ชีวิตของเรา สำคัญเท่ากับ ทัศนคติเรา ?
unicorn
คุณลองอ่านข้อความนี้ดู ทุกปัญหามีทางแก้ เพียงแค่เปลี่ยนทัศนคติของเรา ทัศนคติเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เปลี่ยนทัศนคติของคุณแล้วชีวิตคุณจะเปลี่ยน
เมื่อได้ยินข้อความนี้ คุณกำลังคิดอะไรอยู่
ทัศนคติ คืออะไร คุณเคยสงสัย และตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่
ผู้เขียนเพิ่งได้รับข้อความนี้จากเพื่อนแดนไกล ส่งมาให้อ่านเป็นลักษณะเพาเวอร์พอยท์ดูสวยงาม เมื่อเปิดอ่านจบแล้วเกิดคำถามขึ้นกับตัวเองที่ต้องนั่งทบทวน จริง ๆ แล้วทัศนคติมันมีผลทำให้ชีวิตเปลี่ยนจริงๆหรือ เลยอยากแลกเปลี่ยนดัง ๆ ถึงใคร ๆ ก็ตาม
เป็นเรื่องเกี่ยวกับความคิดล้วนๆ อย่างแรก เกิดคำถามว่า จริง ๆ แล้วตัวเองยอมรับความแตกต่างของคนได้มากน้อยแค่ใหน ความหลากหลายของสิ่งรอบกายเราทั้งที่เราเกี่ยวข้องและถึงแม้จะไม่เกี่ยวข้องโดยตรง ความเป็นมนุษย์ที่เป็นเด็ก เป็นผู้ใหญ่ หรือเป็นวัยใหน ๆ เป็นเพศอะไร ชาย หญิง และอื่น ๆ สถานะแต่ละท่านเป็นเช่นไร รวย จน ฉลาดมาก จนถึงฉลาดน้อย เชื้อชาติใหน ๆ หรือมีอาชีพอะไร เป็นคนที่อยู่นอกเมืองหรือในเมือง เป็นคนที่ถูกเรียกว่า ด้อยโอกาสหรือมีโอกาส เป็นคนที่หน้าตาดีมาก หรือน้อย เป็นคนที่มีรสนิยมดี หรือไม่ดี .เกิดคำถามต่ออีกนิดหนึ่งว่าใครเป็นคนตัดสิน หรือให้คำนิยามในเรื่องเหล่านี้
มีเรื่องท้าทายต่อ หรือไม่ว่า ถ้าเราจะทำให้มันสมดุล คือ ให้มันเท่า ๆ กัน เราจะต้องเสียอะไรบ้าง หรือได้อะไร หรืออาจต้องแลกกับอะไร
อันต่อมาเป็นเรื่องการมองคนแบบเหมารวม จะมีใครรู้สึกขึ้นมาบ้างซักครั้งในชีวิต หรือไม่ ว่าวันหนึ่ง ๆ เราเหมารวมพฤติกรรมใด ๆ ของคนที่เราพานพบในแต่ละวันแล้ว วันละกี่คน อะไรทำให้เราคิดเช่นนั้น และพฤติกรรมนั้น ๆ ทำให้เราตัดสินถูก ผิด ชี้ดี ชี้ชั่วไปแล้วใช่หรือไม่ คิดว่าคนเหล่านั้นเขาจะรู้สึกเช่นไร
เราเคารพความต้องการของเรา คนที่ทำงานกับเรา คนที่เป็นเพื่อนเรา แฟนเราหรือคนที่เราเดินไปพัวพัน แค่ใหน และเรารู้ว่า สิทธิของเราและสิทธิของบุคคลเหล่านั้น จริง ๆ แล้วก็คล้าย ๆ กันจนเกือบจะเป็นเรื่องเดียวกัน จะต่างก็ตรงที่เราเป็นเรา และเขาก็คือเขา เราจะคิดถึงตรงนี้หรือเปล่า
เมื่อใดก็ตาม ที่การตัดสินใจเกิดขึ้นไม่ว่า การตัดสินใจนั้นจะเกิดขึ้นบนฐานของความรู้สึกนึกคิดของเราเอง หรืออยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่มีอย่างรอบด้านแล้ว เราพร้อมที่จะยอมรับ และรับผิดชอบผลที่ตาม มา ของการตัดสินใจนั้น ๆ ได้หรือไม่ อย่างไร
ในฐานะที่เราเป็นเรา คือ ตัวตนของเรา เราเห็นหรือตระหนักจะที่มองเห็นในความเป็นธรรมชาติ การดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า มนุษย์ ได้มากน้อยแค่ใหน เพราะเมื่อเรารู้ว่าความรู้สึกไหนมันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เราจะได้ไม่เข้าไปใช้พฤติกรรมเหมารวม ว่าสิ่งที่เป็นธรรมชาตินั้น ๆ เป็นสิ่งที่เป็นปัญหามากมายและใช้เวลามากมาย ทรัพยากรจำนวนมหาศาลในการแก้ปัญหา ที่ใคร ๆ อาจจะไม่เห็นว่าเป็นปัญหา ซึ่งแทนที่เราจะมองแบบเข้าอกเข้าใจและเพิ่มเติมข้อมูลในการจัดการอย่างรอบด้าน โดย ปราศจากการตัดสินแทนมันน่าจะดีกว่า หรือไม่ แล้วมันจะเป็นอย่างไร
ในวันหนึ่ง ๆ เรากล้าหรือไม่ ที่จะบอกว่าเราชอบหรือไม่ชอบอะไร คงไม่ใช่ที่จะต้องบอกไปในทุก ๆ เรื่อง แต่ประเด็นที่สำคัญ คือ ในฐานะที่เราต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนหลายร้อยพัน ตั้งแต่เกิด จนกระทั่งสิ้นสุดของชีวิต เราได้บอก ความต้องการของเราเองกับผู้อื่นและที่สำคัญเราได้ทำในสิ่งที่เราต้องการนั้นสักกี่ครั้งในชีวิต
จนกระทั่งท้ายที่สุด เราได้จัดการให้ความเป็นธรรมชาติของเราบางอย่างที่มันเริ่มออกนอกรีตนอกรอยให้เข้าที่เข้าทาง โดย ใช้ข้อมูลที่เรามีอยู่อย่างรอบด้านได้จริง ๆ หรือไม่ อะไรจะพิสูจน์และถ้าพูดถึงข้อมูลที่มีอยู่อย่างรอบด้านก็เกิดคำถาม ต่อว่า ทุกวันนี้ เรามีข้อจำกัดในการรับข้อมูลที่ว่านั้นหรือไม่ หรือเรามีทางเลือกมากน้อยแค่ไหนที่จะเลือกรับ หรือไม่รับข้อมูลอะไร
การจำแนกแยกแยะและจัดระบบข้อมูลเหล่านั้น ให้เข้าที่เข้าทาง เราทำได้หรือไม่ และเรามั่นใจแล้วใช้หรือไม่ว่าการเลือกข้อมูลเหล่านั้น ปราศจากความกดดันหรือผู้อิทธิพลต่อความคิดนั้น ๆ มายัดเยียด เพียงแค่เหตุผลที่ ว่า ตัวเราเหมารวมว่าบุคคลท่านนั้น คือ ผู้รู้
.... จริง ๆ แล้วใครล่ะ คือ ผู้รู้
จริง ๆ แล้วเรื่องทัศนคติ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรา จริง ๆ ใช่หรือไม่ เราที่เป็นตัวเราจริง ๆ ซึ่งไปเกี่ยวข้อง ในฐานะที่เรามีทางเลือก ที่หลากหลาย จนนำไปสู่วิถีปฏิบัติ บนฐาน เรื่องการยอมรับความแตกต่าง การสร้างสัมพันธภาพ และพัฒนาสัมพันธภาพ การทบทวนโดยใช้ข้อมูล ที่เรามีอยู่เป็นฐาน การยอมรับ การเปิดใจกว้าง และการสร้างทางเลือกให้ผู้อื่น และที่สำคัญการไม่ตัดสิน เพียงเพราะเราเชื่อว่า
เพราะความเชื่อมักจะตามมาด้วยการเหมารวมอยู่เสมอๆ จริงหรือไม่
มีอีกเรื่องที่ผู้เขียนกำลังคิดต่อ เกี่ยวกับพฤติกรรมบางอย่างที่เป็นผลมาจากทัศนคติ ซึ่งถ้าอ่านมาตั้งแต่ต้นจะเห็นว่า มันเกี่ยวข้องกันอย่างไร จากประสบการณ์ตรง ทัศนคติของเรานั้นส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมบางอย่าง อันนี้เห็นจะเป็นเรื่องจริง
มาถึงตรงนี้ เอาเข้าจริง ๆ แล้ว ทัศนคติก็คงไม่ใช่แค่การอธิบายความหมายได้ตามพจนานุกรมเท่านั้น หรืออะไรที่กว่านั้น ณ เวลานี้ ผู้เขียนรู้ว่า มันอธิบายหรือเป็นได้มากกว่าความคิดที่ ผ่านมา-ผ่านไป แต่ต้องใช้เวลาทบทวน และคงจะต้องคิดกับมันอย่างเอาจริงเอาจัง
อย่างหนึ่งคงต้องยอมรับว่า การเปลี่ยนพฤติกรรม ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แม้จะเปลี่ยนได้แต่ต้องใช้เวลา และมีความพยายามอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำ อย่างเอาจริงเอาจัง หรือผู้เขียนจะเริ่มต้นด้วยความรู้สึกหรือทัศนคติที่ว่า เราทำได้ เราต้องทำได้ ก็น่าจะเป็น การเริ่มต้นที่ไม่เสียหายอะไร
หรือคุณคิดอย่างไร