http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song420.html (รางวัลชีวิต) ฝนพรำสายมาเมื่อยามใกล้รุ่ง สาวนานอนหนาวในมุ้ง ในที่นอนอบอุ่น.. ฟังเสียงฝนพริ้งพราว ฟังเสียงฟ้าเศร้า ร้องครางครวญ... สาวนานอนหลับตานิ่งนิ่ง ฟังเสียงฝนทิ้งทอยทอดกระทบหลังคาจากดังเปาะแปะ เปาะแปะ.... ฝากความรู้สึกสงบสุขแสนหวานแสนดี สาวนาค่อยๆควานคว้าเปิดวิทยุโซนี่ หาคลื่นวิทยุ ฟังรายการเพลงลูกทุ่งหวานหวานรับอรุณ.. นอกหน้าต่างกระท่อม... ม่านฝนยังพราวพร่าง ราวหมอกเมฆทิ้งสายพรายพรม ห้อมห่มเคลียแก้มแต้มดวงดอกหญ้าและดอกข้าวในนา ที่ณ..บัดนี้.. กำลังผลิยอดเยาว์เสลาชูช่อก่อรวงเรียวไสว โอนเอนอ่อนอ้อนรับสายลมในยามเช้า ให้หยาดน้ำค้างจับพราว ให้เรียวใบไม้กลีบดอกไม้ได้ชื่นสดฉ่ำ ให้ได้รับพรายแสงแรกแห่งดวงตะวันอันอ่อนอุ่น ที่จะมาละมุนกลางกลียวเกสร มาแทรกหอม ระเหยหาย พลัน ให้... พลังอุษาวดีแห่งทิวาวัน พลันได้ทำหน้าที่.. พลีเพื่อผองชน..บนผืนโลกอย่างซื่อตรงคงมั่น.. เสียงบทเพลง รักร้าวเมื่อหนาวลมแว่วมา พาให้หัวใจสาวนา ราวละเมอเพ้อพก...จนหัวอกหัวใจหวิวไหวหวั่นหวาม รู้สึกเศร้าตามไปกับบทเพลง... เมฆลอยกระจาย อยู่ในฟ้าสูงแลลิบลิ่ว ลมหนาวเริ่มปลิว ลิ่วมาเมื่อฟ้าสิ้นฝน ฝนสิ้นเหมือนพี่สิ้นใจ น้องจากพี่ไปไปพร้อมหยาดฝน คิดถึงหน้ามลหม่นหมอง เห็นบัวดอกงามเบ่งบานกลางบึงแลสะพรั่ง ฝนลาฟ้าสั่งสั่งฟ้าลาดินสิ้นคล้อย ฝนลา-ลาหนาวข้าวแตกรวง แต่รักลาทรวงสิ้นน้อง โอ้ทุ่งรวงทองเหมือนทุ่งระทม เจ้าทิ้งให้พี่หนาวหนาวจนใจเหน็บ เจ็บดั่งหนามระกำตำทรวงให้ระบม เริ่มฝนเจ้าบอกว่ารัก พี่อกหักตอนเริ่มหนาวลม ให้ชมแล้วน้องก็ชัง เมฆลอยกระจายดั่ง เหมือนหัวใจลอยละลิ่ว ลมหนาวเริ่มปลิวลิ่วมา เมื่อรักสิ้นมนต์ขลัง ทิ้งทุ่งลืมไถลืมไอ้ทุย ลืมเพื่อนเคยคุยที่อยู่หลัง สิ้นฝนรักจางเมื่อลมเหนือล่อง... *********** อย่างช้าช้า..สาวนาลุกขึ้นและ เอื้อมมือคว้าเอาผ้าฝ้ายทอมือมาคลุมไหล่..ที่กำลังหนาวเยือก สาวนาไม่รู้ว่า.. นาทีนี้...สาวนา หนาวเนื้อหรือว่าหนาวใจ หากทว่ารู้สึกราวร่างใจหนาวรวมกันไปทั้งสองอย่าง ต้องค่อยๆรำลึกรู้แล้ววางจิตคิดรู้ทัน แล้ว.. จึงภาวนาประคองขวัญ ให้เลิกคิดถึงคะนึงหาอ้าย ที่ณ..บัดนี้จะเป็นจะตายจะสบายดี อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ฤาว่า กำลังนอนกอดอยู่กับใครในอ้อมอกเอนอิงอ้อนออดกันจนอุ่น ก็ไม่รู้แล้ว...ก็ช่างเถอะนะ.. สาวนาคนมีกุศโลบาย..ฉลาดล้ำฉลาดคิด รู้ทำจิตทำใจให้ใสสวยสงบ จะได้ไม่ต้องพบคำม้วยมรณาด้วยตรอมตรมก่อนถึงเวลาอันสมควร เพราะ หลังจากได้ศึกษาพระธรรม พาจิตเข้าพึ่งพิงในร่มพระรัตนตรัย สาวนาทำใจได้แล้ว และ เพียรอ่านหนังสือธรรมะมากมาย ที่ใช้เวลานานหลายปี ที่เพิ่งจะค่อยๆซึมซึ้งให้เข้าถึงความทุกข์ จนเข็ดหลาบ จนขยาดไม่แม้อยากจะคิดรักใครอีกเลยแล้ว ว่าแล้ว... สาวนา..ก็ค่อยๆพาตัวเอง...เดินฝ่าสายหมอกหยอกรวงเรียว เดินเดี่ยว ไปยังลำธารฝันสวรรค์สรวง...สวรรค์ไพร ค่าที่มีเถาวัลย์ แมกไม้ สายน้ำที่ยังเย็นใส..จนแทบมองเห็นตัวปลาว่ายวน ยังคงเห็นกรวดทรายวะวิบวับ ราวกับกระจกกระจ่างพร่างรัศมีเพชร สาวนาค่อยๆถอดเสื้อ.. เผยให้เห็นเนินเนื้อหนั่นแน่น..สาวสล้าง สีราวน้ำผึ้งรวง ที่มีเพียงปวงบุปผาไพร..นกไพรเพียงนั้น ได้พากันแย้มยลยามสาวนาค่อยมัดปมผ้าถุงกันลื่นหลุด ก่อนที่จะ...ค่อยๆแหวกว่ายในสายน้ำ ในยามอุษา... ที่ฟ้ากำลังสาดสายแสงสีทองให้ผ่องพราวไสวไปทั้งราวไพรราวป่า ให้พวงบุหงา พากันเบ่งบาน คลี่หวานผลิช่อฝันประชันอวดดอกดกไสว ให้ทอทอดลอดกิ่งไม้ใหญ่กิ่งไทรสาขา ลงมากระทบร่าง พร่างหยดน้ำวะวับวาวราวหยาดเพชรกลมกลิ้งบนเนื้อเนียน.. สาวนานอนลอยตัวนิ่งนิ่งในสายน้ำ พลัน..ดอกจิกแสนหวานได้หว่านดอกพรูลงพร่างหอมห่ม ลงบนตัวสาวนา.. ที่นาทีนั้นดูราวกับว่า นางไม้นางกินรีกำลังหนีมาเล่นน้ำลำพัง สาวนา... กำลังนอนคิดถึงบทตำนานเกร็ดในพุทธศาสนา ที่หลวงพ่อ ได้โปรดกรุณาเทศนา เล่าให้อุบาสกอุบาสิกาพากันฟังในวันพระที่ผ่านมา เพราะนี่ก็ย่างเข้าเดือนหกแล้ว ฝนก็ทำท่าตกปรอยๆ กบเขียดก็พลอยจะพากันเริ่มร้องฮึมฮัมๆ ในยามที่พระบรมศาสดา.. จะบรรลุแจ้งเป็น..*พระพุทธเจ้า..* เพราะ..เฝ้าบำเพ็ญเพียรทุกรกิริยา ที่สาวนา ชอบคิดฝันจินตนาการไปทุกครา ในทุกยาม ที่มา ณ..ที่นี่.. ราวริมฝั่งฝันเนรัญชรามหานที.. ที่จิตดวงดีดวงดิน ถวิลไปถึงภาพพิเศษพิสุทธิ์ที่ชอบผุดขึ้นในมโนนึก ที่..ราวกับมีพลังลึกลับ...ดึงดูดให้..หัวใจสาวนาถอยจิตกลับไป ยิ่งเมื่อรำลึกได้ว่าใกล้วันวิสาขปุณมีเข้ามาทุกทีแล้ว... สาวนา... แทบท่องจำได้ขึ้นใจในเรื่องที่เล่าถึงพระพุทธเจ้า ที่หัวใจสาวนา...พลีศรัทธารักแสนรัก... แสนเทิดทูนบูชาในองค์พระบรมศาสดาของเรา สาวนา หลับตา... แล้วจึ่ง...นึกย้อน.. เมื่อตัวสาวนามานอนอยู่ในสายน้ำรักนิรันดร์ ที่สาวนามักจินตนาพาจิตสมมุติไปราวกับว่า ณ..ที่นี่คือเนรัญชรามหานที ที่แสนสวยใสงาม...ทุกทีไป และ ในภวังค์ฝันอันแสนงาม. ด้วยใจดวงดีมีพลังแห่งสมาธิ ที่ยามนี้ได้ใช้เวลาอยู่ในป่าไพรกับงามเงียบ กับสายน้ำแสนเฉียบเย็นฉ่ำ ที่กำลังระร่ำริน ราวกับรับรู้ถึงดวงจินต์ดวงจิตสาวนา ที่กำลังแสนพร่างปิติเกษมโบยบินกลับไปในอดีตก่อนพุทธกาลสมัย ........... ย้อนรอยไปอีกสามสิบห้าปี ในคืนวิสาขะ...ราตรีเพ็ญบุญ... ที่ฟ้าแจ่มกระจ่าง..ด้วยแสงแห่งเดือนเพ็ญโฉม คืนที่ฟ้าโพยมพยับ ราวกับเทพไท้เทวดามาร่วมชุมนุมพร้อมพรั่งกัน ........... นับตั้งแต่พระองค์และปัจวัคคีย์ ได้ร่วมกันบำเพ็ญความเพียรอย่างแรง ที่เรียกว่าทุกรกิริยา ที่แปลว่า การกระทำที่ทำได้ยาก คือทรมานตนในรูปแบบแปลกๆ เช่นการอดข้าว อดน้ำ นั่งทนยืนทนหน้าหนาวก็ไปแช่อยู่ในน้ำ หน้าร้อนก่อไฟรอบตัว ทรงทรมานจนพระกายซูบผอม ทรงเห็นว่าขืนทำต่อไปก็คงไม่สำเร็จจึงทรงเลิก จนปัญจวัคคีย์ทั้งห้า ก็คิดว่าพระองค์คงจะเลิกใช้ความเพียรเสียแล้ว คงจะหันไปหาโลกียสุขต่อไป จึงหนีไปเมืองพาราณสี ทิ้งให้พระองค์อยู่ผู้เดียว สถานที่พระองค์ไปทำความเพียรแบบทุกรกิริยานี้คือ *ถ้ำตุงคสิริ* อยู่ห่างจากบริเวณต้นโพธิ์ เมืองคยา ประมาณสัก 5-6 ไมล์ ถ้าจะไปถ้ำตุงคสิริ ต้องข้ามแม่น้ำเนรัญชราแล้วเดินทางต่อไปในป่า ซึ่งในสมัยพุทธกาลบริเวณนั้นเป็นป่าร่มรื่น ถ้ำตุงคสิรินี้เป็นหน้าผา กันแดดกันฝนได้ ในถ้ำเข้าไปนั่งได้สบาย เมื่อปัจจวัคคีย์ออกไปแล้วจึงเป็นโอกาสเหมาะ เพราะพระองค์ต้องการอยู่เงียบๆตามลำพัง ได้เสด็จจากถ้ำ ตุงคสิริ เดินเลียบแม่น้ำเนรัญชราขึ้นมาทางเหนือ เดินทวนแม่น้ำข้ามฝั่งไป *เห็นบริเวณต้นโพธิ์ร่มรื่นสบาย มีทุ่งหญ้าเขียวสด บริเวณป่าก็ไม่ห่างไกลหมู่บ้าน *พอจะบิณฑบาตรได้ไม่ไกลเท่าใดนัก นึกในพระทัยว่า *ที่นี้เหมาะสำหรับบำเพ็ญความเพียรหาสัจจธรรม จึงเสด็จไปบำเพ็ญความเพียรที่นั่น การนั่งทำความเพียรมีหลายแบบเหมือนกัน ในที่สุด..ถึง...*วันวิสาขะ เพ็ญเดือน 6 เมื่อตื่นบรรทมตอนเช้าแล้ว พระองค์ก็เสด็จไปสู่แม่น้ำ อาบน้ำชำระพระวรกาย แล้วประทับอยู่ใต้ต้นไทร ขณะนั้น*นางสุชาดา ผู้เป็นคหบดีมั่งคั่งที่นั่น ได้เคยบนบานกับต้นไทรไว้ตั้งแต่ยังสาวว่า ถ้าได้สามีที่ดี และมีบุตรคนหัวปีเป็นชายแล้ว จะทำขนมมาสังเวยเทวดา เมื่อสมปรารถนาแล้ว ในเช้าวันนั้น นางก็ทำอาหาร ที่เรียกว่า*ข้าวมธุปายาส*คือข้าวที่กวนกับน้ำนมสด กวนจนเหลวเข้ากันดี เมื่อเสร็จแล้วก็จัดใส่ถาดทอง บอกสาวใช้ให้ไปกวาดโคนต้นไทรให้เรียบร้อย *จะนำข้าวมธุปายาส ไปถวายเทวดา* สาวใช้เดินมาเห็นพระองค์ประทับอยู่ใต้ต้นไทร ก็คิดว่าเทวดามารออยู่แล้ว จึงรีบไปบอกนางสุชาดาว่า *เทวดา คงยินดีรับบัตรพลี เพราะมานั่งรออยู่แล้ว นางสุชาดาก็ดีใจถึงกับพูดว่า *ถ้าเป็นความจริงก็จะปล่อยสาวใช้ให้เป็นไท* ไม่ต้องเป็นทาสต่อไป.. แล้วนางก็ยกถาดทองใส่ข้าวมธุปายาส ทูนขึ้นบนศรีษะ เมื่อไปถึงก็เห็นว่า เทวดาท่าทางเรียบร้อย จึงก้มหน้าถือถาดเข้าไปประเคน พระองค์ก็รับประเคนทั้งถาด แล้วเหลือบดูนาง นางก็ทูลว่าถวายทั้งถาด แล้วก็ลากลับไป *ทรงถือถาด ข้าวมธุปายาส เสด็จไปสู่ท่าน้ำเนรัญชรา ฉันข้าวมธุปายาสหมดทั้งถาด แล้วก็ลอยถาดลงไปในแม่น้ำ ในปฐมสมโพธิอ่านแล้วจะพบว่า ถาดนั้นจมไปใต้ดินไปถึงเมืองพญานาค พญานาคหลับอยู่นาน ได้ยินเสียงถาดก็ตื่นขึ้นบอกว่า วันนี้ตรัสรู้อีกองค์หนึ่งแล้ว เมื่อวานนี้ก็ตรัสรู้องค์หนึ่ง พญานาค นอนหลับเป็นล้านๆปี เรียกว่าเล่าเพื่อให้เห็นปาหาริย์ไว้ให้สนุก พระองค์ประทับอยู่ ณ ที่นั่น จนบ่าย จึงเสด็จจากริมฝั่งแม่น้ำ ระยะทางจากฝั่งแม่น้ำไปถึงต้นโพธิ์ก็ไม่ไกล ราวร้อยเมตรเศษเท่านั้น เสด็จไปด้วยอาการสงบ ขณะนั้นมีพรานป่าชื่อ*โสตถิยะ* ตัดหญ้ามาจะมามุงหลังคา พอเห็นพระองค์ผ่านมา ก็ถวายหญ้า ที่ชาวอินเดียเรียกว่า*กุสะ* คำว่า*กุสะ*นี้ไม่ใช่หญ้าคาอย่างบ้านเรา แต่เป็นตะไคร้หอม เรามาแปลว่าหญ้าคา ซึ่งไม่ถูก ตะไคร้หอมต้นเหมือนหญ้าคาใบก็คล้ายแบบเดียวกัน แต่มีกลิ่นหอม พวกฤาษีนักบวชชอบเอาใบมา*กุสะ*มาปูนั่ง *นายพรานได้ถวายหญ้า 8 กำมือ พระองค์ก็รับนำไปสู่ต้นโพธิ์ เมื่อไปถึงก็ทรงปูลงใต้ต้นโพธิ์ ยืนนิ่ง อธิษฐานในใจว่า* แม้เลือดเนื้อจะเหือดแห้งไปเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกก็ตาม สิ่งใด ที่จะสำเร็จได้ ด้วยความเพียรความบากบั่นของตนแล้ว ถ้าเราไม่ถึงไม่ถึงจุดนั้น จะไม่ลุกขึ้นจากที่นั่งนี้เป็นอันขาด นี่คือ คำ *อธิษฐานยอมตาย* ให้กระดูกเปื่อยอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ถ้าไม่สำเร็จจะไม่ลุกขึ้น.. และ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ที่เราทุกคนจะนำไปใช้ได้ ใช้ในเวลาที่จะทำอะไรให้ทำได้ ใช้อธิษฐานใจเวลาจะทำอะไร *คำอธิษฐาน* หมายความว่า *ทำจิตใจให้มั่นในเรื่องที่เราจะทำ* ทำอะไรต้องทำใจให้มั่น การทำใจให้มั่นก็เรียกว่า ใช้กำลังภายใน ให้เกิดขึ้นในใจของเราเสียก่อน คนเราจะทำอะไรต้องมีกำลังใจหรือกำลังภายในแล้ว การกระทำก็ก้าวหน้า และ หลังจากอธิษฐานแล้วต้องมีสัจจะ สัจจะ หมายความว่าทำจริง มีสัจจะ มีอธิษฐาน แล้วเราก็มีความเพียร ก็จะประสบความก้าวหน้า ....... เมื่อ พระองค์อธิษฐานใจแล้ว ก็ประทับเจริญภาวนา ภาวนาคือ กำหนด อานาปานสติ อานาปานสติ แปลว่า กำหนดลมหายใจเข้าออก ควบคุมเวลาหายใจเข้าก็รู้หายใจออกก็รู้ แล้วพระองค์..ก็ทรงบรรลุ*ญาณ*แปลว่าปัญญาหรือความรู้ คู่กับ..*ฌาน* แปลว่าเพ่ง *พระองค์ก็ได้บรรลุ ญาณ ทั้งสาม 3 ในปฐมยาม มัชฌิมยาม ปัจฉิมยามราตรี สำเร็จเป็น พระพุทธเจ้า* คือหลุดพ้นจากความผูกพันทางใจด้วยประการทั้งปวง บรรลุถึงเสรีภาพขั้นสูงสุด ได้รับความอิสะอย่างแท้จริง ได้เป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า เกิดขึ้นในโลก ในวันเพ็ญวิสาขะเดือน6 ก่อนพุทธศก 45ปี ทรงบรรลุพระโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อพระชนมพรรษา 35 ปี ออกบวชอายุ 29ปี เที่ยวศึกษาค้นคว้า ทำความเพียรอยู่จนได้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อตรัสรู้แล้วก็ได้บำเพ็ญประโยชน์แก่ชาวโลกตลอดเวลา 45 ปี ได้ทรงกระทำ งานด้วยความตั้งพระทัย เพราะ*พระองค์อธิษฐานใจ* คือภายหลังตรัสรู้แล้ว ก็พักอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ใต้ต้นเกด ใต้ต้นมุจลินท์ ซึ่งอยู่ในบริเวณ นั้น 7 วัน 7 แห่ง แต่ละแห่งได้ทรงเปล่งอุทานออกมาด้วยความเบิกบานพระทัย หลายเรื่อง และการตรัสรู้ของพระองค์นี้ ไม่เกี่ยวเนื่องด้วยเทพเจ้า ไม่เกี่ยวเนื่องด้วยอำนาจเบื้องบน ไม่เกี่ยวเนื่องอะไรทั้งนั้น แต่เกี่ยวด้วยความเพียร ความตั้งใจเป็นการคิดค้นด้วยพระองค์เอง เพราะฉะนั้น พระองค์จึงตรัสว่า พระองค์ทรงเป็นสยมภู แปลว่า ผู้รู้เอง ไม่สามารถจะอ้างว่าใครเป็นครูเป็นอาจารย์ได้ เพราะเป็นเรื่องที่รู้ด้วยพระองค์เอง อันนี้เป็นเครื่องแสดงว่า *พระองค์เคารพสมองคนว่าเป็นผู้มีปัญญา สามารถทำอะไรก็ได้ ........... สาวนานอนคิดนานมาก เพราะว่ามีใจดวงใสดวงงาม ในยามนี้ และราตรีนี้คืนเดือนเพ็ญขึ้นสิบห้าค่ำเดือนหก ที่สาวนาและพุทธศาสนิกชนเฝ้ารอ ที่จะได้ไปแสดงมุทิตาจิต เวียนเทียนรอบโบสถ์คร่ำ ถวายชีวิตแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถวายจิตวิญญาณในร่มพระรัตนตรัย เป็นลูกของพระพุทธองค์จะได้มิหลงทาง ได้เพียรเดินตามรอยบาทอย่างมิให้คลาดคลา แม้นจะต้องใช้เวลาแสนนาน ก็จงเพียรพยายามอย่าท้อ และ คือขอตั้งสัจจะอธิษฐานภาวนา เพื่อจะได้มีหลักชัยแห่งชีวิตนำทาง ดั่งดวงประทีปพร่างไสวในโคมแก้วงามท่ามราตรีเพ็ญนี้ ที่สาวนาตั้งใจจะประดิดประดอย เด็ดดวงดอกไม้รายรอบวิมานดิน มาร้อยรักพลีสิ้น ด้วยใจดวงศรัทธา เพื่อสืบสานพระศาสนาที่แสนจะร่มเย็น ให้โลกหล้าและมวลมนุษย์ได้รู้หยุดทำร้ายกัน ได้หันมาเอื้อโอบใจปันแบ่งทุกสิ่ง ก่อนที่จะพรากลาไป..ใช่จะมีชีวียาวยืนยาวนานนิรันดร์ พลัน...!..สาวนา ราวได้ยินบทกวีพลีถวายเป็นพุทธบูชา จากบุรุษแห่งแผ่นดินรัตนโกสินทร์ มิสิ้นเสียง สายแสงจากพลังแห่งแรงรักศรัทธา ที่เขาก็คงปิติปรารถนา เพียงเพียรรจนาฝากหอมงามฝากความดี ไว้ในหล้านี่ *ที่ชื่อว่าแผ่นดินแม่มาตุภูมิ* ให้ได้แสนภาคภูมิใจ กับชีวาชีวีนี้ ที่มิเสียชาติเกิดมาได้พบคำสอนล้ำค่า จากฟ้าพุทธภูมิจากพระพุทธองค์ ที่ หวานแว่วแผ่วมาในมโนนึก ให้รู้รำลึก ลึกล้ำดำดื่ม จนน้ำตาพร่างไหล ไปกับสายน้ำใจสายน้ำนิรันดร์ พลันนะบัดนี้...!!!! ........... ........... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song420.html รางวัลชีวิต ชัชฎาพร ลักษณาเวช พระพุทธองค์ ท่านทรงสอนเรื่องเวรกรรม คนไหนใครทำ กรรมเคยก่อเอาไว้อย่างไร ก่อน นั้น เคยทำกรรมไว้ชาติใด ชาตินี้ต้องได้ รับกรรมที่ทำก่อนนั้น ตัวฉันคงทำ แต่กรรมซ้ำอยู่เสมอ ชาตินี้จึงเจอ เวรกรรมเก่าเข้าย้อนผูกพัน ปวด ร้าว ตรอมตรมขื่นขมอนันต์ ทำดี สารพันรางวัลที่ได้ก็คือเคราะห์กรรม โธ่ เอ๋ย พระเจ้าไม่เคยปราณี ในชาตินี้ ทำดีไม่เคยก่อกรรม หวัง ให้ ผลบุญได้น้อมนำ ล้างเวรที่เคยทำ แต่ชาติ ปาง ก่อน สิบนิ้วประนม สวดมนต์พร่ำบ่นบูชา กุศลนำมา จงนำข้าสิ้นเวรดั่งวรณ์ หากแม้ ชีวีสิ้นลับดับมรณ์ เวรกรรม ทุกชาติก่อน บรรเทาผันผ่อน อย่าตามซ้ำเลย...
8 พฤษภาคม 2552 00:56 น. - comment id 981624
คือชีวิตที่เรียบง่ายฉ่ำเย็น ของสาวนาผู้ผ่านรักเศร้า ผ่านชีวิต จนรู้ร้อน รู้หนาว จนกระทั่งชีวิตได้พบแสงธรรม นำทาง ให้จิตใจใสงามสงบ เดินตามรอยบาทของพุทธองค์ ผู้ทรงเป็นผู้รู้ด้วยพระองค์เอง ส่งให้ชีวิตของสาวนา ดูสะอาด สงบ และอบอุ่น จนรู้สึกได้ถึงความเมตตาอาทรรัก อันจะเป็นที่พักพิงแห่งใจอันล้าโรยแรง เป็นธารน้ำฉ่ำเย็น อันเป็นที่ซึ่งผู้เดินทาง รอนแรมทางมาจะได้พักดื่มกิน ขอเทอดแล้วในหนทางที่สาวนา กำลังทอดทางเดินไป ครับ
8 พฤษภาคม 2552 13:50 น. - comment id 981673
เปนสายธรรมและแสงเทียนที่แจ่มจรัส...ดูสงบและร่มเย็น...สื่อให้เห็นความเปนมาวิสาขปูรณมี....สาธุแซ่ซ้องพระบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า... ....ทำบุญ..ถวายทาน...ฟังธรรมตามกาล...ตามหลักพุทธศาสนา.... ขอบุญบารมีจงบังเกิดมีแด่สาวบ้านนาครับ
8 พฤษภาคม 2552 23:35 น. - comment id 981761
ภาพที่เห็น เหมือนที่ดินสาวนาที่พะงันเลยค่ะ อยู่บนยอดเขา คุณคนกุลา คุณเอื้องอังกูร ที่รักยิ่ง จะบอกอย่างไรดี กับชีวิตนี้ที่เกิดมา อาจจะเป็นเพราะมีประสบการณ์ มากมายก็ได้ค่ะ ทำให้เห็นทุกข์เห็นธรรม ได้เร็วขึ้น แต่ใช่ว่าจะหลุดพ้นง่ายๆดอกนะคะ ทั้งๆเพียรพยายาม อยู่ที่เราจะ*รู้สึกตัว รู้ทันเท่า* ทุกสรรพสิ่งที่เป็นผัสสะมากระทบเรา และเข้าใจ ยอมปล่อยว่าง ไม่ยึดมั่น คำว่าปัจจุบันขณะ จะทำให้เราเลิกโหยหาอดีต และไขว่คว้าอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ต้องใช้คำว่า *หยุดคิดเสียทีดีไหมเธอ* ทำจิตให้ผ่องใส สะสมเพียงสะเสบียงบุญค่ะ เท่านั้นก็งดงามแล้ว กิเลสมากก็พอกมาก เสียเวลาแกะออกค่ะ สาวบ้านนารักชีวิต เรียบง่าย ได้อยู่กับธรรมชาติ มีความสุขตามประสา กับผู้เป็นที่รัก ไปวัดทำบุญ และ... ไม่ชอบโลกศิวิไลซ์เลยค่ะ