http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3363.html ลมเหนือ.. กระท่อมไพรมีเสียงธรรมทุกค่ำเช้า มีดอกไม้ร่ายมนตราแสนหวานฉ่ำ มีเสียงนกร้องพร้อมผีเสื้อเริงระบำ มีน้ำอมฤตธรรมร่ำรินต่อ*สายบุญ..* เสียงมงคลดั่งธารใจใสชื่นฉ่ำ หยาดพรมพรำเนื้อนวลใจให้หอมกรุ่น ดอกไม้ใดไหนเล่าจักหอมเท่าดอกไม้บุญ ดั่งธรรมทุนหนุนน้อมใจใสทุกวัน วางมาลัยเคียงหมอนอธิษฐานจิต ดอกไม้ทิพย์กราบถวายพระพุทธาแห่งสวรรค์ กราบครูบาแม่พ่อน้อมชีวัน จิตตั้งมั่นภาวนานิทรารมย์.. ยิ้มรับสายแสงแสนหวานเช้าวันใหม่ เปิดดวงใจรับหยาดน้ำค้างพร่างหอมห่ม มองดอกไม้ฝากสัจจธรรมไร้ระทม รู้ทันเท่าลมหายใจปัจจุบันเท่านั้นพอ.. ทำหน้าที่ทางโลกย์หยุดโศกทุกข์ ไม่ว่าสุขว่าเศร้ามิเฝ้าขอ ทำหน้าที่ทุกนาทีให้ดีพอ ก็เกิดก่อ*สายบุญ*แล้วนะแก้วใจ..แก้วกลางใจ..! .................... หลวงพ่อเจ้าคะ ทำไมคนโบราณจึงบอกว่า คนที่มีความกตัญญูกตเวที ชีวิตของเขาจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ? คนมีความกตัญญูกตเวที คือ คนที่รู้คุณและรักที่จะประกาศคุณ ซึ่งเคยได้รับมาจากผู้อื่น ถ้าพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนที่มีความกตัญญูกตเวที เป็นคนโชคดีตั้งแต่เริ่มต้น ตรงที่เกิดมาก็ได้เจอคนดี คนมีน้ำใจ และเมื่อได้รับความมีน้ำใจมาแล้ว เขาก็รู้คุณค่าของความมีน้ำใจนั้นด้วย แต่ว่าบางคน ตลอดชีวิตไม่ว่าจะตกทุกข์ได้ยากอย่างไร ก็ไม่เคยมีใครยื่นมือมาโอบอุ้ม มาช่วยเหลือ มาหอบหิ้วเขาเลย เมื่อเป็นอย่างนี้ จึงเกิดความรู้สึกว่า โลกทั้งโลกมีแต่ความแห้งแล้ง มีแต่คนใจแคบ มีแต่ตัวใครตัวมัน หรือทั้งๆ ที่มีคนยื่นมือมาช่วยเหลือ ทำให้ตัวพ้นทุกข์พ้นยาก แต่ว่ากลับนึกถึงพระคุณของเขาไม่ออก ก็ฟ้องว่า เจ้าคนนี้เป็นคนใจบอดเสียแล้ว คือแม้ว่าดวงตาของเขาอาจจะยังดีอยู่ แต่ใจ ของเขานั้นบอด ตรงที่มองความดีของคนอื่นไม่เห็น ทั้งที่ความดีนั้นได้ถูกหยิบยื่นมาให้ตัวเอง คนประเภทนี้จัดว่าเป็นคนที่อันตราย เพราะว่า ประการที่ ๑ เขาจะมองคนทั้งหลายที่ไม่เคยหยิบยื่นความสุข ความสะดวกความสบายให้กับเขา เหมือนอย่างกับคนไม่รู้จัก หรือบางทีอาจจะเห็นเป็นศัตรูเสียอีก ประการที่ ๒ แม้แต่คนที่เคยหยิบยื่นให้ความช่วยเหลือ เขาก็ยังมองไม่เห็นความดีนั้น เมื่อเป็นอย่างนี้ โลกทั้งโลกจึงได้กลายเป็นโลกมืดสำหรับเขาเสียแล้ว ทำให้คนประเภทนี้ไม่มีความสุขตลอดชีวิต นี่คือสภาพจิตใจของคนเราที่แตกต่างกัน ระหว่างคนมีความกตัญญูกตเวที กับคนไม่มีความกตัญญูกตเวที ระดับของความกตัญญู สำหรับคนที่มีความกตัญญูนั้น ยังสามารถแบ่งระดับของความกตัญญู ออกเป็น ๔ ระดับ คือ ๑. มีความกตัญญูขั้นอนุบาล ได้แก่ ผู้ที่รู้ว่าเขามีพระคุณกับเรา แต่ว่ายังไม่คิดที่จะตอบแทนคุณ คือมีจิตใจที่ดีงามเพียงแค่รู้คุณเท่านั้น ๒. มีความกตัญญูขั้นประถม ได้แก่ ผู้ที่รู้ว่า เขามีพระคุณต่อเรา เพราะฉะนั้นมีโอกาสเมื่อไร จะต้องตอบแทนคุณเขาบ้าง แค่คิดตอบแทนเท่านั้น ระดับธรรมะในจิตใจของเขาก็จะยกขึ้นสู่อีกระดับหนึ่งแล้ว ๓. มีความกตัญญูขั้นมัธยม ได้แก่ ผู้ที่รู้ว่าเขามีพระคุณต่อเรา คิดจะตอบแทนคุณ แล้วก็ลงมือประกาศคุณให้โลกได้รู้ว่า ท่านผู้นั้น ท่านผู้นี้ เคยมีพระคุณกับเรา อย่างนั้น อย่างนี้ จิตใจหรือธรรมะประจำใจของคนๆ นี้ก็ยกระดับยิ่งขึ้นไปอีก ๔. มีความกตัญญูขั้นอุดมศึกษา ได้แก่ ผู้ที่นอกจากจะรู้คุณ คิดจะตอบแทนคุณ และประกาศคุณแล้ว ถ้าจะให้ดีเยี่ยม ต้องลงมือตอบแทน พระคุณท่าน ให้สมกับที่ท่านเคยมีพระคุณต่อเราด้วย เพราะฉะนั้น คนที่มีจิตใจระดับนี้ฟ้องว่า ในใจของเขาไม่เคยคิดเรื่องร้ายเลย ในใจของเขาคิดแต่เรื่องดี เวลามองโลกก็มองในแง่ดี มองโลกนี้อย่างสวยงาม ตรงไปตามความเป็นจริง เวลามองคนก็มองในแง่ดี ว่าโลกนี้ยังมีคนดีอยู่ แล้วตัวเราเองก็จะต้องเป็นคนดีอีกคนหนึ่งของโลกนี้ให้ได้ พอมีความคิดอย่างนี้เกิดขึ้นแล้ว การทุ่มเท การเค้นศักยภาพในตัวเอง เพื่อไปทำความดี ก็จะเกิดตามมา เมื่อคนเราพยายามเค้นศักยภาพใน ตัวเอง ไปทุ่มเทในการทำความดีแล้ว ก็จะทำให้ไม่มีเวลาที่จะไปฟุ้งซ่าน ไม่มีเวลาที่จะไปอิจฉา ตาร้อนใคร มีแต่เวลาสำหรับการคิดดี พูดดี ทำดี แล้วสิ่งที่จะได้ตามมาก็คือ เขาจะได้ดี หรือว่าได้ความเจริญรุ่งเรือง เพราะฉะนั้น ที่ปู่ย่าตายายของเราท่าน พูดไว้ว่า คนมีความกตัญญูกตเวที จะมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองนั้น ถูกต้องแล้ว เมื่อเรามีปู่ย่าตาทวดดีๆ ฉลาดๆ อย่างนี้ จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องเชื่อฟังและทำตามท่าน อย่างชนิดสุดชีวิตจิตใจ แล้วบ้านเมืองไทยของเราก็จะเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไป
26 มกราคม 2552 15:02 น. - comment id 941119
แวะมาอ่านกลอนค่ะ ความกตัญญูเป็นคุณสมบัติติดตัวของมนุษย์ บางคนค่ะ
26 มกราคม 2552 16:01 น. - comment id 941160
มาแล้วๆ กลอนดีดีมีสาระมีมาให้อ่านกันอีกแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ สำหรับบทกลอน และบทความที่เตือนสติได้เป็นอย่างดีเลย
26 มกราคม 2552 22:17 น. - comment id 941382
:)
26 มกราคม 2552 22:58 น. - comment id 941445
27 มกราคม 2552 00:31 น. - comment id 941475
ไม่ได้เข้ามานานอดไม่ได้จึงเขียนเรื่องสั้นและ แวะมาเยี่ยมคนสวยสาวบ้านนาคนงามแห่งพงไพร จ้ารักเสมอ แก้วประเสริฐ.
28 มกราคม 2552 10:58 น. - comment id 941987
เข้ามาสูดกลิ่นหอม(บุญ)ค่ะ .. สิ่งที่รู้สึกได้ทุกครั้งที่เข้ามาอ่านบทกลอนของพี่คือ............"ความเย็น"ค่ะ ดับร้อน(ในใจ)ได้ชะงัดนัก