ยอศรัทธาถึงหนุ่มหนึ่งในดวงใจ สุภาพบุรุษไพรชื่อแก่นคำกล้า อยู่อำเภอกุดชุมยโสธรา ลูกชาวนาผู้รักวิถีไท วิถีทองวิถีทุ่งรุ้งรังสี ให้ชีวีคนในหล้าใต้ฟ้าใส ได้อิ่มท้องมองโลกอย่างชื่นใจ คือยิ่งใหญ่คนดีพลีแด่ดิน พัฒนาสายพันธุ์ข้าวเวสสันตะระ ฝากสัจจะการดำรงถึงพงศ์ถิ่น สอนการให้ดั่งพระเวสสันดรหว่านระริน ลูกหลานไทยมีกินตราบนิรันดร์ คารวะหนุ่มน้อยใช่ด้อยค่า ไม่ต้องมีใบปริญญาสู้สานฝัน ค่าของคนอยู่ที่งามให้รู้แบ่งปัน มณีขวัญประดับหล้าผู้กล้าจริง...! ข้าวเจ้าหอมเวสสันตะระ และ ข้าวเจ้าหอมดำสูตะบุตร เปิดตัว ข้าวเจ้าหอมเวสสันตะระ และ ข้าวเจ้าหอมดำสูตะบุตร ข้าวพันธุ์ใหม่เพื่อชาวนาไทย พร้อมแนะวิธีการเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ดี ข่าวดีสำหรับชาวนาโดยเฉพาะทางภาคอีสาน กับการเปิดตัวข้าวสายพันธุ์ใหม่ ข้าวเจ้าหอมเวสสันตะระ และ ข้าวเจ้าหอมดำสูตะบุตร หนึ่งในความภาคภูมิใจของวงการข้าวไทย ซึ่งเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของ คุณแก่นคำหล้า พิลาน้อย บุคคลผู้มีอาชีพทำนาโดยแท้จริง และมีความมุ่งมั่นในการปรับปรุงและพัฒนาพันธุ์ข้าวไทย หลายครั้งที่เราพบว่า การคิดค้นปรับปรุงข้าวสายพันธุ์ใหม่ๆ มักเป็นผลงานของนักวิชาการและคณาจารย์ในระดับศาสตราจารย์หรือดอกเตอร์ แต่สำหรับคุณแก่นคำกล้านั้น เขาไม่ใช่นักวิชาการในสังกัดหรือในหน่วยงานใด ไม่ได้จบปริญญาตรีเป็นเพียงชาวนาคนธรรมดาทั่วๆไป ซึ่งมีใจและมุ่งมั่นที่พัฒนาอาชีพที่ได้ชื่อว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติให้ก้าวไกล โดยคุณแก่นคำกล้าได้บอกถึงแนวความคิดส่วนตัวที่ว่า โลกนี้คือโรงเรียน เราต้องการนำความรู้มาใช้ในการดำรงชีวิต มิใช่เพื่อใบปริญญา เพราะฉะนั้นการศึกษาเล่าเรียนจึงไม่จำเป็นต้องอยู่สถาบันใดสถาบันหนึ่ง สื่อทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์และนิตยสาร ก็สามารถให้ความรู้แก่ผมได้รวมไปถึงการได้มาดูงานในสถานที่ต่างๆ ด้วย พอได้ฟังแบบนี้แล้วผู้เขียนคิดว่า คุณถาวร พิลาน้อย(ผู้เป็นพ่อ) คงจะมีความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวของบุตรชายมิใช่น้อย อะไรคือ แรงบันดาลใจที่ผลักดันให้หันมาพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์ข้าว? คุณแก่นคำกล้าบอกว่า เราเป็นชาวนาใช่หรือไม่ ทำไมต้องเอาแต่พึ่งพาคนอื่นทุกอย่าง รถไถก็พึ่งคนอื่นแล้ว นำมันก็ต้องพึ่งคนอื่น ส่วนเมล็ดพันธุ์เราก็เก็บเองอยู่แล้วแต่ก็ไม่สนใจ มั่วแต่มานั่งรอพันธุ์ข้าวจากกรมการข้าว ก็คงจะไม่ดีนักไม่มีใครจะรู้จักผืนดินของเราเท่าตัวเราเอง ดังนั้นเกษตรกรควรจะพึ่งพาตนเองให้ได้มากที่สุด คุณลักษณะของข้าวทั้งสองพันธุ์เป็นอย่างไรบ้าง? ข้าวเจ้าหอมเวสสันตะระ ลักษณะพิเศษ คือสามารถแตกกอได้ดีในระดับน้ำที่ลึกประมาณ 30-40 เซนติเมตร ตั้งตัวได้เร็วในระยะเวลาเพียง 7 วัน(หลังปักดำ) หากต้นงามมากๆ จะมีความสูงประมาณ 160-170 ซม. ซึ่งเป็นพันธุ์ข้าวที่เหมาะกับพื้นที่ทางภาคอีสาน(แปลงข้าวนาปี) ด้านการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตจะดีกว่าข้าวหอมมะลิ 105 เปรียบเทียบโดยการใส่ปุ๋ย(ทั้งเคมีและชีวภาพ) ในปริมาณที่เท่ากัน ข้าวหอมมะลิ 105 จะได้ผลผลิต 300 กก./ไร่ ถ้าเป็นข้าวพันธุ์เวสสันตะระ จะได้ผลผลิต 450-500 กก./ไร่ อายุการเก็บเกี่ยว ช่วงระยะการออกรวงพอๆกับข้าวหอมมะลิ 105 แต่จะแก่ช้ากว่าประมาณ 7-15 วัน เมล็ดใหญ่ ยาว มีน้ำหนักต่อถังมากกว่าเมื่อเทียบกับหอมมะลิ 105 (ประมาณ 6 ขีด/ถัง) ข้อเสีย คือ ฟางข้าววัวควายจะไม่กิน เนื่องจากแข็งและระคายเคือง แต่ในทางกลับกันก็เกิดผลดี เนื่องจากมีข้าวตั้งตัวได้เร็วและก็จะไม่ถูกวัวควายมาแทะเล็มจนเสียหาย รวมถึงยังต้านทานต่อแมลงอีกด้วย ข้าวเจ้าหอมดำสูตะบุตร เป็นข้าวนาปรัง ซึ่งสามารถนำไปปลูกได้ทุกฤดูกาล เหมาะกับพื้นที่ที่มีน้ำ(ระดับน้ำประมาณ 2-5 เซนติเมตร) มีรสชาติคล้ายข้าวเหนียว ทั้งๆที่เป็นข้าวเจ้า อีกประการหนึ่งคือ เมื่อหุงแล้วเมล็ดจะนุ่มไม่แข็งเหมือนข้าวนาปรังทั่วไป อายุการเก็บเกี่ยว 120 วัน (นับตั้งแต่ปักดำ) เพาะต้นกล้าอายุ 8 วัน ก็สามารถนำไปปักดำได้ โดยขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการขึ้นทะเบียนและรับรองพันธุ์ ซึ่งคุณแก่นคำกล้ายังบอกอีกว่า ในภายภาคหน้าข้าวทั้งสองพันธุ์นี้ ก็จะกลายเป็นสาธารณสมบัติของชาติ คนไทยทั้งชาติสามารถนำไปปลูกได้โดยไม่ต้องขออนุญาต นอกเหนือจากการพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์ข้าวจนประสบความสำเร็จแล้ว คุณแก่นคำกล้ายังแนะวิธีเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวทีดีให้อีกด้วยเพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิต และได้พันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพ ปราศจากการปลอมปนของข้าวพันธุ์อื่นๆ หรือข้าววัชพืช คุณแก่นคำกล้าบอกว่า สำหรับเกษตรกรทั่วไปนั้นผมขอแนะนำว่าไม่จำเป็นต้องเก็บพันธุ์ข้าวบริสุทธิ์ก็ได้ เนื่องจากการเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวที่บริสุทธิ์นั้นจะต้องดูแลเอาใจใส่มากเป็นพิเศษและขั้นตอนค่อนข้าวยาก แต่สำหรับวิธีที่แนะนำทำได้ง่ายๆ โดยเริ่มจากการแยกแปลงที่จะปลูกข้าวพันธุ์ไว้ต่างหากและควรทำการปรับปรุงดินให้สมบูรณ์ที่สุด จากนั้นทำการปักดำโดยควรปักดำเพียงต้นเดียว อย่าใช้ 3- 4 ต้นอย่างเคย และควรเว้นระยะห่างให้เสมอกัน ปักให้เป็นแถวตรง เพื่อที่จะได้ง่ายจากการสังเกตว่าต้นไหนที่แปลกปลอมเข้ามา หรือต้นไหนที่แตกแถวออกมาแสดงว่าเป็นข้าวเรื้อ (เป็นข้าวที่เกิดเองตามธรรมชาติ) ในช่วงระยะการเจริญเติบโต ให้สังเกตว่าข้าวต้นไหนที่สูงเกินต้นอื่นๆก็ให้ถอนทิ้งทั้งหมด และเมื่อเข้าสู่ช่วงออกร่วง หากต้นข้าวต้นไหนออกรวงก่อนหรือหลังก็ให้ถอนทิ้งสุกหรือแก่ก่อนหรือหลังก็ให้ถอนทิ้ง เพียงเท่านี้เราก็จะได้ข้าวที่เจริญเติบโตพร้อมกัน ออกรวงพร้อมกัน และสุกพร้อมกัน ซึ่งถือเป็นข้าวพันธุ์ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน สุดท้ายให้สังเกตที่เมล็ดข้าว คัดเลือกเฉพาะที่มีขนาดที่มีขนาดเท่าๆกัน หากใครที่ชอบข้าวเมล็ดสั้นก็คัดเมล็ดยาวออก แต่หากใครที่ชอบเมล็ดยาวก็คัดเมล็ดสั้นออก ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนถึงปีที่สองปีที่สาม เมล็ดพันธุ์ค่อนข้าวจะนิ่ง ได้ตรงตามที่เราต้องการ ข้อควรระวังในการเก็บเมล็ดพันธุ์อีกประการหนึ่ง ในขั้นตอนการนวดข้าวไม่ควรใช้รถนวด เนื่องจากความเร็งของการตีเมล็ดข้าวจะแรงและสูง ส่งผลให้จมูกข้าวแตกดั้งนั้นจึงควรใช้วิธีการนวดแบบพื้นบ้าน ไม่เช่นนั้นก็เหมือนการตกม้าตายตอนจบนั่นเอง แต่สำหรับเกษตรกรรายใดที่ไม่ได้เตรียมการตั้งแต่แรก ลงปักดำข้าวไปแล้วก็เลือกเก็บเฉพาะรวงข้าวที่ต้องการมา(หมายถึง รวงข้าวที่มีลักษณะตรงตามพันธุ์ รวงใหญ่ ไม่มีหาง เมล็ดสวย และสม่ำเสมอ) ประมาณ 2-3 กก. แล้วปีต่อไปค่อยทำแปลงพันธุ์ก็ได้ บนพื้นที่ 1 ไร่ จะสามารถผลิตเมล็ดข้าวดีได้ประมาณ 400-500 กก. การนำไปใช้สำหรับนาหว่านจะใช้เมล็ดพันธุ์ 8- 10 กก./ไร่ แต่ถ้าเป็นนาดำจะใช้เมล็ดพันธุ์เพียง 3-5 กก./ไร่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าของแปลงว่าจะใช้วิธีใด แล้วจำเป็นหรือไม่การทำข้าวพันธุ์ต้องใช้ระบบการปลูกแบบอินทรีย์ ? คุณแก่นคำกล้าได้ให้คำตอบว่า อันนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าของแปลงนั้น แต่สำหรับผมแนะนำว่า ควรใช้ระบบอินทรีย์ ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง ความปลอดภัยของสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยของคนอื่นๆ แต่ถ้าหากเราทำแปลงข้าวพันธุ์ด้วยระบบอินทรีย์ แล้วหันกลับไปปลูกด้วยระบบเคมีนั้น ก็ย่อมไม่เกิดประโยชน์อันใด ซึ่งที่ผ่านมาผมยึดหลักการทำนาระบบอินทรีย์มาโดยตลอด และได้สังเกตเห็นว่า เมล็ดพันธุ์ข้าวอินทรีย์จะมีอัตราการเจริญเติบโตได้ดีกว่าเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ปลูกแบบเคมี สุดท้ายนี้ผมอยากฝากหลักการคิดที่ว่า จงคิดที่จะพึ่งตัวเองให้มาก ดีกว่าหวังรอพึ่งคนอื่น และจงเชื่อมั่นในตนเองให้มาก อย่าหลงเชื่อตามคนอื่น ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณแก่นคำกล้า พิลาน้อย บ้านเลขที่ 153 ม.11 บ้านโนนยาง ต.กำแมด อ.กุดชุม จ.ยโสธร โทร. 08-4642-230 (ตั้งแต่เวลา 08.00-18.00 น.)
26 มีนาคม 2552 15:12 น. - comment id 967298
http://lyrics.gmember.com/lyric.php?songid=0500511101&albumid=2740 ศิลปิน : ศิริพร อำไพพงษ์ เพลง : แรงใจจากปลายนา พระถั่งโปงแลง แดดอ่อนแสงรำไร เสียงหมาก กะโหล่งคอควาย ไล่หลังมาทางตีนบ้าน หอมกลิ่นดอกแค เคยไต่คันแทนำกัน ก่อนอ้ายสิไปไกลบ้าน เพื่องานเพื่อฮักเฮาสอง... เมื่อห่างกันไกล ได้แต่ส่งใจไปหา ไหว้วอนศาลปู่ตา นำพาอ้ายหาเงินคล่อง ก่อร่างสร้างฝัน ไกลกันอย่าเป็นห่วงน้อง ประตูหัวใจทุกห้อง ปิดตายรออ้ายคนเดียว ขอส่งแรงใจ จากปลายทุ่งนาฟ้าแจ้ง ส่งฮักกับฟ้ายามแลง เติมแฮงให้อ้ายเด็ดเดี่ยว งานหนักอย่าท้อ สาวใดออเซาะอย่าเหลียว คุ้มกันฮักเดียวใจเดียว อย่าให้ด่างพร้อยรอยฝัน ขอฝากสายลม หอบผ้าห่มรักแรงใจ ไปแนบอุ่นอกคนไกล ให้อ้ายสู้จนพ้นผ่าน น้องอยู่ทางนี้ คอยทางเคียงข้างพาขวัญ กอดฮักซื่อตรงคงมั่น คอยรอวันอ้ายคืนนา ขอฝากสายลม หอบผ้าห่มรักแรงใจ ไปแนบอุ่นอกคนไกล ให้อ้ายสู้จนพ้นผ่าน น้องอยู่ทางนี้ คอยทางเคียงข้างพาขวัญ กอดฮักซื่อตรงคงมั่น คอยรอวันอ้ายคืนนา
26 มีนาคม 2552 16:00 น. - comment id 967313
สวัสดีตอนบ่ายค่ะ แวะมาเติมความรู้เกี่ยวกับข้าว และชื่นชมความสามารถของคนไทย ด้วยคนค่ะ วันนี้นำความรู้เรื่องข้าวมาฝากอย่างละเอียดเลยนะคะ แถมยังมีเพลงอีกด้วย แม้ไม่เคยฟังแต่อ่านแล้วเนื้อหาก็ดีค่ะ คงจะเพราะนะคะ
25 กุมภาพันธ์ 2553 16:06 น. - comment id 1104334
ผมดูวิธีทำ คิด พูด ของคุณ แล้วประทับใจมากทั้งๆๆที่ไม่เคยรู้จักกัน ขอบคุณประเทศไทยที่มีคุณเป็นผู้จุดประกายให้พี่น้องชาวนาไทยค่อยๆๆเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตไปสู่ความมั่งคงและพึ่งตนเองได้ในที่สุด มนูญ จ.ตราด
26 กุมภาพันธ์ 2553 11:36 น. - comment id 1104529
เป็นคนดีมากอยากให้คนไทยแบบนี้มีเยอะหัวใจอบอุ่นดีมาก
4 มีนาคม 2553 12:47 น. - comment id 1106732
ก็ดี จะไม่ได้ มีชาวนาร้องให้อีก แต่จะมีชาวนาสักกี่คนที่ทำแบบได้ตุ๊หล่าง เพราะหนี้สินเดิมก็ยังอยู่ ปีหนึ่งก็ทำนาได้แค่ครั้งเดียว แล้วทางออก แบบตุ๊หล่างมันจะมืดมนไปสำหรับชาวนาตาดำดำ ฤา