ธรรม-ชาติ บรรสาน ใจกวี(ใจกู)

คุณภูมิ

ธรรม-ชาติบรรสานใจกู  หนึ่ง
            
            เป็นเถิดดาวก่องฟ้า                ปักษ์แรม
เพียงส่องเพียงทอฉาย                        แก่พื้น
เป็นเถิดกลีบสุมาลย์แซม                    สีสาด
เพียงแต่งโลกให้ชื้น                            แก่ตา ฯ
            เป็นเถิดเม็ดน้ำค้าง                ก่องพราว
เอื้อร่างร่วง  โรยพนา                          เท่านั้น
เป็นเถิดเศษเมฆขาว                          ฟายฟ่อง
เพียงเก็บน้ำไว้คั้น                               แก่คน ฯ
ธรรม-ชาติบรรสานใจกู  สอง
            
            เป็นเถิดเยี่ยงซับน้ำ                อาบไพร
ไป่พบผู้ยินยล                                    สักน้อย
ถมร่าง  ณ  แดนไกล                          หวังก่อ
คือก่อแม่น้ำย้อย                                แตกยวง ฯ
            เป็นเถิดเม็ดน้ำน้อย                แต่งทะเล
รองรับสรรพสิ่งปวง                            เพื่อสร้าง
เอื้อร่างดั่งหนึ่งเปล                             แกว่งเด็ก
เร้นชอบไป่รู้อ้าง                                 แบ่งบุญ ฯ
ธรรม-ชาติบรรสานใจกู  สาม
            
            เป็นเถิดเกร็ดหมอกฟ้า            เวี่ยระบาย
เพียงแต่งเพียงเจือจุน                         ร่างรุ้ง
ฝนซา-ตะวันฉาย                               ก็สร่าง
ไป่ครอบครองโค้งคุ้ง                          คคนานต์ ฯ
            เป็นเถิดเพียงดอกหญ้า           ไร้นาม
บานแต่งทุ่งแต่งลาน                           เท่านั้น
เอื้อตาแก่คนยาม                                เมื่อยาก
ไร้ศักดิ์ไร้ค่าชั้น                                   ค่าลวง ฯ
ธรรม-ชาติบรรสานใจกู  สี่
            
            เป็นเถิดเสียงนกร้อง               ยามงาย
เพียงร่วมปลุกสิ่งปวง                          ตื่นฟื้น
เพียงขานรับตะวันสาย                       อันส่อง
อันส่องเอื้อให้พื้น                               เบิกระบำ ฯ
            เป็นเถิดจั๊กจั่นน้อย                 เรไร
กรีดปีกเพื่อเริงรำ                               กล่อมหล้า
ขานเพลงแห่งดวงใจ                           ธรรมชาติ
ให้สรรพสิ่งใต้ฟ้า                                ฝึกยิน ฯ
ธรรม-ชาติบรรสานใจกู  ห้า
            
            เป็นเถิดลมล่องน้ำ                  ในวาร
เพียงโบกปีกนกบิน                             ท่องฟ้า
เพียงอยู่คู่เคียงกาล                            อันผลัด
อันผลัดมาเอื้อหล้า                             ก่อคุณ ฯ
            เป็นเถิดแสงหิ่งห้อย                พริบวาว
กระจิริด  ดั่งจุล                                  จ่อแต้ม
กาฬปักษ์จึ่งรู้พราว                             วิบพร่าง
ไป่แข่ง-เพียงเยื้อนแย้ม                       ช่วยดาว ฯ
ธรรม-ชาติบรรสานใจกู  หก
            
            เป็นเถิดกรวดกึ่งก้อน              ถมทาง
ร่วมก่อหนทางยาว                             เที่ยงแท้
หยัดอุทิศตนวาง                                ใจวาด
ใจวาดแจ่มจ้าแม้                               ทุกข์ทน ฯ
            เป็นเถิดไม้ใหญ่น้อย               ในภู
ชอนรากยึดเมทะนีดล                        มั่นไว้
เก็บน้ำซ่อนอักขู                                 ในป่า
เพียงเพื่อเมื่อแล้งใช้                            แจกเมือง ฯ
ธรรม-ชาติบรรสานใจกู  เจ็ด
            
             เป็นเถิดดั่งดักแด้                    เดียวดาย
กินเศษไม้ไป่เปลือง                            เปล่าปลี้
แต่แต่งโลกให้พราย                            สีสด
คือปีกผีเสื้อที่                                     แต่งตา ฯ
            เป็นเถิดเพียงเศษปล้อง           ไผ่ซาง
ทำขลุ่ยกล่อมคนอา-                           เทวษไหม้
ไป่งามเลิศสำอาง                               ดั่งหยก
แต่แต่งเสียงพริ้งได้                             ดุจกัน ฯ 
ธรรม-ชาติบรรสานใจกู  แปด
            
             เป็นเถิดดั่งแท่งไต้                   ส่องทาง
ไร้ค่าเมื่อตาวัน                                   ส่องสร้าน
เมื่อมืดจึ่งรางชาง                               เปลวเด่น
สาดส่องแสงจ้าจ้าน                           แก่คน ฯ
            เป็นเถิดดั่งร่องน้ำ                   รางธาร
ไหลอาบไปทุกหน                               แห่งพื้น
ให้สรรพสิ่งบรรสาน                            ลงสู่
เพื่อแต่งโลกให้ชื้น                              ชุ่มวาว ฯ
ธรรม-ชาติบรรสานใจกู  เก้า
            
            เป็นเถิดจันทร์แหว่งเสี้ยว         คืนแรม
รวมแผ่นฟ้าร่วมดาว                           เพื่อเอื้อ
เพื่อเอื้อค่ำสว่างแปม                          ปนมืด
เพื่อกล่อมคนร้อนเรื้อ                          กลับเย็น ฯ
            เป็นเถิดดั่งเหล็กกล้า              ในไฟ
หลอมร่างแปรตนเป็น                         เครื่องใช้
แข็งแต่อ่อนอยู่ใน                               ความนิ่ง
ให้ทื่อ-คม  คล้ายคล้าย                       ดั่งกัน ฯ
ธรรม-ชาติบรรสานใจกู  สิบ
            
            จง-เกลาจิตเพื่อแจ้ง                โดยตน
            รู้-เหตุรู้สิ่งอัน                          จิตรู้
            เถิด-เพื่อดิ่งในหน                   อันถูก
            ว่า-ชีพมีเพื่อกู้                        ศักดิ์คน ฯ
            ธรรม-คือทางแต่งแล้ว             โดยธรรม
            ชาติ-ภพเป็นเพียงผล              ประจักษ์ใกล้
            เป็น-คนหากมืดดำ                 ในจิต
            กวี-ภพจักแจ้งได้                    ไป่มี ฯ 
                                                                               
                                                                               คุณภูมิ
                                                                               ภูสอยดาว,๒๕๔๗				
comments powered by Disqus
  • คุณภูมิ

    26 พฤศจิกายน 2547 01:05 น. - comment id 378258

    บทกวีบทนี้บรรสานด้วยใจกับชีวิตของผม ขอให้กำซาบอาบรสแห่งบทกวี
    ขอบคุณครับ
    คุณภูมิ
  • ดิถี แห่งกวี

    26 พฤศจิกายน 2547 05:10 น. - comment id 378289

    เป็นเถิดดั่งแท่งไต้                  ส่องทาง
    ไร้ค่าเมื่อตาวัน                                 ส่อสร้าน
    เมื่อมืดจึ่งรางชาง                               เปลวเด่น
    สาดส่องแสงจ้าจ้าน                            แก่คน ฯ
    ชอบบทนี้มาก
    เปรียบเทียบได้ดีมากๆค่ะ
    แต่งได้ประทับใจมากๆค่ะ จะติดตามผลงานต่อๆไปนะคะ
  • ลักษมณ์

    26 พฤศจิกายน 2547 05:22 น. - comment id 378291

    ชอบบทกวีบทนี้ของคุณภูมิมากครับ
    โคลงบทกวีที่แต่งเรียกว่าโคลงอะไร
    ไม่เห็นเขียนกำกับไว้เหมือนบทกวีอื่นๆของคุณภูมิ ,ลักษมณ์
  • ลักษมณ์

    26 พฤศจิกายน 2547 05:46 น. - comment id 378299

    เป็นโคลงโบราณที่เรียกว่าโคลงวิชชุมาลีหรือเปล่า พึ่งเข้าไปค้นมาจากสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทยthaipoet.org ครับ ,ลักษมณ์
  • ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

    26 พฤศจิกายน 2547 05:52 น. - comment id 378301

    ขอบคุณครับ
  • นฤคหิต

    26 พฤศจิกายน 2547 06:11 น. - comment id 378305

    พอได้อ่านแล้วรู้ได้ถึงรสของวรรณคดีโบราณผ่านทางคำที่ใช้ในโคลงนี้ ใช้คำได้เป็นเอกลักษณ์มากมาก เป็นคำโบราณที่ไม่ค่อยได้พบเห็นบ่อยนัก และใช้คำได้อย่างลงตัว ทำให้ได้เห็นคุณค่าของคำครับ ขอชื่นชมในผลงาน
  • คุณภูมิ

    26 พฤศจิกายน 2547 06:51 น. - comment id 378315

    โคลงบทนี้เป็นโคลงโบราณ โคลงวิชชุมาลี ถูกต้องแล้วครับ
  • นฤคหิต

    26 พฤศจิกายน 2547 08:40 น. - comment id 378323

    คุณภูมิครับ มีบทกวีที่ใช้กลบทในการแต่งที่เป็นแบบโบราณอีกไหมครับ ถ้ามีผมขอชมความงามของกลบทในการแต่งหน่อยนะครับ ขอบคุณครับ
    
  • คุณภูมิ

    26 พฤศจิกายน 2547 10:31 น. - comment id 378384

    บทกวีเป็นงานที่ทำมาด้วยใจถ้าใจของตนเป็นกวีแล้วไซร้ทุกสิ่งที่เราทำออกมาก็จะเป็นเฉกเช่นกวีสรรพางค์
  • ทิกิ_tiki 4895 ไม่ลงทะเบียน

    26 พฤศจิกายน 2547 12:49 น. - comment id 378495

    เพิ่งวางมือจากงานประจำมาแวะอ่านงานงามคุณภูมิ มีความสุขที่ได้อ่านค่ะ
  • ผู้หญิงไร้เงา

    26 พฤศจิกายน 2547 17:55 น. - comment id 378860

    แต่งได้ดีมากเลยค่ะ  ชื่นชมในผลงานนะค่ะ
  • คุณภูมิ

    26 พฤศจิกายน 2547 18:00 น. - comment id 378866

    ขอขอบคุณทุกผู้ที่ยินยลในรสของกวี จะตั้งใจสรรค์สร้างผลงานต่อไปครับ
    ขอบคุณครับ
    คุณภูมิ
    
  • กอกก

    27 พฤศจิกายน 2547 01:26 น. - comment id 379017

    มาอ่านงานงามนะคะ แม้นจะไม่รู้อะไรเลย
    แต่ก็รู้ว่ารัก *ภาษาไทย*
    รัก *ประเทศไทย*
    
    ขอขอบคุณ
  • ลักษมณ์(ไม่ได้เข้าระบบครับ)

    27 พฤศจิกายน 2547 17:25 น. - comment id 379273

    ชอบบทกวีเป็นเถิดดั่งแท่งไต้..(ที่อยู่ข้างบน) ของคุณดิถี แห่งกวี ด้วยครับ ..
  • ...บ่ใช่กวีน้อย...

    28 พฤศจิกายน 2547 00:49 น. - comment id 379446

    ...ด้วยใจเจ้าบ่ใช้กวีน้อย
    ...จึงรอคอยทุกสิ่งอย่างสิ้นหวัง
    ...ไร้รสบทกวีเติมพลัง
    ...ไร้ความหวังยืนอยู่อย่างเดียวดาย
    
    ชอบบทอ่านกวี..รสบทกวีโบราณ..
    ที่ให้ความรู้สึก..ลึกซึ้ง..ถึงแก่นของกวีไทย..

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน