http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song129.html ................ ข้างนอก...ฝนกำลังกระหน่ำหนัก สายวสันต์พร่างพรายพร้อย.. พร้อมสายลมแรง พาให้เกิดม่านหมอกปกคลุมไปทั่ว ละอองไอเย็นพรายเข้ามาทางหน้าต่าง ที่ตั้งใจเปิดไว้.. ด้านที่มีชายคา แมกไม้ไทย ใบบัง ให้ได้รับหวานหอม อวลกลิ่นลีลาวดีและแก้วตระการ ที่ ณ..บัดนี้ พากันผลิบานสยายกลีบ สะพรั่งพรึบ รับหยาดละออน้ำค้างณ กลางหาว ราวน้ำตานางฟ้า..ที่กำลังพร่างพรม พายุพัดแรง จนเรือนจำปีไหวเอน บทเพลงแห่งสายฝน.. สาย ฝัน ดนตรีสวรรค์เริ่มบรรเลง... ดนตรีไพร ดนตรีเมือง กำลังระรินร่ำพรำพรม ไปตามบทเพลงแห่งฤดูกาล ให้ทุกดวงใจเบ่งบาน ราวดอกไม้ ได้น้ำ.. นาได้ฝน ทั้งคนเมือง คนชนบท ได้พบ ถวิลหวัง ....รานร้าวเศร้าสุขปะปน กันไป... คนละใจคนละคิดคนละทิศ ทุกทาง ทั่วไทย และ.. ตามงามรู้สึกสำนึก ในคนละบรรยากาศที่วาดหวังไว้ คนเมือง... อาจจะมีอารมณ์... ทั้งรักทั้งชังทั้งหวังทั้งหวานทั้งขมชื่น มิชื่นทรวง ยามเห็นรวงฝนหว่านเม็ดปรายโปรย เพราะมาตรแม้น ใจจะรักแสนรัก..สายฝน..มากสักปานไหน ที่แสนจะก่อให้เกิดอารมณ์หวามไหวโรแมนติก หากไหนจะต้อง..ลุยคลอง..กลับบ้าน จำต้องนั่งอยู่ในรถที่การจราจรติดขัดนานนับชั่วโมงๆ ซึ่งคิดดูก็แสนแปลกดี ที่หลายชีวีอุตส่าห์หนี...*กลิ่นโคลนสาบควาย* ยังได้มาเวียนว่ายใช้ชีวิตเที่ยวท่อง เหลือเพียง..จะต้อง..พายเรือลอยล่องเล่นน้ำ ในถนนแทบทุกสายแบบขวัญเรียม.. แบบเวนิซตะวันออก ประมาณนี้ ประมาณนั้น.. หาก..จริงๆแล้ว ..! *นี่คือสัจจะ สอนชีวิต สอนใจ* หากเรา มี..ดวงตาเห็นธรรม ..ในธรรมชาติ แห่งฤดูกาล ว่า. เรามิบังอาจสอนสั่งให้ฟ้าดินเลิกนั่นทำนี่* ราวกับร่างกายเรานี้ ที่เกิดมาแล้วจะมากำกับว่า อย่าให้แก่ เจ็บ และตาย ก็คล้ายคลึงกัน เพราะฉะนั้น...จึงควรเห็นเช่นฉะนี้... ว่า ร่างกายเรา..*คือธรรมชาติ..*เฉกเช่นกันนะดวงใจ อย่าได้ไปหลงยึดมั่นถือมั่นให้มาก วันหนึ่งมี วันหนึ่ง..ยังหายใจอยู่ดีดี อีกวัน...อีกไม่กี่นาที..ก็พลันหายวับ สลับร่างไปไหน...ก็ไม่รู้แล้ว.. เช่นเดียวกันกับอารมณ์รัก... ที่มินานนักจักแปรไป ...ใช่คงที่คงทน..! มีแต่พากมลให้มืดบอด... หาก..ไม่รู้รักเย็น..รักเป็น..เห็นงาม..*ให้* จงอย่าได้ประมาทเตรียมกมลเตรียมใจ ยอมรับความผิดหวังเสียใจ.. ที่อาจจะมีทั้งหวานชื่นขื่นขม ดีร้าย ยามลองเล่นกับ..*ไฟรัก.*.ที่มักลามเลียเผาไหม้ ให้จงรู้ระวัง.. และ.. หากทุกดวงใจคนเมือง แทนที่จะไม่ประเทืองประทับใจกับสภาพรถติด ก็น่าจะนำบรรยากาศรายรอบมาพินิจ...แล้วปลงให้ตก.. ไปกับอนิจจัง นาฎกรรมลีลาแห่งฤดูกาลฤดีระกำ...จะดีกว่านะดวงใจ.. ว่าเแล้ว สำหรับ ชาวนาชาวไร่..กลับดีใจ ดั่งคำว่าปลากระดี่ได้น้ำ ที่ยามนี้คงกระโดดผึงตึงตัวเริงร่ารับน้ำฟ้ารับฝนพรำ กบเขียดในนาคงพากันร้องฮึมฮัม ฮัมฮัม พากันตะเบงเสียง ราวกับเป็นคอรัสให้ไปกับดนตรีฝนวงใหญ่ ที่กำลัง.. หว่านไพรหว่านนา หว่านให้ข้าวกล้าได้ชื่นฉ่ำ รอวันผลิรวงเรียวระย้าย้อย *ห้อยราวรวงเพชรอัญมณีทุ่งอัญมณีไทยที่กินเข้าไปได้ให้ท้องอิ่ม* กลับมา.. ยังวิมานดิน.. ในอารมณ์ถวิลเหว่ว้า ของเจ้าของวิมานไพรวิมานวนา..จะดีกว่า.. ที่ณ..บัดนี้ ..! นอนหลับตานิ่งๆ.. ฟังเสียงสายฝนแสนพริ้งพราว พร้อมรับหนาวละออง บนเตียงโบราณ ที่หว่านพราวด้วยดวงดอกมะลิขาวนวลไว้ริมหมอน ให้หอมซ่าน สราญสุข ในมโนนึก...แสนสงบงาม ทุกคราคราว... ที่ได้ยินเสียงฝนพรำพรม ให้กมลราวดอกไม้แสนหวานฉ่ำชุ่มชื่นราวพฤกษ์ไพร..เช่นเฉกกัน ที่กำลังผลิดวงดอกขวัญ..ฝัน..สวรรค์หวาน ปล่อยให้...เสียงธรรมชาติ แสนหวาน.. มาหว่านดวงดอกฝน มาเคล้าคลุกนวลเนื้อกมลละมุนให้ละไมละเมียด ให้ได้ทบทวนหวนย้อน ให้มองเห็น * ความผ่านมาผ่านไปในทุกข์ทุกผัสสะ* ที่มากเรื่องราว..รัก รัดร้อย เกี่ยวสร้อยไปกับ..*สายฝนสายฝันสายสวรรค์สวาทเสน่หา* ที่ ณ..บัดนี้ .. พลัน ลับลา ลาง เลือน ไร้ร่องรอย ราวม่านหมอก ถูกแดดหยอกพรายในยามสาย แล้ว...สลายมลายหายวับไป....กับกาลเวลา ใช่จีรัง... ทิ้งไว้เพียงบทเรียนรัก ชัง สิ้นหวังหวาน มิอาจย้อนรอยถอยคืนหลังได้ดั่งหวัง ดั่งใจ ต่อไปอีกแล้ว ... ที่มาตรแม้น... เคยหอมหวาน...จารจรุงจรัส หอมกรุ่น..สักปานใดในรู้สึก ก็แค่ นึกรู้ เท่าทัน และ. เพียงแค่. ปรารถนามาปันพลี เพียรบอกทุกคนดีทุกดวงใจ...คนดี..ที่แสนรักในกมล ให้ได้ตระหนัก ชัด ถึง สัจจะใจ สัจจธรรม ในเส้นทางแห่งนี้ *ที่เรียกกันว่า*เส้นทางสายโศกแห่งชีวิต* ..................... ............................. http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song129.html หยาดน้ำจากตา นางฟ้าที่ตรมอารมณ์ หลั่งความขื่นขมที่ถมอยู่ใน ใจตน หยาดย้อยจากปรางสวรรค์เบื้องบน สู่กลางแก้มดินในฐานถิ่นคน นั้นคือหยาดฝน ฉ่ำใจ สาดสายพร่างพรายพรมผืนไร่นา แนวเนิน ป่าดอนโขดเขินคลองขลุงทุ่งหนอง นองไป หล่อเลี้ยงพืชพันธ์ มีผลดอกใบ โลกเคยหลับไหล พลันฝืนตื่นใจ สวยงามสดใส จริงเอย ทอแสงทองอาทิตย์ทาบทา พลันน้ำตานางฟ้าระเหย เป็นละอองไอน้ำอย่างเคย ถูกลมรำเพย พัดเลยลอยวน หยาดน้ำจากตา นางฟ้าที่ตรมอารมณ์ ฝากมากับลมเป็นฝนพร่างพรม ใจคน แต่น้ำจากตาตอนช้ำกมล ที่เราหลั่งลอย ระเหยกี่หน ถึงกลายเป็นฝน ฉ่ำใจ ทอแสงทองอาทิตย์ทาบทา พลันน้ำตานางฟ้าระเหย เป็นละอองไอน้ำอย่างเคย ถูกลมรำเพย พัดเลยลอยวน หยาดน้ำจากตา นางฟ้าที่ตรมอารมณ์ ฝากมากับลมเป็นฝนพร่างพรม ใจคน แต่น้ำจากตาตอนช้ำกมล ที่เราหลั่งลอย ระเหยกี่หน ถึงกลายเป็นฝน ฉ่ำใจ...
31 พฤษภาคม 2548 11:32 น. - comment id 473208
อืม...ระพันได้สวยงามจิงๆ คะพี่พุด อ่านแล้วเห็นภาพเล้ย...ชื่นชมผลงานจ้า *ว่างก้อไปติชมผลงานของวลีฝันบ้างนะ อิอิ
31 พฤษภาคม 2548 12:38 น. - comment id 473246
หน้าฝน...เวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด จะเจอทุ่งนาเขียวๆ ดูแล้วสบายตาดีจังค่ะ มีฝนให้เย็นฉ่ำ ดีกว่าแล้ง เป็นไหนๆ เนอะคะพี่พุด ......................................................................... ลี่...ผู้มาเยือน .
31 พฤษภาคม 2548 13:47 น. - comment id 473325
ดอกฝน ดินหอมและดวงดอกไม้ ฟ้าอุ้มฝน..หนักจนทานทนไม่ได้ ในปลายฤดู...ปล่อยให้ร่วงหล่นพรายพร่าง เป็นสายๆรายๆริ้วๆพลิ้วพร่างพรม หยาดลงจากผืนฟ้า แตะต้องผืนดิน... พาให้เนืองนอง ชุ่มฉ่ำ...... ฉัน....นั่งดูสายฝน ในค่ำคืนนี้..กับแสงเทียนวับแวม กับแจกันดินเผา ที่บรรจุกุหลาบแดงและดวงดอกบานชื่นหลากสี ที่เพิ่งเก็บมาจากราวป่านอกเมือง... เสียงฝนจั๊กๆๆ..ราวกับฟ้ารั่ว..และค่อยๆซ่า ซ่า ซา ซา จนเปาะแปะ เปาะแปะ ปรอย ปรอย...... พาให้ดวงใจปลิดปลิว ล่องลอยไปตามสายฝนพรำ กับความทรงจำหวานหอม...เนานาน ในบางฤดูกาลแห่งชีวิต..........ที่ผ่านปลายฝนต้นหนาวมาหลายสิบฤดู........... คิดถึง..บ้านพักบนเชิงผา ที่เกาะเต่า..เกาะสวรรค์ที่ยังบริสุทธิ์ใสในอ่าวไทย ในปลายฝนหนึ่งนานมา..และเคยนั่งเฝ้าดูสายฝน..พราย ที่ตกต้องแต้มท้องทะเล สีคราม เวิ้งว้าง กว้างไกลสุดตา ให้มีดวงดอกฝน แสนหวาน บานไล่ๆกันไป จนเต็มทะเลกว้าง ช่างแสนงามเศร้า งามซึ้งไหวอยู่ในใจดายเดียวดวงงาม... ให้งอก งอก ดวงดอกแห่งความคิดถึง..คิดถึง และคิดถึง ใครบางคนในยามนั้นที่แสนรัก แสนเสน่หา จนหมดใจ......... ดอกฝน..ดอกฝัน..กับผู้หญิงคนนี้ที่ช่างฝัน ช่างหวั่นไหว ช่างไปด้วยกันได้ดีราวฟ้าประทาน.... ดอกไม้..แห่งความฝัน บานพร้อมๆกันไปในยามธรรมชาติ..แปรเปลี่ยน..หมุนเวียนใน ทุกฤดูกาลแห่งชีวิต........ ฉัน...ชอบนั่งดู..ดอกฝน ไม่ว่าจะอยู่หนใด ในหรือนอกประเทศ........ บางฤดูกาล..เคยนั่งเคเบิลคาร์พาใจไปสัมผัสคืนฝนพรำ ที่เกาะเซนโตซ่า อย่างดายเดียว และเงียบเหงาใจอย่างคนไกลบ้าน... เคย...ว่ายน้ำ สนอร์เกิล ที่เกาะพีพี และมีฝูงปลาว่ายวน เป็นเพื่อนใจ ในบ้านของเรา......... เคย...นั่งรถไปไกล..จนถึงกว๊านพะเยา..มองสายฝนตกต้องทะเลสาบที่งามหวามไหวไปอีกแบบหนึ่ง และอย่างอ้างว้างว้าเหว่ใจ ไปกับเทาทึมของทะเลฝน..บนภูภาคเหนือ........ เคย..และเคย..อาบน้ำกลางทะเล หลายถิ่นที่ โดยหารู้ไม่ว่าเสี่ยงกับการที่ฟ้าจะพิโรธ เพราะยังเด็กนัก มีแต่ดวงใจรักที่ถูกใจคนผ่าแยกแตกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยพิษรักร้าวระบมแห่งเสน่หาอาวรณ์อาลัย........ ผ่านมาและผ่านไป ไม่ว่าฤดูที่หมุนไป และฤดีที่หมุนวน.......... ผ่านเรื่องราวมากมี..ทั้งหวัง ทั้งหวาน ทั้งเศร้า ทั้งสุข ที่ยังคงติดตรึงใจ อยู่ในความทรงจำ.......... รู้เพียงว่า..อากาศหลังฝนตกนั้น ช่างหอมชื่น อบอวล ยามที่อยู่ในชนบททุ่งกว้าง...... เคยนั่งติดฝน..ในกระท่อมบนเชิงเขา ที่หุบเขาใหญ่ไพรกว้าง...พลันก็ได้หวานๆหอมๆ กำจรจรุงจากดอกไม้ป่าที่บานสะพรั่งรับหยาดน้ำค้างจากดงพฤกษ์ไพร... แทรกหวานมากับสายลมผ่าน จนจำติดใจมาจนถึงวันนี้........ นี่คือสิ่งงามงด หมดจด สวยใส แสนงาม แสนประทับใจ...ที่ฤดูกาลกำนัล ให้แด่คนช่างฝัน....... ได้ซาบซึ้ง ซึมซับ รับรู้ กับสายฝน และลมบน กับทุกสิ่งที่แสนดี นี้ บนผืนโลก..ของเรา........ และ....ค่ำคืนนี้...ในความงามของคืนที่...ฝนกำลังสั่งฟ้า... ฉันเปิดเพลง แสนหวานนี้คลอเคล้า..เพื่อกำนัลแด่...เธอ..นะคนดี...... ฝากผ่าน ฟ้ากว้าง ทางช้างเผือก กับลมหนาวที่โบกโบยทายทัก เพื่อให้ดวงใจรักและกายของเธอได้หนาวคลาย......... ดวงดาว...ดอกไม้หวานหวาน ที่กำลังบานสะพรั่งทุกแห่งหน ก็กำลังเงี่ยหูฟัง พร้อมกันกับเธอนะยอดดวงใจ ...........
31 พฤษภาคม 2548 14:58 น. - comment id 473353
ฤดูฤดีครวญ ฉัน...ตื่นขึ้นมาด้วยเสียงสายฝนกระหน่ำที่ซ้ำซัดซาดหลังคา กราว กราว.... และเสียงพายุ กรูเกรียว หวีดหวิว... เสียงกิ่งจำปี ที่ติดกับหน้าต่างห้องนอน เสียดสีหลังคาซัดส่ายใบ ไปมาตามแรงลมไหว กระแทกกระทั้น ราวกับเสียงของดนตรีเฮฟวี่... ฉัน...เหลือบดูนาฬิกา..เป็นเวลาตีสามครึ่ง........ หอมหวานของจำปี และเล็บมือนางริมรั้ว แทรกมากับ..สายฝนฉ่ำฟ้า.... ฉัน..นอนนิ่งๆ..ดูฟ้าที่สลัวมัวหม่น ฉ่ำชื่น กับหยาดละอองฝนพรมพรำที่กระทบหลังคา และหยาดลงมาเป็นสายพรายพลิ้ว.... ปลายฝน...แล้วสินะ....แต่จะมีต้นหนาวมาเยือนหรือไม่ ยังไม่แน่... เพราะ.... ฤดูกาล..เปลี่ยนแปรไปหมดสิ้นแล้ว... บางครั้ง..ฤดูกาล..ก็เปรียบได้ดั่ง\"ใจคน\"เรานี้ที่มีแต่เร่าร้อน ทุรนทุราย..ไร้หนาว ไร้ฝน ไร้โรแมนติก ไร้สิ้นแสงดาว ไร้ความอ่อนหวาน อ่อนไหว ภายในใจ...ที่ต้องสับสนหาเช้ากินค่ำกับยุคนี้ ที่เศรษฐกิจทรุด ผู้คนทั้งประเทศ แทบหยุดหายใจ หยุดความเจริญเติบโต....... ฉันลงมา..ต้มน้ำชงกาแฟ..เปิดเพลงของ ฮอทเปบเปอร์ เริ่มด้วยเพลงนี้ที่มีชื่อว่า \"หัวใจสลาย.........\" \"ดั่งแก้วบางเค้าทุบทิ้งแตก ใจฉันแหลกเพราะน้ำมือเธอ ปวดอกช้ำ คร่ำครวญ พร่ำเพ้อ เคยไหมเธอจะเหลือบเหลียวมา คำทุกคำล้วนซ่อนหยามเหยียด ทั้งรังเกียจลดเลี้ยวระอา เทิดทูนเธอ ดั่งเจ้าชีวา ไยถึงฆ่าฉันลง คงเป็นสุข ได้สมดังใจ ลวงคนให้คลั่งไคล้เหมือนนกเพลินกรง ฆ่าฉันฆาตกรรมได้แสนบรรจง เกินดวงจิตพะวงไว้ใจ ดั่งเหมือนถูกทับไว้ใต้โลก น้ำตาตกทุกค่ำคืนวัน ทุกข์โทษใครให้คนขบขัน \"ใจฉันมันง่ายเอง\" เพลงแสนเศร้ารานร้าว บาดใจ คลอเคล้าไปกับสายฝนและลมเย็นยามใกล้รุ่ง.. ลอยละล่อง...ฝากไปกับแสงดาว เคล้าแสงเดือนกับคืนฟ้าหม่น..... เพื่อเป็นเพื่อนปลอบประโลมใจ ให้กับใจทุกดวงที่รานร้าวพอกัน........ เปิดประตูครัวออกไป.... ในท่ามกลางสายฝนหม่นมัว..ฉันมองเห็น..ร่มเงาไม้ในความมืด ราวเริงร่า ยินดี ที่ได้รับหยาดฝนพรำ ให้ดอกใบนั้นเขียวขจี สดสีงาม.. ในความหนักหน่วงของพายุ..และสายฝนนั้น..คือความฉ่ำชื้น ให้ผืนดินและพืชพันธุ์ได้อุดม.. กลิ่นกาแฟ..หอมๆที่ฉันนำมารับประทานกับกล้วยน้ำว้าผ่าเป็นสี่ซีก เป็นอาหารเช้ายามใกล้รุ่ง แบบไทยๆปนฝรั่ง ที่ไปกันไม่ค่อยได้ แต่ใจฉันชอบเสียอย่าง... เลยง่ายงามแบบกล้วยๆ ที่อุดมด้วยวิตามิน... จุดเทียนเจลหอมๆ...ในขวดโหลเล็กๆ ข้างในนั้นจัดเป็น\"โลกสีครามใต้ท้องทะเล\"ที่ดูเร้นลับ น่าพิศวง..ว่าเอามือเข้าไปจัดได้ยังไง... ทันทีที่..แสงเทียนสว่างวาบ \"โลกสีน้ำเงินงามก็พลันวับแวม หวามไหว ล้อลม งามล้ำ มาตั้งล้อหลอกใจอยู่ตรงหน้าฉัน\" แสงเทียนวับแวมนี้ บันดาลใจให้ฉันรจนาเรื่อง\"ปลายฝน ต้นหนาว\"ในยามค่ำคืนนี้..อย่างเงียบงาม... เมื่อวานนี้.... ฉัน...ได้ไปเด็ดดอกไม้ริมรั้ว บ้านร้าง มาอีกแล้ว เป็นพันธุ์ไม้ดอก แสนสวย จับใจ ฉันเสียเหลือเกิน ดอกไม้นั้นคือ..ชบาฮาวายดอกใหญ่เท่าจานหลากสี ดอกพู่ระหงสีแดง ใบนั้นมีฟอร์มเป็นรูปไข่ สีเขียวเป็นมัน กลีบดอกสีแดงหรือสีส้ม จะแผ่โค้งไปด้านหลัง ปลายกลีบเป็นแฉก และหยักเป็นริ้ว ดอกห้อยลงมาแสนอ่อนหวานและอ่อนโยน.... ฉัน..รวบรวม..ดอกไม้นานาพรรณ มาจัดในชามอ่างดินเผา อย่างทะนุถนอมเบามือ..... ดอกไม้ธรรมชาติ ธรรมดาๆ ที่ดูพื้นๆ กลับดูดีและแสนสวยแสนงาม เมื่อนำมารวมสลับสีกัน เข็มแดง เล็บมือนางที่มีสามสี ขาวนวล และ ชมพู โมก ชบาบานพราว เคล้าแซมใบโกศลเหลือบเขียว และพู่ระหง..ห้อยย้อยดอกดวงพวงพู่..... ไม่ต้องอาศัยฝีมือมาก..แค่นำมาวางรวมกัน ก็กลายกลับเป็น \"ดอกไม้ที่มีเสน่ห์งามล้ำแบบเรียบง่าย\"อย่างไม่มีที่ติ.แสนชื่นตาชื่นใจ...ดีกว่าดอกไม้ที่บรรจงจัดหรู ดูราวเสแสร้ง..แม้จะอยู่ในแจกันแพงแสนแพง...ก็ตามที....... ฉันฝัน..เสมอมาว่า.... ชีวิตและบ้านหลังสุดท้ายของฉันนั้น ที่จะอยู่และฝังฝากกายใจ ไปจนตราบลมหายใจสุดท้ายแห่งชีวิต จะต้องอยู่ท่ามกลาง สวนดอกไม้เมืองร้อน เป็นแบบสวนสวรรค์ที่เป็นดั่งสวนป่า มีลั่นทม..และพันธุ์ไม้ดอกใบ ที่ไม่จำเป็นต้องทะนุถนอมมากมาย แต่จะให้ดอกดกงามตลอดปี ที่ฉันนี้จะได้ดอมเด็ดดม และนำมาใช้ ในบ้านได้ทุกฤดูกาล... ส่วนตัวบ้านนั้น จะต้องเป็นกระท่อมทับแบบบาหลี ที่เรียบ โล่งกว้าง มีห้องน้ำเปิดรับแสงจันทร์โลมไล้ รับสายฝนโลมร่าง... ฉัน..มีที่ดิน ในฝันแสนสวยแล้วที่เป็นจริง...มีหินก้อนงาม มีที่ทางหลายไร่ และที่สำคัญ อยู่ใกล้ทะเล.. สิ่งที่รอ..ให้ฝันเป็นจริงนั้น ใกล้เข้ามาทุกขณะ..ฉันแค่รอเวลาที่จะย้ายบ้าน ย้ายคนในครอบครัวอันอบอุ่นเป็นสุข ไปตามหาฝันวันแสนดีด้วยกัน จะขอบ้าย บาย ร่ำลาจากชีวิตชาวกรุง(กรง)..ที่ราวปลาผิดน้ำสำหรับชีวิตฉัน... ถ้าฉัน..เป็นปลา..ก็เปรียบดังปลาทะเล ที่ต้องการแหวกว่ายในท้องทะเลกว้างใหญ่ สวยใสบริสุทธิ์..มิใช่ทะเลน้ำครำดำๆทุกยามหน้าฝนมาเยือนอย่างชาวกรุง(กรง)นี้ ที่\"เทพ\" พยายามสู้..เพื่อให้ผู้คนที่นี่มีชีวิตที่ดีกว่า..ให้สมดั่งคำว่า\"กรุงเทพเมืองฟ้าอมร\" ฝนซา ฟ้าเลิกหม่นแล้ว......... ฟ้าใกล้สว่าง..มองออกไปฟ้ารำไรฉายแสง สีทอง... เหมือนดั่งโลกและชีวิตนี้ ที่หมุนวน ไม่เคยหยุดยั้ง... บางครั้งยามทุกข์ทน ก็ดังมีพายุ ฝน พัดผ่านมา ท้าทายให้ลุกขึ้นสู้ ยามดี มีสุข ชีวิตก็ดู สดใส ไร้เมฆหมอก สงบงาม.. เหมือน...\"ยามฟ้าหลังฝน\" ที่มีสายรุ้งงาม หลากสีทอทาบฟ้า ฉายฉานประดับประดาดวงใจ ให้สดใส สดชื่น อย่างมีความหวัง กำลังใจ.. กับวันเวลาและคำว่าชีวิตคือการเริ่มต้นใหม่....ในทุกคืนวัน..ไม่มีคำว่าสายเกิน.... ปลายฝน..กับคนเมืองนั้น เคยมีแต่นอนไม่หลับไปกับความกังวลว่า\"น้ำจะท่วม\"มั้ยนะ แต่ด้วยพระบารมี พระมหากรุณาธิคุณ จากฟ้า..จากน้ำหยาดพระทัยของในหลวงของปวงชนชาวไทย ทำให้..เรานอนตาหลับอย่างอบอุ่นเป็นสุขทุกค่ำคืนกับเสียงสายฝนและที่นอนนุ่มนวล.. ด้วยมั่นใจว่า..น้ำจะไม่ท่วมอีกแล้ว ตั้งแต่มีโครงการพระราชดำริ\"โครงการแก้มลิง\" ที่เป็นพระปรีชาสามารถที่คาดการณ์ถูกต้องและเตรียมพร้อมที่จะรับมือและป้องกัน..อย่างทันท่วงที ปลายฝนนี้.......... จึงทำให้เรามีชีวิตที่แสนดี..จากหยาดน้ำพระทัยที่ใสเย็นดั่งหยาดฝน...ที่รินรดให้..พสกนิกรไทยทุกคน และทำให้เราได้ตระหนักว่า..... ธรรมชาตินั้นจะโกรธเกรี้ยว ลงโทษ คนที่ไม่รู้ค่าของธรรมชาติสถานเดียวเท่านั้นอย่างสิ้นปรานีเพื่อฝากให้หลาบจำ .....ไม่มีป่า..เมื่อยามน้ำมา น้ำก็จะท่วมอย่างรุนแรงพาให้สูญเสียอย่างยับเยิน.... และนี่คือบทเรียน..คือความพ่ายแพ้ ของมนุษย์ที่บังอาจทำลายธรรมชาติอันยิ่งใหญ่และยังประโยชน์มหาศาลให้แก่มวลมนุษยชาติ...และบางคราว..ต้นหนาวกลับไม่หนาว..ก็เพราะน้ำมือมนุษย์อีกนั่นแหละ จะโทษใคร หากไม่ไตร่ตรองก่อนสายเกิน...... ฤดูกาลผ่านไป ไม่ว่า..กี่ฝน กี่หนาว กี่เศร้า กี่สุข เราผู้ยังเป็นมนุษย์ ก็ต้องคลุกเคล้าเวียนวน ผจญต่อสู้ จนกว่า..โลกนี้จะ..แตกดับ ไม่ร้อนไม่หนาว หมดสิ้นทั้งฤดู..ฤดี.. ไปพร้อมกันตราบจนชั่วนิจนิรันด
31 พฤษภาคม 2548 17:06 น. - comment id 473392
งานงามที่ให้บรรยากาศที่ดีมาก...สื่ออารมณ์ได้ดีค่ะ..มาชื่นชมคุณพุดค่ะ...คิดถึงนะคะ..
31 พฤษภาคม 2548 21:24 น. - comment id 473473
^J^ + พุด.. .ข้อความที่โพสท์มา..... ประหนึ่งจะหลอมละลายหัวใจ ให้รู้สึกสะท้าน....และซึมซับความในใจ ยามเงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามในวันฟ้าใส... แต่..บางวัน...ฟ้าครึ้มต่ำด้วยเมฆในยามเย็น ดูหนักอึ้ง.............. ในบางช่วงเวลา ของพุดไพร...ที่ปลีกตัวเพื่อเรียนรู้สัจจะธรรมบางอย่างจากธรรมชาติ .....ภาพที่รับรู้ได้ตัวอักษร...คือหญิงสาวคนหนึ่ง... ที่บางครั้งก้มหน้าลงมองพื้นทราย เหมือนจะ ค้นหาคำตอบจากทรายแต่ละเม็ด.........ว้าวุ่น ในบางขณะ..........ฯ ......แต่เมื่อเริ่มวันใหม่ที่สดใส เธอก็จะเงย หน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีคราม...ด้วยความรู้สึก ที่เปี่ยมพลังและมั่นใจ......แต่ชีวิตมันก็ยังคง สลับกันไปดังเช่นท้องฟ้า...ใช่ไหมพุด...? ....ดังนั้น...เมื่อยามก้มมองทราย... ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดขอให้รับรู้ว่า กฤษณะ... เป็นคนหนึ่งที่เข้าใจ และจะคอยให้กำลังใจ อยู่เสมอ............ ............. จากกฤษณะ มิ่งมิตรแท้ในโลกฝันค่ะ ด้วยซึ้งใจมากค่ะกฤษณะ ระหว่างเรา พุดเลยนำพลังใจมาตราตรึงไว้ณ..ที่ตรงนี้ ไว้สำหรับเตือนใจพุดและสำหรับความรู้สึกดีดีที่ใช้เวลานานปีระหว่างเรา
31 พฤษภาคม 2548 21:52 น. - comment id 473484
หน้าฝนมองไปทางไหนก็ชุ่มฉ่ำ ไม้ผลิใบ ล้างฝุ่นที่สะสม..สะอาดตา ชื่นใจ จริงๆ ค่ะ. ชอบทุกฤดูกาลของเมืองไทย..ค่ะ ..
1 มิถุนายน 2548 07:30 น. - comment id 473553
เรน.. คือ.. สายฝน..ของพ่อ.... ...
1 มิถุนายน 2548 09:34 น. - comment id 473595
ฝนตก ลิงก็เปียก .. ฝนตก ลิงขี่จักรยานเล่นน้ำฝน ฝนตก เมื่อคืนลิงหลับ
1 มิถุนายน 2548 10:20 น. - comment id 473622
พี่พุดจ๋า มัดหมี่มัวไปดุคุณอัลจัดอันดับ พึ่งมีดอกาสแวะมาเรือนพี่ค่ะ ร่มรื่นจังนะคะ คิดถึงพี่ค่ะ
7 กันยายน 2553 10:10 น. - comment id 1154780
ความรักอาจจะหมดไปได้ในสักวันหนึ่ง แต่ความรู้สึกผูกพันนั้น ยากต่อการตัดให้ขาด บางครั้งยิ่งผ่านกาลเวลา แทนที่มันจะเลือนหายกลับคล้ายผูกมัดแนบแน่นขึ้นไปอีก โดยเฉพาะความผูกพันที่ผ่านภพผ่านชาตินั้น ยากเหลือเกินที่จะตัดได้ ถ้าจิตของคนเราไม่มีสัญญาระลึกรู้ในความรู้บางอย่างก็อาจจะดี เพราะไม่ต้อง ถูกความรู้สึกนั้นรบกวน ได้แต่อาศับพระธรรมหลอมดวงใจให้ระงับ ความรู้สึกที่เกิดขึ้น แน่นอนว่าตราบใดที่ยังไม่อาจตัดจากกามราคะได้ ความรู้สึกเหล่านี้ย่อมผุดขึ้นมา ในช่วงที่จิตใจเกิดอารมณ์อ่อนไหว ซึ่งเป็นสิ่งธรรมดาที่(ผู้แสดงความเห็นคนนี้) ยังคงประสบอยู่ ความผูกพันจึงเป็นความรู้สึกที่น่ากลัวยิ่งกว่าความรักในใจของเรา แปลกที่แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานหลายปี แต่ความผูกพันที่เรามีต่อใครบางคนกลับไม่เคยเลือนหายไปตามกาลเวลาเลย ไม่เคยคาดหวัง ไม่ต้องการสิ่งใดเลยจากใครคนนั้น เพียงรู้สึกกระแสแห่งความผูกพันที่เรามีอยู่ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้เลย มาจนถึงทุกวันนี้