่อไปยืนซึมซับ *ช้างปั้นตัวจิ๋ว*
ที่ปั้นด้วย
*ฝีพระหัตถ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามราชกุมารี.*
ที่..
ทรงประทานไว้ให้ที่บ้านช่างปั้น
ให้รำลึกนึกถึงจดจำ ว่า..
วันหนึ่งได้เสด็จมาเยี่ยมและ
ฝากผลงานเลอล้ำค่าเลิศล้ำใจไว้ให้รำลึก..
นึกถึงทุกคราคราว
ในพระกรุณามหาธิคุณจากน้ำพระทัยที่ใสงาม


 ที่..
ทรงมากพระปรีชารอบด้าน 
และทรงมีพระทัยงามติดดิน
ผ่านงานที่ใสบริสุทธิ์
ราวหยาดน้ำค้างพร่างจากผืนฟ้าลงสู่พสุธาทุกถิ่นที่
ด้วยพระเมตตา บารมีไปทุกหย่อมหญ้า..อย่าง
ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง 
เพื่อให้ผืนดินไทย ผืนดินทอง ของเรานี้
ให้มีแต่ความงามสงบร่มเย็นเป็นสุขอย่างทั่วถึงกัน...ตราบนานนิรันดร์
.................
สายน้ำไหลล่อง
คิดถึงบทเพลงนี้   ที่กำลังดังก้องกึกในใจดวงนี้

http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song25.html
ลุ่มเจ้าพระยา.....

ลุ่มเจ้าพระยาเห็นสายธารา ไหลล่อง
เพียง แต่มองหัวใจให้ป่วน
น้ำไหลไป มักไม่ ไหลทวน
ชีวิตเรา ไม่มีหวน ไม่กลับทวนเหมือนกัน
เรา เกิดมา ผูกใจรัก กันดีกว่า
เพราะว่าชีวา แสน สั้น
เรา อย่าได้ สะเทือนหัวใจต่อกัน
ทิ้งชีวิตอัน สุขใจ
อย่าแตกกันเลยรักไว้ชมเชย ชิดมั่น
จง ผูกพันรักกันด้วยใจ
ขอจงเป็น เหมือนเช่น นกไพร
ที่เหิรบินคู่กันไป หัว ใจ คู่กัน
เรา เกิดมาผูกใจรัก กันดีกว่า
เพราะว่าชีวา แสน สั้น
เรา อย่าได้ สะเทือนหัวใจต่อกัน
ทิ้งชีวิตอัน สุขใจ
อย่าแตกกันเลยรักไว้ชมเชย ชิด มั่น
จง ผูกพัน รักกันด้วยใจ
ขอจงเป็น เหมือนเช่นนกไพร
ที่เหิรบินคู่กันไป หัว ใจ คู่ กัน...
.............................
 

หัวใจนวลดวงน้อยนี้กำลังฉ่ำ
กำลังสดชื่นอย่างแปลกประหลาดพิลาสพิไล
ยามที่ไพล..
เดินเข้าไปในโบสถ์ พร้อมดอกไม้ไทย ใส่กระทงใบตอง 
พร้อม..
พวงมาลัยหอมงาม
ที่ไพลเลือกมาผสานล้ำลึกให้จรุงแจ่มจรัสใจ
ในการนำมาบูชาพระ กราบพระ...


โบสถ์เก่า หลังงามนั้น กำลังซ่อมแซมทุกบานหน้าต่าง
ให้ช่างมาเขียนลายที่หลุดลอก..
มี...
*องค์พระนอน สมัยอยุธยา ในท่าสิริไสยาสน์*
งามจนอิ่มใจเอิบงาม โอษฐ์แย้มยิ้มด้วยพระเมตตาธรรม
พระพักตร์เปี่ยมกรุณา 
จน...น้ำตาซึมกับสายพระเนตรอับโอบเอื้ออ่อนโยน


ไพล..ทรุดตัวลงนั่ง น้อมมโน ดื่มด่ำ
ด้วยศรัทธา 
แล้ว...
ก้มลงกราบนิ่งนาน.....
เย็นมากแล้ว.....
 นกกาเริ่มจ๊อกแจ๊กโผบินกลับรัง คืนรัง


ลำแสงสนธยาลอดผ่านบานหน้าต่างที่แง้มบานไว้
แสงสีทองส่องสว่างสาดจับไปที่พระพักตร์ผุดผ่อง
ดังพุทธะ...พาให้กลางใจสว่างไสวลดมืดมน
ชั่วหลับตา ....
ไพลราวย้อนหลังไปในอดีตอันเรืองรุ่ง 


แว่ว....เสียงสังคีตดีดกล่อม
หวานแว่วแผ่วเบามากับลำน้ำลำนำเจ้าพระยา
กับ...
ลมรำเพย เย็นร่ำฉ่ำหวาน
ผ่านในอณูนึก...
ไพล..เงยหน้าขึ้นมาพร้อมหยาดน้ำตาพร่างรินมิสิ้นสาย...!
				
comments powered by Disqus
  • อัลมิตรา

    14 ตุลาคม 2549 18:53 น. - comment id 615158

    คนกรุงเทพฯ เป็นหนี้บุญคุณต่อชาวต่างจังหวัดที่เสียสละ แบกรับภาระวิกฤตน้ำท่วม โดยพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาสถานภาพเมืองหลวงไว้ให้ดีที่สุด
    
    อัลมิตราเคยคิดนะ ปล่อยให้กรุงเทพฯน้ำท่วมสักวันสองวันจะเป็นอะไรไป อย่างดีก็แค่ถูบ้านตอนน้ำลด .. ภาพที่อัลมิตราจำได้ตอนเด็ก ๆ เป็นอย่างนั้น แต่เมื่อคิดให้ถ้วนถี่อีกที เมืองเศรษฐกิจที่เปรียบเสมือนขุมกำลังสำคัญของประเทศ หากต้องถูกกระทบกระเทือนด้วยวิกฤตนี้ คงเสียหายมหาศาล
    
    บุญคุณครั้งนี้ไม่มีวันลืม ไม่ว่าจะเป็นพระมหากรุณาจากองค์พ่อหลวงและพี่น้องร่วมชาติ
    
    ขอบคุณค่ะ ขอบคุณจากใจ
  • ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

    14 ตุลาคม 2549 19:04 น. - comment id 615162

    มูลชีอันแม่น้ำ.................แผกสาย
    หลากหลั่งพรูพรั่งราย....ร่วมล้น
    รวมโขงส่งแนวผาย.....ผันต่อ  แนวแล
    เห็นเจิ่งแลเปี่ยมท้น..ตลิ่งสะท้านสะเทือนผวา
    
    ธาราในถิ่นโน้น......................แดนเหนือ
    ไหลหลั่งล้นฝั่งเฝือ.................ฉ่องฟ้า
    เหลียวเห็นห่วงใยเหลือ...เกรงกริ่ง จริงเฮย
    เหวยหวั่นชลท่วมหล้า....เพื่อนพ้องพลอยเข็ญ
    
    สวัสดีครับคุณพุด
  • พุด

    14 ตุลาคม 2549 19:18 น. - comment id 615164

    36.gif10.gif
    
    เจ้าพระยา
    
     แม่น้ำและลำคลองน้อยใหญ่
    ล้วนมีความสำคัญต่อการดำรงอยู่ของทุกชีวิต 
    
    เป็นแหล่งน้ำ
    ใช้อุปโภคบริโภคและการ เกษตร 
    
    ในอดีตใช้เป็นเส้นทางคมนาคม 
    และยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ในกรุงเทพฯ 
    ซึ่งเป็นเมืองหลวงของไทยใน ปัจจุบัน 
    มีคลองหลายแห่งที่ขุดขึ้นเพราะเหตุผลนี้ 
    
    จำนวนคลองที่มากมายนั้น
    ทำให้เราได้รับการขนานนามว่าเป็น 
    เวนิสตะวันออก 
    
    ลำคลองเหล่านี้มีแหล่งกำเนิด
    มาจากแม่น้ำเจ้าพระยา 36.gif10.gif
    
    
    แม่น้ำเจ้าพระยา
    เกิดจากแม่น้ำปิงและแม่น้ำน่านไหลมาบรรจบกันที่ตำบลปากน้ำโพ 
    บริเวณด้านหน้าเขื่อน
    ในตัวเมือง จ.นครสวรรค์
    
     บริเวณนั้นจะมองเห็นความแตกต่าง
    ของสายน้ำทั้งสองได้อย่างชัดเจน 
    คือ 
    แม่น้ำน่านจะมีสีค่อนข้างแดง 
    และ..
    แม่น้ำปิง
    จะเป็นสีค่อนข้างเขียว 
    
    เมื่อไหลมาบรรจบกันแล้ว
    จึงค่อย ๆ รวมตัวกัน
    กลายเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่สำคัญ ของประเทศ 
    
    ไหลผ่านจังหวัดต่าง ๆ ในภาคกลาง
     เรื่อยมาจนถึงกรุงเทพมหานคร 
    
    และ
    ลงสู่ทะเลอ่าวไทยที่ อ.ปากน้ำ 
    จังหวัดสมุทรปราการ 
    มีความยาวประมาณ 370 กิโลเมตร36.gif10.gif 
    
    แม่น้ำเจ้าพระยาสายปัจจุบันนั้น
    บางช่วงคือ 
    คลองที่ขุดลัดแม่น้ำเจ้าพระยาสายเก่า 
    
    เนื่องจากสายน้ำไหลคดเคี้ยวมาก
    จึง ต้องขุดคลองลัดขึ้นมา
     เพื่อทำให้เดินทางสะดวกรวดเร็วขึ้น 
    
    การขุดคลองนั้นมีอยู่สามสมัย 
    ได้แก่ 36.gif10.gif
    
    ครั้งแรก 
    
    ขุดในสมัยของสมเด็จพระชัยราชา 
    ขุดตั้งแต่คลองบางกอกน้อย
    บริเวณหน้าสถานีรถไฟบางกอกน้อย 
    ไปถึง คลองบางกอกใหญ่ 
    บริเวณหน้าวัดอรุณราชวราราม 
    เพื่อความสะดวกในการค้าขาย
    
    ซึ่งสมัยนั้นจะติดต่อกับโปรตุเกส และจีน 
    
    
    ครั้งที่สอง 
    
    ขุดในสมัยพระมหาจักรพรรดิ 
    ขุดคลองบางกอกน้อยเชื่อมสายใน 
    ระหว่างคลองบางกอกน้อย 
    
    ส่วนที่เป็น แม่น้ำเจ้าพระยาเดิม
    ตรงวัดสุวรรณคีรี
    กับคลองบางกรวยตรงวัดชลอ 
    
    
    ครั้งที่สาม 
    
    ขุดในสมัยพระเจ้าปราสาททอง
    จากวัดเฉลิมพระเกียรติ
    มาเชื่อมกับปากคลองบางกรวยในปัจจุบัน 
    (แม่น้ำ เจ้าพระยาเดิม)
     
    
    สองฝั่งแม่นำเจ้าพระยา
    มีสถานที่ที่น่าสนใจมากมาย 
    
    เราอาจจะเคยล่องเรือ
    ไปตามแม่น้ำสายนี้
    และชื่นชมกับวิถีของชีวิต ผู้คน 
    บ้านเรือนรูปร่างแปลกตา
    ตามชุมชนต่างๆ วัดวาอาราม
    และ...
    บรรยากาศที่เย็นสบาย 
    แต่ก็เป็นความประทับใจ 
    เพียงแค่ ช่วงเวลาหนึ่งแล้วก็ผ่านไป 
    
    หากพวกเราทราบความเป็นมา 
    หรือความสำคัญของสิ่งเหล่านั้นบ้าง 
    อาจจะสะท้อนสิ่งที่ดีงาม ในอดีต 
    
    ทำให้เราภาคภูมิใจ
    กับสมบัติของชาติมากขึ้น 
    มา
    ร่วมมือกันรักษาสายน้ำสายสำคัญนี้ไว้
    ให้สดใสดังเดิม 	 
    
    
    36.gif10.gif
  • พุด

    14 ตุลาคม 2549 20:19 น. - comment id 615182

    36.gif10.gifโศกตรา..!
    
    อีกเรื่องราวรจนา
    เกี่ยวกับ*สายน้ำใจเจ้าพระยา*
    ที่พุดไพรยินดีภูมิใจเสนอค่ะ
    
    http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song774.html
    http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song25.html
    (สี่แผ่นดิน ลุ่มเจ้าพระยา)
    
    
    ไปนั่งทอดตาทอดใจ
    ดูสายน้ำรักนิรันดร์ค่อยๆระรินไหล
    อย่างช้าช้าอย่างอาลัยอาวรณ์
    หน้าพระตำหนักสิริยาลัย
    ที่แสนสงบงามในท่ามแมกไม้ไทย
    จนตะวันพลบตะวันตกดินตรงหน้า
    กับฟากฟ้าที่แสนงามราวเรียวรุ้ง
    ราวในเรื่อง
    สไบนวลสไบนางและ*ดั่งดวงเนตรในทุกยาม*
    ทั้ง*ลีลาวดีมณีรุ้ง*
    ที่เคยถอดจิตถอดใจรจนาฝากไว้
    ให้ทุกดวงใจในร่มรักได้อ่านผ่านตา
    หวังฝากประทับใจ
    
    
    ดูนกกาโผผิน
    ด้วยดวงใจเหว่ว้าดายเดียวราวย้อนยุค
    พบสุขสงบหากไยแสนเศร้า
    ราวได้ยินเสียงทุกข์..สุขสรรพสิ่ง
    แห่งเงื้อมเงางามอดีตกาล
    เสมือนตัวเองนั้นร่วมเป็นหนึ่งใน
    
    และ
    ได้น้อมนำมาลัยสดงดงามไปกราบพระอัฐิ
    ที่ฝังพระศพเจ้าฟ้ากุ้ง
    
    ในแสงเรื่อเรืองรัศมีของทิวาวัน
    ที่กำลังผันดวงลงเรี่ยต่ำทายทักทุกศิลาคร่ำ
    ยอดเจดีย์วัดไชยวัฒนาราม
    
    ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดดำเพนท์พิมพ์ลายดอกไม้
    สดสะพรั่งด้านหน้า ยาวกรอมเท้า 
    ใส่หมวกถักลายลูกไม้สีขาว
    กำลัง.
    ค่อยๆก้าวเดินอย่างช้าช้า ผ่านลานลีลาวดี 
    ที่กำลังส่งกลิ่นหอมระรินสะพรั่งพร่างไปทั่ว
    และดวงดอกปลิดโปรยโรยกรายแลละลานตา ตรงลานหญ้า
    ราว..
    ถูกประดับด้วยมนตราแห่งหวานเศร้าร้างลาแรม
    ให้แสนอาวรณ์อาลัย
    
    
    ทุกย่างก้าวรอยย่ำบนศิลามณี
    ที่นะบัดนี้สึกกร่อนไปกับกาลเวลา
    ทุกศิลาที่ประดับเป็นพระปรางค์ปรา เจดีย์  
    ยิ่งพาให้ใจดวงเหว่ว้า 
    นัยน์เรียวตาซึมซึ้งราวมีหยาดน้ำผึ้ง
    กำลังจะหยดรินรดบนเรียวแก้มพลีทุกนาที
    กับ.....
    มหัศจรรย์ความงามนี้ที่ยากบอกด้วยคำ
    หากจักสัมผัสได้ด้วยพลังแห่งความรัก
    อันล้ำลึกดำดื่มอย่างปลาบปลื้มปิติเพียงนั้น
    ราวกับสวรรค์ แลฟ้าดินประทานพร
    ให้หัวใจอ่อนหวานในร่างอรชรได้รับรู้รับทราบเพียงลำพัง
    
    
    
    เธอ..เดินช้าช้าเข้าไปภายในเบื้องพระวิหารรายและ
    หยุดร่ำไห้.....
    เมื่อแหงยเงยไปเห็นองค์พระพุทธมากมาย ที่นะบัดนี้สิ้นไร้เศียร..!
    ...............
    
    
    
    พบพุทธบุญเพรงสยาม.....ลำน้ำน่าน
    
    
    ๑) อยุธยายศล่มแล้ว...........ลอยสวรรค์ ลงฤา*
    โคลงสะอื้นรำพัน.................ศึกแพ้
    แรมนิราศจาบัลย์................บุณย์รักษ์ เวียงแล
    อินนรินทร์ธิเบศร์แล้...........ร่ำร้าวโคลงหวนฯ
    (*นิราศนรินทร์)
    
    (๒) เศวตฉัตรช่อฟ้า............    วงศ์สวรรค์
    เก้ารัชกาลบรร-...................    จบแล้ว
    รัตนวงศ์วรรณ....................    วัฏแผ่น ดินแฮ
    สันตติวงศ์แพร้ว.................    ร่วงรุ้งเรืองสยามฯ
    
    (๓) แดง...ฤกษ์ไทฤกษ์ด้าว..    ดำเกิง สุรีย์แล
    แดง...เลือดหลั่งเลือดเชิง.....    ศึกเชื้อ
    แดง...มารมอดมารเพลิง......    พ่ายพุทธ
    แดง...ชาดหรคุณชาดเกื้อ.....   เลือดแก้วละเลงสยามฯ
    
    (๔) น้ำเงินงามรามร่มเกล้า....   เครือกษัตริย์
    กษัตริย์เกษมวิวรรธน์.............วรทล้ำ
    ล้ำแผ่นสุพรรณบัฏ...................บรมราช- วงศ์แล
    ราชธรรมเพียบพร้ำ.................พุทธพร้อมพรสยามฯ
    
    (๕) เขียว..กระทงตองท่องท้อง...ธารทอง
    เขียว...ทุ่งข้าวรวงรอง...............ระบัดกล้า
    เขียว...ผักคละครองคลอง.........เครียวยอด 
    เขียว...พระมรกตหลักหล้า........เหล่านี้มณีสยามฯ
    
    (๖) ขาว...กลีบแก้วพุดซ้อน.......แซมทรวง
    ขาว...หยดน้ำค้างยวง...............หยาดน้ำ
    ขาว...ข้าวดอกมะลิรวง..............หุงใหม่ 
    ขาว...ดอกบัวไป่ช้ำ...................ผ่องแผ้วพุทธถวายฯ
    
    (๗) เหลือง...รวงพวงพุ่มข้าว......โพสพสรม
    เหลือง...พัสตร์สงฆ์รงค์ลม.........รุ่งคุ้ง
    เหลือง...อรุณแรกขานขรม........ขมิ้นเพรียก 
    เหลือง...บุปผาร่วงรุ้ง................เรื่อแล้วลานสยามฯ
    
    (๘) แว่วตะโพนแผ่วพ้น...........เพลบุญ
    โพ้นวรรษาราพิกุล...................เกี่ยวข้าว
    ปรางค์สางรุ่งอรุณ.....................ระดะยอด อวดแฮ
    บุญสยามค่ำเช้า........................ชาติฟื้นเกษตรศานต์ฯ 
    
    (๙) ขึ้นสิบห้าค่ำไหว้..................วิสาขา
    เทียนรุ่งร่ำเรียมตา...................ตาดเคื้อ
    นวลเดือนอาบปฏิมา.................มณฑป 
    อาบโบสถ์เทียนอาบเนื้อ...........นุชหน้าพัสตร์สงฆ์ฯ
    
    (๑๐) ไขประทีปประดับต้น.........รัตติธรรม
    สงฆ์แว่วแจ้วลำนำ...................นพน้อม 
    เพลาพร่าจันทรารำ-.................ไรยอด โพธิ์แล
    โบสถ์ค่ำพัสตร์ภายพร้อม..........พร่างพื้นแขไขฯ
    
    (๑๑) ข้าวออกรวงดกแล้ว..........ละลานตา
    ไหวว่ายตะเพียนปลา...............ผุดปลื้ม
    พลบค่ำเพรียกวิหคนา............ นางเพรียก ละเมอฤา
    แรมล่าอริราชครึ้ม...................ศกคล้อยเรือนหายฯ
    
    (๑๒) ทองหยิบเคยหยิบป้อน......เพลา เสมอนอ
    เรียมหยาดหวานหยาดตา.........ขยิบซึ้ง
    เรียมหยอดรักหยอดยา.............หยดพิษ
    แรมรักร้าวรักทึ้ง......................หยิบแย้มแซมขมฯ
    
    (๑๓) รอนตะวันลับเศร้า...........บึงอุบล
    จันทร์แจ่มแย้มนวลยล............เยี่ยมฟ้า
    ขิมครวญดั่งครางคน.................ครวญพี่ นะแม่
    นิราศเรียมห่างหน้า.................ห่อนได้แลเห็นฯ
    
    (๑๔) ปรารถนาภาพลึกล้ำ.........ละเลงบุญ
    เกล็ดทิพย์ลิบละมุน..................ม่านน้ำ
    อารยธรรมค้ำจุน......................จวบค่ำ
    เจ้าพระยาพาข้าม......................ล่องฟ้าสวรรค์สยามฯ
    
    (๑๕) ทอดสะพานล่องข้าม..........แขนงชล
    ระยับหมอกดอกอุบล.................เบ่งใต้
    บัวเรียมระเมียรยล..................หยั่งย่าน ชเลแล
    บัวสี่เหล่าเนาไซร้.....................สร่างสิ้นธรรมสรรค์ฯ
    
    (๑๖) พรพรหมธรรมแต่เบื้อง....บุราณกาล
    สืบแผ่นดินระรินมาลย์.............อะคร้าว
    ข้าวจวักตักถวายทาน...............ทรวงบาตร อรุณแล
    พบพุทธบุญเพรงข้าว................กนกเนื้อนาถสยามฯ
    
    (๑๗) พุทธคุณไตรรัตน์ล้ำ.........รวีอรุณ
    พุทธุปบาทกาลบุญ....................เบิกฟ้า
    พุทธศาสนิกละมุน...................พุทธชาด สยามนอ
    พุทธบุตรโชติชวาลหล้า.............สว่างเพี้ยงพันแสงฯ
    
    (๑๘) เพชรพิกุลเกล็ดแก้วร่วง..พะไลทราย
    พันพร่างธรรมทองพราย...........พิจิตรฟ้า
    มะลิหล่นร่วงโรยวาย.................วัฏจักร
    เบิกรุ่งบุญระบายหล้า............... โบสถ์เบื้องระเบียงวิหารฯ 
    
    (๑๙) บัวบังใบตะไคร่ครึ้ม..........บัญจรงค์
    บังอุบลจตุวงศ์..........................เวี่ยน้ำ
    เบญจภูตโพชฌงค์....................ฌาปนกิจ บังฤา
    เบญจขันธ์กิเลสล้ำ....................ยากยั้งบังไฉนฯ 
    
    (๒๐) เบญจขันธ์กิเลสรั้ง............ยามโยค ญาณเอย
    ทุกข์สร่างหมางเศร้าโศก...........สร่างสิ้น
    วิปัสสนาวิโมกข์........................วิมุตติ
    เบี่ยงบ่วงอบายหวิ้น..................วิวัฏโพ้นพรหมสวรรค์ฯ
    
    (๒๑) ปราชญ์ใดในโลกร้าง.......ธรรมา
    แสวงสว่างศาสนา....................เสน่ห์น้อม
    ฤาประลาตพันธนา...................เนืองยศ 
    กิเลสรัดมายาย้อม....................ขุ่นข้นใจถลำฯ
    
    (๒๒) ปวงปราชญ์ปรัชญ์ก่อเคื้อ..กวีนิพนธ์
    เพาะบ่มอักษรมนตร์.................มิ่งแก้ว
    ค่าคำรดเหล่าอุบล.....................บริพัตร ทวีปนา
    สงฆ์สะแบงกลดแล้ว.................เกียรติคล้อยครืนหลังฯ
    
    (๒๓) เงาเมรุเงาวัดเวิ้ง.............ไพหาร
    พุทธะหลั่งวิญญาณ....................หยาดไว้
    ชะรอยพุทธเพรงกาล................มาล่ม ลงแล
    ธารพระธรรมผากไร้................ร่อยร้างมลายขวัญฯ
    
    (๒๔) พรายน้ำวาววับน้ำ...........นองพระยา
    เงาโบสถ์คร่ำลำนาวา................ลิ่วลื้น
    ไหลลอยล่องชีวิตมา..................มาดมุ่ง เมืองแล
    จมคลื่นกระแสไป่ฟื้น...............ฝากน้ำซากสลายฯ
    
    (๒๕) ปณิธานไพร่ฟ้า...............กวีไพร
    พลีหลั่งเลือดละไม....................มุ่งฟื้น
    ปลุกสำนึกดื่มดวงใจ.................ชนชาติ กวีนอ
    กราบแผ่นดินน้ำตารื้น.............รักษ์ร้อยชาติสยามฯ
    
    ..............
    
    
    
    ใต้ร่มไม้ใบระยิบระยับไหว
    ฟังธรรมใจรับแดดทองส่องพรายพร่าง
    ใจดวงทองรับยอดธรรมส่องนำทาง
    ใสกระจ่างอัญมณีทิพย์นิรมิตใจ..
    
    หลับตานิ่งทิ้งทุกสิ่งไว้ภายนอก
    ตาในบอกเปิดจิตงามรับพร่างใส
    ดอกบัวบุญแย้มคลี่บานกลางบึงใจ
    ยอดพระรัตนตรัยดั่งน้ำค้างลงพร่างริน..
    
    ในนิมิตเราเคียงกันลานดอกจิต
    น้อมชีวิตกราบกรานถวายสิ้น
    มีเพียงว่างวางทุกข์น้ำตาริน
    หวังสุดสิ้นทุกข์ระทมเคยห่มใจ..
    
    แกะเปลือกใจพบจิตใสอย่างช้าช้า
    แก่นชีวาคือทำดีมิหวั่นไหว
    รู้สละออกเพียรรู้ให้น้ำค้างใจ
    หอมดวงใจใสเย็นพร่างสร้างรอยบุญ..
    
    เสียงสวดก้องสะท้อนทาบอาบอุ่นนัก
    ฝากใจภักดิ์สองดวงจิตอันหอมกรุ่น
    ใบไม้ร่วงพรูพร่างกระจ่างใจรับอรุณ
    ดอกพุดไพรใจละมุนรับวันพร..
    
    แล้วดวงจิตกระจ่างก็พร่างวับ
    งามธรรมจับนวลเนื้อจิตซึ้งคำสอน
    สนิทแนบแอบแสนรักฟ้าอวยพร
    ให้เราสองล่วงสู่ฝั่งฝันวันนิพพาน..!
    
    
    
    
    http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song774.html
    สี่แผ่นดิน 
    
    คนมี ชีวิตและกายา
    ถือ กำเนิดเกิดมา
    เป็นหญิง หรือว่าเป็นชาย
    ผู้มี พระคุณอันแสนยิ่งใหญ่
    กว่า สิ่งใด ก็คือแผ่นดิน
    เป็นแดน ที่ให้ชีวา
    พึ่งพา อาศัยและอยู่กิน
    คุณใด จะเปรียบแผ่นดิน
    เอื้อชีวิน จากวันที่เกิด จนตาย
    ยามใด ความทุกข์กรายมาเยือน
    ทุกข์ใดเล่าจะเหมือน
    ความทุกข์เยือน เรือนกาย
    หากเรือน ของเรามีทุกข์ กรายใกล้
    สุขอย่างไร อย่างไรตัวเรา
    ยามดี เราดีตาม
    ในยาม มีทุกข์ควรแบ่งเบา
    บุญคุณ ยิ่งใหญ่นานเนาว์
    หน้าที่เรา ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน
    
    ยามใด ความทุกข์กรายมาเยือน
    ทุกข์ใดเล่าจะเหมือน
    ความทุกข์เยือน เรือนกาย
    หากเรือน ของเรามีทุกข์ กรายใกล้
    สุขอย่างไร อย่างไรตัวเรา
    ยามดี เราดีตาม
    ในยาม มีทุกข์ควรแบ่งเบา
    บุญคุณ ยิ่งใหญ่นานเนาว์
    หน้าที่เรา ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน
    หน้าที่เรา ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน... 
    ...............
     
    
    
    
    http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song25.html
    ลุ่มเจ้าพระยา 
    
    ลุ่มเจ้าพระยาเห็นสายธารา ไหลล่อง
    เพียง แต่มองหัวใจให้ป่วน
    น้ำไหลไป มักไม่ ไหลทวน
    ชีวิตเรา ไม่มีหวน ไม่กลับทวนเหมือนกัน
    เรา เกิดมา ผูกใจรัก กันดีกว่า
    เพราะว่าชีวา แสน สั้น
    เรา อย่าได้ สะเทือนหัวใจต่อกัน
    ทิ้งชีวิตอัน สุขใจ
    อย่าแตกกันเลยรักไว้ชมเชย ชิดมั่น
    จง ผูกพันรักกันด้วยใจ
    ขอจงเป็น เหมือนเช่น นกไพร
    ที่เหิรบินคู่กันไป หัว ใจ คู่กัน
    
    เรา เกิดมาผูกใจรัก กันดีกว่า
    เพราะว่าชีวา แสน สั้น
    เรา อย่าได้ สะเทือนหัวใจต่อกัน
    ทิ้งชีวิตอัน สุขใจ
    อย่าแตกกันเลยรักไว้ชมเชย ชิด มั่น
    จง ผูกพัน รักกันด้วยใจ
    ขอจงเป็น เหมือนเช่นนกไพร
    ที่เหิรบินคู่กันไป หัว ใจ คู่ กัน... 
     
    
    
    

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน