เขียวดอกจอกลอยลายพรายผิวน้ำ หากไต่ถามถึงจุดหมายใช่ยิ่งใหญ่ ดุษณีกฎอาสัญแห่งวันวัย อยู่ภายใต้เงาอาทิตยมณฑล เขียวเลื่อมเขียวใบตองคล้องร่องกล้า งามบุหงาดอกแคเคล้าสายฝน โอนอ่อนตำลึงไพรเกี่ยวใจคน ผักพืชผลสารพันนั้นแสนงาม เดียวดายพุ่มกระถินกลิ่นชนบท น้อมประณตสายลมทุ่งสยาม ดอกโสนแย้มคอยคู่อยู่ทุกยาม รอดอกขจรหอมข้ามความยากจน สวยสายบัวบังใบกลางหนองบึง งามลึกซึ้งพระเณรทุกแห่งหน กระชอมดอกเหลืองไพลในตำบล อวลระคนหอมข้าวใหม่มะลิลา หอมกระเทียมยามเทียมเกวียนเมื่อรุ่งราง กรุ่นควันไฟลอยพร่างกลางพรรษา หอมศีลงามน้ำปรุงอุบาสิกา อบผวยผ้าซิ่นฝ้ายลายน้ำไหล ถั่วฝักยาวรู้ชีพนี้มิยืนยาว เหน็บหนาวผิงเตาถ่านข้าวหุงใหม่ รุ่งอรุณแล้วสว่างมาสว่างไป กระทงตองเขียวไสวมีโรยรา ยอดผักบุ้งมุ่งทอดสู่ธาราธรรม ระงมงำลำนำท้องทุ่งคุ้งภูผา ปลีดอกกล้วยสลายหวีมรณา ต่างปุจฉาธรรมชาติบนแผ่นดิน พรวนพรายมะเขือพวงพรรลาย มิมุ่งหมายยศศักดิ์รักท้องถิ่น ไหววิญญาณช่อสล้างร้างมลทิน กรุ่นกลิ่นดอกไม้ละเอียดอุ่นไอ ยอดสะเดาใครเขาว่าขี้ข้าผัก ดูน่ารักหนักหนาหาใช่ไม่ ขิงก็ราข่าก็แรงแก่งแย่งสิ่งใด ต่างมุ่งไปสุดทิศจิตกาธาน พลิกแปรโลกผืนหล้าอรัญญิกาลัย อายตนะไหนฤาศรัทธากว่าเขียวขาน เครียวกิ่งใบกสิกรรมอันตระการ อภิบาลกษัตริย์เจ้าอัมรินทร์ สิ้นพืชผลธัญญาหารวิมานข้าว บางลำเนาเหน็บหนาวธัญศิลป์ หมดหนทางปัญญาทำมาหากิน ขอดขุดแผ่นดินขายทุนนิยมระยำ เร่งรำลึกคุณแผ่นดินพันธุ์ไม้เลื้อย ก่อนเน่าเปื่อยอสุภซากจมดินถลำ อิ่มข้าวปลาแก่นผักเขียวทุกเคี้ยวคำ เริงลำนำมนต์อาตมันสุวรรณภูมิ -------------------------------- ท่ามกลางวิมานกสิกรรมเขียวไสวแห่งตำบลชนบทนั้น บัดนี้การกสิกรรมในพระราชดำริแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทิพยทฤษฏี บิดาแห่งการเกษตรแบบทฤษฏีใหม่ นำน้ำตาแห่งปิติมาสู่ พืชผักงอกงาม พลิ้วไสวอยู่ในตำบลชนบท เรียบง่าย สันโดษ หากทว่าน่าภาคภูมิ. ด้วยศรัทธาและมุ่งเห็นประโยชน์แห่งการเกษตรแต่ปางบรรพ์ พระเจ้าอยู่หัวแห่งสยามจึงได้ทุ่มเทพระวรกายพัฒนาการเกษตรยั่งยืน ทรงประทานฝนหลวงที่เสมือนฝนเดือนหกที่โปรยรดไร่นาเกษตรกร ให้บรรดาพืชผักใหญ่น้อยได้ผลิดอกออกผล ผลิคุณค่าให้แผ่นดิน ให้ฝรั่งมังค่าอิจฉาตาลุกเป็นไฟ บังอาจเอาเงินงามมาล่อ บ้างยอมเป็นเขยชาวนาแม้มิใช่เพราะรัก ชาวสยามสมัยนี้ถือว่ามีโชค มีข้าวกิน มีที่ดินมีผืนนามีแผ่นดินเกษตร ถึงยากจนอย่างไรก็พอเลี้ยงชีพได้ มิหวังให้กระแสทุนนิยมย่ำยีระยำ พ่อบอกว่า การเกษตรกรรมคืออาหารแห่งอารยะ เป็นเครื่องหมายบ่งบอกถึงอารยะธรรมมนุษย์... แล้วเหตุใดเล่า ชาวไทยทุกวันนี้จึงหนีรากเหง้าแห่งอารยะธรรมตัวเอง นึกไปแล้วก็น่าเสียดายที่ไทยเราสูญเสียจิตวิญญาณดีงามแห่งสุวรรณภูมิ ให้กับกระแสทุนนิยมนิรันดร์กาล.
4 กุมภาพันธ์ 2549 04:42 น. - comment id 558126
ปล่อยให้พวกเขาเล่นหุ้นกันไป เรากลับมากินยอดกระถิน น้ำพริกปลาทูดีกว่า อิอิ กลอนงดงามมาก นาน ๆ จะได้ชื่นชมสมอยาก
4 กุมภาพันธ์ 2549 07:17 น. - comment id 558136
กลอนเพราะมากครับ
4 กุมภาพันธ์ 2549 09:11 น. - comment id 558165
ภาพสวย กลอนก็สวย สวัสดีค่ะพี่นิว หายไปนานเลยนะคะพี่นิว คิดถึงจังค่ะ
4 กุมภาพันธ์ 2549 10:01 น. - comment id 558169
เขียวเขาเขียวข้าวเขียวผัก คืออาณัติธรรมอันยิ่งใหญ่ คำจุนหมุนโลกเอื้อวัย สัจจะสอนใจพึ่งพา เขียวทุ่งปรุงทิพย์รอยไถ เหงื่อไคลสาบควายกลายกล้า กลิ่นโคลน คน หลอมปนพสุธา แปรมาเป็นรวงระย้าสีทอง เคลียตาเคลียใจพุ่มกระถิน มิมีวันสิ้นมนต์ลอยล่อง หอมเกินใดบริสุทธิ์ใสตามครรลอง นาทองนาไทยใจไม่จน บัวบานตระการเหนือหนอง รับสายทองสอนธรรมทุกหน ขมิ้นข่าตะไคร้เคียงกระท่อมทุกตำบล คู่คนคู่ครัวเคียงนา หอมข้าวใหม่รับอรุณแรก มะลิอวลแทรกกลิ่นน้ำค้างกลางพรรษา สู่อุโบสถถือศีลสมาธิภาวนา หิ้วตะกร้าลายงามดอกพิกุล น้ำพริกมะเขือแฟงแตงร้าน ทอดย่านโอบยอดทุกทิวาหมุน ทุกข์ทนจนยากฝากอิ่มอุ่น กี่รุ่นกี่กาลผ่านมา เตาถ่านปะทุหม้อดินน้ำข้าว ไผ่หลาวเป่าไฟในอุษา ข้าวหอมเดือดแดงสร้างไทมา คือปุจฉาดิบเดิมสัจจธรรม เขียวข้าวกลายสีเป็นเลือด หวังมิเหือดแห้งวิถีรินร่ำ เกษตรทฤษฎีใหม่น้อมนำ ไทยทำไทรักผืนดิน ยอดสะเดาขมนักใช่ผักหวาน บุราณนำมาสอนใจมิรู้สิ้น ยามรักน้ำต้มผักหวานฉ่ำพร่ำระริน แค่ลมลิ้นลมลวงบ่วงทุกข์พันธนา ไร้เขียวไร้ข้าวรับทุกข์ น้ำตาลสุกไหม้ลามเหว่ว้า ผืนดินแตกระแหงกัปป์กาลเวลา ปรารถนาใดเล่าเท่าอิ่มท้อง มิสายไปหากมิใจดวงพิสุทธิ์ อย่ารู้หยุดสืบตำนานไททั้งผอง ข้าวในนาปลาในน้ำตามครรลอง ทรัพย์เนืองนองยังรอท่าอย่าล้าใจ กราบบูชาดินน้ำฟ้าแม่พระโพสพ รู้สยบกินกามเกียรติสร้างจิตใส รู้พอดีพอเพียงสมถะใจ คือยิ่งใหญ่เกินค่าทุนนิยมระทมทุกข์ หวังแผ่นดินสิ้นทุกข์วิปโยค รังสรรค์โลกวิถีงามสงบสุข หันกลับมองธรรมชาติสอนธรรมมวลมนุษย์ คือ*วิมุตติมาลี*รอคลี่บานประดับใจ.. (ทุกดวงใจไทยสุวรรณภูมิพุทธิ์)
4 กุมภาพันธ์ 2549 15:04 น. - comment id 558298
:)
4 กุมภาพันธ์ 2549 20:43 น. - comment id 558351
มาอ่านงานที่ดีๆ ขอรับ
5 กุมภาพันธ์ 2549 13:45 น. - comment id 558464
สหายรักงามเหลือเกิน งามเกินจะกล่าวอ้างใดๆได้ สมแล้วเป็นยอดกวีชายแห่งสยามเวปฯนี้ รักเสมอมันไม่ค่อยได้เจอแต่คิดถึง แก้วประเสริฐ.
6 กุมภาพันธ์ 2549 21:12 น. - comment id 558774
กลับมาฝากเรื่องนี้ค่ะ ในหลายร้อยเรื่อง เกี่ยวกับสวนพืชผักผลไม้ ทั้งในนามสาวนาและพี่พุดค่ะ http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem76988.html... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song634.html (สาวชาวสวน) http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song467.html (หอรักหอร้าง) .......... กับเริ่มรุ่ง ที่น้ำค้างยังใสพราวราวหยาดเพชร เกาะค้างจับกลีบกลางเกสรดอกไม้ใบหญ้า ไพลคว้าจักรยานคันเก่าคู่ใจค่อยๆพาตัวเอง ออกมาจากบ้านวิมานดินวิมานไพรในเมือง ตั้งใจจะมาทอดทัศนาทัศนียภาพ ยามอรุณเรื่อฟ้า... ยามนกกาผกโผผิน..กางปีก บินล้อลมแรกแทรกฉ่ำใส ไรแสงสาดสายพรายพรม ห่มพลิ้วด้วยริ้วนวลสายไหมไรหมอก ที่จะพากันหยอกเอินนาข้าวเขียวขจีเขียวไพล ที่บัดนี้อาจจะเหลือเป็นแปลงสุดท้าย ที่ใกล้เมือง ใกล้ใจไพลที่สุดแล้ว เพราะ เบื้องหลังนั้น.. เมื่อมองออกไปคือตึกเป็นแท่งสูงเสียดฟ้า หลายสิบแท่ง.. *อาณาจักรเมืองทองธานี* ที่เป็นของอภิบรมมหาเศรษฐี* ที่ชาตินี้ หากเอาเงินมากอง ก็คงสูงท่วมฟ้าพอกันกับแท่งตึก ที่นึกนึกดูก็คิดไม่ออกว่า ชาตินี้จะใช้หมดได้อย่างไร... และ ก็คือธานีทองของคนรวย มิใช่ของคนจนบนผืนหล้าที่มากมีมากมาย ไร้แม้กระทั่งที่ทำกิน แค่หวังพอฝากชีพสิ้นพออยู่รอดไปวันๆ อย่างคนจน *ที่ตำบลบ้านลานดอกไม้ดก..เมืองกำแพงเพชร* ที่มีชื่ออย่างแสนงามนามไพเราะ หากทว่าผู้คนจนยากไร้ ไม่มีหัวใจใสสดพอ ที่จะรอดูดวงดอกไม้ดก.. ตกร่วงควงพลิ้วหวาน.. หว่านสายพร่างลงมาณ..กลางลาน..ดอกนะ ได้แต่งันงกรับจ้างไปวันวัน เพราะแม้กระทั่งกระท่อมจะอยู่..ยังไม่มี อย่าว่าแต่ที่จะทำกิน *ทรัพย์ในดิน* ที่จะนำมาไถแปร*..มายังชีพชอบเลย และ.. นี่คือ ความแตกต่าง... ห่างกันไกลเหลือแสน..ในแดนด้ามขวานทอง อันชักจะผ่องผุดเพียงในมือนายทุน ผู้รวยยิ่งรวยล้นฟ้า กันอยู่ไม่กี่กลุ่ม..รุมกินโต๊ะชาติไทย ไม่ปันแบ่งใคร นอกจากวงศาคณาญาติ พรรคพวกเพื่อนพ้องพี่น้องเพื่อนฝูง ผู้ราวอภิสิทธิ์ชนคนกุมบังเหียนชาติ ฉลาดลงทุนหมุนวนเวียนรับ เพราะมีหนทางมากมายนักจากพลังเงินงาม มีมือยาวสาวผลประโยชน์ทั่วสยามได้กว้างไกลกว่า.. ........ เอาละนะ..เช้านี้.. ไพล..เพียง..พามาชมธรรมชาติ..*เริ่มรุ่งรับงาม * ไฉนลามไล้ ไประบายไปถึงความยากไร้ในทุกธุลีหล้าได้ก็ไม่รู้สินะ...! ...... กลับมานาทีนี้ กับเรื่องดีดีตรงหน้าดีกว่านะ ทุกคนดีทุกดวงใจในร่มรัก..แห่งผองเรา ที่ไพล...พลีพาร่างใจ..และจักรยานจอดไว้ไม่ไกล.. แล้ว เดินลัดเลาะเลี้ยว เข้าไปในเส้นทางลูกรังสายเล็กๆ ที่ณ.บัดนี้มีดวงดอกน้ำค้างยังแตะแต้มแก้มดงดอกหญ้าไพร ที่ต่างพากันไหวเอนระเนน ระบัดช่อพ้อพร่างอย่างอ่อนช้อยคล้อยตามระลอกลม เริงร่ายส่ายผสมระบำรับอรุณอันอุ่นเอื้อ..แรกแย้ม..! ใน..คะนึงนวล ไพลได้กลิ่นหอมอวล..นาข้าวพร่างพราย ร่ายมนตรามากับลมอรุณแรก แทรกมากับทิวาหวามในยามเช้านี้ ไพล ได้กลิ่นแม้กระทั่งจากใบตองนวลสไบนางฟ้า ที่พากันเริงร่าโบกสะบัดไหว ในริมรั้วเรือนไม้ชาวสวน ได้กลิ่นอวลตรลบของดวงดอกพุดซ้อน ที่ช้อนกลีบละออนวลหนานุ่มคล้ายกลีบละมุนกุหลาบขาว หากให้กลิ่นเร้าแรงรัดรึงตรึงใจ ให้ซึ้งซ่านหว่านหวามไหว ให้หลงในมนตราเสน่หาได้ลึกล้ำดำดื่มกว่ากัน.. เรือนไม้ชายสวนชาวสวน..และที่นาละแวกนี้ ที่บัดนี้... อาจะเหลือเพียงผืนเดียวหลังเดียวเดียวดาย พรายซ่อนซุกในรุกขชาติร่มไม้ไพรเทวาพันธุ์พฤกษ์ษาผืนนา เพียงหลังเดียว..โดดเดี่ยวมิโดดเด่น หากทว่าแฝงเร้น อยู่ในท่ามกลางความเงียบงามสุขสงบสมถะ แม้นว่า จักมิห่างจากเมืองวายวุ่น เคียงถนน ที่ผู้คนกำลังกรุ่นร้อน ไปด้วยความเร่งรีบกับรถราแน่นขนัด ที่พากันตะบึงบีบแตรระงม ให้หูตรมใจตรอมก็ตามทีเถอะนะ ละแวก... ที่มีนายทุนบ้านจัดสรร มาขันแข่งแย่งกันสร้าง ก่อแท่งตึกหน้าตาอัปลักษณ์ สร้างเป็นอาณาจักรอาณาเขตส่วนตัว มารุกคืบขยับไล่วิถีชีวีชีวิตชุมชน..วิถีไทย ให้ไม่เหลือหลอ...ความพอเพียงเพียงพอ..ดำรงอยู่คู่ฟ้าไทย ให้กลายเป็นอาณาจักรศิวิไลซ์ กั้นด้วยรั้วเหล็กประดิดประดอย แสนแพง หากทว่าสำหรับดวงใจไพล ดูเท่าไรๆในมโนนึกก็มิลึกล้ำมีค่า เพราะราวป้อมปราการฤาว่าหอคอยแห่งคุก คอยคุมขังชีวิตจิตวิญญาณ ให้ไร้นวล..แตกงาม..ได้สัมผัสค่าคำอิสรา ที่ดูอย่างไรก็ไม่งามเท่า รั้วไม้ไผ่... ที่มียอดกระถินตำลึงไล่เลื้อยพันพร่าง พ้อฝนพรายกอ...แตกช่อผลิงาม..เขียวไสว อวดอวบยอดตึงรึงรัด มัดคลึงเคล้าคลอพ้อพราว...ไปกับรั้วดิบเดิม ให้นึกแสนอบอุ่นอ่อนโยนเป็นยิ่งนัก..เสียยิ่งกว่า... ที่มีเพียงเรือนไม้... แม้นมิใช่จะทาสีฟ้าหรือมีม่านบังตาสีชมพู แบบในรังรักจินตนาการหวานหวัง...อย่างในบทเพลงก็ตามที หากก็ยังให้ความรู้สึกดีรู้สึก ดิน รู้สึกถวิลไพรกว่าเป็นไหนไหน เรือนไม้ ที่ยังมีที่นาเคียงใกล้มีสวนผักผลไม้ มีซุ้มเถาวัลย์ เถา ฟักแฟงแตงกวา แตงร้าน ห้อยย้อยอวดลูกยาวเรียวรีเขียวเขียวมันมัน ดกแทบถึงดิน ให้มิสิ้นงาม ให้นัยน์ตาเหงานิ่งงันได้สัมผัสล้ำลึก นึกเห็นแม้กระทั่ง.... หยดฝน ฉ่ำชื้นหยาดเย็นที่ยังจับนวลชื่นผิวผล .. ....................... ................................
6 กุมภาพันธ์ 2549 21:15 น. - comment id 558775
อ่านแล้วลบด้วยนะคะลำน้ำน่านนน เพราะ ตั้งใจก๊อปนิ๊ดเดียวยาวพรืดเลยค่ะ..อิอิ
6 กุมภาพันธ์ 2549 21:22 น. - comment id 558779
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem74167 .htmlhttp://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem74292.html สองเรื่องรัก กระท่อมริมเชิงเขาใกล้เงาลำธารฝัน..1 หอมกลิ่นภูเขาในเงาฝนในเงาฝัน..2 .......... หนึ่งในพันเรื่อง เกี่ยวกับต้นไม้พืชผักตระการค่ะ อ่านแล้วลบบบบบบบบบ
17 กุมภาพันธ์ 2549 18:03 น. - comment id 561659
สวัสดีครับ