๏ วิญญาณกวี !.

อัลมิตรา

เหตุไฉนเป็นเยี่ยงนี้กวีเอ๋ย ?
เมื่อก่อนเคยเริงอุราคราสุขสันต์
คราวคิดเขียนสิ่งใดในสารพัน
ก็เสกสรรตามปรารถนาจินดามี
เหตุไฉนเป็นเยี่ยงนี้กวีเอ๋ย ?
เหมือนลงเอยความวิบัติสุดบัดสี
จินตนาการพรั่งพรูรู้ชั่ว-ดี
กับการที่ไม่ปรากฏในบทกลอน
เหตุไฉนเป็นเยี่ยงนี้กวีเอ๋ย ?
ไยละเลยถมถั่งการสั่งสอน
ปล่อยสำนึกให้เลื่อนไหลในสาคร
โดยมิย้อนกลับคืนเพื่อฟื้นใจ
เหตุไฉนเป็นเยี่ยงนี้กวีเอ๋ย ?
ทั้งที่ถูกเยาะเย้ยยังเฉยได้
วิญญาณกวี ! แท้แท้หรือแค่ใด ?
คำตอบเชิญวางไว้เราใคร่ยล ๚ะ๛
				
comments powered by Disqus
  • อัลมิตรา

    3 เมษายน 2550 22:26 น. - comment id 679873

    "ชะตากรรมกวี" 
    
    ๏ร้อยกรองร้อยคำร้อยความ
    อาจบางทีงดงามบางทีไม่
    บันทึกรอยทางก้าวย่างไป
    บันทึกอ่อนไหวประดามี
    ๏แท้ด้วยหัวใจแท้แท้
    อาจบางทีแค่อยู่กับที่
    ยอมรับชะตากรรม...กวี
    ลมหายใจนี้ไม่รู้แล้วฯ
    
    ความจริงประการหนึ่ง ก็คือ หนังสือ บทกวี ขายไม่ใคร่ได้ และไม่ใคร่มีใครซื้อ
    
    ความจริงประการหนึ่ง ก็คือ ไม่ใคร่มีสำนักพิมพ์ ยินดีที่จะรับตีพิมพ์หนังสือ บทกวี
    
    ความจริงประการหนึ่ง ก็คือ สายส่ง-จัดจำหน่าย ก็ไม่ใคร่รับหนังสือ บทกวี 
    แม้ว่า จะได้สัดส่วนเปอร์เซ็นต์ถึง ๔๐ % จากราคาปก เหมือนเช่นหนังสืออื่น ๆ ก็ตาม
    
    ความจริงประการหนึ่ง ก็คือ หนังสือ บทกวี มีสัดส่วนน้อยเหลือเกิน เมื่อเทียบกับหนังสือประเภทอื่น ๆ
    
    ความจริงประการหนึ่ง ก็คือ ในสัดส่วนที่น้อยเหลือเกิน ของหนังสือ บทกวี แต่ละเล่ม 
    ยังถูกตีพิมพ์ด้วยจำนวนที่น้อยอย่างยิ่ง
    
    ความจริงประการหนึ่ง ก็คือ ยอดตีพิมพ์ ๑,๐๐๐ เล่ม สำหรับหนังสือ บทกวี 
    อาจสามารถขายได้เป็น ๑๐ ปี และจากราคาเต็ม 
    ก็อาจจะเหลือเล่มละ ๑๐ บาท หรือ ๒๐ บาท ในเวลาอันสั้น
    
    ความจริงประการหนึ่ง ก็คือ คนเขียนงานที่รักการเขียน ก็ยังคงเขียนงาน และเมื่อไม่มีใครรวมเล่มตีพิมพ์ให้
    ก็สู้กัดฟันลงทุนพิมพ์เอง ทั้งที่รู้ว่า ไม่มีทางคืนทุนแน่ ๆ 
    
    กลอนสองบทจากอาทิวา และจากความจริงที่ปรากฏข้างต้น .. ทำให้รู้สึกเหมือนถูกซุงกระแทกใจดังโครม
    มันเป็นเช่นนั้น มันจะต้องเป็นเช่นนั้น ..  จนเรามิอาจเปลี่ยนแปลงโลกของวรรณกรรมได้เชียวหรือ
     
    กระนั้นแล้ว ประโยคที่ว่า ..
    และความจริงประการสำคัญก็คือ คนไทย ได้ชื่อว่า เป็นคน เจ้าบท-เจ้ากลอน ?
    
    เราจะยังอยากได้คำตอบไปทำไมกัน ?
    
    มิตรภาพตราบสิ้นฟ้า  
  • ชมพูภูคา

    3 เมษายน 2550 22:41 น. - comment id 679875

    ชมพูภูคาอยู่ในแวดวงคนทำหนังสือ
    ถ้าถามว่าข้อมูลต่างกับชาวบ้านอย่างไร
    ก้อคงไม่ต่าง แต่เราพูดกันเล่นๆ ในหมู่
    เพื่อนร่วมงานว่า เราไม่ได้ขายข้อมูล
    เราขายชื่อหนังสือ  เราขายดีไซน์ 
    เราขายแพ็คเกจ อ้อ เขียนหนังสือทั้งเล่ม
    300 กว่า หน้า ไม่ยาก เท่าตอนตั้งชื่อหนังสือ
    แค่ประโยคเดียว จริงๆ 
    ทั้งที่ราคาสูงโด่ แต่ก้อยังขายได้ และร้าน
    หนังสือจอมโหดมันก้อฟันเราไป 55 % เหนาะๆ (ซีเอ็ด)
    
    แต่ก้ออย่างว่าหนังสือกวีนิพนธ์ นายทุนที่ไหนจะยอมควักตังค์
  • กุ้งหนามแดง

    4 เมษายน 2550 08:23 น. - comment id 679921

    อมตะ...กะเป็นตุเป็นตะ มันคนละเรื่องกันน่ะ..
    
    เรื่องเล่าของดาราเล่มหนึ่ง กับหนึ่งวรรคของกวี...     ช่างต่างกันนัก...
    
    เราเห็นแล้วว่า...สิ่งที่นายทำ...ความพยายามที่สั่งสมมานานปี....จนเป็นที่ประจักษ์แก่ใจแล้วว่า..เป็นจริงอย่างที่นายพูดทุกประการ...
    
    เวปไซท์บทกวีมีไม่มาก...แต่เราก็อยากให้เวปนี้ได้เผยแพร่ความรู้ ผ่านบทกวี ตัวอักษรของไทย ที่พวกเรากลุ่มหนึ่งมุ่งมั่น พยายาม....ด้วยแรงน้อยนิดที่พวกเรามี  ก็พร้อมจะขับเคลื่อนต่อไป..  
    
    :)  ทำด้วยใจรักต่อไปน่ะ  ลิงเพื่อนรัก..
    
    มิตรภาพตราบสิ้นฟ้า.....เรารู้ว่ามันคืออะไร...
    (วันนี้พูดยาว แฮะ..สงสัยวิญญาณกวีเข้าสิง..)
    
    
    ด้วยความนับถือ
    กุ้งหนามแดง
  • อรุณสุข

    4 เมษายน 2550 08:57 น. - comment id 679941

    ๑
          ๏ ใครจะอาจซื้อขายฟ้ามหาสมุทร
    แสนวิสุทธิ์โลกนี้ที่พระสร้าง
    สุดท้ายกายวิภาคจะจากวาง
    ไว้ระหว่างหล้าและฟ้าต่อกัน
          ๒
          ๏ เรามิใช่เจ้าของฟ้าอวกาศ
    โลกธาตุทั่วสิ้นทุกสรวงสวรรค์
    มนุษย์มิเคยนฤมิตตะวันจันทร์
    แม่แต่เม็ดทรายนั้นสักธุลี
          ๓
          ๏ แย่งแผ่นดินอำมหิตคิดแต่ฆ่า
    เพราะกิเลสบ้าหฤโหดสิงซากผี
    ลืมป่าช้าคุณธรรมความดี
    เสียศรีสวัสดิ์ค่าแท้วิญญาณ
          ๔
          ๏ สภาวะสรรพสิ่งทุกส่วนโลกนี้
    ควรที่สำนึกค่าทิพย์วิเศษวิศาล
    อนุรักษ์ดินน้ำฟ้าไว้ตลอดกาล
    เพื่อเหนือทิพยสถานวิมานแก้วไกวัล
          ๕
          ๏ ทุ่งนาป่าชัฏช้าอรัญญิกาลัย
    เทือกผาใหญ่เสียดดาวดึงส์สวรรค์
    เนื้อเบื้อเสือช้างลิงค่างนั้น
    มดแมลงนานพันธุ์ทั้งจักรวาล
          ๖
          ๏ เสมอเสมือนเพื่อนสนิทมิตรสหาย
    เกิดร่วมสายเชี่ยววัฏฏะสังสาร
    ชีพหาค่าบ่มิได้นับกาลนาน
    หวานเสน่ห์ฟ้าหล้าดาราลัย
          ๗
          ๏ ถึงใครเหาะเหินวิมุติสุดฝั่งฟ้า
    เดือนดาริกาเป็นมรคายิ่งใหญ่
    แต่เราขอรักโลกนี้เสมอไป
    มอบใจแด่ปฐพีทุกชีวีวาย
          ๘
          ๏ จะไม่ไปแม้แต่พระนิรพาน
    จะวนว่ายวัฏฏะสังสารหลากหลาย
    แปลค่าแท้ดาราจักรมากมาย
    ไว้เป็นบทกวีแด่จักรวาล
          ๙
          ๏ เพื่อลบทุกข์โศก ณ โลกมนุษย์
    ที่สุดสู่ยุคสุขเกษมศานต์
    วานนั้นฉันจะป่นปนดินดาน
    เป็นฟอสซิลทรมานอยู่จ้องมอง
        ๑๐
          ๏ สิ้นเสน่ห์วรรณศิลป์ชีวิตเสนอ
    ละเมอหาค่าทิพย์ไหนสนอง
    อเนจอนาถชีวีทุกธุลีละออง
    สยดสยองแก่ถ่านเถ้าเศร้าโศกนัก
        ๑๑
          ๏ แล้งโลกกวีที่หล้าวูบฟ้าไหว
    จะไปรจนารุ้งมณีเกียรติศักดิ์
    อำลาอาลัยมนุษย์ชาติน่ารัก
    จักมุ่งนฤมิตจิตรจักรวาล
        ๑๒
          ๏ ให้ซึ้งซาบกาพย์กลอนโคลงฉันท์
    ไปทุกชั้นอินทรพรหมพิมานสถาน
    สร้างสรรค์กุศลศิลป์ไว้อนันตกาล
    นานช้าอมตะอกาลิโก ๚๛  
    
     ๑. ฉันเอาฟ้าห่มให้    หายหนาว 
      ดึกดื่นกินแสงดาว    ต่างข้าว 
      น้ำค้างพร่างกลางหาว    หาดื่ม 
      ไหลหลั่งกวีไว้เช้า    ชั่วฟ้าดินสมัย ๚ 
          
          ๒. พลีใจเป็นป่าช้า    อาถรรพณ์ 
      ขวัญลิ่วไปเมืองฝัน    ฟากฟ้า 
      เสาะทิพย์ที่สวรรค์    มาโลก 
      โลมแผ่นทรายเส้นหญ้า    เพื่อหล้าเกษมศานต์ ๚ 
          
          ๓. นิพนธ์กวีไว้เพื่อกู้    วิญญาณ 
      กลางคลื่นกระแสกาล    เชี่ยวกล้า 
      ชีวีนี่มินาน    เปลืองเปล่า 
      ใจเปล่งแววทิพย์ท้า    ตราบฟ้าดินสลาย ๚ 
          
          ๔. จิตกาธารกรุ่นไหม้    โฉมไป ก็ดี 
      กาพย์ร่ำหอมแรงใจ    ไป่แล้ว 
      จุติที่ภพไหน    ภพนั่น 
      ขวัญท่วมทิพย์รุ้งแก้ว    ร่วงน้ำมณีสมัย ๚ 
          
          ๕. ลายสือไหววิเวกให้    หฤหรรษ์ 
      ฝนห่าแก้วจากสวรรค์    ดับร้อน 
      ใจปลิวลิ่วไปฝัน    โลกอื่น 
      หอมภพนี้สะท้อน    ภพหน้ามาหอม ๚ 
          
          ๖. ข้ายอมสละทอดทิ้ง    ชีวิต 
      หวังสิ่งสินนฤมิต    ใหม่แพร้ว 
      วิชากวีจุ่งศักดิ์สิทธฺ์    สูงสุด 
      ขลังดั่งบุหงาป่าแก้ว    ร่วงฟ้ามาหอม ๚ 
    
     ( ปณิธานกวี - อังคาร กัลยาณพงศ์ ) 
    
    หยิบมาฝากเหล่าเพื่อนพ้องน้องพี่ ทุกท่านผู้มีจิตวิญญาณแห่งกวี ทั้งหมดนี้เป็นบทนิพนธ์ ของท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เรื่อง ปณิธานกวี
    จะเห็นกระแสแห่งความคิด ผนวกกับ ความทรนงในศักดิ์และศรีของกวี ที่หวังจรรโลงโลกด้วยกวีนิพนธ์ แม้นว่ากายจะดับโลกแล้วแต่วิญญาณแห่งกวีหาเคยดับไม่ เห็นจะจริงแท้ขนาดว่า
    "ถึงวารสิ้นหล้าอย่าสูญสิ้น........วรรณศิลป์อมตะอย่ารู้ร้าง
    บันลือทิพย์ไหวในใจกลาง...........โลกกว้างขวางนั้นนิรันดร์เทอญ"
    แม้จะอย่างไรก็ดี ตั้งแต่สร้างโลกมาแล้วนี้ตราบที่มนุษย์ยังรู้จักสื่อสาร รู้จักอ่าน รู้จักเขียน ไม่มีวันที่ กวีนิพนธ์จะสาบสูญได้ และยังไม่นับรวมถึง จิตวิญญาณของเหล่ากวีทั้งที่ ดับสิ่งกายวิภาคไปแล้วหรือยังมีลมห่ยใจอยู่ จิตวิญญาณดังว่า ก็จักมิสูญสิ้นจากโลกและจักรวาลได้.
    
    แล้งโลกกวีที่หล้าวูบฟ้าไหว
    จะไปรจนารุ้งมณีเกียรติศักดิ์
    อำลาอาลัยมนุษย์ชาติน่ารัก
    จักมุ่งนฤมิตจิตรจักรวาล
        
    ให้ซึ้งซาบกาพย์กลอนโคลงฉันท์
    ไปทุกชั้นอินทรพรหมพิมานสถาน
    สร้างสรรค์กุศลศิลป์ไว้อนันตกาล
    นานช้าอมตะอกาลิโก ๚๛  
    
    36.gif36.gif
  • ice

    4 เมษายน 2550 10:16 น. - comment id 679965

    41.gif
  • ทักทาย

    4 เมษายน 2550 11:10 น. - comment id 679986

    16.gif36.gif16.gif36.gif16.gif36.gif
    
    เย็นๆค่ำๆ ทักจะมาเยี่ยมใหม่ ละมุนหนึ่งบทมีแทรกซึมกาพย์ โคลง กลอน ตอนท้าย ช่วงนี้เด็ก น.ร เรียนเขียนอ่าน แต่ง บทกลอนเยอะมากเลยนะ ผู้อ่านก็จะค่อยๆซึมซับ ดูอย่างทักซิจากคนที่ไม่ใคร่ใส่ใจเรื่องกวี แต่ก่อนอ่านแต่นิยาย หรือ หนังสือที่เพิ่มความรุ้ แต่มาเดี๋ยวนี้ ต้องมี บทกวีสักนิดก็ยังดี  หรือลำนำเพลง มันทำให้ทักซึมซับไปกับตัวอักษรที่นับวันจะเลือนหายในภาษาสวยๆของดีแดนสยามเมืองยิ้ม
  • ต่อง (ต้อง) ksg

    4 เมษายน 2550 13:08 น. - comment id 680001

    **..  ที่พี่อัลพูดถูกครับ  ทุกวันนี้ลองไปตามมุมของร้านหนังสือดูสิครับ แล้วเราจะรู้ว่า  หนังสือที่รวมบทกวีกำลังตาย หรือไม่ก็กลายเป็นกลอนที่( ไร้ ) สาระของจริง หน้าปกเป็ฯการ์ตูนญี่ปุ่นตาหวานแหวว ประมาณว่าถ้าคิดว่านี่คือหนังสือบทกลอน ไม่ต้องตีพิมพ์ซะดีกว่าประมาณนั้น  แต่ที่จะเหลือให้เห็นว่าคนไทยเจ้าบทเจ้ากลอนและคนที่เจ้าบทเจ้ากลอนตอนนี้ก็คลุมไปถึงเยาวชน ก็คงมีให้เห็นแต่ในโลกไซเบอร์เท่านั้น ที่ยังเหลือที่ว่างให้กับนักกลอนอย่างพวกเราได้พอหายใจและเขียนงานออกมาเท่านั้นครับ
    
      รักและเป็นห่วงร้อยกรองไทย
  • ห้วงคำนึง

    4 เมษายน 2550 14:39 น. - comment id 680023

    ขอบคุณพี่อิม ที่แต่งบทนี้ ช่วยปลุกจิตสำนึกคนอื่นๆ  ชอบจังครับ
    
    ดาวหลายดวงร่วงดับไปกับฟ้า
    ดาวหลายดวงรอเวลามาแทนที่
    บนท้องฟ้าภาษาไทยในวันนี้
    ยังเหลือดาวกวีอีกกี่ดวง
  • แม่มดใจร้าย

    4 เมษายน 2550 19:09 น. - comment id 680168

    วิญญาณกวี41.gif
  • ทักทาย

    4 เมษายน 2550 19:22 น. - comment id 680177

    สวัสดีคุณอัลมิตรารอบสอง คุณ คุณ ทุกท่าน
    
    ทักเข้ามาแล้วแต่ยังไม่เจอคุณไว้วันพรุ่งทักจะมาใหม่ค่ะ.....
    
                   รักษาสุขภาพด้วยนะ
  • ปักษาวายุ

    4 เมษายน 2550 20:47 น. - comment id 680192

    ...
       วิญญาณกวี ผมว่า มันยังมีอยู่ในคนทุกคนนะ เพียงแต่รูปแบบและโอกาศในการแสดงออก มันช่างเปลี่ยนไปซะมากมายเหลือเกิน ยกตัวอย่าง ถ้าใครสักคนได้เดินชมป่าที่ร่มรื่นเต็มไปด้วยดอกไม้ป่าสวยงาม หากใครคนนั้นเป็นนักกวีก็คงแต่งกลอนได้สักบทใหญ่ๆ เชียวละ แต่ถ้าเป็นคนทั่วๆไปล่ะ เค้าก็อาจจะฮัมเพลงออกมาสักเพลงนึงก็เป็นได้ นั่นละมั้ง วิญญาณกวี ที่แสดงออก ในแบบที่แตกต่าง ... ยังไงก็ยังน่าเสียดายอยู่ดีที่รูปแบบการแสดงออกด้วย ถ้อยคำภาษามีสัมผัสที่สวยงามกลับไม่ค่อยได้รับความนิยม ซะแล้ว 10.gif
  • นายเจมส์

    5 เมษายน 2550 09:27 น. - comment id 680357

    มีสื่อสาส์นสารพันให้สรรค์ซื้อ
    แผงหนังสือหลากล้นให้ค้นหา
    เรื่องซุบซิบข่าวฉาวคาวดารา
    ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าต้องสั่งจอง
    
    แฉชีวิต !!
    เรื่องสุดฮิตเรื่องเล่าเรื่องเศร้าหมอง
    เขียนความลับเจาะลึกคึกคะนอง
    ต่างกับงานร้อยกรอง..ลดราคา
    
    ซ่อนตัว ซ่อนตน อยู่หนไหน
    ฝุ่นเกาะ หยากไย่ เหมือนไร้ค่า
    อุดมการณ์งานกวีทวีปัญญา
    มิได้เขียนเพื่อการค้าหากำไร
    
    ต่างคนต่างคว้าต่างหาฝัน
    เสียสละสร้างสรรค์เอาใจใส่
    เขียนชีวิตเขียนกลอนสะท้อนใจ
    มุ่งมั่นเขียนต่อไปร้อยร้อยปี
    
    "บทกวีไม่มีวันตาย"
    คือความหมายสูงส่งทรงศักดิ์ศรี
    นี่แหละ "วิญญาณกวี"
    แม้หลงในวิถีกลียุค
    
    
    
    งานศิลปะทั้งปวงทำให้ประจักษ์ชัดถึงชีวิต มันหล่อหลอมอารมณ์ความรู้สึกความนึกคิดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
    
    คนเขียนบทร้อยกรองก้เช่นกัน เขียนไปเรื่อย ๆ เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า เขาเป็นกวีไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะเชื่อว่า เขาเหล่านั้น ใช้ใจทำงาน
    
    
    
    
    
    
    36.gif29.gif
    
    
    ขอคารวะคนเขียนงานร้อยกรองด้วยใจรัก 1.gif
  • อัลมิตรา

    5 เมษายน 2550 22:56 น. - comment id 680771

    คุณชมพูภูคา .. 
    การที่ใครคิดจะทำหนังสือสักชุด โดยที่เป็นน้ำพักน้ำแรงของตนเอง
    ไม่เกี่ยงหรอกว่า จะเป็นคนเขียน หรือ คนรวบรวม .. มันเป็นภาระหนัก
    ตั้งแต่เริ่มต้นดำเนินการจนถึงกระบวนการตั้งชื่อหนังสือ .. 
    อืมม จริงที่คุณบอก ..
    การตั้งชื่อหนังสือแค่ประโยคเดียว แค่ข้อความไม่กี่คำ .. มันเป็นเรื่องยาก
    ยากตรงที่ ทำอย่างไร ให้เหมือนกับประโยคนั้นเชิญชวนให้คนมาอ่านได้
    ผลลัพธ์ที่เห็นมันก็เลยมีหลากหลาย นานทีกว่าจะเห็นสมการที่ลงตัวค่ะ
    
    คุณกุ้งหนามแดง ..
    อัลมิตรากำลังทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน ไม่ค่อยถนัดงานสักเท่าไหร่ 
    และก็มีความกังวลอยู่บ้าง เกรงว่าสิ่งที่ทำ จะได้ผล ไม่ได้ดั่งใจ ..
    แต่อัลมิตรายังคงเลือกที่จะทำ โดยมองเป้าหมายและวัตถุประสงค์เป็นหลัก
    สิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน อาจขลุกขลัก อาจไม่ราบรื่น แต่ก็จะเป็นบทเรียนในครั้งหน้า
    ที่สำคัญ .. 
    แค่คำว่า ไม่เคยทำ .. จะทำให้เกิดความ ไม่กล้าทำ .. ย่อมไม่มี สำหรับอัลมิตรา
    พลังใจที่ได้รับมาเต็มเปี่ยมจากเพื่อนพ้องน้องพี่ ..
    ทำให้อัลมิตรายิ่งแน่ใจแก่ตนเองว่า..ไม่ผิดแล้ว ที่จะทำ ..
    ซึ่ง ณ บัดนี้ ก็ได้ลุล่วงเกินกว่าครึ่ง .. ในอีกเร็ววันนี้ สิ่งดี ๆ จะมีมา ..
    
    คุณอรุณสุข ..
    
    เป็นกวี.. ฤๅดีกว่าคนอื่น
    เห็นดาษดื่นไร้สติบนวิถี
    เป็นกวี.. ฤๅทุกคนเป็นคนดี
    ก็เห็นมีร้ายบ้างช่างปนเป
    
    กวีอยู่ที่ใจในสำนึก
    ใช่เพียงนึกคำสรรแล้วหันเห
    เป็นกวีเพื่ออะไรให้คะเน
    ก็ทั้งเพ..ตอบไม่ได้เพราะไม่เป็น
    
    ไอซ์ .. ลงแรงหน่อยสิ กินแรงนี่ 
    
    คุณทักทาย ..
    ช่วงนี้ต้องแบ่งเวลาและจัดสรรให้ลงตัวค่ะ มีบางอย่างต้องตระเตรียม
    แต่ก็จะพยายามไม่ให้กระทบกระเทือนงานประจำที่ทำอยู่ค่ะ 
    ดังนั้นช่วงพัก หรือช่วงนอกเวลางาน จึงต้องพาตัวเองมาจดจ่อกับอีกงานค่ะ
    
    คุณต่อง ..
    ร้านหนังสือ อยู่ได้ด้วยรายได้จากการขายหนังสือ 
    เงินเดือนของพนักงานฝากความหวังไว้ที่การขายหนังสือให้ได้จำนวนมากเข้าไว้
    ดังนั้น จึงเป็นเรื่องปกติที่ ณ จุดขาย ที่เด่นสะดุดตา เขาจะแสดงงานที่ชวนให้ซื้อ
    เพื่อเรียกเม็ดเงินจากกระเป๋าของลูกค้า ให้ถ่ายเทมายังร้าน
    หากอัลมิตรา..เป็นเจ้าของร้าน หรือดำเนินธุรกิจในการขายหนังสือ 
    ก็คงต้องจัดรูปแบบการจัดเรียงหนังสือ เพื่อให้เกิดยอดขายสูงสุด เพราะนั่นหมายถึงความอยู่รอด
    แต่จะทำอย่างไรดีกับ กวีนิพนธ์
    ตรงนี้ .. ส่วนหนึ่งที่ทำให้กวีนิพน์ขายไม่ได้ค่อยได้ มันขึ้นอยู่กับรากของความคิดด้วย
    ความคิดของคนที่เข้าไปในร้านหนังสือไงคะ ..
    หากเจตนาที่จะเจาะจงไปยังชั้นหนังสือหมวดกวีนิพนธ์ ต้องการกวีนิพนธ์สักเล่ม คงเดินไปหา
    แต่ถ้า หวังลูกค้าที่บังเอิญโต๋เต๋ในร้านแล้วไปสะดุดตากับกวีนิพนธ์สักเล่ม เห็นทีคงยากที่จะเป็นไป
    แล้วจะทำอย่างไรดี .. เพื่อให้คนเข้าร้านแล้ว เดินเข้าหาหมวดกวีนิพนธ์โดยตรง
    ตรงนี้ ต้องช่วยกันจากหลาย ๆ จุด ทั้งช่วยกันซ่อมแซมจิตสำนึกความเป็นไทย ๆ ด้วย
    อาจจะต้องเริ่มตั้งแต่การปลูกฝังให้เป็นคนรักการอ่าน รักภาษาไทย รักและจะดำรงความเป็นไทย
    เรื่องมันยาว..นา .. หากอัลมิตราจะบอกว่า ควรเริ่มต้นตั้งแต่เยาวชนตัวน้อยเลยค่ะ
    
    คุณห้วงคำนึง ..
    เมื่อก่อน อัลมิตราก็คิดนะ .. จบรุ่นกวีดัง ๆ ที่อัลมิตราคุ้นชื่อไปแล้ว จะมีใครสืบสานต่อไหม
    แต่ตอนนี้วางใจแล้วค่ะ เพราะเชื่อว่า มีคนสานต่อแน่นอน .. 
    หากคนที่สานต่อ ไม่อหังการเกินไปนัก ไม่ทำให้ความเป็นกวี เป็นของสูงส่ง หรือต้องห้ามจนเกินไป
    อะไรอะไร ที่ผ่อนคลาย .. ไม่ตึง แต่ก็ไม่หย่อน .. ก็อาจดึงดูดความสนใจได้เหมือนกัน
    
    คุณแม่มดใจร้าย .. ขอบคุณค่ะ
    
    คุณทักทาย .. :) 
    ตอนทุ่ม อ่านศิวาลัยอยู่ค่ะ .. ที่คุณส่งมาให้  เล่มหนึ่งไม่ได้อ่านเพราะไม่มีในกล่องพัสดุ
    มาอ่านเล่มสองได้สักสองตอนแล้วค่ะ พอจะเดาได้บ้างว่านิยายเรื่องนี้เดินเรื่องอย่างไร
    ส่วนคุณทองแดงทั้งสองเล่ม .. อ่านแล้วค่ะ ขอบคุณมากเลย เป็นหนังสือที่อยากได้มานานแล้ว
    ช่วงที่เขาฮิตสั่งจองหนังสือกัน อัลมิตราก็ไม่อยากรอคิว แต่อัลมิตรามีเสื้อที่ปักรูปคุณทองแดงนะ
    ตอนนั้นน้าสิบ (ผีขี้เมา) พาไปซื้อที่สหกรณ์แถว ๆ วังไกลกังวลค่ะ พอดีว่าไปสัมมนาแถว ๆ นั้น
    
    คุณปักษาวายุ ..
    อัลมิตราเคยหลบมุมนั่งฟังขอทานคนหนึ่งร้องเพลงฉ่อย สักพักมีคนยุให้ร้องลิเก
    เขาก็ร้องได้ และเข้าใจว่า ด้นสด ๆ ไม่ได้ท่องจำมาแน่ เพราะเขาร้องลิเก 
    โดยเอาข่าวดังในช่วงนั้นมาร้อง ..
    ยังมีอีก .. คนสวนที่บริษัท 
    ตอนเช้า หากเข้าทางประตูด้านหลัง ซึ่งจะต้องผ่านสวนหย่อม จะต้องเห็นเขาทุกวัน
    เขาให้อาหารสุนัข คงไม่ใช่สุนัขที่บริษัทจงใจเพาะพันธุ์ ทว่ามันมากันเอง .. 
    ช่วงที่เขาวางถาดให้พวกมัน เขาก็จะนั่งรอตรงใต้ต้นไม้ ร้องเพลงเสียดังเชียว
    เคยถามเขาเหมือนกัน .. ร้องให้ใครฟัง เขาก็บอกว่า เผื่อว่าพวกมันจะเจริญอาหาร
    เขาทำให้อัลมิตรายิ้มนะ ยิ้มให้กับความใจดีของเขา 
    
    นายเจมส์ .. กลอนของคุณ ได้นัยนะโดยแท้ ค่ะ
    
    วิญญาณของกวีฤๅมีดับ
    ตราบโลกลับล่มสลายกลายเป็นศูนย์
    ยังคงยินถ้อยวรรณกรรมล้ำวิบูลย์
    เจิดจำรูญขจรไกล ณ ตรัยตรึงศ์
    
     คนเขียนบทร้อยกรองก็เช่นกัน เขียนไปเรื่อย ๆ 
    เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า เขาเป็นกวีไปตั้งแต่เมื่อไหร่ 
    เพราะเชื่อว่า เขาเหล่านั้น ใช้ใจทำงาน
    
    ประโยคนี้ชวนให้ขบคิดจริง ๆ .. คนจะเป็นกวี
    เขาเป็นเพราะเขาแต่งตั้งตัวเองว่า กวี
    หรือเป็นเพราะใครต่อใครเห็นหัวใจเขาแล้วว่าคือ กวี
  • ทักทาย

    7 เมษายน 2550 19:07 น. - comment id 681283

    ย่องๆแอบมาคนเดียว แลละอยากตะโกนดังๆ ......คุณอัลฯคิดถึงจังเลย   (-_-")  แง้ เศร้า (แต่ไม่หนักนะเศร้าชั่ววูบ)
    
    รักษาสุขภาพด้วยจ่ะ  เพราะเรานั้นเพื่อนกัน
    แม๋ เหมือนโฆษณา เพราะเรานั้นคู่กันเลยเน๊อะ
  • อัลมิตรา

    7 เมษายน 2550 20:59 น. - comment id 681341

    สวัสดีค่ะ คุณทักทาย ..
    เมื่อคืนวาน อัลมิตราไปงานกาชาดที่สวนอัมพรค่ะ
    ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะไป คนมากมาย เบียดเสียด
    แต่เพราะ พี่สาวและพี่ชายเดินทางมาจากตรัง มาสัมมนา
    จึงอาสาพาเที่ยวในเมือง ..
    ขากลับแยกย้ายกันกลับ เพราะเขาพักที่อื่น
    อัลมิตราก็เลยเตร็ดเตร่ จนกระทั่งเมื่อยพอดู 
    เดินไปเรื่อยเส้นทางไปวัดเบญ จนเห็นรถประจำทาง 
    สายอะไรก็จำไม่ได้ นะ รู้แต่ว่า ผ่านอนุสาวรีย์ เลยโดดขึ้น
    จากนั้น ก็นั่งรถเมล์อีกทอดกลับบ้าน .. 
    ในเป้ที่สะพายหลัง มีทั้งขนม และน้ำดื่มพร้อม
    ดังนั้น อัลมิตรามีความสุขมากกับการเดินทางขากลับ
    รถเมล์ในทอดที่สองนี้ ไม่ใช่รถแอร์ แต่ลมก็ระรื่นดี
    นานครั้งที่อัลมิตราจะเดินทางโดยรถเมล์ เตรียมค่าโดยสารไม่ถูก 
    แต่ก็ดีนะ ที่ตัดสินใจกลับรถเมล์ ถึงบ้านปลอดภัย
    ถ้านั่งแท๊กซี่ ก็คงจะกังวลไปตลอดทางจนกว่าจะถึงบ้าน
    เส้นทางไกล..พอประมาณ ค่ะ
  • ทักทาย

    8 เมษายน 2550 15:54 น. - comment id 681559

    พักผ่อนมากๆนะคะ........
    
            คิดถึงเสมอ........
  • โนเนม

    19 มิถุนายน 2552 15:27 น. - comment id 1002269

    โนเนม 
    ขอโทษจริงๆ -เคยมีเด็กถูกฆ่าตายในห้องน้ำของภารโรง -แต่หาต้นเหตุของคดีไม่ได้ -จึงปล่อยร่างไร้วิญญาณของเด็กอยู่ ณ ที่นั้น -ไม่มีการทำพิธีใดๆทั้งสิ้นวิญญาณของเด็กยังคงวนเวียนอยู่ที่ร.ร.เป็นเวลาหลาย10ปี -จนวันหนึ่งได้มีนร.หญิงกลุ่มนึงได้เข้าไปในห้องน้ำเพื่อหวังจะแกล้งภารโรง -จึงได้พบวิญญาณของเด็กกำลังไต่บนเพดานแสระยิ้มให้ -พวกเธอกลัวมากจึงรีบวิ่งหนีออกจากห้องน้ำแต่มีเพื่อนคนนึงไปเหยียบแอ่งน้ำบนพื้น -จึงล้มและสะดุดขาของเพื่อนอีกคน -เพื่อนคนนั้นได้จับแขนของเพื่อนอีกคนไว้จึงล้มกันเป็นทอดๆและหัวฟาดพื้นตายหมด -วิญญาณของเขายังคงวนเวียนอยู่ที่แห่งนั้นตลอดไป จงส่งต่อ 20 กระทู้ ภายใน 7 ชม. (ถ้าคุณอ่านไปแล้วไม่ว่าจะกี่อักษรก็ตามถ้าไม่ส่งตามขอให้มีอันเป็นไป สาธุ)

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน