ประทีปแห่งปวงสงฆ์ดับลงแล้ว ดั่งขวัญแก้วแห่งร่มรัตนโกสินทร์ ยอดมณีนิรพานพรากแผ่นดิน สะเทือนธรณินทร์สิ้นแล้วองค์พระอรหันต์..ขวัญบูชา.. .................. พุดพัดชากำลังโศกสะเทือนใจ กับข่าวการสูญเสีย *พระอรหันต์แห่งแผ่นดิน ดั่งดวงมณี นิรพานค่ะ * หลวงพ่อในดวงใจศรัทธาคารวะสูงสุด แห่งจิตวิญญาณพุดพัดชา..มานานนับหลายสิบปี *พระพรหมมังคลาจารย์ หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ค่ะ * และ... กำลังรวบรวมทุกบทความเรียงกวี พลีน้อมศิระกรานกราบ เพื่อแสดงมุทิตาจิต กตเวทิตาจิต จากดวงชีวิต จากลมหายใจน้อยนิดแห่งหนึ่งชีพนี้ ที่พุดเคยได้รับเมตตาปรานี ได้อยู่ในร่มเงาศาสนาได้ฟังธรรม ได้น้อมนำมาพรำพรมรินรด ดั่งหยดน้ำอมฤตธรรมทิพย์เกษม ในร่มเงาวัดชลประทานมายาวนานมาก ได้กรานกราบแทบเท้าหลวงพ่อ อธิษฐานจิตเกาะเกี่ยวชายผ้าเหลืองหลวงพ่อ ร่วมสร้างกุศลบุญ.. เพื่อหนุนน้อมให้ได้พบพระพุทธศาสนา ให้ได้อยู่ใต้ร่มฉัตรเพชรแห่งองค์พระมหากษัตริย์ไทย ผู้ทรงทศพิธราชธรรม.. ได้อยู่ในชาติอันแสนสงบร่มเย็นเป็นสุขมานานช้า ได้พบสายธรรมธาราทองอันผ่องแผ้ว สอนสัจจกระจ่างให้รู้วาง ว่าง หาก..ลูกต้องเวียนว่ายร่างเกิดมา ชดใช้วิบากกรรมอีกหลายชาติภพภูมิด้วยเทอญ.... และ.. ธรรม สุดท้ายที่หลวงพ่อกำลังสอนพุดพัดชา ให้ตระหนักค่าสว่างจ้าถึงค่าคำล้ำล้น สัจจธรรม *มรณานุสติ* และ... *คำที่ว่าการพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ การประสบกับสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์..* ให้ดวงจิตพุดเห็นทุกข์เห็นธรรม รู้แจ้งในคำว่าอนิจจังอนัตตา เกินกว่าจัก หาคำมาอธิบายความรู้สึกมากมายในใจได้แล้วค่ะ นาทีนี้.... ฟ้ากำลังมืดดำร่ำไห้ แม่พระธรณีกำลังร่ายกรรแสงกำสรวล มวลดอกไม้ทั่วพสุธากำลังโปรยปลิดกลีบน้อมคารวะ สายธารบุญธาราธรรมกำลังละหลั่งรินอย่างมิสิ้นสาย ลม..ระบัดหมุน..วนคล้ายดั่งละทิ้งคำสอนศักดิ์สิทธิ์ แด่ศิษยานุศิษย์ ทั่วทุกทิศานุทิศทั้งแผ่นดินไท แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง ฝากให้ผองชนในพุทธสุวรรณภูมิ ต่างล้วนโศกาอาดูรเกินจักรำพัน แล.. ทุกสวรรค์ชั้นพรหม เทพยดา ณเบื้องบน.. สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกแห่งหนสากลโลก กำลังสวดมนต์รับดวงวิญญาณ *แห่งมณีนิรพาน* ดังก้องกังวานไปทั่วทั้งสามภพจบจักรวาล... อันประมาณดั่งสายแสงเพชรพร่างกระจ่างสว่างสงบ ในภพภูมิไสว .... ให้*หลวงพ่อ..ปัญญานันทภิกขุ พระพรหมมังคลาจารย์ * ศรัทธาในดวงใจ แห่งพุทธศาสนิกชนคนไทย ได้สถิตไปตราบชั่วกาลกัปป์กัลป์..ชั่วนิจนิรันดร....!!!!! .............................. แพธรรม..แพทอง เช้าวันอาทิตย์ พุดไปวัดมา พุดรจนากลอนบทนี้ไว้ ขณะที่นั่งใต้ร่มไม้ใบบางๆ และแสงตะวันจางจาง กำลังทอทอดโลมไล้ทุกสรรพสิ่ง ให้นิ่งเงียบงามในใจ และกำลังพร่างใบเหลืองนวลปลิดปลิว สอนใจ..ให้บทเรียนใจเรา.. นะทุกดวงใจ... ใต้ร่มไม้ใต้ฉัตรธรรมงามล้ำลึก สร้อยผลึกสอนใจใฝ่เพชรล้ำ ลงแพทองล่องทะเลโลกย์โศกระกำ ขอแพธรรมนำทางสว่างใจ.. สู่ฝั่งฝันสว่างสอาดสงบสยบโลกย์ แม้นใจโศกรู้ทันเท่ามิหวั่นไหว ขอแพธรรมแพทองล่องลอยไป พาแพใจรู้วางทางนิพพาน.. ขุดบ่อบุญกลางใจไว้รินดื่ม แม้นหลงลืมเรียกขวัญวันพบหวาน นวลเนื้อใจเพียร*งามให้*อย่าโศกราน อุปาทานทำใจใครพรากลา.. รู้วางใจรู้ไม่หวั่นรู้สรรสร้าง เส้นทางงามไม่ท้อถอยเพียรค้นหา ใจเหนือโลกโศกไม่นานนะดวงชีวา ทุกข์ผ่านมาวูบวับรู้ดับทัน.. ดอกลั่นทมร่วงพร่างกลางร่างร้าว ตาซึ้งเศร้าซ่อนน้ำตาอย่าหลงฝัน รู้ทันโลกโศกชั่วครู่ใช่นิรันดร์ ใจเพียรฝันหวังเพียรสร้างงานงามใจ เมื่อมีรักจักรู้คู่ทุกข์โศก เป็นรอยโลกการอยร้าวให้เศร้าไหว รู้รักเย็นรักให้เป็นพลีพร้อมใจ เก็บกลางใจกระจ่างสร้างสรรดี.. เกิดมาแล้วเพียรสร้างทางกุศล หวังไม่วนหลงวงกรรมซ้ำชีพนี้ ใช้แพธรรมแพทองล่องชีวี จิตวิญญาณพลีพบฝั่งฝันวันไร้เธอ.. ................... http://www.thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_373.php ดวงใจ..ตามฉันมา.. ฉันจะพาเธอไปยัง ดินแดนแห่งความสุข... ไม่จำเป็นต้อง ใส่รองเท้าหรู คู่แพงๆ ไม่ต้องมีดีเคเอนวาย หรือเวอร์ซาเซ่ ไม่มีน้ำหอม น้ำปรุง..ไม่ต้องหรูไม่ต้องเริด ไม่..ไม่..และไม่...วัตถุมากมี........ ขอแค่ให้มี....ใจดวงที่สวยใสสงบงาม ที่จะมุ่งมั่นไปยัง ดินแดนแห่งความฝันที่มีจริงบนโลกนี้ ที่ใกล้แสนใกล้แต่เราทุกคนกลับมองข้ามไป.... ที่ที่มีร่มไม้ ทั้งสูง ทั้งต่ำ ที่แสนสวยแสนงาม เป็นดั่งร่มแวดล้อมคอยปกป้องกางกั้นเธอจากผองภัย มีดวงใจและน้ำใจมากมีจากกัลยาณมิตรธรรม ที่จะนำทางให้เธอ หลบพักพิงใจอิงเอื้อโอบใจ.. ไม่นานนัก..เธอจะมีใจดวงดีที่เป็นกลางๆ ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องเซซัง ไม่ต้องพบกับคำว่าความผิดหวังซ้ำๆซากๆ จนใจโศกตรม ไม่ต้อง ครวญคร่ำกับคำว่า ไม่อยากมีชีวิตอยู่ ไม่ต้องกลัวว่าจะมาผิดทาง เคว้งคว้างเดียวดาย..... แต่...มีข้อแม้ถ้าเธอ..นั้นยังแกะเปลือกไม่ออก ยังชอบการหมุนวนแห่งรอยกรรม บางทีเธอนั้นอาจจะยัง ไม่พร้อม..จนกว่าเธอจะค้นหาเส้นทางชีวิตของเธอเอง... แต่รู้ไหม!..บางที่มันเสียเวลา กว่าเธอจะค้นหาเจอด้วยตัวเอง และบางทีก็อาจจะหมดเวลาและสายเกิน ก่อนที่จะพบว่าแท้ที่จริงนั้น ที่คนเราทุกข์หนักกับทุกสิ่งนั้น เพราะเราแบกมันไว้ ในทุกความอยากมากมี ที่มีเสน่หาเย้ายวนกวนให้ใจเราลุ่มหลง และยึดติด ไม่ว่าวัตถุหรือสิ่งมีชีวิตนี้ที่เราเรียกว่าคน ความอยากมากมี ที่ อยากจะเป็น อยากจะได้ตามๆกัน อย่างที่สังคมบ้าวัตถุ..สังคมทุนนิยมสร้างขึ้นมา เพื่อล่อหลอกให้เรานี้ต้องตกเป็นเหยื่อเพื่อความรวย ของคนไม่กี่กลุ่ม..และเราต้องชุลมุนหัวหมุนวุ่นวาย บ้ากันผ่อน..ผ่อนนั่น ผ่อนนี่ ผ่อนหนี้ไม่มีที่สิ้นสุด จนกว่าจะแก่ตาย... เราลองปลดปล่อย..ของหนักลงจากบ่า ของที่เรายึดติดกันมากมายทั้งทางกายทางใจ และบางที... มันหนักเสียจนรวดร้าวเข้าไปถึงดวงใจจนเกินทานทน จนไม่อยากแม้จะมีชีวิตอยู่... เขียนเรื่องนี้..เพราะคลิกเข้าไปอ่านกระทู้อกหัก พลัดพรากจากรักที่ไม่สมหวัง ที่ซ้ำๆช้ำๆตรมๆตรอมๆ บางคนเสียเวลารักษาเยียวยานานปี จนกว่าจะรู้ว่าที่แท้นั้นคนที่เราบ้าคลั่งรักปานจะกลืนกินนั้น เค้ากำลังกลืนกินคนอื่นแทนเรา.. เราเสียเวลาเพราะไม่มีบทเรียนกำกับใจ ไม่มีเกราะกำบังใจ ให้คิดเป็น ตัดใจเป็นให้รักตัวเอง และแม่พ่อเป็น กลายเป็นคนอ่อนแอ..และนับวันจะแย่ไม่มีดี ไม่มีได้อะไร...ที่จะสร้างสรรชีวิตเราขึ้นมาเลย.... ดวงใจ...ตามฉันมาซี.. มานั่งตรงนี้ ที่นี่ มีพันธุ์พงพฤกษ์ไพร มีดวงดอกไม้รายเรียง มีดวงใจของคนดีๆที่ จะรอประโลมใจเธอให้หายบอบช้ำ... แสงตะวันรำไร ๆ ธรรมชาติสดใส เขียวชื่นตา และมวลพลังงานแห่งความหวังจะกระจายโอบรอบตัวเธอ ให้หลุดพ้น ราวกับมีปุยเมฆสวยสีขาวบางเบา มาปัดเป่าเห่กล่อมให้เธอนิทรากับทิวาราตรีอย่างผู้รู้ค่าแห่งใจตน.. ธรรมะ..ธรรมชาติๆ ธรรมดาๆ ที่เธอไม่ต้องลงทุนซื้อหา แต่จะได้มาเพียงเธอเปิดใจรับมัน... แทนขยะมากมี ที่กำลังมอมเมาใจเธอให้รกรุงรัง เน่าเหม็น... ดวงใจ..ที่นี่จะมีพระสงฆ์มากมาย จะไม่ทำให้เธอหลงทางเสียขวัญ.. ยังมีห้องสมุดทางจิตวิญญาณ ที่เป็นหนังสือ.. ธรรมมะมากมี ที่จะเป็นคำสอนให้เธอค่อยๆเข้าใจ โลกและชีวิต.. ในไม่ช้า ใจดวงมืดบอดของเธอ จะเจิดจ้า สว่างดังดวงตะวันแสนงาม และจะมิมีวันมืดดับ ไม่ว่าจะพานพบพายุร้ายใดๆมากรายกล้ำ กระทบ... ดวงใจ.. พร้อมหรือยัง ตามฉันมาสิ... ฉันนี้กำลังเพียรพยายามที่จะเกิดมาให้สมกับคำว่ามนุษษ์ มิใช่แค่คำว่า คน ที่กวนปนอยู่แต่กับความวุ่นวายสับสน ของกิเลสตัณหา ที่โหมกระหน่ำหนัก มาทุกทิศ ทุกทาง จนโลกบ้าๆใบนี้กำลังบิดเบี้ยว จนจะขาดเกลียวจากกันอยู่มิช้ามินานแล้ว... ดวงใจ..ตามฉันมานะ... ถ้าเธอมีแค่ใจดวงดีอยากลอง อยากลงทุน เพาะบ่มธรรมชาติงาม ให้รู้ซึ้งค่า แห่งความหมดจดงดงามกับความเป็นไปของโลกและชีวิต... ที่จะไม่ต้องหมุนวน ทุรนทุรายไม่รู้จบรู้สิ้น... ค่อยๆขยับตัวเธอนะ.. ค่อยๆแกะเปลือกออกมา พาดวงใจและความคิด ออกมาค้นหาแก่นแท้ของชีวิต แล้วเธอจะรู้ว่าแท้จริงไซร้ สิ่งที่เราทุกคนต้องการนั้น... มันไม่จำเป็นต้องหรูหราราคาแพง ฟุ่มเฟือย มันมิใช่รถเก๋งแพงแพง ใช่การแต่งตัวแข่งกัน ใช่การปั้นหน้าจ้ะจ๋า แต่ใจนั้นแสนเหน็ดเหนื่อยและเดียวดายกับความไม่พอใจ..ไม่สงบสุข... ดวงใจ..ตามฉันมานะ ฉันเองอยากจะพาเธอให้หลุดพ้นจากโซ่ตรวน แห่งความตรอมตรม การหมุนวน ในรักที่เป็นทุกข์ สาหัสสากรรจ์...จนยากทำใจไหว... ตามฉันมาซี..คนดี.. ทุกวันอาทิตย์ เธอจะได้พบกับธรรมชาติที่แสนสวย และธรรมมะที่แสนยิ่งใหญ่ และสองสิ่งนี้จะค่อยๆยึดพื้นที่แห่งความหมองไหม้ ภายในใจของเธอที่หาทางออกไม่พบเจอ.. ทุกสิ่งนั้น..สำคัญที่ใจของเธอ.. ความคิดของเธอ ที่จะลิขิตชีวิตเธอเองใช่ใคร! ตัดสินใจมาเลยจะดีกว่า!นะ.. ฉันจะรอจะคอยเสมอ..อยู่ตรงนี้. เพื่อเดินไปด้วยกันในเส้นทางแห่งความสุขสีขาว..นิรันดร..... ชีวิตจริงพุดพัดชาค่ะ ที่พยายามรักษาจิต ให้งามนิ่งสนิท สะอาดสว่างสงบ แม้ได้บ้างมิได้บ้าง อย่างผู้พึงรู้ตนมิพึงต้องอวดอ้างกับใคร แม้จะยากยิ่งนักแต่ก็เพียรมาหลายปีแล้วและ จะเพียรต่อไปค่ะ..ด้วยรัก.. ................................. http://www.thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_373.php บัวขาว เห็นบัวขาว พราวอยู่ ในบึงใหญ่ ดอกใบ บุปผชาติ สะอาดตา น้ำใส ไหลกระเซ็น เห็นตัวปลา ว่ายวน ไปมา น่าเอ็นดู หมู่ภุมริน บินเวียนว่อน ลอยร่อน ดมกลิ่น กลิ่นเกสร พายเรือน้อย คล้อยเคลื่อน ในสาคร ค่อยพาจร ห่างไป ในกลางน้ำ หมู่ภุมริน บินเวียนว่อน ลอยร่อน ดมกลิ่น กลิ่นเกสร พายเรือน้อย คล้อยเคลื่อน ในสาคร ค่อยพาจร ห่างไป ในกลางน้ำ... http://www.thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_420.php รางวัลชีวิต... พระพุทธองค์ ท่านทรงสอนเรื่องเวรกรรม คนไหนใครทำ กรรมเคยก่อเอาไว้อย่างไร ก่อน นั้น เคยทำกรรมไว้ชาติใด ชาตินี้ต้องได้ รับกรรมที่ทำก่อนนั้น ตัวฉันคงทำ แต่กรรมซ้ำอยู่เสมอ ชาตินี้จึงเจอ เวรกรรมเก่าเข้าย้อนผูกพัน ปวด ร้าว ตรอมตรมขื่นขมอนันต์ ทำดี สารพันรางวัลที่ได้ก็คือเคราะห์กรรม โธ่ เอ๋ย พระเจ้าไม่เคยปราณี ในชาตินี้ ทำดีไม่เคยก่อกรรม หวัง ให้ ผลบุญได้น้อมนำ ล้างเวรที่เคยทำ แต่ชาติ ปาง ก่อน สิบนิ้วประนม สวดมนต์พร่ำบ่นบูชา กุศลนำมา จงนำข้าสิ้นเวรดั่งวรณ์ หากแม้ ชีวีสิ้นลับดับมรณ์ เวรกรรม ทุกชาติก่อน บรรเทาผันผ่อน อย่าตามซ้ำเลย... .......................... เช้าวันอาทิตย์.. เช้าวันอาทิตย์..ที่อากาศแสนสดใส... ท้องฟ้าสีน้ำเงินจัดจ้า...ท้าแดดกล้า..สว่างไสว..พาให้ใจดวงเป็นสุข....... และอยากไปทำบุญตักบาตรที่วัด.... ไปฟังพระเทศน์..ให้ศีล..ให้พร....... ไปทายทัก....ต้นไม้ทุกต้น.. ที่ร่มรื่นเรียงราย..มากมายนานาพรรณ.. ราวนั่งอยู่ในไพรพฤกษ์พง..... ที่มิใช่ป่าคอนกรีต.....ผืนแล้งราวทะเลทราย......... วันนี้ดวงดีใจ.. ที่ได้เห็นลั่นทมขาวยังพราวดอกดวง.. แม้จะดูหม่นเศร้าเคล้าใบเขียวเข้มขจี..ที่หน้าโบสถ์งาม.. ได้เห็นดอกทองหลาง..ที่สลัดใบ..ร่วงกราว.. ทิ้งกิ่งก้านยาวให้..ดวงดอกแดงงามเจิดจ้า..เฉิดฉาน.. ราวตะวันแรงแผดแสงกล้า..ท้าลมร้อน..ทายทัก...... ดวงอธิษฐานจิต..นิ่ง..นาน..ทุกครั้งที่ตักบาตร......... เกิดชาติหน้า..ชาติไหน..ให้ใจดวง..และผู้อันเป็นที่รักยิ่ง..มิ่งมิตรชิดใกล้.... จงได้เกิดมาพบ...... พระพุทธศาสนา.. ที่มีแก่นแท้นำพา..ใจเรานี้..ให้สะอาด..สว่าง..สงบ.. ดังน้ำค้างบริสุทธิ์ใส..ทุกภพ..ทุกชาติไป ดวง..อยากบอกทุกคนว่า..... การไปวัด..มิใช่สิ่งที่ควรเมินหนี..แม้ในวัยแรกรุ่น....... เพราะการไปวัด..คือการฝึกจิต..เตรียมใจของเรา.. ให้ประณีต..ละเอียดอ่อน..เพื่อให้ถึงพร้อม... อย่างที่มนุษย์ พึงใฝ่หา..ความดี..ความงาม..ความละมุน... มาเติมจิต....เติมใจของเรานี้......ให้เต็ม...... ตื่นเช้า..ยามอุษาฟ้าสาง.... เพื่อฟังเสียงนกกา..ที่ร้องรับ..อรุณรุ่ง....... เปิดเพลงไพเราะ..ที่คุณชื่นชอบ... จุดเทียนหอมงาม..วับแวม..ตามมุมต่างๆของบ้านน้อย...หลังงาม ให้ใจสดชื่นเบิกบาน..รับวันดี..วันใหม่อย่างผู้มีใจงามพร้อม....... หุงข้าว..ให้กลิ่นข้าวหอมอวลตรลบ...ไปทั้งครัว... เตรียมอาหารคาว..หวาน..ไว้ให้พร้อมพรั่ง...... พับดอกบัวงาม..นิ่มนวลเบามือ..ด้วยดวงใจอิ่มบุญ.. ชุ่มฉ่ำราวหยาดน้ำค้างพิสุทธิ์ใส..... มาจากใจที่ แสวงดี...แสวงงาม... น้อมรับมงคลบัว...มงคลดี..มงคลชีวีนี้ให้เราเอง...... เลือกวัดใกล้บ้าน.....เรียบง่าย.... มีคำเทศน์สอนใจที่เข้าซึ้งถึงธรรม... เพื่อน้อมนำ.. ให้เริ่มต้นวันใหม่...อาทิตย์ใหม่..ผ่องใส..สวยงาม..ทุกวารวัน........... ดวง...อยากถ่ายทอด..คำสอนซึ้งถีงทุกคนแบบง่ายๆ.. ไร้ความน่าเบื่อ..เพียงนำมาพินิจนำทางสว่างกระจ่างใจ ด้วยรักและปรารถนาดี.......มากล้น..... คนเรานี้..เกิดมามี..ใจและกาย..เป็นของคู่กัน.... ใจมีหน้าที่ต้องปกครองกาย..รับผิดชอบ... ใจจะได้รับความทุกข์มากกว่าสุข...ก็เพราะหลงรักกาย.... ใจคอยคิดแต่รักกาย.... แต่งให้กายงามเลิศล้ำ หาเครื่องมาประดับ มากำนัลกาย. .แหวนเพชร..สร้อยเพชร....และ...อีกมากมายสารพัดวัตถุ....... แต่กับใจ....ใจลืมใจ..ไม่ได้แต่งให้งามบ้างเลย.. ทั้งๆที่..มีผู้เปรียบเอาไว้ว่า....... ใจและกาย..คือเพชรในหิน....... กายคือหิน.....ใจคือเพชร....... เพชรซ่อนอยู่ในหินฉันท์ใด... ใจอันมีค่าสูงสุด..ก็ซ่อนอยู่กายฉันท์นั้น........ แต่เรากำลังโง่งม....ทิ้งเพชร.. แล้วแบกหินอันหนักแสนหนักเอาไว้..มิปลดปล่อย........... ใจเป็นดั่งนาย..กายเป็นเพียงบ่าว..มิใช่ดอกหรือ.... ถ้าเพียงแต่จิตของผู้ใดคิดดี..มีปัญญา..ก็จะสั่งกาย ให้ทำสิ่งดีดีตามไปด้วยโดยง่าย........ แต่ถ้าจิตไม่ดี..ก็สั่งกาย..ให้สนองกิเลส..ตัณหาพาให้ชีวิตมืดบอด........ จิตที่พอ.....จิตที่หยุด...จะเข้าใจว่า.... กายนั้นหนา..แค่เครื่องมือ..เพื่อนำพาให้ใจทุกข์ทุรนทุราย...... เวียนวน..ซ้ำแล้ว..ซ้ำเล่า....ราววิบากกรรมมิรู้สิ้น......... ถ้าเราทุกคนมีดวงตาสว่าง...มองเห็นแสงธรรมน้อมนำใจ... .จะควบคุมจิตได้...และจะสิ้นไร้ทุกข์ทั้งมวล ฝึกให้จิตมีศีล...สมาธิ...และจะมีปัญญา..แยกแยะ..ดี..ชั่ว.... ขจัดและหาเหตุแห่งทุกข์ที่เกิดจาก...... ความไม่รู้จักพอ....รู้จักหยุด........ คำว่า.....พอ....มิใช่หมายความว่า....ขาด... แต่หมายถึงความพอดี..พอใจ..เพียงพอ..พอเพียง..... ที่มีสมดุล...ให้ชีวิต..ไม่กระหายอย่างไม่รู้จบ..ในลาภ..ยศ..และวัตถุ ที่ต้องการไม่มีวันจบสิ้น ตามกระแสโลก..ที่หมุนวน..ให้หลงผิด.. ไม่คัดสรรเฉพาะสิ่งดีงามให้กับตัวเราเองอย่างมีสติปัญญา ความเอ๋ย..ความสุข..ไม่ต้องใช้เงินซื้อหา.. หากแต่มันอยู่ใกล้แสนใกล้...ภายในใจเรานี่ เอง...... เราจะค้นพบมันหรือไม่หนอ................ เข้าใจมันหรือไม่หนอ... ถ้าไม่พยายาม..จิตเราไม่มีวันหลุดพ้น. .และต้องเวียนว่ายกลับมาใช้กายสนองทุกข์ มิมีวันจบสิ้นชั่วกัปป์กัลป์.......... หาความสุข..ให้พบเจอ..แตะที่ใจเรานี้..คิดดี..คิดเป็น...... พอใจ..พอเพียง..ไม่ทุรนทุราย..ไม่ว่าเรื่องราวใดใด..... ขจัดส่วนเกินออกไป..จากใจนี้ที่หมองเศร้า.. ไม่แบกให้ใจหนักจนเกินทานทน ไม่ว่ารัก..สมหวัง..ผิดหวัง..รักแค่รักอย่างถูกทาง..อย่างพอเพียง...... เมื่อยังเป็นมนุษย์...จงรัก..ให้เป็น....... รักใจมากกว่ากาย...ใช้ใจดวงดี...ดวงงาม... ให้ความรักต่อเพื่อนมนุษย์....เอื้อเฟื้อ..แบ่งปัน..... ละทิ้งส่วนเกินที่มากมี.....ให้แก่ผู้ยากไร้.... แล้วเราจะค้นพบว่า........ คำว่าพอคือ..พอดี..พอใจในชีวิตหนึ่งนี้ที่ได้เกิดมา.. และยังคุณค่าต่อตัวตน..และเพื่อนร่วมโลก ไม่โศกไม่เศร้ากับสิ่งใดใด.. ใจถึงจะพบกับสันติสุขที่จริงแท้แน่นอน...ตราบชั่วกาลนาน...... เหมือนดังที่....พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานคำสอนเอาไว้ว่า......... ........Our Ioss is our gain..................... ....................... โลกละไมกับใจเจ้าดวงดอกไม้งาม! http://www.thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_198.php (ปรารถนา) จันทร์แจ่มดวง ทอทอดลอดโลมไล้ร่าง ที่ห่มงามด้วยผ้าคลุมไหล่สไบแพรสีโศก ผมสยายยาวทอสกาว รับประกายจรัสเรืองจากแสงเดือนดาริกา ดวงตาสะท้อนพราวน้ำเพชรพร่าง มิใช่จากความเสียใจ มิใช่จากใจเศร้าโศก หากเป็นประกายเย็นใสจากปิติใจ ล้ำลึก ที่ยากยิ่งอธิบาย คล้ายว่าง..เสียจนกายพร่างพรูด้วยความสงบสว่าง ในท่ามกลางธรรมชาติดิบเดิม รายรอบกระท่อมน้อยปลายนา กับบรรยากาศงาม กับมวลหมู่ดารารายพรายพร่าง ในเวิ้งนภากาล กับหวานหอมแห่งเรณูละอองดวงดอกไม้ป่าบานสะพรั่ง กับดงตาลโตนดเหว่ว้า ที่มีลูกสีดำคลอลำต้นดกปกคลุม หัวใจ.. ผู้หญิงคนหนึ่งที่ช่างซึ้ง ที่เกิดมาเพื่อพึงภักดิ์รักพลีทุกต้นไม้ ที่รักได้รักดี รักจนบางทีอยากจูบประทับรับขวัญ โอบกอดไปตามลำต้น ปุ่มปมขรุขระนั้น อันคงผ่านร้อนหนาวมายาวนาน ผ่านฤดูกาลหลายฝนหนาวหลายเศร้าวสันต์ลา ผ่านดวงตะวันกล้า ผ่านจันทราเย็นฉ่ำ ผ่านวันคืนอันแปรเปลี่ยน จนปุ่มปมเปลือกนั้นซ้อนทับกัน ราวจะสะท้อนทั้งเรื่องราวรื่นรมย์และเร่าร้อน เหมือนดั่งละครโลกละครชีวิตคน ที่หมุนวนสับสนมาฝากร่างกลางหล้าโลกนี้ ที่มิช้านานต่างก็จำต้องพรากลา เมื่อละครชีวาชีวิตจำต้องปิดฉากลง หาก ต้นไม้ยังจักต้องดำรงคล้ายยืนเฝ้าดูผู้คนบนเวทีโลกนี้ ที่ยอกย้อนว่ายวนมารับรอยวนรับกรรมเวียน เปลี่ยนเพียงหน้าตา พามารับบทที่คล้ายๆกัน ที่เรียกกันว่าโศกสุขทุกข์รักมิวายเว้น.. จากวันคืนสงบเย็น ที่มีน้ำฟ้าปลาดาว พราวหอมด้วยราวป่าใหญ่ไพรกว้าง ที่มีสัตว์มากมาย ดวงดอกไม้นานา ผีเสื้อหลากสี นกที่ผกโผผิน เพื่อสืบมิสิ้นพันธุกรรมธรรมชาติชีวิตให้ดำรงอยู่ ที่จำต้องอาศัยการพึ่งพาพึ่งพิงอิงเอื้อคล้ายวัฎฎโลก ที่นะบัดนี้ ทุกหย่อมหญ้าถูกมนุษย์ผู้คิดว่ามากสามารถฉลาดล้ำ ได้พากันผลาญพล่าทำลายล้าง ให้โลกแสนอ้างว้างห่างไกลจากวิถีเดิม ที่ติดดินงามเงียบเรียบง่ายในการใช้ชีวิต ที่มิคิดเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ในทุกสรรพสิ่งภายใต้ผืนหล้านี้ ช่างน่าเศร้าเสียใจ ดั่งบทกวี*จากหนังสือ ปณิธาณกวี* ของ..*ท่านอังคารกัลยาณพงศ์* ที่นะวันนี้จะเทียบเชิญมาให้กระวีกระวาด และนักอยากจะเขียนเพียรสร้างฝันขยันรจนา ได้ประเทืองประทับใจที่แสนจะโดนใจ ให้เราทุกดวงใจไหวตระหนักเรียนรู้ ที่จะปกปักพิทักษ์โลกให้ยาวยืน *บริภาษสัตว์วิทยาศาสตร์คลั่งนิวเคลียร์* แจ่มจันทร์เจ้าสกาวหนาวแสงทิพย์ ระยิบระยับวับวาวดาวระย้า ลำนำอนันตกาลผ่านหน้ามา สนธยาย้อยหยาดบาดดวงใจ บนยอดผาเยี่ยมฟ้าว้าเหว่ ณ ชะเลเมฆวิเวกขวัญหวั่นไหว หนาวปรโลกโตรกผาชลาลัย นอนไพรโดดเดี่ยวเปล่าเปลี่ยวนัก.. กราบพระรัตนตรัยใส่เกล้า น้อมกล่าวพุทธมนต์อันสูงศักดิ์ สวดก้องยอดผาบ่ากาลจักร เพื่อหักห้ามขลาดหวาดผวาภัย ไหว้ปู่เจ้าภูหลวงไศลทิพย์ สิบทิศรุกขเทวดาป่าใหญ่ ลูกนอบน้อมพร้อมกายวาจาใจ บูชาไปสิ้นดินแดนดง น้ำค้างพร่างพราวราวเพชรร่วง ระยับยวงรุ้งจันทร์วิจิตรพิศวง ม่านเมฆสลับลับแลลิ่วลง ตรงโตรกชะโงกเงื้อมเลื่อมพรายดาว เห็นจักรวาลอื่นหมื่นแสน แว่นแคว้นทิพยโลกโศกเศร้าหนาว มิติลี้ลับลิบพรายดาวพราว เอกภพสกาวฟ้อนฟ้าทิพาลัย แต่โลกมนุษย์สุดคลั่งนิวเคลียร์ เสียชาติมนุษย์สุดวิเศษสิ้นสมัย จะย่อยยับดับดิ้นด้วยไฟ ใหญ่กว่าอเวจีที่ปัจจุบัน อนาคตดิ่งดับด้วยสรรพพิษ อิทธิฤทธิ์รังสีร้ายแรงมหันต์ เส็งเคร็งกว่ามะเร็งกินวิญญาณกัน อาถรรพ์สถุลยุคทุกอย่างระยำ ทำลายโลกวิปโยคยิ่งใหญ่ หลงใหลคลั่งนิวเคลียร์บ้าระห่ำ สัตว์วิทยาศาสตร์อุบาทว์ใจดำ จงหยุดทำบัดซบจบงาน เป็นขี้ข้ากากนัการเมือง วางเขื่องเบ่งบ้าวิชาล้างผลาญ ชั่วชาติสัตว์วิทยาศาสตร์สามานย์ น่าประหารตัดหัวทุกตัวไป.. ................... ช่างเป็นบทกวีที่แสนงามล้นค่า มาสอนใจมาเตือนใจให้รักษ์โลกรักฝัน ทำสวรรค์ให้มีจริง ให้มีโลกนี้ที่สวยใสด้วยดินไม้ไพรอากาศน้ำดี และ หัวใจดวงนี้ก็พาพลี คิดถึง ยามโพล้เพล้เหว่ว้า กับข้าวกล้าในนาที่เพิ่งหว่านดำ คิดถึงคำ*ชิงช้าเมฆ* ยามแหงนเงยมองวิเวกบนฟากฟ้ากว้าง กับฟ้ากระจ่างลมจรุงปรุงปน ด้วยมนต์หอมลอมฟาง ท่ามกลางแสงกระจ่างพร่างด้วยดาวเดือนสุกใส คิดถึงกุฎิไม้ในวัดที่ยังมุงด้วยกระเบื้องว่าว ที่กว้างยาวแค่ห้าคูนห้าเมตร พอให้พระกางมุ้งนอนได้ กับมีชานระเบียงพักไว้ทอดรับบันไดหินห้าขั้น มีลานหญ้าหน้ากุฎิ มีต้นอโศกอินเดียต้นใหญ่ ที่มีดวงดอกแดงไสวหอมพร่าง ระย้าระยับจับใจ มีกอไผ่นา มีฝูงวัวเลาะเล็มหญ้า มีเณรน้อยเจ้าปัญญาอายุแค่14ปี ที่คิดดีคิดได้หนีโลกวายวุ่นมาบวช ท่านเพียรท่องหนังสือธรรมมะ ใต้ต้นไม้มากมายที่สอดสานใบกันระยับระยิบ และ กำลังร่วงลอยปลิดปลิวลิ่วควะคว้างกลางกระแสลม ลงมาถมทับทั่วบริเวณ และ ต้นไม้ที่พอจะจำชื่อได้มีประมาณนี้ มะฮอกกานี กฐินณรงค์ ประดู่ สาละ ตะเคียน มะหวด ตะแบก ชมพูพันทิพย์ ไทรสาลี่ นนทรี ต้นจันทร์ หมากนานาพันธุ์ ต้นยาง ออฟจาไมก้า แคฝรั่งและอีกมากมีมากมายไม้ประดับ ที่นับแล้วจะมีเป็นพันชนิดไม่น่าเชื่อเลย ที่ตรงนี้คือที่หน้าโบสถ์คร่ำ ที่สามารถนั่งระร่ำริน ทอดนัยน์ตาดูความนุ่มความเขียวครึ้มเขียวแผกแตกต่าง ที่ดั่งร่มฉัตรร่มธรรม ร่มธรรมชาติกางกั้น ให้จิตวิญญาณชิดใกล้กับธรรมชาติชีวิตอันเป็นความจริง เสียยิ่งกว่าจริงมิกลิ้งกลอกลวงหลอนหลอกใจ ได้ดูดอกและใบไม้เสลาหล่นพร่าง ให้เกิดกระจ่างแจ้ง ราวมีแสงแห่งปัญญาพรายผุด ให้ใจดวงพิสุทธิ์ คว้าไม้กวาดสกดสติสมาธิ อยู่กับการกวาดลานวัดให้สะอาด ราวได้กวาดลานใจไปพร้อมกัน ให้สว่างสงบพบพระธรรมนำดวงจิต ให้สถิตเกิดใสล้ำปิติ หยุดนิ่งคิดกังวลกับทุกสรรพสิ่งภายนอก ดวงตาแลเห็นแสงรำไร ดวงใจราวได้รับแสงทองที่ส่องสะท้อนสาด มาจากพระพักตร์พระพุทธพิสุทธิ์งาม ในโบสถ์ยามย่ำสนธยา เกิดเรืองแสงแห่งปัญญาแม้นชั่วยาม ยอมรับสัจจะความจริงนี้แห่งชีวีชีวิต ที่ ในที่สุดไม่ว่า จะสุขโศกเศร้าหนาวร้อนเบื่อๆอยากๆมากเรื่องราว ก็ราวก่อกระจ่างให้วางลง มิหลงยึดมั่นถื่อมั่นฝันไกลที่ตามไปไม่มีวันถึง ให้พึงสดับยอมรับความไม่แน่นอน ให้มองย้อนเข้าไปสู่ขุมทรัพย์นิรันดร์ อันเปรียบประดุจบ้านภายในในตัวตน จนกว่าจะสิ้นแสงแห่งดวงชีวา ร่างใจจะลาลับหล้าลาลับโลกลาดวง ตะวันจริงกำลังสอนสัจจะ ในขณะที่ตะวันในใจกำลังโชนแสงกล้า กับวันคืนที่ได้มากับวัยวันที่กำลังจะเสียไป ไม่มีสิ่งไหนในโลกนี้ที่จะเป็นอนิจจัง ไม่มีอะไรจะตั้งอยู่ มีแต่รู้ดับไป นะเจ้าดวงดอกไม้..งาม ให้เจ้าจงรู้ทำใจ.. .................. http://www.thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_33165.php ถ้าเราจะนัดพบกัน ถ้าเราจะนัดพบกัน เมื่อตะวันลับไม้ ฉันไม่หลอกจะบอกให้ อย่าเอ็ดไปสิจงฟัง ฟังสิฟังสักนิด แล้วอย่าคิดว่าฉันสอนว่าฉันสั่ง ฟังสิฟังกันเล่นเพลินๆ แต่มันสุขเหลือเกิน ไม่เชื่อเชิญลองจำ ถ้าเราจะนัดพบกัน เมื่อตะวันพลบค่ำ ธรรมชาติชื่นฉ่ำ ฉ่ำชื่นชื่นใจ ใต้ร่มไม้ใบบางๆ แสงสว่างรำไรรำไร ไม่ต้องระวัง ไม่ต้องระไว จะอายทำไมกับพระจันทร์ ถ้าเราจะนัดพบกัน จึงชวนให้จันทร์เห็นใจ ลมอ่อนๆพัดผ่าน ชูกิ่งก้านช่อใบ บ้างก็แกว่งบ้างก็ไกว บ้างเขยื้อนสะเทือนไหว สะบัดใบไปตามลม ผสมน้ำค้างพร่างพรม เรไรจิ้งหรีดหวีดผสม ต่างเคล้าต่างคลอต่างล้ออารมณ์เรา ให้ชมให้ชื่นใจ นี่แหละที่นัดพบ...... แต่เรามิพบกับใคร เพียงแต่พบกับธรรมชาติ แล้วเราก็อาจจะสุขใจ ไม่ต้องไปพบกับใคร...ที่ไหน..เพลินใจเพลินตา.... มณี..นิรพาน..! สุขฤาทุกข์คือสมมุติมายา พรหมชะตาฟ้าดินเสกสรร วิบากรักภพภูมิเก่าตามทัน รอสวรรค์สว่างณ.กลางใจ ปล่อยวางร่างไร้มิยึดมั่น อยู่กับนาทีปัจจุบันไสว รู้สึกตัวให้ทั่วพร้อมนะดวงใจ ไม่หวั่นไหวผัสสะโศกโลกย์มายา รักฤาชังหวังฤาหวานมินานสิ้น ไปกับดินน้ำลมไฟเหว่ว้า แค่วันหนึ่งซึ่งต้องถึงไม่นานช้า ปรารถนาใดกันเล่าหนาวลำพัง สงบสว่างทิ้งร่างใจไม่โหยหา เรือชีวาได้พบพุทธภูมิแห่งฝันฝั่ง สละโศกมิว่ายเวียนในวนวัง ทิ้งความชังความรักแอกหนักใจ ศีลสมาธิปัญญาเพียรพาพบมณีนิรพาน เพชรตระการกระจ่างแจ้งแจ่มไสว ตายก่อนตายหมายมั่นหนทางไป สว่างใสตามรอยบาทพระศาสดา....
10 ตุลาคม 2550 12:21 น. - comment id 768590
http://www.dhammathai.org/sounds/panya.php พระพรหมมังคลาจารย์ หรือ หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ นามเดิม ปั่น เสน่ห์เจริญ เกิดเมื่อวันที่ ๑๑ พ.ค. ๒๔๕๔ ณ ต.คูหาสวรรค์ อ.เมือง จ.พัทลุง บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๒ แล้วตั้งต้นศึกษาพระปริยัติธรรมจนจบชั้น น.ธ.เอก อุปสมบทเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๔ ณ วัดนางลาด ต.เขาเจียก อ.เมือง จ.พัทลุง ได้รับฉายาว่า "ปัญญานันทะ" จากนั้นศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลีจนสอบได้ชั้น ป.ธ.๔ และเริ่มงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างจริงจังด้วยการเทศน์ ท่านปัญญานันทภิกขุกับท่านพุทธทาสภิกขุ ให้ความเคารพนับถือกันเสมือนหนึ่งเป็นพี่น้องในทางธรรม ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี และเป็นองค์อุปถัมภ์วัดปัญญานันทาราม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ความโดดเด่นของท่านปัญญานันทภิกขุคือการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างตรงไปตรงมาตามพระธรรมวินัย อันเป็นเหตุให้ท่านได้ชื่อว่าเป็นนักเทศน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดรูปหนึ่งซึ่งสังคมไทยเคยมีมา
10 ตุลาคม 2550 13:13 น. - comment id 768619
ขอกราบนมัสการ ไว้อาลัยกับหลวงพ่อค่ะ
10 ตุลาคม 2550 14:40 น. - comment id 768701
ด้วยศรัทธา..อย่างจริงใจ.. ร่วมไว้อาลัย...ด้วยใจจริง..
10 ตุลาคม 2550 14:45 น. - comment id 768707
เคยได้เจอท่านครั้งเดียวเองค่ะ...แต่ประทับติดตรึงใจมิรู้ลืม...จะยึดแนวธรรมคำสอนของท่านเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตต่อไปค่ะ 29%
10 ตุลาคม 2550 14:46 น. - comment id 768708
กราบนมัสการกับพี่พุดค่ะ บัวรับรู้ว่าหลวงพ่อท่านยังอยู่ใน หัวใจคนไทยทุกดวงค่ะพี่พุด
10 ตุลาคม 2550 15:27 น. - comment id 768773
หลวงพ่อครับ.... ขอกราบนมัสการลาหลวงพ่อไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ..ขอให้ท่านจงไปสงบสู่สุขคติด้วยเถิด.. ผมจะไปทำบุญที่วัดเหมือนอย่างที่เคยครับ.. ท่านอยุ่ในใจพุทธศาสนิกชนอย่างผมเสมอ.. วัดชลประทานของท่านก็จะไม่ร้างศรัทธา ยังมีลูกศิษย์และผู้เลื่อมใสศรัทธาในคุณงามความดีของท่าน..ไปทำนุบำรุงศาสนาสืบสานเจตนารมณ์ของท่านอยุ่เสมอ...ท่านเหนื่อยมามากแล้ว..พักผ่อนเถิดนะครับ.. จากกระผม..แมวคราว... พุทธศาสนิกชนผู้เลื่อมใสศรัทธาท่านอีกคนหนึ่ง.. ขอบคุณคุณพุดที่ลงกระทู้นี้ไว้นะครับ...
10 ตุลาคม 2550 19:16 น. - comment id 768961
พุดพัดชา..ขอน้อมคารวะด้วยซาบซึ้งใจ ในวันที่ได้พบสัจจธรรมแห่งการพลัดพราก ของพระอริยสงฆ์ หลวงพ่อปัญญา พระประทีปแก้วแห่งปวงสงฆ์ไทย พุทธศาสนิกชนคนไทย ทั่วทั้งแผ่นดินพุทธภูมิ..สุวรรณภูมิแห่งเราค่ะ ขอน้อมพลี.. บทความเรียงจากหนึ่งในหลายร้อยเรื่อง รักรจนา ที่ พุดพัดชาและสาวบ้านนา เพียรพลี โดยใช้สถานที่จริงใต้ร่มรัตน์ วัดชลประทาน.. วัดที่พุดได้พักพิงอิงใจ ในร่มเงาธรรม อันแสนเกษมสอนสัจจ สอนความงามล้ำค่าให้ดวงชีวาชีวิต จิตพุด ได้พบกับความกระจ่างสว่างสะอาดสงบ ดั่งละอองหยาดน้ำทิพย์ให้พุดได้จารจิบ มานานนับสิบๆปีค่ะ ในม่านไทรงามท่ามจิตขวัญ..! http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4867.html น้ำตาลาไทร ............... วันปีใหม่.. ไพลพาตัวมานั่งนิ่งๆ บนลานหินใหญ่ใต้ร่มไทรสาขา ที่.. รากระย้าย้อยห้อย *ราวกับม่านไทรย้อย* ในบทเพลงก่อนเก่า ที่แสนงามจิต.. ไพล.. เห็นบางคนใช้สายไทรผูกเป็นเปลกระจิ๊ด ไว้ไกวเล่น คงให้เด็กๆมาสนุกสราญ บานเบิกใจยามมาวัด... ที่ที่สงบสงัด หากให้งามจิตงามชีวิต หาก.. เราได้เพียรฝึกให้เด็กตัวน้อยๆ ได้คอยเข้าวัด..มาทำบุญ ตั้งแต่ยามเยาว์ เฉกเช่นวิถีนานเนา สืบทอดมาตั้งแต่ครั้งก่อนเก่ากาลโบราณ ดีกว่า.. การพาเข้าห้างเข้าโรงหนัง ที่ๆหนวกหูเสียงดัง และ พาให้จิตผู้คนทุรนร้อน สอนให้เพิ่มความอยากมิรู้พอ ไพล.. ห่มสไบแพรสีไพล แสนงาม มารับลมหนาว..*ในยามเช้าแรกวันแห่งปี* ใจดวงดีดวงดายเดียวดิบดินยังดวงเดิม เพิ่ม... มาเพียงวันเวลา กับหลายสิ่ง ที่คือ.... บทเรียนและประสบการณ์มากค่า ให้ซึ้งใจจำรำลึก ที่มีทั้งดีร้ายให้คอยเฝ้าแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด และ... กับชีวิตที่จักตั้งปณิธาณ เพียรเพิ่มเติมเต็มจิตวิญญาณ ด้วยการทำความดี ความดี และความดี เพราะว่า... ไม่รู้นาทีไหนที่ลมหายใจเรา จะวูบวับดับไปอย่างไร้ร่องรอย เช่น... เปลวเทียนน้อยๆ ที่คงค่อยๆระริกระริบหรี่ ในราตรี ที่.. ลมพายุแรงมากระชาก ให้พรายพลัดพรากจากไป. ในท่ามงามเงียบ..เงียบงาม... ฉะนั้น... วันส่งท้ายปีใหม่.. ในยามตะวันรอนๆ ไพล..จึงพาร่างอรชร ไปนั่งริมสายน้ำใจ..*เจ้าพระยา* ดู..เรือโยง เรือลาก ที่คงมาจากปากน้ำโพ ไพล...ได้แต่ให้จิตโผเกาะตามไป ดั่ง.. นกไพรพเนจร ฝากใจให้ลอยล่องท่องไปด้วยกัน ตามลำน้ำสายงาม ไป... ผจญไพรตามจิตนึก ไปตามล้ำลึกดายเดียวแห่งดวงวิญญาณ.. ที่.. ยังคงสัตย์ซื่อถือตรงดำรงมั่น ใน วิถีงามเงียบเรียบง่าบแสนสงบงามริมสายน้ำ รักกระท่อมบ้านเรือนริมลำประโดง รักโล่งน้ำแลละลิบ ที่มีเพียงผักตบชวา มีเรือนท่าโย้เย้ริมน้ำ ให้ฝากใจงามให้ได้สัมผัสรัดร้อย ให้คอยเฝ้าดู ควันไฟลอยอ้อยอิ่งทิ้งตัวม้วนสายสวย จากทุกแทบครัวเรือนกระท่อม จากท้องนาท้องไร่ ยามตะวันลาเมื่อฟ้าใกล้ค่ำ มี.. เสียงนกกาผกโผผิน มีดงหญ้ากอกกถวิลรักริมฝั่ง มี.. เสียงกลองระฆังหง่างเหง่ง วังเวงแว่ว ให้พระสงฆ์องค์เจ้า พร้อมเข้าโบสถ์คร่ำทำวัตรเย็น และ.. นี่เป็นดั่งดวงจิตแจ่มกระจ่างในนิมิต ที่คิดนึก ให้ทุกครา.. ได้ย้อนรอยรำลึก.. ถึงภาพงามในเงื้อมเงาแห่งอดีต และ.. คงปิตินัก..หากมีสักวัน ได้ทำดั่งดวงใจปรารถนา ไป.. นอนเรือนริมแพริมน้ำเหว่ว้า ฟังเสียงปลากระโดดผึง ฟังเสียงบทเพลงจากซอซึงริมชายชลฉอเลาะ กับ.. แม่ดวงดอกผักบุ้ง กับเรียวรุ้งยามตะวันลา กับฟ้าดวงโพล้เพล้สีไพล กับใจดวงที่คงสุขล้ำเกินรำพันรำพึง .............. หากสิ่งหนึ่งนาทีนี้เพียงสิ่งดีสิ่งเดียว ที่ไพลพลีทำได้คือ ไพล.. ได้ปล่อยปลาและอธิษฐานจิต ให้ทุกชีวิตคนดีที่ไพลรัก จงได้ตระหนัก..ถึงคุณค่า แห่งลมหายใจ นี้..ที่แสนสั้นนัก และ... มิใช่รักเพียงลมหายใจเฉพาะตัว หาก.. ไม่ควรมีจิตหมองมัวมืดหม่น ทำลายคนทำลายธรรมชาติ ให้ลมหายใจแผ่นดินขาดสิ้นรอนในเร็ววัน อย่าได้คิดทำกรรมใด.. หากรู้ ทำในสิ่งดีที่พอเพียงรู้เพียงพอเพียงนั้น..ก็น่าจะพอ และ... ไพล..ก็ก้มศิระลงกรานกราบ *พระพุทธไสยาสน์แสนงามปลั่ง* กับ.. ลมหายใจที่มิเคยสิ้นหวัง และมิเคยขอพรใด.. ไพลคิด ... พรใดไหนเล่า จะช่วยเราได้..หากจิตเรามิเคยฝึกการให้ มิเคยคิดดสละออก มิเมตตาปราณี มิเคยมีกตเวทิตา ตอบแทนนวลเนื้อใจ พลีให้ใครให้คน ไม่.. เคยมีกมล แม้นปิดทองทำดีเบื้องหลังองค์พระปฎิมา ใจก็คง...ต้องเหว่ว้าน้ำตาริน มิรู้สิ้นไร้ภาคภูมิปีติใดปิติใจ และ.. พรใด ที่ขอให้สุขให้รวยมิรู้สิ้น ที่ได้ยินได้ฟังว่าตามๆต่อๆกันมานั้น คง.. มีมีวันได้ใด สมดังใจปรารถนา หากแล้งไร้น้ำใจกับคน ไม่.. แม้กระทั่งกับวัวควาย สัตว์ทุกตัวที่ร่วมเกิดตายบนผืนโลกนี้ ที่เราควรพลีรัก รักษ์.. ............. และนั่นคือ...กิจวัตรใจของไพล ในวันส่งท้ายปี และ... กับวันนี้ นาทีนี้ ในวันปีใหม่ ที่ไพล...มานั่งน้อมใจฟังธรรมจากหลวงพ่อ ผู้ยึดมั่นเพียงเพียรสอนให้ทุกคน ทำความดี..ความดี และความดี.. ในวัดที่... ราวป่าไพรในเมืองกรุง ใหัชีวิตผู้คนที่รุ่งริ่งกังวล.. ได้พบทางสว่างเรืองโรจน์ พบ.. แสงโรจน์รัตน์ ประดุจดั่งรัศมีเย็น จากน้ำพระอมฤตธรรม อันดื่มด่ำ กว่าน้ำเมามัว ที่มวลมนุษย์พากันแหวกว่ายดื่มกิน ในวันสิ้นปี.. ที่ร่ำรินจอกแล้วจอกเหล้า และ.. จนไร้สติสิ้น จนมิมีวันปี...ได้ตื่นขึ้นมารับวันใหม่ ได้..มีวันแปรใจภักดิ์ หันมารักมารับรสพระธรรม..อีกต่อไป.... ลมหายใจ ที่พรากแผ่วไป คงสะอึกสะอื้นไห้ คงอยากฝืนขอพญามัจจุราช ให้ทรงได้ประทาน ให้โอกาสอีกสักครั้งครา... และ.. หากฟื้นมาได้ .. คง.. อยากกลับมาฝากคำ..เตือนใจ ไว้ให้ผู้คนบนผืนหล้า และ.. ฟ้าดินได้รับรู้ประจักษ์ ถึงค่าคำที่ว่า... พึงจักอย่าประมาท จงฉลาดใช้วันเวลานาทีทุกลมหายใจดี.. ที่แสนสั้นยิ่งนักแล้วนั้น.. กับ.. วันคืน กับคนดีที่แสนรัก กับโลกอย่างภักดิ์พลี ที่จะพร้อมจะทะนุถนอม.. ออมทรัพยากรธรรมชาติให้ยาวยืน ให้.. ลูกหลานไทย..ไท..มีดวงใจอิสรา ได้..ตื่นมารับธรรม ธรรมชาติ อันแสนสวยงามสะอาดหอม ตราบนานเนานิรันดร์ ใน.. ร่มธรรมร่มไทร่มทองร่มฉัตรเพชรพราวผ่อง ที่แสนสุดประเสริฐ...เพริศแพร้ว.. ให้สมค่า.. ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาแล้ว..! ........................................ http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4867.html น้ำตาลาไทร พร ภิรมย์ ลาแล้วแก้วตา สัญญาให้ไว้ยังจำ บุญหนีบาปนำ พี่มาไม่เจอนวลนาง ทั่วถิ่น พนาตามหาหมดทาง เจ้าทิ้งสัญญาหรือนาง พี่อ้างว้าง อารมณ์ นางไม้แม่เอย ไยเฉยให้ช้ำวิญญา นวลน้องไม่มา ยิ่งพาอุราระบม หรือเจ้า เขาไพรบังไว้ซ่อนชม ข้าขอจอมไพรพนม ยอมสิ้นลมบวงสรวงจอมไพร เทพารักษ์ ร่มไทรสาขา อุ้มสมพานางน้องมา ให้ข้าเถิดหนาพระไทร มีน้ำตา ข้าหลั่งรินจากใจ ขอหลั่งไว้ ล้างเท้าเทวดา ขอหนุนตักนาง จนสางอรุโณทัย ยอมแม้สิ้นใจ เซ่นสรวงแด่ปวงเทวา คอยเจ้า แม้เงาไม่เห็นเจ้ามา พี่นี้มีเพียงน้ำตา รินหลั่งลารากไม้ไทรงาม เทพารักษ์ ร่มไทรสาขา อุ้มสมพานางน้องมา ให้ข้าเถิดหนาพระไทร มีน้ำตา ข้าหลั่งรินจากใจ ขอหลั่งไว้ ล้างเท้าเทวดา ขอหนุนตักนาง จนสางอรุโณทัย ยอมแม้สิ้นใจ เซ่นสรวงแด่ปวงเทวา คอยเจ้า แม้เงาไม่เห็นเจ้ามา พี่นี้มีเพียงน้ำตา รินหลั่งลารากไม้ไทรงาม...
11 ตุลาคม 2550 04:29 น. - comment id 769177