เดินทางไกลสุดสายปลายเรียวรุ้ง สุดโขดคุ้งรุ่งสางสว่างไสว เริงลำนำน้ำค้างระวางวัย ตราบชีวาครรไลเพราะเพรงกรรม เคยเกี่ยวเก็บความหมายสายม่านหมอก ยามหยาดหยอกรุ่งดาวหนาวขนำ แสวงความยิ่งใหญ่ไพรลำนำ ถักเกลียวธรรมทอสายพรายทองธาร อยู่กับความทะมึนโทนแห่งขุนเขา ในครืนแว่วแผ่วเบาเพลงขับขาน จันทร์ข้างแรมแย้มฟ้ามาประทาน อาบสายน้ำโบราณลอมลานนา ชีวิตใหม่กำเนิดสู่วัยวัน เจิมฤดูวสันต์เมื่อพรรษา ตามเติบใหญ่ครรลองของชีวา เกิดมาถมคุณค่าคืนแผ่นดิน อยู่กับเกวียนควายวัวพาตัวรอด ไม่วายวอดวิญญาณผลาญทรัพย์สิน เลี้ยงพอเพียงน้ำใจไม่แย่งกิน ไม่เปรอะเปื้อนมนทิลกลิ่นน้ำมัน อยู่กับหริ่งเรไรไพรพนา กับภาษาสังคีตประณีตสรรค์ ดีดพิณพาทย์จากแถนแดนไกวัล กล่อมสามัญเสนาะแว่วแนววังเวง สันติภาพบังเกิดทุกแห่งหน ไร้ผู้คนเมามัวเข้าข่มเหง มิอาจเริ่มเพลงตายร้ายบรรเลง เพื่อเร้าเร่งวอดวายแห่งปลายนา สุดตำบลเรียวรุ้งยุ้งลอมฟาง เพลงรุ่งสางปลุกตื้นฟื้นอุษา เมื่ออรุณรุ่งฤกษ์เบิกนภา เสรีภาพนกกามาสู่คืน น้ำค้างแก้วหมื่นห่าพร่างพร่าพราย อาบข้าวเลียงรวงรายผ้าฝ้ายผืน รินรินไหลชลธรรมยังยั่งยืน หวิวครืนครืนลมป่าเพรียกหาไป มีสายใยอาทรในอ้อนอก สายน้ำนมเอื้ออุทกชีวิตใหม่ ดื่มปัญญาตื่นเขลาจากเยาว์วัย ดื่มน้ำใจดื่มค่ามารดาทาน ชีวิตน้อยเติบงามมีความหมาย ใช่เลี้ยงกายจากนมสัตว์เดรัจฉาน จิตอบายผกผันอนันตกาล อันตรธานจิตสำนึกมนุษย์ลา กลับมาแล้วชนบทที่ข้ารัก หอบใจร้าวเหนื่อยหนักกลับเคหา มาจุมพิตผืนดินถิ่นข้าวปลา มาเกี่ยวข้าวขวัญค่าชีวาไพร มีพ่อแม่พี่น้องคอยพร้อมพรัก อิ่มอุ่นตักหมอนหนุนบุญเกิดใหม่ อยู่กับจนตมดินจนสิ้นวัย อายุขัยสุดท้ายจะวายปราณ กาลเวลาผกผ่านนานแสนนาน กลับคืนบ้านอบอุ่นกรุ่นข้าวสาร วิบากเก่าสิ้นไปไร้ตำนาน ผลิวิญญาณชีวิตใหม่ในรอยบุญฯ ------------------------------------------------- ย่างเข้าสู่วสันต์พรรษาแล้ว ชีวิตใหม่ที่แตกโตขึ้นเมื่อได้รับสายฝนในยามนี้ ทำให้ฉากภาพแห่งชีวิตชนบทนั้นถูกปลุกตื้นขึ้นอีกครา หน่อไม้ที่นอนสลบไสลอยู่ในดินก็แตกหน่อทายทัก ตำลึงยอดอวบริมรั้วต่างก็ชูช่อเครียวยอดอิ่มงาม ข้าวกล้าในนาก็ระบัดใบรอคอยสำหรับการปักดำ ผักบุ้งในคลองก็ทอดยอดไปตามลำน้ำฝนตกใหม่ อีกวัวควายก็ลิงโลดดีใจ หญ้าเขียวจักฟื้นคืนให้หากิน กบเขียด มโหรีวงใหญ่จักฟื้นวงบรรเลงเสียงขรม จิตวิญญาณชาวชนบทอย่างข้าพเจ้าก็ไหวชื่น ด้วยสายฝนคือสายชีวาจากฟ้าประทานลงมาสู่แผ่นดิน แรงงานชนบทที่เคยทิ้งท้องทุ่งกองฟางให้เดียวดาย ก็จักกลับคืนสู่มาตุภูมิแผ่นดินเกิดในยามนี้ กลับมาแปรแผ่นดินทำกิน ทำไร่ไถนาตามประสา ความสุขเรียบง่ายจึงปรากฎอยู่ทุกชานเรือน มีพ่อแม่พี่น้องพร้อมหน้า มีรักอันเป็นอมตะแห่งบ้านนา บางรายอาจจะไม่กลับไปเมืองรอนอีกเลยทั้งชีวิตนี้ ด้วยชีวิตใหม่แห่งวสันตฤดูนั้นได้เริ่มขึ้นแล้ว.... เป็นชีวิตที่มีมนตร์เสน่ห์ ที่ติดตราตรึงใจไม่ลืมเลือน ณ ชนบทอันเป็นที่รักแห่งสยามประเทศ
17 กรกฎาคม 2548 10:25 น. - comment id 492640
ภาพ.. ที่อ่อนโยน.. และบทกวี.. ที่ไพเราะ.. เรน.. อรุณสวัสดิ์ .. พี่นิวนะคะ .. ภาพ..ของต้นข้าว.. งดงามในความรู้สึก..ของเรน..จัง..
17 กรกฎาคม 2548 10:26 น. - comment id 492641
.......พูดถึงชนบท.....นึกถึงบรรยากาศ. .......ช่างสดชื่น....และน่าอยู่มากคะ... ......อยากมีชีวิต.....สดใส....แช่มชื่น.. ........ในสภาพแวดล้อม....ธรรมชาติ... .......อย่างนั้นจัง........ ......บทกลอน.....บรรยายได้ชัดเจน.. .......มองเห็นเป็นภาพเด่นชัด.... .......ถ้ามีโอกาส.......จะออกไปชื่นชม.. .......ธรรมชาติที่บริสุทธิ์..เช่นกันคะ..
17 กรกฎาคม 2548 10:30 น. - comment id 492642
สวัสดียามเช้าครับน้องเรน นานๆ จะได้เข้ามาสักครั้งนะครับ ระยะหลังมานี้พี่ไม่ค่อยได้มีเวลาเขียนกลอนสักเท่าไหร่ครับ เข้าพรรษาแล้วคงจะได้ทอดอารมณ์ได้บ้างครับ ขอบคุณนะครับที่เข้ามารับความอ่อนโยนที่เพียรสื่อ มนุษย์ที่แท้หนีความอ่อนโยนและธรรมชาติไม่พ้นนะครับ พี่คิดเช่นนี้
17 กรกฎาคม 2548 10:32 น. - comment id 492643
กอดหมอนนอนหนาว ขอบคุณครับที่แวะเข้ามา ธรรมชาติชนบทกำลังรอการไปเยือนของทุกผู้ทุกนามอย่างผู้ที่รู้รักษ์รักและรู้ความหมายอันแยบคายแห่งธรรมชาติครับ
17 กรกฎาคม 2548 11:29 น. - comment id 492649
ตอนบ่าย .. เรนจะไปเที่ยว..บ้านนอกกับกลุ่ม..เพื่อนๆ.. ธรรมชาติ .. ที่อ่อนโยน .. ลมพัดเย็น .. และ..อากาศที่บริสุทธิ์ .. เรนจะหอบ ..ความงดงาม.. และเรน จะตาม.. ความรู้สึกดีๆ.. กลับคืนมา.. แค่เรน..หวัง..อยากเห็น..ท้องฟ้า.. ให้เวลา.. เรน.. ได้เรียนรู้ .. ท้องฟ้า.. ลึกลับ.. และกว้างใหญ่.. จะตามไป .. ค้นหา.. ..และเรน.. ก็สัญญา.. จะบอกท้องฟ้า .. อย่า.. ใจร้าย.. .. ... เรน..ขอนุ\'ญาต.. แจมความรู้สึก..กับพี่นิวนะคะ .. เก๊าะแบบ .. พี่ๆ.. เค้ายังไม่ตื่น ..มาทักทายเรนเลยคะ ..
17 กรกฎาคม 2548 15:54 น. - comment id 492745
รุ่งอรุณฟ้าสางสว่างไสว แสนอำไพชื่นฉ่ำลืมกำสรวล มองทางไหนให้ขจีมีทั้งมวล ยามฝนครวญฟ้าสั่งหลั่งโลมดิน ผืนดินแล้งก็กลับฟื้นคืนสีเขียว ข้าวรอเคียวอีกหนบนถวิล ชีวิตใหม่กำเนิดเกิดชีวิน เป็นอาจิณยามพรรษาเข้ามาเยือน ขออนุญาติแจมหน่อยนะคะ อาจจะมั่วๆไปหน่อยก็ขออภัยด้วยค่ะ อยากลองแต่งแนวนี้บ้างค่ะ แต่ไม่มีแวว ไม่ถนัดเลยค่ะ คุณบรรยายเห็นภาพเลยนะคะ งดงามจริงๆ
17 กรกฎาคม 2548 16:36 น. - comment id 492755
เป็นความอิสระอย่างแท้จริง เมื่อคนๆหนึ่งได้ทำในสิ่งที่ออกมาจากใจ
17 กรกฎาคม 2548 19:45 น. - comment id 492789
กลอนงดงามมากครับ.. ผมเคยฟังกบ เขียดเล่นมโหรีวงใหญ่นะ.. ทีแรกรำคาญมากเลยครับ..ฟังไปฟังมา กลับรู้สึกเพราะดี..อิอิ..
17 กรกฎาคม 2548 22:41 น. - comment id 492828
เข้ามาเยี่ยม ความอ่อนโยนที่ถ่ายทอดออกมาด้วยความละมุนของใจ.. การเขียนนั้น ..เมื่อเขียนไปมากๆ..คนอ่านจะสัมผัสได้เอง ถึงจิตใจของผู้เขียน..แนวกลอน ทางกลอน.บอกอะไรได้หลายๆอย่าง.ถ้าอ่านแล้วตรอง...
18 กรกฎาคม 2548 04:48 น. - comment id 492869
อ่านวิถีคน วิถีธรรมดำเนิน...เพลินใจ แวะมาอ่านยามว่างครับ....
18 กรกฎาคม 2548 07:18 น. - comment id 492882
ได้กลิ่นอายธรรมชาติและท้องทุ่งค่ะ ... อ่านแล้วก็อยากลาพักร้อน .... ไปเที่ยวชมธรรมชาติจัง ..
18 กรกฎาคม 2548 11:14 น. - comment id 492956
นานทีเดียวไม่เห็นงานคุณ ยังคงสวย และงามเสมอครับ....
18 กรกฎาคม 2548 12:32 น. - comment id 493015
กลับมาพร้อมกับความชื่นฉ่ำ และ อ่อนโยน เสมอนะคะ ในยามวสันตฤดู...ิเป็นเวลาแห่งชีวิตจะเริ่มมีสีสรรอีกครั้ง ท้องนา...หน้าไหนเลยจะงามตา...เท่าหน้าฝนแบบนี้นะคะ ........................................................................................... ลี่...ผู้มาเยือน .
18 กรกฎาคม 2548 15:29 น. - comment id 493120
กลับมามีชีวิตใหม่ที่สดใส กลับมาอยู่มาให้ความหรรษา แถมกลอนเพราะมากนักอักษรา สื่อแล้วงามหนักหนาพาชื่นชม ไพเราะและงดงามยิ่งนักค่ะ ชื่นชมในผลงานคุณเสมอค่ะ
22 กรกฎาคม 2548 13:04 น. - comment id 494646
` ขวัญฝันเห็นตะวันแลจันทร์เจ้า ในคราคราวเดียวกันแขวนขวัญฟ้า มหัศจรรย์รักในอ้อมกอดยอดดวงชีวา คือศรัทธาปาฏิหารย์รักจักตราจิตสถิตใจไปชั่วกาล...