http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4610.html (สาวสวนแตงแห่งเมืองสุพรรณ) ............... สาวนา....ถูกปลุก.. ให้ตื่นขึ้นมากับเสียงนกเขาขันคูคู่ใจ เคียงกระท่อมไพรวิมานวนาวิมานลั่นทม แล้ว... หลับตานิ่งๆ ฟังบทเพลงจากวิทยุทรานซิสเตอร์ *คนดังลืมหลังควาย คุณ พุ่มพวง ดวงจันทร์* http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4580.html นึกไว้ทุกนาที ถ้าเขาไปได้ดีแล้วคงไม่มาขี่ควาย เขานั้นคงแหนงหน่าย เบื่อนั่งหลังควาย เบื่อเคียวเกี่ยวหญ้า นึกไว้ทุกคืนวัน เพียงเดี๋ยวเดียวลืมกันทิ้งกันให้คอยตั้งตา ไปได้ดีมีค่าก็ลืมสาวชาวนา คนซื่อชื่อรวง ได้เจอะคนเล็บแดงแดง ปากแดงแก้มแดงแดงที่ในเมืองหลวง ทิ้งให้สาวนานอนน้ำตาเอ่อทรวง คนซื่อชื่อรวงเขาคงไม่ห่วงไม่สน นึกไว้แล้วแล้วเชียว คำว่าดังตัวเดียวจึงทำให้คนเบี้ยวคน ลวงให้เราหมองหม่น นี่หรือใจคน พอดังก็ลืมหลังควาย นึกไว้ทุกนาที ถ้าเขาไปได้ดีแล้วคงไม่มาขี่ควาย เขานั้นคงแหนงหน่าย เบื่อนั่งหลังควาย เบื่อเคียวเกี่ยวหญ้า นึกไว้ทุกคืนวัน เพียงเดี๋ยวเดียวลืมกันทิ้งกันให้คอยตั้งตา ไปได้ดีมีค่าก็ลืมสาวชาวนา คนซื่อชื่อรวง ได้เจอะคนเล็บแดงแดง ปากแดงแก้มแดงแดงที่ในเมืองหลวง ทิ้งให้สาวนานอนน้ำตาเอ่อทรวง คนซื่อชื่อรวงเขาคงไม่ห่วงไม่สน นึกไว้แล้วแล้วเชียว คำว่าดังตัวเดียวจึงทำให้คนเบี้ยวคน ลวงให้เราหมองหม่น .............. เถาไม้เลื้อย..สายน้ำผึ้งแสนหวาน และ.. มากลีลามาลีพวงสุคนธา มากพันธุ์สีกลิ่นไม้ไทยไม้หอมนานา เช่นรสสุคนธ์ราตรี ที่มาพันพร่างชูช่อพ้อสายลมในยามเช้า ในท่าม ฟ้ากระจ่างสว่างไสวสีฟ้าใส..ใสใส ราวใจดวงใสหวานพอกัน.. มา.. ปลอบปลุกร่างใจสาวนาให้ได้ลืมเหว่ว้า รับอรุณอุ่นอวลด้วยเรียวรวงระย้าระยับ อาบไล้ดั่งทองทาบฉาบทาไปทั่วทั้งท้องนา กับ.. ฟ้าสีฟ้าแจ่มจรัสจรุงราวรุ้งเรียวพอกัน และ... นี่คือโลก... แสนเงียบงามแสนสุขสงบของสาวนา ไม่ว่า.. กาลเวลาจะลาเลยล่วงไปกี่ทิวาราตรี และ.. ผู้คนบนผืนโลกนี้ ต่างพานพบโศกนาฎกรรมมากมาย สาวนา.. ก็ยังคงมี.. ที่ซ่อนกายไว้ซ่อนซุกสุขซึ้ง ไว้ให้แสนสุขเสมอใจ ไม่ว่า..ทุกทุกข์ผัสสะใด ก็จะไม่กรายกล้ำ ล้ำล่วงเข้ามาทำร้าย.. ณ..ชายคากระท่อมหอมหวาน *สวรรค์บ้านไพรสวรรค์บ้านนา*ได้นานเลย ให้.. ทุกยามเช้า.. ยามฟ้าสวยด้วยสีชมพูพริ้งพราวมาทายทัก ถึงเตียงนอน... มาอ้อนให้สาวนา คลี่ยิ้มหวานๆรับดวงดอกไม้บาน รับหอมหวานแห่งสุนทรีย์ชีวิต ให้มี.. ดวงจิตแสนบริสุทธิ์หวานใส มีไฟฝันบันดาลใจ ที่จะพลีหยาดเหงื่อมิรู้สิ้น ด้วยร่างใจเสียสละ.. เพื่อผืนดินไม่ทิ้งถิ่นทุ่งทองท้องนา ให้.. โลกแสนไสวไม่แล้งไร้ ไม่ไร้สิ้นน้ำใจใสเย็นชุ่มฉ่ำ รู้เงียบงำเงียบงาม และรู้รักความสมถะพอดีพอดี รู้ใช้ชีวีอย่างไม่เบียดเบียนทำร้ายผู้ใด มีเพียงดวงใจ ที่คอยจะ*ให้ให้ให้*เพื่อนมนุษย์ และ.. เพียรรักษาศีลให้บริสุทธิ์ พร้อมทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา สร้าง.. ลมหายใจแสนดีมีค่า เพื่อ..จรรโลงโลกและผู้คน อีกไม่กี่วัน.. สาวนาจะผันพาร่างไป.. สุพรรณบุรี *เมืองยุทธหัตถี วรรณคดีลือชื่อ เลื่องลือพระเครื่อง รุ่งเรืองเกษตรกรรม สูงล้ำประวัติศาสตร์แหล่งปราชญ์ศิลปิน ภาษาถิ่นชวนฟัง* เมือง... ที่มีศิลปปินมากมาย ได้..เกิดกายมาจากดินทอง ดินไทย ดินทุ่ง ณ..ที่แห่งนี้ เพราะ.. *พี่ทอง* มาบอกบุญ ว่าจะมีการสร้างพระประธาน ให้..สาวนา ได้ตามไปเติมต่อบุญสร้างกุศลงาม และ ได้เดินตามท้องนาบึงคลองดงตาล แห่งเมืองสุพรรณ เปลี่ยนบรรยากาศให้ฝันหวานหวาน ราวกับจะมีหนุ่มสุพรรณคนหัวใจใสซื่อ ถือรักมั่นมาเดินเคียง ใน.. ท่ามฟ้ากว้างกระจ่างใสไสวหวาน ไปดูหมู่บ้าน *อนุรักษ์ควายไทย* และ.. จะไปค้างคืนที่นั่น ก่อนจะพากันไป... ล่องเรือบึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ(อุโมงค์ปลา) และ.. ไปกราบพระขอพรที่วัดพระนอนหงาย วัดไผ่โรงวัว กราบ.. หลวงพ่อโตที่วัดป่าเลไลยก์ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ไปเมืองอู่ทอง อนุสรณ์ดอนเจดีย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติชาวนาไทย อุทยานแห่งชาติพุเตย ตลาดร้อยปีที่สามชุก พระพุทธบาทที่วัดเขาสลัก และ นี่คือความหวังแสนงามนัก ที่สาวนาได้พาร่างใจไปสัมผัส ไปนอนใน..*หมู่บ้านควาย* ที่พี่ทองเล่าว่า จะมีธรรมชาติวิถีไทยวิถีทองวิถีทุ่งแบบเราๆ ที่ยังมีการอนุรักษ์เอาไว้ ให้ลูกหลานไทยได้เรียนรู้ถึง หมู่บ้านชาวนา ที่ยังมียุ้งข้าว มีเกวียนเทียมควาย ให้นั่งไปชมวิวทิวทัศน์แห่งท้องทุ่ง อันแสนจรุงหอมด้วยกลิ่นข้าวใหม่ มีลานแสดงควายไทย มีเล้าไก่ มีทุกสิ่ง ที่แสนดี ที่.. บางทีคนศิวิไลซ์ ลูกหลานไทยในเมือง อาจจะร้องทักควายว่า... นั่นอะไรๆ...ก็ได้ในวันหนึ่ง เมื่อโลกสุขซึ้ง.. ด้วยวิถีวัฒนธรรมพื้นบ้าน อันแสนหอมหวานดิบเดิม ได้มลายหายไปอย่างไร้ร่อยรอย.... เอาละ...อีกไม่กี่วันนี้ กับฟ้าสีฟ้าแจ่ม สาวนา.. จะพาหน้าแฉล้มด้วยกลิ่นโคลนสาบควาย ไปต่างถิ่นที่บ้าง เผื่อ...บางทีชีวีสาวนา ที่... ไปๆมาๆก็ยัง..*หนีรักในรอยไถ*..ไม่พ้น ก็ยังได้สัมผัสล้ำลึกในกมล ในความแปลกแผกที่ ได้.. กราบพระที่แสนศักดิ์สิทธิ์ในนิรมิตจิตใส ด้วยดวงใจแห่งศรัทธาปสาทะเพียรภาวนา ที่ตั้งมั่นเอาไว้ว่า *ไม่ว่าชาติหน้าชาติไหน หากยัง.. จำต้องชดใช้วิบากกรรมยังมิสิ้นมิหมด ก็.. ขอให้ได้กลับมาเกิด กับใจดวงหมดจดดวงดินดวงทองอันแสนผ่องใส ได้ใช้ชีวีแบบรักนารักไพร ไม่ขอเกิดในความศิวิไลซ์หากใจผู้คนแล้งไร้ ราววัตถุที่ไร้ชีวิตชีวาก็มิปาน...* สาวนาจึงยิ้มหวานๆ กับเจ้าลาแล้งและเจ้าสายน้ำ พร้อมกับขับขานบทเพลงแสนรัก ก่อนที่.. จะขี่มันไปอาบน้ำในบึงกว้างมิร้างแรมรัก เพื่อ.. จะทายทักบัวหลากสีสันพรรณราย ที่... กำลังพรายสวย...ชูช่ออ่อนหวาน อวดกลีบอรชรบอบบางบริสุทธิ์งาม ในท่ามโลกแล้งไร้.. และ.. เพื่อจะกลับมา.. มีพลังพลีหยาดเหงื่อด้วยแรงรัก เพื่อธำรง ยังคงรักนาทำนา ไปกับ.. *หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน* อย่างมิถวิลอายใคร... นอกเสียจาก.. มีเพียงพลังปิติเกษมภาคภูมิใจเสียไม่มี.. ................................ http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4610.html สาวสวนแตง สุรพล สมบัติเจริญ สาว สวนแตงแห่งเมืองสุพรรณ ชื่อเสียงน้องมาลือลั่น ดังโจษจันไปทั้งทั่วกรุง เพราะเข้าประกวด เทพีสวนแตงดาวรุ่ง ภาพเจ้ามาถึงกรุง เจ้าจึงพุ่งสู่ความสนใจ สาว สวนแตงเปลี่ยนแปลงศักดิ์ศรี ข่าวภาพน้องเป็นเทพี จึงได้มีชื่อเสียงเกริกไกร เสียงหนังสือพิมพ์ แมวมองหมายปองเจ้าไป สู่ดารายิ่งใหญ่ สู่กลิ่นไอของความลาวัลย์ ข่าว สังคมเขาชมไม่สร่าง วิทยุต่างต่างมีคนขอเพลงให้ฟังทั้งวัน กลัว เจ้าเพลินจนลืมสุพรรณ สวนแตงแหล่งเรารักมั่น เฝ้าคอยวันให้เจ้ากลับไป สาว สวนแตงแห่งเมืองสุพรรณ พี่คิดถึงเจ้าทุกวันคอยแจ่มจันทร์แม่แตงร่มใบ พื้นดินแล้งแห้ง ไร่แตงเหมือนคนหมองไหม้ โปรดไปเป็นขวัญใจ กลับสู่ไร่นะสาวสวนแตง ข่าว สังคมเขาชมไม่สร่าง วิทยุต่างต่างมีคนขอเพลงให้ฟังทั้งวัน กลัว เจ้าเพลินจนลืมสุพรรณ สวนแตงแหล่งเรารักมั่น เฝ้าคอยวันให้เจ้ากลับไป สาว สวนแตงแห่งเมืองสุพรรณ พี่คิดถึงเจ้าทุกวันคอยแจ่มจันทร์แม่แตงร่มใบ พื้นดินแล้งแห้ง ไร่แตงเหมือนคนหมองไหม้ โปรดไปเป็นขวัญใจ กลับสู่ไร่นะสาวสวนแตง... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song2962.html หนุ่มสุพรรณ คาราบาว ตัวฉันเกิดมา เป็นหนุ่มสุพรรณ ทำนาตากแดดทั้งวัน จนตัวฉันนั้น มันดำปิ๊ดปี๊ สำเนียงภาษา ฟังดู ก็เชยสิ้นดี เพื่อนฝูงล้อกันป่นปี้ ว่าพี่ก็หมา น้องก็หมา ช่างหัวประไรจะล้อยังไง ไม่เห็นสำคัญ สำเนียงมันเหน่อยังงั้น แต่หัวใจฉัน มันเหน่อเมื่อไร สมมติว่ามี นะ สาวๆมานึกเห็นใจนะ เวลาไปไหนมาไหน ก็ให้เธอพูดว่าเราก็มา แต่นี้ ต่อไป เห็นทีจะไม่เหน่อแล้ว เมื่อมี น้องแก้ว คอยสอน ให้เจรจา สวัสดีครับ ผมก็มา แฟนผมก็มา เราสองคนต่างคนต่างมา เห็นไม๊ละว่า หมาทั้งสองคน โฮ้ง ตัวฉันเกิดมา เป็นหนุ่มสุพรรณ ทำนาตากแดดทั้งวัน จนตัวฉันนั้น มันดำปิ๊ดปี๊ สำเนียงภาษา ฟังดู ก็เชยสิ้นดี เพื่อนฝูงล้อกันป่นปี้ ว่าพี่ก็หมา น้องก็หมา ช่างหัวประไรจะล้อยังไง ไม่เห็นสำคัญ สำเนียงมันเหน่อยังงั้น แต่หัวใจฉัน มันเหน่อเมื่อไร สมมติว่ามี นะ สาวๆมานึกเห็นใจนะ เวลาไปไหนมาไหน ก็ให้เธอพูดว่าเราก็มา แต่นี้ ต่อไป เห็นทีจะไม่เหน่อแล้ว เมื่อมี น้องแก้ว คอยสอน ให้เจรจา สวัสดีครับ ผมก็มา แฟนผมก็มา เราสองคนต่างคนต่างมา เห็นไม๊ละว่า หมากันทั้งสองคน โฮ้งๆ...
1 พฤศจิกายน 2548 17:15 น. - comment id 530841
สวัสดีค่ะ มะกรูดอ่านเรื่องราวเมื่อสุพรรณ ทำให้นั่งยิ้มเลยคะ เพราะทำไม? ไม่รู้ จึงผูกพันกับคนสุพรรณเสียจริง... ผู้มีพระคุณที่สุดในชีวิต ก็เป็นคนเมืองสุพรรณบุรี ผู้ที่มีหัวใจพร้อมจะดูแลป้อง ก็เป็นคนเมืองสุพรรณบุรี มะกรูดว่าน่าอยู่นะคะ เพราะเป็นพี้นที่ราบ ไม่มีภูเขา เหมือนจะอุดมสมบูรณ์ หากทำไร่นา สวน ......
1 พฤศจิกายน 2548 09:01 น. - comment id 533914
สาวนา แนะนำเมือง *สุพรรณเมืองฝันหวานค่ะ http://www.thai-tour.com/thai-tour/Central/Suphanburi/main.htm http://www.relaxzy.com/province/suphanburi/ http://www.hamanan.com/tour/supranburi/buffalovillage.html http://www.hamanan.com/tour/supranburi/ http://www.geocities.com/suphantown/tour.htm สุพรรณบุรี มีความเจริญมาตั้งแต่ครั้งสมัยทวารวดี เดิม ชื่อเมืองพันธุมบุรี สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1420-1425 ซึ่ง ปัจจุบันคือริมฝั่งซ้ายของแม่น้ำท่าจีน บริเวณตำบลรั้วใหญ่ ต่อกับตำบลพิหารแดง ต่อมาเมื่อสิ้นยุคพันธุมบุรี พระเจ้า กาแต (เชื้อสายไทยปนพม่า) ได้เสด็จเสวยราชย์ต่อ แล้วย้าย เมืองมาอยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำท่าจีน ทรงสร้างวัดสนาม ไชย และบูรณะวัดป่าเลไลยก์ แล้วชักชวนข้าราชการออก บวช 2,000 คน ชื่อของเมืองจึงเปลี่ยนมาเป็น สองพันบุรี ต่อมาพระเจ้าอู่ทองได้ย้ายที่ตั้งเมืองไปอยู่ทางฝั่งใต้ (ทิศตะวันตกของแม่น้ำท่าจีน) แล้วเมืองนี้จึงมีชื่อใหม่ว่า อู่ทอง จน กระทั่งถึงสมัยขุนหลวงพระงั่วจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น \"สุพรรณบุรี\" เป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญมาก ผ่านศึกสงครามบอบช้ำ มาตลอด จนถึงยุครัตนโกสินทร์ในสมัยรัชกาลที่ 6 เมืองสุพรรณบุรีก็ได้รวมตัวกันขึ้นมา อยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำท่า จีน (แม่น้ำสุพรรณ) ในปัจจุบันนี้ อาณาเขต ทิศเหนือ ติดต่อจังหวัดชัยนาท และจังหวัดอุทัยธานี ทิศใต้ ติดต่อจังหวัดอ่างทอง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดสิงห์บุรี ทิศตะวันออก ติดต่อจังหวัดนครปฐม ทิศตะวันตก ติดต่อจังหวัดกาญจนบุรี เทศกาลงานประเพณี 1. งานอนุสรณ์ดอนเจดีย์ ณ บริเวณพระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ อำเภอดอนเจดีย์ มีการแสดง ยุทธหัตถีชนช้างเทิดพระเกียรติการออกร้านของอำเภอและหน่วยราชการ ต่าง ๆ รวมทั้งการแสดงมหรสพ งานนี้จะจัดในช่วงปลายเดือนมกราคม ระยะเวลาประมาณ 9 วัน 2. ประเพณีกำฟ้า.. เป็นวัฒนธรรมเก่าแก่ของไทยพวน แบ่งเป็น 2 ช่วงคือวันขึ้น 3 และ 7 ค่ำ เดือนกุมภาพันธ์ วันกำฟ้าจะหยุดทำงานและเตรียมอาหารขนมหวาน คือ ข้าวหลาม นำไปถวายพระ เมื่อถึงกลางคืนจะมีงานเลี้ยงฉลอง ประเพณีนี้ ยังคงมีอยู่ในหมู่บ้านไทยพวน 3. ประเพณีแต่งงานของไทยโซ่ง พิธีแต่งงานดั้งเดิมของไทยโซ่ง ตำบลสวนแตง อำเภอเมือง ตำบลบ้านดอน ดอนมะเกลือ หนองแดง อำเภออู่ทอง หลังจากที่ได้รับอนุญาตจากฝ่ายเจ้า สาวแล้ว เจ้าบ่าวจะจัดงานในวันขึ้น 1 ค่ำจนถึง 13 ต่ำของเดือนมีนาคม พฤษภาคม กรกฎาคม และ พฤศจิกายน 4. ประเพณีบุญบั้งไฟ จัดขึ้นในหมู่ไทยพวน ไทยเวียง ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนพฤษภาคม เพื่อเป็นการบูชาเทวดาให้ฝนตกตามฤดูกาล มีการจัดเตรียมบั้งไฟแห่แหนไปวัด และยิงบั้งไฟที่วัด ปัจจุบันยังคงหาดูได้ในตำบลต่างๆ ในอำเภออู่ทอง และอำเภอบางปลาม้า 5. งานเทศกาลทิ้งกระจาด กำหนดจัดงานหลังสารทจีนไป 3 วัน เริ่มวันที่ 18 เดือน 7 ของจีน ตรง กับเดือน 9 ของไทย ราวเดือนสิงหาคม-กันยายน สถานที่จัดงานอยู่ในเขต เทศบาล ตั้งแต่สมาคมตงฮั้วฮ่วยก้วง จนถึงด้านหลังเทศบาลเมืองฯ 6. ประเพณีตักบาตรเทโว หลังจากออกพรรษาแล้วในเดือนตุลาคม จะมีการนำอาหาร ขนม โดย เฉพาะอย่างยิ่งขนมต้มลูกโยนใส่บาตรถวายแด่พระสงฆ์ สถานที่น่าสนใจ 1. วัดป่าเลไลยก์ เป็นวัดเก่าแก่ตั้งอยู่ริมถนนมาลัยแมน ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมือง อยู่ทางฝั่งตะวันตก ของลำน้ำสุพรรณ ห่างจากศาลากลางจังหวัดประมาณ 4 กิโลเมตร ชาวบ้านทั่วไป เรียกว่า \"วัดป่า\" ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อโตปางป่าเลไลยก์ ซึ่งเป็นที่ เคารพนับถือมาก แต่เดิมหลวงพ่อโตเป็นพระปางปฐมเทศนา ต่อมาได้มีการบูรณะ ซ่อมแซมใหม่ และทำเป็นปางป่าเลไลยก์ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทุกปีจะมีงาน นมัสการหลวงพ่อวัดป่าเลไลยก์ปีละ 2 ครั้ง ในเดือน 5 และเดือน 12 ตั้งแต่วันขึ้น 7-9 ค่ำ 2. วัดสนามไชย ตั้งอยู่หมู่ที่ 5 ตำบลสนามไชย อำเภอเมือง ห่างจากริมฝั่งทิศตะวันออกของแม่น้ำสุพรรณ 1 กิโลเมตร ปัจจุบันเป็นวัดร้าง เหลือแต่ซากเจดีย์ทางด้านเหนือเพียงซีกเดียว ซากเจดีย์นี้ใหญ่โตมาก ประมาณว่า ถ้าหากอยู่ในสภาพสมบูรณ์จะมีความ สูงประมาณ 70-80 เมตร เมื่อต้นปี พ.ศ. 2505 กรมศิลปากรได้ขุดแต่งองค์เจดีย์เพื่อหาโบราณวัตถุ แต่ไม่พบอะไร คง เป็นเพราะได้ถูกคนลักลอบขุดค้นไปหมดเมื่อหลายปีมาแล้ว เพียงแต่พบอัฐิธาตุของคน ซึ่งสันนิษฐานไว้ทางหนึ่งว่าเป็นอัฐิ ของทหารนักรบโบราณ ที่เสียชีวิตในสงคราม จึงให้นามเจดีย์นี้ว่า \"เจดีย์ทหารนิรนาม\" 3. วัดพระนอนและอุทยานมัจฉา ตั้งอยู่ที่ตำบลพิหารแดง อำเภอเมือง ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นวัด เก่าแก่สมัยอู่ทองสุพรรณภูมิที่ปรักหักพังแล้ว และได้บูรณะขึ้นใหม่ในสมัยปัจจุบัน มี รูปปั้นพระนอนในลักษณะนอนหงาย สร้างเท่าขนาดคนจริงสมัยโบราณ ลักษณะ เหมือนพระนอนที่เมืองกุสินารา ประเทศอินเดีย ที่วัดพระนอนนี้มีแม่น้ำท่าจีนไหล ผ่าน ท่านเจ้าอาวาสได้เลี้ยงปลาไว้ ตั้งแต่ปี 2516 มีทั้งปลาสวาย ปลาตะเพียน ปลาแรด ปลาตะโกก ปลายี่สก จำนวนนับแสนตัว 4. อนุสรณ์ดอนเจดีย์ อยู่ที่ตำบลดอนเจดีย์ อำเภอดอนเจดีย์ ห่างจากตัวเมืองประมาณ 31 กิโลเมตร เป็นเจดีย์ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะในการทำยุทธหัตถี กับพระมหาอุปราชาแห่งพม่า ค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2456 ในสภาพยอด หักชำรุดเหลือแต่ฐาน จนกระทั่งปี พ.ศ. 2495 รัฐบาลได้บูรณะเจดีย์ขึ้นใหม่ โดยสร้างองค์ใหม่ครอบเจดีย์เดิมไว้ และ หล่อพระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ประทับอยู่บนคอช้างประดิษฐานอยู่หน้าพระเจดีย์ ทุกปีจะมีงานฉลอง อนุสาวรีย์ขึ้น ในวันที่ 25 มกราคม ซึ่งถือเป็นวันกองทัพไทย มีการแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ การละเล่นพื้นบ้านและ การออกร้านสมโภชต่าง ๆ เป็นเวลา 7 วัน 7 คืน 5. วัดไผ่โรงวัว สร้างขึ้นในสมัยปัจจุบันประมาณปี 2469 อยู่ที่ตำบลบางตาเถร ริมคลองพระยาบันลือ อำเภอสองพี่น้อง เป็นที่ประดิษฐาน \"พระพุทธโคดม\" ซึ่งเป็นพระพุทธรูปหล่อโลหะที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีขนาดหน้าตักกว้าง 10 เมตร สูง 26 เมตร ภายในบริเวณวัดมีสิ่งก่อสร้างเกี่ยวกับพุทธศาสนา เช่น วังสามฤดูของเจ้าชายสิทธัตถะ สถานที่แสดงปฐมเทศนา ตรัสรู้ และปรินิพพาน เมืองนรก เป็นต้น การเดินทางใช้เส้นทางหมายเลข 321 ไปอำเภอสองพี่น้องแล้วแยกขวาไปวัดไผ่โรงวัว ........... สินค้าของที่ระลึก สาลี่ แห้วจีน หน่อไม้ฝรั่ง เครื่องจักสาน
1 พฤศจิกายน 2548 10:27 น. - comment id 533920
แวะมาอ่าน อ่านจนตาลายเลย แวะมาทักทายค่ะ
1 พฤศจิกายน 2548 11:44 น. - comment id 533981
วันนี้มาอ่านเรื่องเมืองสุพรรณ จากพี่สาวคนดีค่ะ...... ได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีกเยอะเลยจ้าาาา......
1 พฤศจิกายน 2548 12:46 น. - comment id 534014
สาวงามแห่งพงไพรครับ พูดถึงสวนแตงตอนผมไปเที่ยวมานะครับ ผมยอมรับว่าในแผ่นดินไทยนี้ที่ผมเที่ยวนะครับ น้อยมากจะหาหญิงงามใดๆเท่าที่แห่งนี้นะครับ เธอสวยจริงๆแต่ทว่าก็แก่เร็วๆจริงๆครับ เคยคุยกับเจ้าถิ่นแล้วเขาว่าพอแตกวัยสาวจะไม่ เหลือเลยนอกจากคนที่แต่งงานแล้วเท่านั้น จริงๆครับ ผมไปนอนค้างคืนที่นี่มาสองสามคืน ประเพณีที่นี่ยังนับถือผีอยู่ครับ หวังว่าคงมีอะไรๆดีๆ มาฝากเช่นเคยนะครับ แก้วประเสริฐ.
2 พฤศจิกายน 2548 20:01 น. - comment id 535500
อยากจะเห็นสาวนาขี่หลังควาย คงจะเป็นภาพที่ตลกพิลึกเป็นแน่จ้า