http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song161.html ตะวันดวงโตเท่ากระด้งฝัดข้าว สีส้มสุกกำลังลอยเรี่ยผิวน้ำทะเล ที่นะบัดนี้ทั่วทั้งท้องน้ำอาบประกายระยิบระยับ ราวผืนผ้าไหมทะเล..ทอทองทาบทา... ริมทะเลสีทองนั้น หลับตา.. จะพาไปพบกับ ภาพเด็กผู้หญิงผมเปียสองข้าง นัยน์ตาสร้อยเศร้า ผิวบอบบางราวแพรไหมไข่ปอก ที่มีที่มาที่ไป ที่คุณแม่เธอเคยเล่าให้เธอฟังว่า วันที่เธอลืมตาดูโลกนั้น เป็นที่อัศจรรย์นักกับทุกสายตา ที่เธอ..เกิดมาผิวนวลใยละไมผุดผ่องจนใครใคร พากันพูดเป็นเสียงเดียวว่า..งามแปลกนัก ทั้งๆที่ถิ่นที่เธอเกิดนั้นคนมักจะมีผิวสี และ ที่แปลกดีคือหน้าผากเธอ..จะมีชาร์มและมีขวัญ ใครๆเค้ามีขวัญเดียวแต่เธอมีสอง อย่างคุณพ่อและน้องชายแบบกรรมพันธุ์แปลก ที่คนมักทายทักกันไปต่างๆนานา ที่จนนะบัดนี้ก็ยังปรากฎอยู่ ให้เวลาเธอแสกผมแล้วจะวนเป็นก้นหอยงอนงาม ตรงกลางหน้าโหนกนูนนั้น.. แทบทุกวัน..เด็กผู้หญิง เธอจะมานั่งใต้ต้นไม้แห่งนี้ ต้นทองหลางที่ไร้ใบในยามฤดูร้อน ที่ออกดอกแดงสะพรั่งพรึบเต็มทั้งต้น ที่ตัดฉับกับผืนฟ้าที่เป็นสีฟ้าจริงๆ ฟ้ากระจ่างสดสว่างเข้มเต็มผืนแบบไร้มลพิษ เพราะที่นี่ คือเกาะที่ไกลร้าง ห่างไกลจากผืนแผ่นดินใหญ่ หลายร้อยไมล์ทะล ที่ราวไข่มุกทะเล อันแสนพิไลใสสดขาวพร่างพราวพิสุทธิ์ ที่ถูกซุกซ่อนไว้โดยเงื้อมหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า พระพรหมผู้บันดาล ให้เป็นสถานที่แห่งรักแห่งหวังหวานยิ่งใหญ่ แด่ทุกดวงใจ..คนช่างฝัน ราวฟ้าดินมอบกำนัลให้เป็นของขวัญ แด่โลกและมวลมนุษย์ชาติ ราวสถานทิพยวิมานบนหล้าโลก มาลบโศก ให้ได้เสพสุขสงบ พบความสุนทรีย์แห่งชีวาชีวิต ที่จนถึงนะวันนี้ ก็ยังคงเป็น.. แม้นจะหลีกเร้น หนีไม่พ้นมนุษย์มนามากมาย ที่พากันหลั่งไหลมาจากทั่วทุกมุมโลก มาเพิ่มสุข ทิ้งโศก ฝากไว้แทน มาสนุกสนานเบิกบานร่ายระบำรับขวัญ รับหวานจากพระจันทร์ดวงงาม ที่กล่าวขานไปทั่วโลกแล้วว่าหาที่ใดงามเท่าไม่มีแล้ว นอกจาก มีที่อินเดียอีกที่ หากทว่า..ที่นี่ได้องค์ประกอบครบถ้วน ล้วนเลิศล้ำยิ่งกว่าจะหาถ้อยคำใดมาพร่ำพรรณนา คือเป็น สถานที่ พระจันทร์งามขึ้นระหว่างโค้งอ่าว ที่มีทรายเนื้อละเอียดนวลนุ่มเท้า ขาวสะอาดราวแป้งเนื้อดี ที่ทุกยามเต้นรำนั้นหยุ่นนุ่มละมุน ราวเยื้องย่างบนฟองเมฆสกาวพราวพอกับฟลอร์สวรรค์ ก็มิปาน.. ย้อนรอย กลับมา...หาเด็กผู้หญิงช่างฝันดีกว่า ในเมื่อเรื่องเกาะงามวิไลนั้น เคยเล่ารจนามามากมายหลายฉากแล้วในเรื่องรักๆ ของนักอยากจะเขียนเพียรฝันคนนี้ เด็กผู้หญิงตัวน้อยที่บอบบาง เกิดมากับทะเลกว้าง กับงามงดของทุกสรรพสิ่งที่เป็นธรรมชาติจริง ที่ใครใครมักงงว่าทำไมเธอถึงหลงใหลในแสงตะเกียง แสงเทียนในโบสถ์คร่ำกันเล่า ก็เพราะว่า*งามเงาแห่งอดีตนั้น* เธอตราหอมแห่งความทรงจำที่ตอกตรึงสลัก ไว้ในดวงจิตภายในอย่างงามไสวพร่าง อย่างยากจะลบเลือนหาย แม้วันปีเดือนจะเคลื่อนจะคล้อยลอยลาลับ.. ยากที่จะย้อนรอยเงาอดีต อันงามงดสดชื่นแสนหวานหวนกลับมาก็ตามที ยามนั้น เด็กหญิงน้อย ผู้ราวมีหนึ่งร่าง หากราวสองภาคสองใจในคนๆเดียวกัน ที่ ทั้งดูเดียวดายเศร้าสร้อยแสนเงียบเหงาช่างฝัน กับอีกคนอีกภาคนั้นช่างเจรจาพาทีเป็นยิ่งนัก และมีผู้ทายทักบอกว่าคงเป็นเพราะ มีไฝเล็กๆสองเม็ด ที่แทบมองไม่เห็นหากไม่สังเกตุ แตะแต้มริมเรียวปากด้านซ้ายบนล่างคู่กัน ภาคเดียวดายนั้น เธอจะปลีกตัวจากผองเพื่อน ที่ชวนกันมาวิ่งเล่น โดยใช้หาดทรายริมทะเลกว้างดั่งสนามผืนโต และมีสระน้ำทะเลแพรไหมสีมรกตเคียงข้างให้กระโดด จากต้นมะพร้าวหักงอลงล้อคลื่นตูมตามๆ ราวเป็นสระส่วนตัว และราวสวรรค์บันดาล ให้งามอย่างเกาะในฝันของอภิมหาเศรษฐีชาวกรีก อริสโตเติ๊ล โอนาซิส ผู้ล่วงลับ ที่มีเกาะแสนงามเป็นส่วนตัวไว้พักผ่อนลำพัง.. ยามนั้น เด็กหญิงน้อยผู้เดียวดายช่างฝัน จะหาทางมะพร้าวแห้งมาปูแทนเสื่อผืนงาม และ ค่อยๆเอนตัวลงนอน เธอจะค่อยๆหรี่ตาดูท้องฟ้างามสีครามเข้ม ที่นะบัดนี้ ราวถูกแตะแต้มตัดฉับ ด้วยดวงดอกแดงโดดเด่น ของดอกทองหลางทองพร่างสล้างไสว หรือดวงดอกปาริชาติงามแสนงามตามนัยน์ตา พาดวงจิตเธอดั่งสนิทแนบผสานร่าง เป็นหนึ่งเดียวราวเกลียวทองผ่องพิลาสพิไล ที่ใจเธอเท่านั้น..มองเฟ้นมองฝันพลันพาเห็นงาม ตามดวงใจภายในดวงน้อยๆนี้ ที่ยากยิ่งจะบอกเล่าให้ใครรับรู้ และเข้าใจ ยามนั้น เธอฝันไกลและแสนจะขอบคุณในน้ำใจฟ้าแลดิน ที่ช่างเมตตาปรานีให้ชีวินชีวิตจิตวิญญาณเธอ ได้มาเกิดกลางเกาะ ที่เพียบพร้อมแสนหวานแสนงาม ที่แสนยิ่งใหญ่ ด้วยธรรมชาติแสนสวยสงบสุข ไม่ให้ไปเกิดในแดนทุกข์ดั่งทะเลทราย ที่ใครๆเล่าว่า ผู้คนอดหยากยากไร้ไม่มีแม่น้ำสะอาดดื่มกิน เด็กๆจะหัวโตพุงโรก้นป่อง แมลงวันพากันมาตอมน่าเวทนานัก เธอจึงรักผืนดินฝันอันอุดมผืนนี้ ที่ ในกาลต่อมา.. เธอก็ยิ่งกลับซาบซึ้งรู้ค่ามหาศาล ว่าเธอนั้นแสนโชคดี ที่ได้มาพบพานได้มาเกิดใน *ร่มบุญพระบรมธิสมภาร* ภายใต้ร่มฉัตรร่มธรรมร่มทอง อันแสนยิ่งใหญ่ แสนดีแสนงาม อย่างยากที่จะหาสิ่งใดมาเปรียบประมาณได้อีกเลยแล้ว... และ บางคราเธอจะใช้เถาวัลย์ มาถักร้อยดวงดอกไม้ ดั่งสายสร้อยแสนงาม สวมเป็น *มงกฎดอกปาริชาติ* ที่วิลาศวิไล สำหรับดวงใจเด็กผู้หญิงชาวเกาะชาวไพร ที่เติบโตมาท่ามกลางความไกลห่างจากความเจริญศิวิไลซ์ ห่างไกล จากคำว่าเมืองอันเรืองรุ่งด้วยแสงสี และใจร่างดวงใสดวงดี ก็แสนจะมีชีวิตชีวาเรียบง่ายติดดิน ไร้วัตถุใดใดมาหลอกล่อใจ ให้หลงใหลไปกับเงางามนามวัตถุ ที่จำต้องแลกซื้อด้วยเงินแพงแสนมาเป็นของเล่นแก้เหงา แบบกุมารเศรษฐี แบบที่แม่พ่อมีเงินเปรอปรนเป็นถุงเต็มถัง และบางเวลา เมื่อเธอเด็กผู้หญิงน้อยเหว่ว้าอ้างว้างใจ ดายเดียวอย่างสุดๆ เธอก็จะมุดร่างใจ ให้ท้องทะเลสีเขียวราวแพรไหมใสดั่งมรกต ปลอบประโลมคลี่คลุมห่มร่าง พาตัวเองดำดิ่งลงใต้ผืนทะเลลึก อย่างไม่หวั่นสิ่งใด เธอจะกลั้นลมหายใจให้ยาวนานที่สุด และค่อยๆพาตัวแหวกว่าย ราวกับสาวน้อยนางเงือก เปิดดวงตาเฝ้าดูโลกสีคราม ที่งามสะพรั่งสีจัดจ้านสวยสุดใจ ด้วยปะการัง สาหร่ายสีน้ำตาลแผ่พรายร่ายงาม ดูดอกไม้ทะเล ฟองน้ำ หอยเม่นและปลาหลากหลายชนิด ปลานกแก้ว ปลาผีเสื้อลาย ปลาสินสมุทร ปลากระเบนทอง ปลาเก๋า ให้ลืมเหงาใจ แบบให้ธรรมชาติทะเลไทยทะเลใจ ที่แสนชิดใกล้ได้เชยชิดชมห่มหอมใจ.. และ เด็กหญิงน้อยๆ จะค่อยๆนอนเฝ้าลอยคอรอดู พระอาทิตย์ดวงโตสีหมากสุก ค่อยๆลดระดับลงเรี่ยผืนน้ำ ที่ยามนั้นจะสาดสายแสงสีทอง ลงอาบต้องทาทาบผืนน้ำราวแสงเพชรพร่าง วะวิบวับงามจับจิตเลื่อมประภัสสร รอเวลาให้เธอนับถอยหลัง จนกว่าตะวันดวงงามยามทิวาหวาม จะค่อยๆจมหายกลายเป็นตะวันลับฟ้า ไปกับท้องทะเลผืนงาม ให้ราตรีตามต่อเติมมาเพิ่มหยาดหวาน ด้วยพรายแสงจันทร์ มาหอมห่มงามพร่างสายแทน.. ชีวิตเด็กหญิงน้อยช่างฝัน มีเพียงคุณย่า ให้คอยตามติดเคียงกาย คุณย่าชรา ที่ช่างงามนักในรำลึก ภาพหญิงชราผมสีดอกเลา ที่ยึดมั่นในร่มเงางามศาสนา ที่สอนให้เธอศรัทธาตาม ในทุกยามค่ำคืน ให้พร่ำเพียรท่องบ่นสวดมนต์ภาวนา จุดธูปเทียนบูชากราบหน้าองค์พระปฏิมาบูชาพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์.. คุณย่า ที่มีชมรมวรรณคดีสัญจร นัดไปนอนรวมกันนอกชาน ที่บ้านเรือนไทยราวในหนังเรื่องโหมโรง ค่าที่เรือนไทยนั้น แฝงฝังงามอยู่ในท่ามดงมะพร้าว และดอกไม้ไทยๆ ไสวพรั่ง ส่งกลิ่นอวลหอมลอยล่องตามลมมาพาให้ใจยิ่งชื่นยิ่งฉ่ำ บางค่ำคืน ที่ท้องฟ้าไร้เมฆ จันทร์ดวงกลมสีทองราวลูกจันทร์แขวนฟ้า จะทอแสงงามอร่ามเรือง แจ่มดวงจรัสเจรืองใจเสียเป็นยิ่งนัก เด็กหญิงน้อยจะได้ยินเสียงคุณปู่ ที่ขานขับเสภาได้อย่างไพเราะแสนเศร้าประทับ ในบทของวรรณคดีไทยเรื่องขุนช้างขุนแผน.. และ เด็กหญิงน้อย จะค่อยๆผลอยหลับพับไป กับแสงตะเกียงริบหรี่ไหว กับเสียงกระรอกไพรวิ่งไล่กันจิ๊กจั๊กเหนือทิวมะพร้าวงาม กับหอมงามแห่งดวงดอกไม้สะพรั่งริน กลุ่นกลิ่นโมกมะลิซ้อนมะลิลา และกอราตรีตรงริมชานเรือน และ หาก ค่ำคืนไหน ยังพอฝืนนัยน์ตาไหว ก็จะหวั่นไหวไปกับเสียงเล่าอันเร้าใจ ในเรื่องรามเกียรติ์ ตอนต่างๆ ที่ทำให้เด็กหญิงน้อย ค่อยๆเปิดดวงจิตกระจ่าง เฝ้าซึมซับรับซึ้งตรึงตราไว้ ด้วยความดำดื่มระรื่นรสรักวรรณคดีไทย ได้อย่างล้ำลึกเมื่อ ตรองตรึกนึกมาถึงทุกวันนี้ เด็กหญิงน้อย มีหน้าที่ตามติดคุณย่าไปทุกที่ เสมือนเงาตามตัว โดยหารู้ไม่ว่า*วันแห่งการพรากลา*ใกล้เข้าทุกขณะๆ เธอจะเดินหิ้วปิ่นโตตามหลังคุณย่า ที่ทูนกระเฌอสานสวยด้วยลวดลายดวงดอกพิกุลแสนงาม ละเอียดละเมียดละมุนใจ ในมือน้อยๆจะมีดอกไม้พื้นบ้านหลากสีสันหลากพรรณ หอมงามประดิดประดอย รัดร้อยด้วยสร้อยศรัทธาแห่งรักหวังน้อมนำไปถวาย พลีบูชาพระพุทธในโบสถ์คร่ำ ที่งามล้ำมลังเมลืองใจ ให้ใสงามงดสว่างทุกยามที่ได้กราบกราน สิ่งที่ดวงใจน้อยๆดวงนี้ ยังตรารอยจดจำรำลึกไว้ในดวงจิต อย่างลึกชึ้ง อีกสิ่งหนึ่งคือคำสอนของคุณย่า ที่ราวจะอ่อนโยนแว่วมา ให้ได้สดับในทุกคราวยามรานร้าวเศร้าใจ กับน้ำคำคนน้ำคำใครที่ไม่เข้าใจ..เรา คำสอนที่ว่า *ให้รู้เมตตา มีน้ำใจ ให้อภัย ทุกดวงใจผู้คน* และ *อย่าพิพากษาคนพิพากษาใคร ตามคำใครเขาว่า ไม่นินทาคนลับหลัง ให้รู้จักคำให้อภัยให้โอกาส คน ที่สามารถทำผิดพลาดได้ ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนคนเดินดิน จงใช้และให้ความปรานีมิรู้สิ้น รินน้ำใจที่ใสงามดั่งหยาดน้ำค้าง ลงพร่างพรมห่มหอมทุกห้องหัวใจ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เพียรเพาะบ่มฝึกให้มีจิตดวงใสดวงดี ที่พลีพร้อม จะให้พลังใจกำลังใจทะนุถนอมทุกผู้คน ไม่ว่าจนรวย หากทำได้* ที่ไม่ช้านานเมื่อกาลเวลาลาล่วง เด็กผู้หญิงน้อยจึงพึงได้ระลึกรู้ว่า ท่านคือปูชนียบุคคลอันงามจิตงามใจอย่างที่สุด ที่เป็นดั่งครู ดั่งแม่ที่แผ่เมตตาสอนจิตใจให้เด็กหญิงน้อย ได้เติบใหญ่และ เพียรพยายามน้อมนำมาประพฤติปฎิบัติตาม ทุกน้ำใจทุกความดีงามหอมห่ม มาพรมพร่างให้แด่ทุกผู้ที่รักที่ได้ชิดใกล้ ให้เพื่อนมนุษย์ ผู้ร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อย่างยินดีอย่างไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ภาพเด็กหญิงน้อยนั่งดายเดียว หากใบหน้าเรียวละมุนเศร้านั้น ดูช่างแสนสวยใสสงบงาม ด้วยกำลังผสานพยายามสร้างสมาธิ ตั้งใจ ร้อยพวงมาลัยดวงดอกพิกุลพราว ที่ราวธรรมชาติฝากสลักลายแสนบรรเจิดบรรจง เป็นดั่งโซ่สายสร้อยจากจิตใจผจงเส้นยาว ที่ได้งามแผกงามหอมมาถึงยามนี้ ที่ยังอวลกลิ่นกรุ่นหวานละมุน ในอกในใจในมโนนึกทุกครั้งครา.. ยามที่คะนึงนึกระลึกย้อนหลังไปในอดีต..แสนงาม.. ภาพเด็กหญิงน้อย..ช่างฝัน ที่นั่งพิงเสาในโบสถ์คร่ำ ยามคุณย่าและพุทธศาสนิกชน เพียรฟังธรรมในวันเพ็ญเดือนหก ให้พานพาเงียบสงบหากงามใจ เมื่อเธอเหลือบไปเห็นพลังกระจ่างสว่างวาบ ดั่งดวงแก้ววิเศษที่จิตจับได้ ราวเกิดปาฏิหารย์รักจากพลังศรัทธาอันยิ่งใหญ่ ภาพแสงเทียนพรรษาแท่งใหญ่ถูกจุดให้สว่างไสว จับจีวรสงฆ์งามกระจาย พรายพร่างดั่งแสงสงฆ์มลังเมลืองพรายไปตามผนังโบสถ์ แสงเทียนเสียงธรรมจากพระสงฆ์ นำบทสวดก่อนให้ทุกจิตนิ่งสนิทสมาธิภาวนาพาพบปัญญาใส ยามนั้น ราวโลกเล็กๆใบสวยใสสงบงาม ในดวงจิตใจดวงใจของเด็กหญิงน้อย ราวค่อยหยุดคล้อยเคลื่อนหมุนช้าลงๆ โลกเสมือนสว่างวาบด้วยปลาบปลิมปิติ ที่จิตไหวรับได้สัมผัสงามที่กระจ่างแจ้ง ราวพบพร่างว่างวิบชั่วนิจนิรันดร.. ******** ยังมีต่อค่ะ..รจนาสดไปเรื่อยหากมีเวลา ขอลาไปทำงานก่อนนะคะ *********** http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=282 ธาราระทม ม.ร.ว. ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์ : : Key Am แว่ว ยิน แต่ เสียง น้ำหลากมาเสมือนยิ่งพาน้ำตาข้าหลั่ง ธารารักเอยรักเคยฝากฝัง ท่ามกลางแสงเดือนสะพรั่ง รักกลับอ้างว้างในคืนเดือนเพ็ญ รูป รอย ปาง หลัง ฝังฝากใจมาไร้ความจริงทิ้งให้ลำเค็ญ มองเดือนครั้งใดหมองใจไม่เว้น ค่ำคืนรักเชยเคยเช่น แสงแห่งเดือนเพ็ญเชยฟ้าราตรี รัก จาก พราก ไป เหลือ เพียงรอยอาลัยไม่มี สายน้ำยามเพ็ญ ก่อนเคยได้เป็นสักขี ยินแผ่วแว่วเสียงวจี คล้ายเสียงเสียดสีที่เย้ยดวงใจ โอ้ คำ อธิษฐาน เสมือนบ่วงมาร มารับเอาคำสาบานข้าไป มนต์มารร้ายยิ่งรักจริงสลาย ตั้งปณิธานวอนไหว้ แสงแห่งดวงใจจงพบกันเทอญ รัก จาก พราก ไป เหลือ เพียงรอยอาลัยไม่มี สายน้ำยามเพ็ญ ก่อนเคยได้เป็นสักขี ยินแผ่วแว่วเสียงวจี คล้ายเสียงเสียดสีที่เย้ยดวงใจ โอ้ คำ อธิษฐาน เสมือนบ่วงมาร มารับเอาคำสาบานข้าไป มนต์มารร้ายยิ่งรักจริงสลาย ตั้งปณิธานวอนไหว้ แสงแห่งดวงใจจงพบกันเทอญ... ********** http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=2461 ทะเลไม่เคยหลับ ดิอิมพอสซิเบิ้ล : : Key Eb มอง ซิมองทะเล เห็น ลม คลื่นเห่จูบหิน บาง ครั้งมันบ้าบิ่น กระแทก หินดัง ครืน ครืน ทะเล ไม่เคยหลับไหล ใครตอบ ได้ไหม ไฉน จึงตื่น บาง ครั้งยังสะอื้น ทะเลมันตื่น อยู่ร่ำ ไป ทะเล หัวใจของเรา แฝง เอา รักแอบเข้าไวั ดู ซิเป็นไปได้ ตื่นใจเหมือนดัง ทะเล ครวญ ยาม หลับไหล ชั่วคืน ก็ถูก คลื่นฝัน ปลุกฉัน รัญจวน ใจ รักจึง เรรวน มิเคย จะหลับ เหมือนกับ ทะเล ทะเล หัวใจของเรา แฝง เอา รักแอบเข้าไว้ ดู ซิเป็นไปได้ ตื่นใจเหมือนดัง ทะเลครวญ ยาม หลับไหล ชั่วคืน ก็ถูก คลื่นฝัน ปลุกฉัน รัญจวน ใจ รักจึง เรรวน มิเคย จะหลับ เหมือนกับทะเล... ************* http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=161 เพ้อ เห็นลมละเมอเพ้อหวาดผวา เห็น ฟ้า พะวงหลงโทษโกรธดิน เห็นสายน้ำหลาก สาดเซาะ แก่ง หิน เห็น พื้น ดิน แยก แตกเพราะถูกรอยไถ เห็นใบไม้ครวญหวนอยู่ริมธาร เห็น ศาล เพียงตาแล้วข้าปวดใจ เห็นแสงเดือนส่อง ยิ่งมอง ใจหาย เห็น เธอร้อง ไห้ ช้ำใจเพราะใครเขาทำ เธอ ช้ำใจเพราะถูกใครลวง บอกกับฉันอย่ามาหวง ใครลวงให้เธอชอกช้ำ บอกฉันสักหน่อย อย่าปล่อยให้ใจระกำ เธอร้องไห้เพราะใครเขาทำ เธอช้ำเพราะใครหรือเธอ เห็นเธอระทมขมขื่นตื้นตัน แล้ว ฉัน ยิ่งตรมขมขื่นกว่าเธอ ฟ้าสิ้นดินหล่น ขาดลม แรงเพ้อ หาก ใคร แกล้ง เธอ ฉันนี้ จะยอมตายแทน เห็นเธอระทมขมขื่นตื้นตัน แล้ว ฉัน ยิ่งตรมขมขื่นกว่าเธอ ฟ้าสิ้นดินหล่น ขาดลม แรงเพ้อ หาก ใคร แกล้ง เธอ ฉันนี้ จะยอมตายแทน...
14 พฤษภาคม 2552 01:53 น. - comment id 342342
อ่านงานชิ้นนี้ของคุณ พุด แล้วทำให้อดคิดไม่ได้ถึง เด็กชายคนหนึ่ง ซึ่งชีวิตเขาเกิดมาบนฝั่งทะเลตะวันออก แม้ว่าบ้านเกิดที่แท้จริงนั้นจะไม่ได้ติดอยู่แนบชิดหาดทรายชายทะเลมากนักก็ตาม แต่ยามหน้าบุญใหญ่ ซึ่งปีหนึ่งอาจมีสองสามครั้ง ซึ่งอย่างน้อยก็ปีละหนึ่งครั้ง ที่เขาและครอบครัว จะต้องไปเยี่ยมและทำบุญที่บ้านของคุณย่า ซึ่งตั้งอยู่ริมชายทะเล จนในบางครั้งยามเดือนหงาย ลูกหลานคุณย่าซึ่งอยู่รายรอบกันอยู่หลายๆครอบครัว จะออกไปตั้งวงกินข้าวกันริมทะเลใต้แสงจันทร์ ไปจนกระทั่งปูเสื่อนอนคุยกันและหลับไหล อาบแสงจันทร์นวลใยไปตามๆกัน คุณย่าซึ่งรักการทำบุญ ทำทานเป็นชีวิตจิตใจ หลายครั้งจนกระทั่งเป็นหนุ่มน้อย กระทั่งหนุ่มใหญ่ เสน่ห์ของทะเลดูเหมือนแฝงฝัง อยู่ในบางซอกหลืบของห้วงคำนึงของเขาอยู่เสมอ แม้กระทั่งปัจจุบัน ขอบคุณนะครับคุณ พุด ที่ช่วยให้เด็กชายคนนั้น ซึ่งเป็นหนุ่มใหญ่แล้วในวันนี้ ได้ย้อนระลึกถึงอดีตอันเยาว์ และความประทับใจกับทะเล...ของเขาเอง ผ่าน ความช่างคิด ช่างสังเกตุและช่างฝัน ของเด็กผู้หญิงช่างฝัน ดวงดอกไม้สวรรค์ริมทะเลไหมมรกต ราตรี สวสดิ์ นะครับ คุณพุด คนดี
8 ตุลาคม 2547 06:37 น. - comment id 346302
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=573 ทะเลร่ำไห้ ดาวใจ ไพจิตร : : Key F คืนเมื่อฟ้ามัวสลัวแสงจันทร์ โอ้มีใครฝัน อยู่เดียวดั่งฉัน เศร้าใจ ขุนเขาทะมึนยืนอยู่ฟ้าไกล ฟังดูไฉน เสียงหริ่งเรไรหรีดร้องระงม ไกลสุดสายตาขอบฟ้าสีคราม เยือกเย็นยิ่งหวาม ดั่งใครเหยียดหยาม ระทม เสียงน้ำทะเลเคล้าเห่คลื่นลม โครมครืนผสม ดวงใจยิ่งจม แสนเศร้า ใครเอยจะมาตะโบมโลมไล้ ดวงใจอ้างว้าง เปลี่ยวใจท่ามกลางลมเป่า โขดหินหาดนี้ก่อนมีรักเรา เงียบเหงาสะอื้น ได้ยินเสียงคลื่น คร่ำครวญ ริมหาดไร้จันทร์ก็ฝันถึงดาว ใต้ดงมะพร้าว ดึกลงยิ่งหนาว เนื้อนวล ฝันถึงเราเคยเคล้าคู่เย้ายวน ลมโบยโชยหวน ทะเลคร่ำครวญร้องไห้ ริมหาดไร้จันทร์ก็ฝันถึงดาว ใต้ดงมะพร้าว ดึกลงยิ่งหนาว เนื้อนวล ฝันถึงเราเคยเคล้าคู่เย้ายวน ลมโบยโชยหวน ทะเลคร่ำครวญร้องไห้...
8 ตุลาคม 2547 06:55 น. - comment id 346320
ถึงรัถยา.. พุด..ตื่นมาตอนฟ้าสาง นาที่นี้บทเพลง*บรรเลงนิพพาน* กำลังครวญคร่ำ พุดนอนแต่หัวค่ำ และชอบตื่นมาฟังเสียงนกร้องในยามเช้าค่ะ มาเดินย่ำน้ำค้าง และดูดวงดอกไม้ในกล้วยยังมีหยาดน้ำค้างพราวจับราวเกล็ดเพชร ก่อนที่สายแสงแรกสืทองแห่งอรุณ อันอ่อนอุ่นจะหมุน มาสอนความจริงแห่งชีวิตว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องเสื่อมสลายไปตามกาลเวลาค่ะ เสมือนบทกวีนี้ ที่สถานที่แห่งนี้นั้น..เราทุกคนไม่มีวันหนีพ้นจริงๆค่ะรัถยา พุด..ตั้งใจ..จะมารจนาเรือง *เด็กผู้หญิงช่างฝันกับทองหลางริมทะเลแสนงามเพราะพุดฝันเห็น..ภาพงามกระจ่างมาก เห็นเด็กผู้หญิงบอบบางถักผมเปียผิวราว แพรไหมที่ชอบมานั่งเล่นใต้ต้นไม้ราวไม้สวรรคื ที่ชื่อปาริชาติ ที่ดวงดอกดาระดาดดกสะพรั่งแทบมองไม่เห็นใบค่ะ และไม่กี่นาที่ข้างน้าจะหลั่งไหลออกมาจากธารน้ำรักแห่ง ความทรงจำอันแสนหอมงามอย่างไร้ทำนบกั้น พุดจะรจนาสดค่ะ คอยติดตามนะคะ หากอยากสงสารซับน้ำตาให้เด็กหญิงน้อย ******** พุด..รักงานรัถยานะคะ ที่สอนให้เราทุกคนเข้าใจชีวิตเตือนแสะกิด ให้ใช้ชีวิตอย่าประมาทค่ะ พุดสมัครเป็นศิษย์ตั้งนานแล้ว ไม่เห็นรับสอนเลยค่ะ ขอใช้ดอกดวงใจเป็นสักการะพลีบูชาครู ได้มั้ยละคะ ด้วยรัก
8 ตุลาคม 2547 07:07 น. - comment id 346324
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=3213 นางนวล ธงไชย แมคอินไตย์ : : Key Gb นางนวลเจ้าเอยทะเลกว้างใหญ่ เห็นเพียงแต่ขอบฟ้าไกล ตัวเจ้าก็ยังคงบินมุ่งไป อาจจะเหนื่อยแต่ความหวังก็ยังมี นางนวลเจ้าเอย เจ้าบินเรื่อยไป เหมือนดังว่าใจรู้ดี จุดหมายในใจเจ้าคงต้องมี ห่างจากตรงนี้ไปอีกไกล หากวันไหนคลื่นลมกระหน่ำ เจ้าคงช้ำเมื่อมองไม่เห็นใคร แต่นางนวลเอย เจ้าไม่เคยท้อใจ กลับยังบินตรงไปเหมือนเช่นเคย นางนวลเจ้าเอยเจ้าคงมั่นใจ แม้มันจะไกลลับตา คงพบอะไรที่ดีสักครา อยู่ที่ขอบฟ้าอันห่างไกล ดนตรี หากวันไหนคลื่นลมกระหน่ำ เจ้าคงช้ำเมื่อมองไม่เห็นใคร แต่นางนวลเอย เจ้าไม่เคยท้อใจ กลับยังบินตรงไปเหมือนเช่นเคย นางนวลเจ้าเอยเจ้าคงมั่นใจ แม้มันจะไกลลับตา คงพบอะไรที่ดีสักครา อยู่ที่ขอบฟ้าอันห่างไกล อยู่ที่ใจเจ้านางนวลเอย...
8 ตุลาคม 2547 07:18 น. - comment id 346325
เรือนเมฆเสกม่านเคลื่อนคล้าย อาบแสงแดงป้าย ตะวันกลมโตลืมตา อ้อยอิ่งอ้อยอิ่งเถิดหนา เพื่อจะประวิงเวลา ยืดเยื้อเพื่อเช้ายาวนาน หมอกเทานิ่งเงา-ชื่นบาน ทุ่งข้าว- เช้ากาล- หรุบหรู่ในม่านหมอกมัว.. ( จากเวิ้งเช้า บางส่วน) หวัดดีครับพี่พุดตื่นแต่เช้าเลยนะครับ มาเยี่ยมยามเช้าครับ ซึมซับถ้อยรจนาแห่งพุดพัดชาแล้วทำให้คิดถึงเวิ้งเช้ากาพย์ฉบังสิบหก ที่ผมมอบให้ คุณพี่tiki เลยขอนุญาต โพส แจมด้วยนะครับ ู^__^
8 ตุลาคม 2547 07:52 น. - comment id 346332
น้องnavaคนดี พี่พุดอยากเรียกน้องว่า อรุโณทัยค่ะ ไม่รุสินะ งามดีนะคะ พีพุด ตื่นสายไม่ค่อยเป็นค่ะ แต่ไหนแต่ไรมาแล้วค่ะ เพราะชอบความสงบสุขยามเช้าค่ะ มารับรุ่งอรุโณทัย ดูสายแสงสีทองเรื่อเรือง สว่างไสว ยามตะวันผันดวงชักรถค่อยๆคล้อยเคลื่อนมา ทายทักทุกสรรพสิ่งค่ะ จริงๆ อยากไปรับแสงแรกริมทะเล เคยมีคราวหนึ่งค่ะ ไปนั่งริมทะเลในเกาะร้างไร้ลำพัง ไปกางเต๊นท์..นอนริมกองไฟ มีเด็กเรือผู้รู้ใจไปเป็นเพื่อน ไปสนอร์เกิ๊ลดำดูปะการัง ยามนั้นพีพุดจะนุ่งผ้าถุงดอกเดินเดียวดาย ริมชายหาดกว้างร้างไร้อย่างแสนสุขสงบเงียบงามใจอย่างที่สุดค่ะ และขอมอบแด่น้องที่อาจผ่านตาจากเรื่อง *น้ำจรดฟ้าค่ะ* http://www.thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_32552.php ใจของดาหลา กำลังระบมด้วยพิษรัก........ .ทะเลตรงหน้าที่เคยมองว่าแสนงาม มาวันนี้..ไม่งามเหมือนดั่งเก่า.................. ดาหลาเช่าเรือลำเล็กๆ ออกมา กลางทะเลกว้าง...... มีเด็กชายผิวคล้ำ เกรียมแดด เป็นนายท้ายเรือ.... ดาหลาไว้ใจประสบการณ์ทางทะเลของเด็กชายคนนี้ที่มีมากกว่าอายุจริง ...ดาหลานุ่งโสร่งผ้าปาเต๊ะ แบบสาวชาวเกาะ พันทับชุดว่ายน้ำ เนื้อตัวดาหลาคล้ำแดด ไม่แพ้กัน ดาหลาออกมาท้าทายสายลมร้อน..และแสงแดดกล้า.. กลางทะเลมาเป็นอาทิตย์แล้ว ใจที่ร้าวระบมด้วยความรานร้าวใจ....ค่อยๆลดออาการลง......... ผืนน้ำทะเลสีเขียวเข้มราวมรกต.... ตัดกับขอบฟ้าสีน้ำเงินเข้ม....ไร้ขอบเขต...... ความเวิ้งว้างของโลกสีคราม ..กับ..ความอ้างว้างทางใจ.. ผสมปนเปกลมกลืนกันไป ภายในใจ อันบอบช้ำดวงน้อยของดาหลา...... ความนิ่ง...เงียบ..ของผืนน้ำรายรอบ...ทำให้ใจดวงร้าว ค่อยๆสงบลง.....อย่างช้าๆ....... โลกตรงหน้าเหมือนมีดาหลาเพียงผู้เดียว.............. ดาหลามาที่เกาะเล็กๆแห่งนี้..มีเต้นท์ .. และเสบียงมาพร้อมที่จะค้างคืน......... ทอดสมอเรือแล้ว..เด็กชายตัวน้อยจะเป็นผู้ช่วยทำทุกอย่าง..... กางเต้นท์... และเตรียมฟืนไว้สำหรับ ก่อกองไฟในยามค่ำคืนที่กำลังจะมาเยือน........ ดาหลาเดินย่ำเท้าไปเรื่อยๆตามริมหาดทรายขาวยาวเหยียด..... รอยเท้าบนผืนทรายที่ดาหลา เดินโดยลำพังนั้น... จะค่อยๆถูกน้ำทะเลซัดสาดหายไป...หายไป ทุกอย่างดูเหมือนไร้ร่องรอย . ธรรมชาติกำลังสอนใจดาหลา .... .บำบัดเยียวยาให้ใจดวงงามพลิกฟื้นตื่นขึ้นมายอมรับ ความจริงของชีวิต อันแสนสับสนนี้........ คืนวันเดียวดายที่เกาะร้าง.. ค่อยๆลบความระทมขมขื่นให้ใจจางหายจากบอบช้ำ......... เสมือนคลื่นที่ลบรอยเท้าบนผืนทราย..................... ดาหลาเป็นลูกทะเล เกิดมาก็เห็นทะเลงามตรงหน้า..... และไม่ว่ายามเศร้า....หรือสุข ใจก็ร่ำร้องหาทะเล บางเวลาเมื่อดาหลา มีความรัก.. ทะเลก็เป็นฉากรักอันงดงามตราตรึงใจ......... ดาหลาเคยใช้ทะเลเป็นพยานรักกับคนที่ดาหลารักปานชีวิต ..... ท่ามกลางแสงจันทร์โลมไล้......... ทะเลต้องจันทรานั้นงามสุดจะบรรยาย.... รัศมีจันทร์ส่องกระทบผืนน้ำ..ราวกับทาทาบด้วย เกล็ดเพชร แสงเงาเลื่อมพรายพราว..วิบวับ..วิบวับ....งามจนน่าไหลหลง............ หนาวน้ำทะเล... กลับอุ่น เมื่อมีอ้อมกอดคนที่รัก ตระกองกอดใต้ฟองคลื่น...เล้าโลม.. ทั้งใจ..กาย..นุ่มนวล..อ่อนหวาน......... ในค่ำคืนแห่งความทรงจำอันงามงดนั้น.. ทะเลช่างแสนงามจับตา ..จับใจ จนยากที่จะเลือนลืม แม้บางเวลาทะเลจะดูน่ากลัว ....ยามมีพายุร้าย.... เหมือนชีวิตดาหลา...... ที่ถูกพายุใจหอบพัดพาจนใจกระเจิงมาถึงที่เกาะแห่งนี้............... .....ดาหลาบอกให้เด็กนำเรือออกกลางทะเล..... เพื่อดำน้ำดูฝูงปลา......... โลกสีคราม....สวยสุดใจ...... ฝูงปลามากมายหลายหลากสีแหวกว่าย..ราวไร้ทุกข์ร้อน....... โลกสีคราม มีมนต์สะกดใจของดาหลาให้.. นิ่ง..เงียบงัน..สงบสุข....ล้ำลึก................ ฝนก่อตัวตั้งเค้า.......สายฝนบางเบาเริ่มพราวพร่าง.... .เรือลำน้อยค่อยๆฝ่าฟองคลื่น บ่ายหัวกลับมายังเกาะที่ดาหลาเตรียมจะค้างคืน................ ท่ามกลางสายฝนพรำ....ดาหลาหนาวสั่น......... ร่างกายที่หนาว..ยังไม่เท่าใจที่สะท้านเยือก ด้วยความอ้างว้างสุดใจ ...... ท่ามกลางทะเลใจที่แสนระทมเปล่าเปลี่ยว....ร้างราผู้คนดังอยู่ลำพัง กับเรือน้อย ในทะเลจริงแห่งชีวิตที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้............... .น้ำตาปนกับสายฝน ดาหลาสะอึกสะอื้นร่ำไห้ราวจะขาดใจ....... ทำนบน้ำตาพังทลายสิ้น..ในนาทีนั้น..... ด้วยใจที่สะเทือนไหวสุดจะทานทน....อีกต่อไป..... ท่ามกลางเสียงครวญคร่ำของใจ พร้อม สายฝนพรำ.. .ดาหลาได้ยินเสียงเพลงจากท้ายเรือ.. ดังแว่วมา.....ประโลมใจ................ รักก็เกม......ก็เกมอะไรสักอย่าง.... เจ็บช้ำครวญคราง...ไม่นานก็หาย........ ................................. ............................ ........................... สายพิรุณใส....ค่อยๆรินไหลผ่านใบหน้า. ราวแทรกซึมเข้าไปร่ำไห้ให้กับใจที่แหลกสลายยับ ดาหลาแหงนหน้าขึ้นปล่อยให้เม็ดฝนกระทบต้องใบหน้า.......... ทุกๆหยดฝนพราวเตือนใจ ให้ดาหลา....มีสติ ... รู้ยอมรับความจริงของชีวิต.............. ใช่แล้ว...รักก็เกม ...ก็เกม..อะไรสักอย่าง.. เจ็บช้ำครวญคราง ไม่นานก็หาย............... ธรรมชาติจากสายฝนเย็นฉ่ำ.. กำลังให้บทเรียนสอนใจดาหลาอีกบทหนึ่งของชีวิต............... ดาหลาเอามือลูบหน้า... ลูบไล้ราวกับจะให้ความใสสะอาดของหยาดฝน.. ช่วยชะล้างใจ ให้สดสว่างโดยพลัน.................. ม่านฝนเริ่มสร่างซา.....พร้อมเปิดม่านตาและม่านใจของดาหลา.. ให้สว่างกระจ่างใส ไปพร้อมกัน.............. สายฝนในใจของดาหลาค่อยๆ..หยุดรินไหล..... ดาหลาได้ใจดวงเดิมที่แสนงามกลับคืนมา พร้อมพลังใจที่จะยอมรับความจริงของชีวิตว่า......... ชีวิต..มิได้เป็นดั่งฝัน....เสมอไป.................
8 ตุลาคม 2547 08:18 น. - comment id 346341
เขียนสดสด ปรากฏงาน งามวิจิตร มาประดิดประดอยร้อยเรียงฝัน พาท่องไปในแดนมหัศจรรย์ เด็กคนนั้นช่างมาแปลกพึ่งแรกเจอ จะแวะเข้ามาอ่านตอนต่อไปให้อีกครับ
8 ตุลาคม 2547 08:29 น. - comment id 346347
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=251 ทะเลระทม ม.ร.ว. ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์ : : Key Bbm ฉัน แว่ว เสียง เธอ เพ้อ ครวญริมทะเล แห่งนี้ รักร้างแรมไกล ไม่มีผู้ใดไยดี มีแต่เพียงเสียงวจี รักเสียดสีให้ช้ำดวงใจ เสียง คลื่น ระทม สาย ลมยังตะโบม ลูบไล้ ผิวน้ำทะเล จะตรมระบมเท่าไร ยังไม่เท่าฉันช้ำใจ รักจากไปทิ้งให้ระทม หาด ทราย แห่ง นี้ รักไม่มี สิ้นเหลือเยื่อใยไว้ให้ชื่นชม ทะเลรักเอยรักเคยสุขสม เหตุใดทิ้งใจให้ตรม รักต้องขื่นขม ระทมดวงมาลย์ สูญ สิ้น รักไป เหลือ เพียง ความช้ำใจ ให้ฉัน เห็นน้ำทะเล ก่อนเคยได้เป็นพยาน ยังกลับต้องหมองจาบัลย์ เพราะเธอเท่านั้น ทำลายรักสิ้น หาด ทราย แห่ง นี้ รักไม่มี สิ้นเหลือเยื่อใยไว้ให้ชื่นชม ทะเลรักเอย รักเคยสุขสม เหตุใดทิ้งใจให้ตรม รักต้องขื่นขมระทมดวงมาลย์ สูญ สิ้น รักไป เหลือ เพียง ความช้ำใจ ให้ฉัน เห็นน้ำทะเล ก่อนเคยได้เป็นพยาน ยังกลับต้องหมองจาบัลย์ เพราะเธอเท่านั้น ทำลายรักสิ้น... อรุณสวัสดิ์ค่ะ พี่พุด มาเยี่ยมเยือนเรือนหลังงามค่ะ พร้อมนำเพลงมาฝาก งานพี่พุดช่างงามเหลือจริง ๆ ค่ะ
8 ตุลาคม 2547 08:35 น. - comment id 346349
เนื่องมาจากอ่านสวรรค์ดาวดึงส์ ของลำน้ำน่านแล้วประทับใจ เลยไปนอนคะนึงถึง แล้วฝันถึงดวงดอกทองหลาง ที่เปรียบประดุจดวงดอกไม้ในดวงใจ ตั้งแต่ยามเยาว์ ที่พุดค้นข้อมูลแล้วถึงทราบว่าชนิดเดียวกันค่ะ อย่างน่าอัศจรรย์ใจ เลยนำมาให้ทุกดวงใจอ่านเอาอิ่มอกอิ่มใจอีกครานะคะ *********** นอกเมืองดาวดึงส์ออกไป ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีอุทยานใหญ่อีกแห่งหนึ่ง ชื่อว่า ปุณฑริกวัน มีกำแพงล้อมรอบทั้ง ๔ ด้าน กลางสวนมีไม้ทองหลางใหญ่ต้นหนึ่ง เป็นไม้ทิพย์ชื่อว่า ปาริชาติ ต้นปาริชาติ นี้ จะมีดอกบานครั้งหนึ่ง ต่อเมื่อครบหนึ่งร้อยปี พูดง่าย ๆ ว่าร้อยปี จะดอกบานครั้งหนึ่งและขณะที่ดอกปาริชาตนี้บาน จะมีรัศมีเรืองไปไกลถึงแปดแสนวาและเมื่อลมพัดไปทางทิศใด ย่อมมีกลิ่นหอมฟุ้งไปทิศนั้นไกลแสนไกล กลิ่นหอมนั้นจะตลบอบอวลอยู่ทั่วบริเวณสวรรค์ชั้นนี้นานเท่านาน กล่าวกันว่า ยามที่ดอกปาริชาตินี้บาน จะมีเหล่าเทพบุตรเทพธิดา มาเล่นสนุกสนานใต้ต้นปาริชาตนี้เป็นจำนวนมากและกลิ่นปาริชาติ ที่โชยโรยรินมาต้องเทพบุตรเทพธิดาองค์ใด จะช่วยทำให้เทพบุตรเทพธิดาองค์นั้น ระลึกชาติได้อย่างอัศจรรย์ และหากเทพบุตรเทพธิดาองค์ใด ต้องการดอกปาริชาติมาทัดหูบ้าง เพียงแต่เข้าไปภายใต้ต้นและยื่นมือออกไป ดอกปาริชาติก็จะลงมาถึงมือเอง ราวกับรู้ใจของเขา แต่ถ้าเขายังรับไม่ทัน ดอกไม้ก็จะลอยอยู่บนอากาศ อยู่มิให้ตกถึงพื้นจนกว่าจะมีเทวดาผู้ต้องการยื่นมือมารับ ณ ใต้ร่มปาริชาตินี้เอง มีแท่นศิลาอันหนึ่งชื่อว่า บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ มีสีแดงดังดอกชบา และอ่อนนุ่มดังฟูกทิพย์ ขณะที่พระอินทร์นั่ง แผ่นศิลานี้จะอ่อนยุบลง และเมื่อพระองค์ลุกขึ้น แท่นศิลาก็จะคืนเต็มตามเดิม แท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เป็นแท่นที่มีชื่อเสียงชาวโลกรู้จักกันดี เพราะเวลามีเหตุเดือดร้อนในเมืองมนุษย์ แท่นนี้ขณะที่พระอินทร์นั่ง จะไม่อ่อนยุบลงเหมือนปกติ แต่จะแข็งกระด้างดังศิลา หรือร้อนระอุ ราวกับถูกเผาด้วยไฟ เป็นเครื่องหมายว่ามีเรื่องร้ายกับผู้มีบุญใน เมืองมนุษย์พระอินทร์ต้องลงมาช่วย ห่างจากต้นปาริชาติไม่เท่าใดนัก มีศาลาใหญ่หลังหนึ่งตั้งตระหง่านงดงามที่สุด นามว่า ศาลาสุธรรมมาเทวสถาน มีอาณาบริเวณกล้างขวางใหญ่โตมาก พื้นศาลาทำด้วยแก้วผลึก และประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ ล้อมรอบ ด้วยกำแพงทองอันล้ำค่า ************* http://www.forest.go.th/nursery/9/tonglang.htm ทองหลางลาย ชื่อวิทยาศาสตร์ Erythrina variegata L. Erythrina variegata L. วงศ์ LEGUMINOSAE ชื่อสามัญ Indian Coral Tree, Variegated Tigers Claw ชื่ออื่น ๆ ปาริชาติ ปาริฉัตร ทองบ้าน ทองเผือก ทองหลางด่าง มังการา ( ฮินดู ) ไม้ต้น ผลัดใบ สูง 5 - 10 เมตร ตามกิ่งต้นอ่อนมีหนาม เรือนยอดเป็นพุ่มกลม โปร่ง ใบ ประกอบมี 3 ใบย่อย ใบกลางจะโตกว่า 2 ใบข้าง เส้นกลางใบและเส้นแขนงใบสีเหลือง ดอก รูปดอกถั่วสีแดงเข้ม ออกรวมกันเป็นช่อยาวประมาณ 30 - 40 เซนติเมตร ผลเป็นฝักยาว 15 - 30 เซนติเมตร นิเวศวิทยา พบทั่วไปในย่านเอเชียเขตร้อนและอบอุ่น ออกดอก มกราคม - กุมภาพันธุ์ ขยายพันธุ์ โดยเมล็ดและปักชำ การเพาะเมล็ด ปฏิบัติได้ 2 วิธี วิธีที่ 1 นำเมล็ดลงถุงดินโดยตรง รดน้ำให้ชุ่มเสียก่อนจึงกดเมล็ดลงให้จมลงต่ำกว่าผิวดินประมาณ 3 - 5 มิลลิเมตร วิธีการวางเมล็ดต้องพิจารณาว่าเมล็ดจะแทงยอดอ่อนโผล่พ้นดินได้ง่าย จึงควรวางนอนราบโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมล็ดที่มีขนาดใหญ่ วิธีที่ 2 เพาะในกะบะเพาะก่อนย้ายชำ โดยวิธีหว่านให้กระจายทั้งกะบะเพาะแล้วโรยดินกลบให้สม่ำเสมอหนาประมาณ 3 - 5 มิลลิเมตร หรือจะหว่านเป็นแนวโดยเซาะร่องก่อนแล้วโรยลงร่องแล้วกลบ วิธีนี้ง่ายต่อการกลบ การใช้พลาสติกใสคลุมจะช่วยให้ดินรักษาความชุ่มชื้นได้นานและทำให้ความชื้นของอากาศและอุณหภูมิสูงขึ้น อุณหภูมิสูงขึ้นเป็นการเร่งการงอกของเมล็ดไม้อีกด้วย เมล็ดไม้งอกได้ดีในอุณหภูมิประมาณ 10 - 30 องศาเซนเซียส เมื่อกล้าไม้ตั้งตัวได้จึงเอาพลาสติกที่คลุมออกและเมื่อกล้าไม้ได้ขนาด จึงย้ายชำลงถุงพลาสติกต่อไป การปักชำ ใช้กิ่งขนาดพอเหมาะกับวัสดุชำ และกิ่งควรมีอายุไม่อ่อนไม่แก่เกินไป ตัดให้มีขนาดยาวประมาณ 1 คืบ ถึง 1 ศอก เสียบลงในถุงที่เตรียมวัสดุชำไว้แล้ว หรือปักลงในแปลงวัสดุชำประมาณ 3 - 4 สัปดาห์ จะมีรากอ่อนงอกออกมา การตอน เลือกกิ่งที่ไม่อ่อนและไม่แก่เกินไป ทำการควั่นกิ่งเอาเปลือกออก แล้วขูดเยื่อที่เนื้อไม้บริเวณรอยควั่นออกให้หมด ขนาดรอยควั่นอาจจะประมาณเท่ากับเส้นผ่าศูนย์กลางของกิ่งจากนั้นใช้ขุยมะพร้าวที่ชุ่มน้ำ หรือชุ่มโคลนหุ้มรอยควั่นแล้วหุ้มด้วยพลาสติกมิให้ความชื้นระเหยได้ ทิ้งไว้ประมาณ 3 - 4 สัปดาห์ จะแตกรากออกมา ประโยชน์ ปลูกเป็นไม้ประดับ
8 ตุลาคม 2547 09:49 น. - comment id 346382
...ที่แปลกดีคือหน้าผากเธอ..จะมีชาร์มและมีขวัญ ใครๆเค้ามีขวัญเดียวแต่เธอมีสอง อย่างคุณพ่อและน้องชายแบบกรรมพันธุ์แปลก ที่คนมักทายทักกันไปต่างๆนานา ที่จนนะบัดนี้ก็ยังปรากฎอยู่ ให้เวลาเธอแสกผมแล้วจะวนเป็นก้นหอยงอนงาม ตรงกลางหน้าโหนกนูนนั้น.. ..... ภายใต้ชาร์มและขวัญ....ที่แปลกอย่างหาคำตอบไม่ได้ก็คือ....ปรากฏเงาเส้นสองเส้นประกบกันเป็นรูปคล้ายนัยน์ตา อยู่กึ่งกลางหน้าผากพอดี บางครั้งเส้นสองเส้นนี้ก็เป็นสีแดง บางครั้งก็เป็นสีน้ำตาล บางครั้งก็แลเป็นเงาสีดำ ปรากฏมาแต่กำเนิด....ใครจะรู้บ้างว่า เด็กหญิงในจินตนาของคุณพุด มีตัวตนจริง ชื่นชมในจิตวิญญาณของคุณพุด ที่ถ่ายทอดออกมาทางภาษาและตัวอักษรค่ะ ขอให้คุณสมปรารถนาในทุกสิ่งที่คุณปรารถนา ธรรมะคุ้มครองค่ะ
8 ตุลาคม 2547 10:02 น. - comment id 346391
คุณมณีคะ พุดขนลุกค่ะ และ มีบางสิ่งมาปรากฎปาฎิหารย์ ในชีวาชีวิตพุดที่ยากยิ่งจะอธิบายค่ะคนดี
8 ตุลาคม 2547 10:18 น. - comment id 346415
มาบ้านพี่สาวกี่หน งานกี่งาน ยังพลิ้วไหวเช่นเดิม อ่านเพลินเลยครับพี่ งานแบบนี้มีพี่คนเดียว....กว่าจะอ่านจบเกือบตกงานครับ อิอิ
8 ตุลาคม 2547 11:17 น. - comment id 346459
http://www.kapook.com/musicstation/newmusicstation/play.php?id=3838 ......ลมหายใจของความคิดถึง.... เนื้อร้อง ก็มีสักครั้งในชีวิตหนึ่ง จะซาบซึ้งกับหัวใจ อ่านบทกลอนแล้วร้องไห้ ฟังเพลงได้ตลอดคืน ลมหายใจ...ความคิดถึง อยากมีความรักเป็นที่พึ่ง เฝ้าคิดถึงคนชอบพอ ค่อย ๆ สาน ค่อย ๆ ต่อ ก่อเป็นรักหนักแน่นจริง ลม ลมหายใจ ความคิดถึง หากความรักเป็นเหมือนลม คงพร่างพรมอยู่ข้างเธอ เฝ้ารอคอยเสียจนเก้อ คิดถึงเธออย่างจริงจัง... ปวดร้าว..ในความรู้สึก..เจ็บลึกในหัวใจ.. อยากร้องไห้ ..แต่ใยไม่มีน้ำตา.. อารมณ์แห่งความเหงา แต่ไม่นานรักก็ผ่านระบัด เหมือนลมพัดเลยผ่านไป หากเธอยังจำเพลงนี้ได้ นี่คือลมหายใจของความคิดถึง... กลอนก็เพราะเพลงก็ซึ้งนะคะพี่พุดจ๋า คิดถึงค่ะ
8 ตุลาคม 2547 13:02 น. - comment id 346497
พี่พุด แวะเข้ามาขอบคุณ สำหรับความใจดี และใจใส่ ที่พี่พุดมีมาให้เสมอ ปอนด์ติดตาม งานเขียนพี่พุดตลอด ฝีมือไม่ตกเลยนะ คิดถึงพี่ค่ะ
8 ตุลาคม 2547 14:27 น. - comment id 346526
นำเรื่องราวของสองเด็กหญิงมาร้อยเรียงได้งดงามมากครับ พี่พุ ก็คือ พี่พุด ไม่มีใครจะร้อยเรียงได้เสมอเหมือน ทั้งงดงามในภาษาที่สื่อ และเนื้อหาที่อ่อนช้อยน่าติดตาม ฮิๆๆ +-*-+-*-+ +-*-+-*-+ปู๊ชายอารมดี๊ดี+-*-+-*-+ +-*-+-*-+
8 ตุลาคม 2547 14:43 น. - comment id 346534
อ่านแล้ว จินตนาการไกลออกไป.. เขียนได้ดีจริงๆครับ ละเมียดละไมมากๆ ..
8 ตุลาคม 2547 14:48 น. - comment id 346538
งานงามเช่นเคยนะคะ บางช่วงที่เหมือนเหงาของคุณพี่พุด..กลับสร้างความรู้สึกอิจฉาให้เช่นตอนใส่ผ้าถุงเดินเดียวดายที่ริมเกาะร้าง ปรายก็เคยมีชีวิตแบบนั้นค่ะ และทุกวันนี้ก็ยังถวิลหาที่จะอยู่ลำพังเงียบๆ กับใจของตัวเองเพียงลำพัง เลยมายืมบ้านคุณพี่พุดระบายความในใจ เขินจังเลย สวัสดีค่ะ
8 ตุลาคม 2547 20:42 น. - comment id 346776
ชอบคำนั้จังค่ะ..ทะเลไหมมรกต เคยไปยืนข้างๆทะเลสีเขียวใสๆ ตอนนั้นรู้สึกว่า ทะเลสวยมากๆ จนไม่รู้จะเปรียบกับอะไรดี มาเห็นคำนี้ของพี่ ใช่เลยนะคะ ชื่นชมและคิดถึงเสมอค่า
9 ตุลาคม 2547 00:15 น. - comment id 346961
มาทักทายก่อนนะค๊า แล้วค่อยๆแอบมาอ่านทีหลังเน้อ นัสไปนอนแระ ฝันดีนะคะ*-*
9 ตุลาคม 2547 03:06 น. - comment id 347028
http://www.kapook.com/musicstation/newmusicstation/play.php?id=2430 Take me to your heart http://www.kapook.com/musicstation/newmusicstation/play.php?id=3832 รักยังอยู่ที่เธอ เอาเพลงมาฝากค่ะคิกๆๆเพราะดีค่ะไม่รู้จะชอบหรือเปล่าค๊ากวนยามดึกดื่น
11 ตุลาคม 2547 01:10 น. - comment id 348399
...ก็ได้ติดตามไข่มุกแห่งทะเลเม็ดนี้เสมอมาแม้นว่าจะไม่ได้ไปตอบทุกบท ...หากรอยเท้าบนพื้นทรายที่ก้าวย่างไปแต่ละก้าว รอยที่ยังปรากฎประทับบนขอบโค้งแห่งห้วงมหาสมุทรนี้ ....ไม่บังอาจจะไปสอนใครได้หรอกคุณพุด ยังไม่เก่งกล้าสามารถ และก็ยังต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์ อีกเยอะเลยนะ ...
12 ตุลาคม 2547 20:18 น. - comment id 349694
มาดูเด็กในงานนี้ค่ะ เขียนได้งามจัง คิดถึงเสมอนะคะ