http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4258.html (ณ..วันนี้ ) ............... ผม..และที่รัก..ของผม ...*ผู้หญิงของผม* ที่ราวดอกลีลาวดีดอกรักบานไม่รู้โรยในดวงใจ* กำลังขับรถออกจาก...บ้านในเมือง...วิมานเมือง.. ที่เราจำต้องมีชีวิตเพื่อทำงานประกอบกิจเลี้ยงชีพชอบ เพื่อเดินทางไป..วิมานดิน บ้านดิน ของเรา ที่มิไกลจากกรุงเทพเท่าไรนัก ในจังหวัดแสนใกล้*อยุธยา* เมืองฟ้าเมืองสวรรค์ในอดีต เป็นเมืองที่ผมยินดีพลีชีพ เลือกมาสร้างวิมานดินกระท่อมดินที่นี่ เพราะผมรู้สึกดี... และรู้สึกว่าชีวิตผมผูกพันกับที่นี่..ราวกับแยกกันไม่ออก ผมไม่ทราบดอกว่าด้วยเหตุใด หัวใจและจิตวิญญาณผม...จึงราวคนโบราณผ่านภพ เพราะทุกคราครั้ง ที่... ผมรู้สึกเบื่อหน่ายโลกหล้าและผู้คน... อยากหันหลังลา..จากชีวิตคนเมือง เมืองแรกที่...ผมรำลึกนึกถึง..คืออยุธยา .. http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song275.html อยุธยา เมืองเก่าของเราแต่ก่อน จิตใจอาวรณ์ มาเล่า สู่กันฟัง อยุธยา แต่ก่อน นี้ยัง เป็นดังเมืองทอง ของพี่น้อง เผ่าพงศ์ไทย เดี๋ยวนี้ ซิเป็นเมืองเก่า ชาวไทยแสนเศร้า ถูกข้าศึกรุกราน ชาวไทย ทุกคนหัวใจร้าวราน ข้าศึกเผาผลาญ แหลกราญ วอดวาย เราชน ชั้นหลังฟังแล้วเศร้าใจ อนุสรณ์ เตือนให้ ชาวไทยคงมั่น สมัครสมาน ร่วมใจกันสามัคคี คงจะไม่มี ใครกล้า ราวีชาติไทย อยุธยา เมืองเก่าของเราแต่ก่อน จิตใจอาวรณ์ มาเล่า สู่กันฟัง อยุธยา แต่ก่อน นี้ยัง เป็นดังเมืองทอง ของพี่น้อง เผ่าพงศ์ไทย เดี๋ยวนี้ ซิเป็น เมืองเก่า ชาวไทยแสนเศร้า ถูกข้าศึกรุกราน ชาวไทย ทุกคนหัวใจร้าวราน ข้าศึกเผาผลาญ แหลกราญ วอดวาย เราชน ชั้นหลังฟังแล้วเศร้าใจ อนุสรณ์ เตือนให้ ชาวไทยคงมั่น สมัครสมาน ร่วมใจกันสามัคคี คงจะไม่มี ใครกล้า ราวีชาติไทย... ......... ................ ที่ผมจำได้ว่าทุกคราครั้ง.. ยามผมได้ยินได้ฟังบทเพลงนี้ทีไร ราวหัวใจและร่างกายผมมีพลังลึกลับ ให้ฮึกเหิม ..!! และ แสนเศร้าสลดหดหู่โศกสะเทือน เหน็บหนาวแสนปวดร้าวในดวงใจ ผสมผสานปนเปกันไป จนยากจะแยกกันออก ให้ร่างใจผม...และขนลุกซู่..ด้วยความรู้สึกดื่มด่ำ ณ..ภายในดวงจิตดวงวิญญาณบ้านภายในนี้ และ... อย่างยากที่จะบอกใครหรืออธิบายรำพึงรำพัน ถึงความฝันลึกซึ้งตรึงตรานี้.. ให้ผู้ใดรับรู้รับฟังได้..ทั้งหมดทั้งสิ้น.. .......... แต่ก่อนอื่น.. ผม..จะเล่าถึง..*ผู้หญิงของผม..* เทพีไพรเทพีในฝัน ให้ฟังก่อนจะดีกว่า ว่า... ผู้หญิงคนดี..ที่กำลังนั่งทอดตาเหว่ว้าอ้างว้าง มานั่งเคียงข้าง...มาใช้ชีวิตเคียงผม...ได้...เฉกเช่นไร.. ฟ้าดินอินทร์พรหมละกระมัง ที่บันดาลดลราวมีมนต์ชะตาพาบุพสันนิวาสมาอาละวาด ให้ชีวิตผมหนีพิสวาทพันธนาไม่พ้น ได้มาพบเธอ .. ได้มาหลงละเมอในบ่วงรักแบบพิเศษพิสุทธิ์ นับแต่นาทีแรก *ที่ไม่เอา พระเจ้าก็แจกให้ลองรัก*..ปานประมาณนั้น นาทีรัก..นาทีแรก...ของผมกับเธอคนดีที่รัก เริ่มต้นก็แสนแปลกนัก... ตรงที่ผมพบกับเธอ ที่วัดนะซีครับ ฟังให้ชัดๆนะครับ..ว่า.. ผมพบเธอคนดีที่รักแสนรักของผมที่วัดครับ มิใช่ศูนย์การค้า ..ฤาว่า..ในม่านมนต์เสน่หาราตรีที่ไหนดอกนะครับ ทำไม..นะหรือ..!!!! ที่ฟ้าดินกามเทพช่างแสนเล่นตลก กับชีวิตผมให้วกวนเวียนว่ายในวงรักวิบากกรรม อาจจะเป็นเพราะว่ามนุษย์เรา มักจะอ้างเอา อะไรๆ ที่เรายังพิสูจน์ไม่ได้ หากถึงคราวต้องเป็นไป โยนกลองให้ไปเดือดร้อน ถึงคำว่า... *พระพรหมผู้ลิขิตชะตา*เสียละกระมังครับ เพราะร้อยวันพันปีในชีวีผม ผมผู้ดิ้นรนเพียรหนีพันธนารัก สู้อุตส่าห์พาตัวเข้าวัด หนีแสงสี ไม่เคยทำตัวเป็นผีเสื้อราตรีไปเริงร่ายว่ายวน พาตนไปพบวิบากกรรมวิบากรักที่ไหน ที่ผมรู้ด้วยจิตดวงใสใจดวงงามของผม ที่เพียรเฝ้าฝึกมาอย่างหนักว่า ..รักคือ *ทุกข์..คือบ่วงแบกแอกหนักแสนหนักในจิตวิญญาญ์ จนกว่าจะพากันตายกันไปข้างหนึ่ง* เอานะครับ...! เพราะคงถึงเวลา โชคชะตาจึงจำต้องมาร่ายมนต์ มาดลจิตดลใจมาดลร่างให้เราสองได้ครองคู่.. คือเธอที่รัก และผม ต้องมาพบพานด้วยบุพเพ ที่วัด ครับ..ที่วัด.. สำหรับผม...ชอบมาวัดใช้ชีวิตกับวัด แทบตั้งแต่เกิดมา... ที่เติบโตมาในชนบทไกลปืนเที่ยง ไม่มีแสง สี เสียง ให้สนุกสนานบานเบิกเพลิดเพลินเจริญใจ เพราะชีวิตผม..ตั้งแต่ยามเยาว์วัย ไม่เคยไกลจากวัด.. เรียนหนังสือก็ในเขตวัด แล้วไหนวันพระยังต้องช่วยคุณยายจัดสำรับ หิ้วปิ่นโตเดินตามหลังคุณยายไปวัดอีก ไปนั่งรอคุณยายใต้ลานพิกุล ไปหาเรื่องเล่นกันสาระพัดสาระเพ กับเด็กๆทั้งนั้น ทั้งเด็กวัดเด็กบ้าน เล่นกระโดดหนังยางเล่นซ่อนหา ยกเว้น..กัดปลาทารุณสัตว์ หรือหาจิ้งหรีดให้มากัดกันในเขตวัดเขตอภัยทาน เพราะไม่อย่างนั้นจะโดนเฆี่ยนด้วยไม้เรียวจากหลวงพ่อ และในยามที่... วงสมาชิกวรรณคดีสัญจรวัยชรา ของคุณยายพากันสวดมนต์ในโบสถ์คร่ำ ผมกับสมาชิกพรรกแก๊งจิ๋วจอมกวน จำต้องถูกกำหราบให้ต้องรู้เงียบเสียง.. หาอะไรมากินกันให้อิ่มหนำสำราญหลังพระฉันเสร็จแล้ว เพื่อหนังท้องจะได้หนักหนังตาจะได้หย่อนให้ง่วงหาวนอน เพราะ... คุณยายต้องถือศีล ภาวนานั่งวิปัสนากรรมฐานนานมาก ผมก็จะได้นอนหลับนิทราเกลือกลิ้ง ด้วยซึมซึ้งถึงภวังค์ฝันสวรรค์วิมาน อยู่ตรงพื้นลานโบสถ์แบบแสนชื่นฉ่ำเย็นใจ และ คงด้วยบุญบารมี ที่มีคนแผ่เมตตามารายรอบนั่นแหละกระมัง ผมถึงนอนหลับไปจนยามค่ำตะวันโพล้เพล้ อย่างแสนสุขใจ ... .......... มาในวันนี้... จึงอย่าสงสัยเลย ... ที่เห็นคนหนุ่มอย่างผมและอีกมากมายนัก ที่มีโอกาสได้เรียนรู้จัก ศึกษาพระธรรม แล้วพากันน้อมนำร่างและจิตไปถวายชีวิต เป็นบุตรธิดาของพระพุทธเจ้า ได้เฝ้าอาศัยร่มเงางามธรรมในร่มพระรัตนตรัย หวังรินร่ำเพาะหอมห่มบ่มใจ อย่างคนฉลาด ที่จะมิยอมพลาดสิ่งแสนดีในชีวีชีวิตจากโลกนี้ ที่เจริญด้วยเทคโนโลยี่อย่างที่ไม่มีขอบเขตข่าวสาร ไม่มีอะไรมาขวางกั้นสื่อ ให้เราได้ขยันค้นหา ได้ฝึกปรือนำข้อมูลพระธรรมมาฝึกจิตง่ายแสนง่าย แค่คลิ๊กมือเดียว ราวจับวาง.. โดยมิจำต้องย่างกรายไปวัดก็ได้ หากยังไม่มีเวลามากพอ ขอแค่มีจิตคิดซึ้งชอบ อยากเดินไปในเส้นทางสีขาวสายงามเพียงนั้นก็พอ ......... เอาละนะครับ ...ว่าแล้ว ผมก็เลยชอบไปวัด ...ด้วยประการละฉะนี้.. วัดใกล้บ้าน...ที่มีลานหินโค้ง ที่ผมนับถือหลวงพ่อ ที่ราวแสงเทียนธรรมจากดวงใจอันแสนงามล้ำ ด้วยพลังปัญญาแสนพิเศษพิสุทธิ์ใส ที่ท่านมีจิตดวงใสแสนงาม ไม่นิยมสร้างถาวรวัตถุมากมาย นอกจากเพียงตั้งจิตถวายคำอธิษฐานภาวนา ว่าจะบวชไม่สึกตราบวันตาย นับมาถึงวันนี้ก็ได้ราวเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว ที่ได้อุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนา ที่เป็นดั่งพระประทีปแก้วอีกดวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่แสนช่วงโชติชัชวาลย์ ตามรอยเบื้องพระยุคลบาทองค์พระศาสดา เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และ.. สร้างจิตวิญญาณเพื่อนมนุษย์.. ให้ค้นพบ...ความว่าง..กระจ่าง...สว่าง..สงบ สยบกิเลสมาร มากมายมากมี ที่กำลังรุมร้อน เร่งเร้า มารอบด้าน ก่อนจะถึงกาลแตกดับ.. วัด....ที่มีพันธุ์ไม้นานา หลายพันธุ์ชนิด มีเสียงดุเหว่านกไพรสัตว์หลากชีวิต มีคำสอนเทศนาที่ตรงไปตรงมา สอนให้เรา *ฝึกใช้เวลา...รู้รักษาศีลภาวนาสมาธิ...* เพื่อ..*นิพพานที่นี่เดี๋ยวนี้..* มิพักตายไปถึงไหนไหน.. ที่ยังมิอาจจะรู้ได้ชีวิตหลังความตายนั้นจะได้พบอะไร..จริงไม่จริง *จงอย่าเชื่อตามคำเขาว่า*ไปเสียทั้งสิ้นทุกสิ่งอย่าง.. ก่อนที่จะฝากร่างจิตมาศึกษาค้นพบเอง.. ที่บางเรื่องราว อาจจะเป็นเพียงกุศโลบายหมายให้จิตมีทิพยนิรมิต...หมายจับเอาไว้ ให้หมายอยากสร้างเพียงคุณงามความดี ได้พลีจิตไปสวรรค์แทนนรก มาเป็นบ่วงล่อ...แต่ยังมิพ้น...ขอ..และ..อยาก ... ที่ตราบใด หากเรามิเพียรสร้างจิตให้ชีวีชีวิตรู้วางว่าง ก็อาจจะมิพบความกระจ่างในชาตินี้ ก็อย่าหวังเลย..!! ผม...จึงต้องมาที่นี่ทุกวันอาทิตย์ มาฟังสิ่งที่มิเป็นพิษมิเป็นภัย ตรงกันข้าม..กลับทำให้..ดวงใจเยือกเย็นชุ่มฉ่ำ ราวกับมีสายธารธาราธรรมค่อยพร่างริน จากเสียงพระสงฆ์ ที่ลงเทศนามาโปรดสัตว์มนุษย์..ผู้ยังตกทุกข์ได้ยาก มากเรื่องราวเศร้าโศกวิโยคครวญ ที่ในที่สุดจึงจะเตือนตนเข้ามาหาวัด.. ด้วยตระหนักว่า ไม่มีสิ่งใดในหล้าโลกนี้ ที่จะสมานใจเยียวยาใจได้ผลชะงัดนัก เท่าหยาดน้ำรักสุขนิรันดร์ จากยาอันแสนอมตะที่ชื่อว่ารสพระธรรม .............. ................. กลับมา ณ..นาที ปาฎิหาริย์ฝัน มหัศจรรย์รัก มหัศจรรย์ใจ กันดีกว่า... มาเข้าเรื่องที่ทุกดวงใจ.. คงชอบที่จะได้ยินได้ฟัง ได้อ่านผ่านตาเสียมากกว่า ที่จะให้ผมพาเข้าไปดื่มดำในรสแสนซาบซึ้งสุขนิรันดร์ คืออมตะคำสอนในพระธรรมไปไกลทีเดียวเลยเชียว... กลับมาหา.... นาที..แรก ที่ไม่เอาพระเจ้าก็แจกให้ลองรัก เลยนะครับ ผม..นั่งที่ลานหินเล็กๆ ที่กระจายใกล้บึงรายรอบลานหินโค้ง และ กำลังหลับตานิ่งๆ หลังรอ...พระสงฆ์องค์เจ้า ที่นั่งสมถะสงบงามรอบลานได้ฉันข้าวมื้อเพลเสร็จ ก่อนที่ทุกอุบาสกอุบาสิกา จะพากันมารวมจิตสวดมนต์ภาวนาบทยาว เพื่อกล่อมจิตเกลาใจ พลัน... ผม..ก็ได้กลิ่นลั่นทมอวลมา..กับกระแสลมในยามอุษาวดีแก้ว ที่แสงตะวันผ่องแผ้ว กำลังค่อยๆเขยิบสูงเหนือยอดไม้ จนพรายพร่างมาทายทัก ดวงดอกไม้และใบไม้ทั่วทั้งลานวัด ให้ไหวพลิก ระริก ระเริงร่า.. พากันไหวระบัดโบกพัดไปกับสายลมฟ้อน อ้อนสายแสงแดดสีทอง อันลำยองผ่องพราวพรรณรายจนเกิดประกายฉายฉานไปทั่ว แหละ... เพราะหวานหอมของดวงดอกไม้ในใจในฝันนั่นแหละนะ ที่ทำให้ผม..จำต้องลืมตาขึ้นมาด้วยประหลาดใจ เพราะ... ผมก็ นั่งห่างไกล.. จากต้นลั่นทมหรือลีลาวดีดอกไสวมาก็ไกลมากอยู่..ในวันนี้ จะมีเพียงดวงดอกปีบที่กำลังปลิดปลิวลิ่วลอยควะคว้าง ให้ผมผู้มีดวงใจวาบหวาม..อ่อนหวาน อ่อนโยน ที่รักทุกมวลพยอมพโยม ทุกแมกไม้..ดอกไม้ไทย ได้ไหวร่างไปกอบเก็บมากำ..วางไว้ใกล้ใกล้ มิได้จะหมายนำกลับมาบ้าน เพราะเป็นดอกไม้บานในเขตสงฆ์ ผม...เพียงเสียดาย ที่ดวงดอกยังสดงาม ถูกสลัดสล้างลงพร่างพื้นโดยหามีใครใส่ใจไม่..! นอกเสียจากกวาดกวาด...รวมรอทิ้ง..ไป..อย่างไร้ไยดี ผม..จึงจำต้องลืมตา และ พาให้เห็นคนดี ที่รัก ก็เพราะกลิ่นอวลหวานเศร้าราวดอกไม้ปาริชาติ ให้รำลึกนึกถึงชาติแต่ปางก่อนได้ อย่างในเรื่องกามนิต วาสิฎฐี นี่ละนะ หากทว่า ระหว่างผม..กับเธอคนดี .. *กลับมีดวงดอกลั่นทมแทน* นาทีแรกผมแสนประหลาดใจ ที่ผมเห็นเธอในชุดผ้าถุง เธอนุ่งผ้าซิ่นสีชมพูสลับลายทางเขียวไพลเขียวใบไม้ และ กำลังกรายร่างอรชรบอบบาง มานั่งลงใกล้เคียงข้างผมบนลานหินที่กว้างพอควร ผมจึงมิโอกาส ได้แอบพิศ พินิจเรียวหน้าโศกสงบงาม ไร้เครื่องสำอางใดใดของเสี้ยวหน้าด้านข้างของเธออย่างแจ่มชัด พร้อมกับดวงดอกลั่นทมที่ทัดหูเคลียแก้มนวล ที่ยิ่งขับให้กรอบหน้าเธอนวลไสว อย่างกับนางในภาพฝันวรรณคดีไทย ผม..แสนประหลาดใจพิศวงใจ วัดนี้ทั้งวัด ผมไม่เคยเห็นมีใคร ยังคงทัดดอกไม้มาวัด และ.. ที่แสนตรึงใจผมนัก.. ก็ตรงทีท่าที่แสนธรรมดาหากทว่าช่างตราตรึง เธอ..มีลักษณะสงบงาม ราวนางพญาหงส์ ลำคอนวลนุ่ม ตั้งตรงมุ่นมวยผมเกล้าไว้สูง เผยให้เห็นลำคอระหงงามและผิวสีงาช้างกับไรผมรำไร ที่พร่างแตะแต้ม ให้ยิ่งดูแสนอรชรอ่อนหวานอ่อนโยนเป็นยิ่งนักแล้ว ในชีวิต ผม... ผมพานพบสาวมามากหน้า หลายตา เห็นส่วนมาก มักมีทีท่าไร้เอียงอายไม่ไว้ตัวแบบกุลสตรีไทยโบราณ ที่ถูกเคี่ยวกรำให้รู้รักศักดิ์ศรี รู้รักนวลสงวนตัว ทุกคนแทบมีเพียงอิริยาบถว่องไวเปรี้ยวจิ๊ดจ๊าด ราวชอบเรียกความสนใจ ซึ่งทำให้วูบไหวหวั่นหวามได้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม หากผมไม่เคย พบสาวใด ที่ลักษณะงามเย็น งามล้ำงามสงบ และที่สำคัญ.. กำลังมานั่งเคียงผมอยู่ในวัด แทนในคลับในบาร์ ในราตรีที่ไหน ทั้งๆที่เราต่างก็ยังเป็นคนรุ่นใหม่หนุ่มสาว ที่ต่างยังมีไฟฝันพลังพราว ที่จะสนุกสนาน กับเส้นทางชีวิตพลิกแพลงแสลงร้อนสายโลกย์ ผม..จึงทำทีท่าชะโงกไปเอื้อมมือหยิบดวงดอกปีบ ที่วางไว้ใกล้กับเธอ.. หวังเพียงเพื่อต่อสัมพันธไมตรี ที่ผมพลีอยากสานฝันสัมพันธ์รัก..อย่างไม่คิดฝันมาก่อนเลย อย่างตั้งใจเรียกร้องความสนใจให้เธอเผลอหันมา และ...ก็ได้ผล.. พลันตาสบตา ..! และ นาทีนั้น..! ทั้งร่างจิตชีวีชีวิตจิตวิญญาณผม ก็รู้ด้วยสัญชาตญาณเร้นลับ ว่า.... ชาตินี้ ผมกับเธอ จะมิมีวันพรากจากกันอีกตราบวันตาย ..!!! นี่ละกระมัง...! ที่เรียกกันว่า....พลังรักแรกพบ.... แค่สบเนตรนัยนา ... ราวฟ้าดินอินทร์พรหมประทานพระเมตตาประทานพร ให้ดวงใจสองดวง ต่างห่วงหา...อ่อนหวานอ่อนโยน อย่างเข้าใจกัน อย่างอยากปันพลี อย่างราวกับว่าชั่วชีวีที่ผ่านมาได้รู้จักกันมานานปี..ในที่สุด...! ......... บทสนทนาจากนั้น และ ความสัมพันธ์แนบแน่นยืนยาวระหว่างเรา ที่จะมากลายกลับเป็นนานเนารักนิรันดร์ ไว้ผมจะรจนาเล่าให้ฟังทีหลัง นาทีนี้ ผมจะเล่าสั้นๆสรุป ว่า... แล้ว....นิยายรัก นิยายฝัน ความรักที่แสนสร้างสรรงาม สิ่งที่เคยวอนสวรรค์ ฝันขอรออธิษฐานเอาไว้.... ให้...เป็นจริง ก็พลัน..!มาปรากฎอย่างแสนงดงามแล้วนะนาทีนั้น.. ให้ผม..ได้พบนางใจ....นางในฝัน เทพีแห่งสวรรค์ไพร นางในดวงใจ.. ที่สวรรค์เมตตาฟ้าปรานีหยิบยื่นคนดีในดวงใจ มาให้ดวงชีวาผม ได้พบพันธนารักอันแสนเลิศวิไลพริ้งพราวเข้าจนได้ ต้องมาชดใช้วิบากรักร่วมกับเธอ หากทว่า..วันนี้ นาทีนี้ ผมกลับคิดว่า.. คือสิ่งแสนดีแสนวิเศษสุดในชีวิตผม ราวกับมีมณีล้ำค่ามาส่องสว่างนำทางใจผมไปตราบชั่วกาล ให้สมกับที่ผมเคยตั้งจิตอธิษฐานภาวนาตั้งสัจจะว่า *หนึ่งในชีวิตลูกผู้ชาย ที่ได้เกิดมาใต้ร่มเงาพระพุทธศาสนา และ ในร่มฉัตรพระบรมมหากษัตราผู้มากล้นพระเมตตาบารมี คุณงามความดีพลีแผ่ไพศาล ในผืนดินแห่งสุวรรณภูมิ พุทธภูมินี้ ที่ผมแสนปลาบปลื้มปิติใจ ที่ได้เกิดมาพบ มาเพียรสร้างคุณงามความดี ตามรอยพระบาทแห่ง บรมครูผู้แสนยิ่งใหญ่นี้ ที่จักเป็นแบบฉบับทั้งสองทาง ทางโลกและทางธรรม ที่จะหลอมจิตวิญญาณให้เราลูกหลานไทย ได้เรียนรู้ใช้มานำทางเพื่อสร้างสรรจรรโลงโลก ก่อนที่วันแห่งลมหายใจชีวิตอันแสนสั้นพลันจักดับลับลาไป ผมจึง..ถือเป็นโชคที่ได้พบเธอ ราวบทเพลงนี้ ที่จะหวานแว่วมาในทุกคราคราว ที่ผมรำลึกนึกถึงพรหมชะตา..มนต์ชะตารักภักดีแห่งสองเรา ......... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4258.html ดังมีสิ่งใดมาดลใจฉัน ดังใจโอ้เอยเฝ้าคอยเธอนั้น นานแสนนานจึงมาเจอกัน คล้ายบางสิ่งผูกพันร้อยใจเราร่วมกัน ดังมีสิ่งใดมาดลใจฉัน.... ดวงใจโอ้เอยมีเพียงเธอนั้น นับวัน ฮืมจนแรกเจอกัน ใจฉันเพียงต้องการ แต่เธอตลอดมา ฝากคำสัญญาฝากวาจารักเธอไม่เสื่อมคลาย หมื่นพันสัญญา ร้อยวาจา หนึ่งเดียวที่เข้าใจ รอคอย ผ่านวันเนิ่นนานเพียงไหน คืนวัน ผ่านไปไม่มีความหมาย พร้อม นับวันนี้เธออยู่ภายในใจ และหวังเพียงได้ครอง รักจนตราบนานตลอดไป ผม...ดีใจภูมิใจมากกว่าสิ่งใด ที่ได้รักเธอ ได้พบเธอ ที่รัก มิใช่เพียงหลงใหลได้ปลื้มชื่นชมโสมนัสกับงามนอกหลอกตา หากทว่า ... เธอ ..ที่รัก..*ผู้หญิงของผม***ยังคงรักษาความเป็นกุลสตรีไทย ที่จักต้องงามทั้งภายนอกและภายใน และ ที่สำคัญเธอ เมินเฉยกับคำว่าโลกวัตถุศิวิไลซ์ มิพาจิตใสไร้สิ่งยึดเหนี่ยว ไปข้องเกี่ยว...ทะยานอยาก ตามพลังกระแสบ่าโหม ที่ล่วงมากับนานานาอารยะธรรม ที่รุกล้ำทำลายความสุขสงบงาม อย่างมิหวังพึ่งพาพิงพิงรู้รักษ์ธรรมชาติ...อย่างก่อนกาล ให้นับวันหมดไป..! เธอ..มีความหนักแน่นในดวงใจ มิหวั่นไหว หลงโลกย์ ที่เริ่มวิโยคครวญหวน มาสอนสัจจะ ให้มวลมนุษย์ที่ทายท้าความจริงแท้แน่นอนของชีวิต ได้ค้นพบว่า ความเจริญรุดหน้าไปไกลเพียงใด หากตราบใด... ที่มนุษย์ยังไม่มีจิตวิญญาณ แห่งความรู้รักธรรม ธรรมชาติงามสงบ รู้วิถีชีวิต สมถะ พอเพียง รู้รักสามัคคีกัน... ยังจะคอยห่ำหั่นทำร้ายหมายปองชีวิต ทำสงครามกันเพื่อสนองกิเลสแห่งตัณหาบ้าความยิ่งใหญ่ ความอยากแย่งชิง... เมื่อนั่นไชร้ ...! อย่าว่าแต่..เพียงกรุงโรมจะพังชั่วพริบตาเลย บทเรียนแห่งสงครามนิวเคลียร์สองครั้งสองครา จากวิปโยคโศกนาฎกรรมสงครามโลกในอดีต ก็มากเกินพอเกินกว่าที่จะสอนใจได้แล้ว ให้ทุกดวงใจ..มวลมนุษย์ โดยเฉพาะคนไทย ได้รู้ว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เกินธรรมชาติ ความศิวิไลช์ใดจากวัตถุก็จักมอดไหม้มลายหายไปชั่วพริบตา แค่กิเลสตัณหาไร้คุณธรรม ไร้ศาสนามาน้อมนำใจไม่มีเมตตากันและกัน.. ฉะนั้น โลกจะก้าวไกลไปถึงดาวไหน จะอีกสักกี่ดวง.. หากปวงมนุษย์ยังต้องหยัดยืนบนผืนดิน ต้องอิงชีวีชีวิตไปกับพลังแห่งดิน น้ำลม ไฟ ก็คงไม่มีอะไรมา ยิ่งใหญ่เทียบเท่า ชดเชย..ได้เลย.. ........ และ...!!! นี่แหละคือทัศนะ*ผู้หญิงของผม*คนดี ที่นาทีนี้เธอกำลังนั่งนิ่งๆทอดตาแสนเศร้า ซึมซับธรรมชาติรายรอบอย่างเข้าใจชีวีและโลกย์ ที่ผมสมปรารถนาราวฟ้าดินสวรรค์ปรานี ให้มาเป็นคู่ธรรมคู่ทอง คู่เคียงชีวาผม ตราบวันตาย ให้ได้ใช้ชีวิตอย่างแสนสุขสันต์นิรันดร์ฝันพอเพียง เลี่ยงรับเอาขยะจิต เพียรสร้างวิถีชีวิตให้แสนร่มเย็นในทุกทิวาวัน จนกระทั่ง ถึงวันนี้ นาทีนี้ ที่เราพากันตื่นยามอุษาสาง เด็ดดอกลีลาวดีและเล็บมือนางมาวางไว้ในรถแล้ว ค่อยๆสตาร์ทรถ... พร้อม เปิดเพลงบรรเลงงามงด*ชื่อ ยามเช้า*เคล้าคลออรุณหวาน แล้วขับรถออกจากบ้าน.. มาดูสายแสงแรกแหวกฟ้างามสีทองผ่องหล้า ทั่วท้องนภาเจริดจรุง ราวเวทีสีรุ้งแสนหวานงาม มาเห็นดงตาล ยืนต้นไสว เห็นวัวควายในนา เห็นเวทีฟ้าเล่นแสงสี ให้นกไพร ผกโผผินบินไปมา เริงร่าลอยลมเล่นลมอย่างอิสระเสรี ราวเวทีสวรรค์ ขวัญสรวง มารับปวงหยาดน้ำค้างหยดเย็นแสนงาม ที่กำลังพร่างกลางเรียวข้าวใบไม้ ในยอดเยาว์ทุ่งหญ้า ในบัวใบบึงนา ในทุ่งทองอาบหล้า ให้โสภิตนภางามกระจ่างแจ่มแต้มแตะ หวานพร่างพรมราวแสงสงฆ์วะวาบวับอาบจับเป็นทองทาบทาไปทั่ว ให้หัวใจแสนอิ่มเอิม ระรัวชื่นบาน หวานแสนหวาน ราวมวลดอกไม้ ในโลกกว้าง ฤาราวบัวน้อย ค่อยๆคลี่กลีบแย้มบาน รับพลังสายแสงแห่งหวังจากพรายพระอาทิตย์ ผมหยุดรถ..ใต้ลั่นทมดอกพราว..ริมเส้นทางสายข้าว สายชนบทที่แสนงดงาม ก่อนจะหันมายิ้มหวานให้กับเธอ เรา...!สบตากันและกัน และ ก่อนที่จะพากัน ประสานเสียงหัวเราะประสานอย่างสดใสแสนสุขขึ้นพร้อมกัน ที่รู้ทันกันอยู่ในทีว่า... *สองเรานี้เป็นโรคพ่ายลั่นทม ลีลาวดี ..* ที่... ไม่เคยมีเลยสักครั้ง ที่ผมจะไม่ทัดผมริมเรียวแก้มแล้วแอบหอมหอมแก้มนิ่งนาน ให้กับเธอยามเดินทาง และเมื่อเห็นพร่างในเส้นทางแลสายใจเยื่อใยแห่งรักนี้ ที่ชักนำให้เราสองได้มาครองรักกันตราบนานเนานิรันดร์ ........... ................................. โปรดติดตามตอนต่อไป..พระเอกพานางเอกในดวงใจไปวิมานดินค่ะถิ่นเมืองเก่า ...........
17 พฤษภาคม 2548 15:50 น. - comment id 468427
ชอบงานพี่พุดจังค่ะ.. พี่พุดงามล้ำในความทรงจำมิลืมเลือนค่ะ...
17 พฤษภาคม 2548 18:26 น. - comment id 468523
หอมกลิ่นลีลาวดี
17 พฤษภาคม 2548 19:17 น. - comment id 468549
ยังรักที่จะเรียกดอกลั่นทมอยู่เลยค่ะพี่พุด ครั้งนี้ก็แวะมาตามกลิ่นลั่นทมเหมือนเคยค่ะ ชื่นชมงานพี่พุด มาก เสมอ.. นะคะ
17 พฤษภาคม 2548 20:51 น. - comment id 468572
..ลีลาวดี.. ผมยังเรียกอยู่เสมอๆ ว่า ลั่นทม เป็นดอกไม้ที่ผมชอบมากที่สุดเลยหล่ะครับ ชอบทั้งต้น กิ่ง ดอก... ดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือน..ความรักที่ยืนต้น ต้นอันแข็งแกร่งเลื้อยกิ่งก้านขึ้นไป.. เพราะให้ดอกไม้งาม ประดับอยู่อย่างมั่นคง ประมาณนี้
17 พฤษภาคม 2548 21:00 น. - comment id 468574
ปรายก็เป็นอีกคนหนึ่งค่ะ ที่ผูกพันกับจังหวัดอยุธยา เมื่อก่อนเวลามีเวาว่าง มักชอบไปเที่ยวตามโบราณสถาน กับความคิดมากมาย... กลิ่นบรรยากาศเก่าๆ ภาพเก่าๆ เป็นอะไรที่ปรายชอบมากค่ะ แต่เดี๋ยวนี้ห่างหายไปนาน เพราะเวลาไม่อำนวย คิดถึงคุณพี่พุดนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
18 พฤษภาคม 2548 05:40 น. - comment id 468635
เห็นภาพแถมได้กลิ่นลีลาวดีหอมกรุ่น ลีลาพี่พุดอมตะจริงๆ