ธรรม-ชาติบรรสานใจกู หนึ่ง เป็นเถิดดาวก่องฟ้า ปักษ์แรม เพียงส่องเพียงทอฉาย แก่พื้น เป็นเถิดกลีบสุมาลย์แซม สีสาด เพียงแต่งโลกให้ชื้น แก่ตา ฯ เป็นเถิดเม็ดน้ำค้าง ก่องพราว เอื้อร่างร่วง โรยพนา เท่านั้น เป็นเถิดเศษเมฆขาว ฟายฟ่อง เพียงเก็บน้ำไว้คั้น แก่คน ฯ ธรรม-ชาติบรรสานใจกู สอง เป็นเถิดเยี่ยงซับน้ำ อาบไพร ไป่พบผู้ยินยล สักน้อย ถมร่าง ณ แดนไกล หวังก่อ คือก่อแม่น้ำย้อย แตกยวง ฯ เป็นเถิดเม็ดน้ำน้อย แต่งทะเล รองรับสรรพสิ่งปวง เพื่อสร้าง เอื้อร่างดั่งหนึ่งเปล แกว่งเด็ก เร้นชอบไป่รู้อ้าง แบ่งบุญ ฯ ธรรม-ชาติบรรสานใจกู สาม เป็นเถิดเกร็ดหมอกฟ้า เวี่ยระบาย เพียงแต่งเพียงเจือจุน ร่างรุ้ง ฝนซา-ตะวันฉาย ก็สร่าง ไป่ครอบครองโค้งคุ้ง คคนานต์ ฯ เป็นเถิดเพียงดอกหญ้า ไร้นาม บานแต่งทุ่งแต่งลาน เท่านั้น เอื้อตาแก่คนยาม เมื่อยาก ไร้ศักดิ์ไร้ค่าชั้น ค่าลวง ฯ ธรรม-ชาติบรรสานใจกู สี่ เป็นเถิดเสียงนกร้อง ยามงาย เพียงร่วมปลุกสิ่งปวง ตื่นฟื้น เพียงขานรับตะวันสาย อันส่อง อันส่องเอื้อให้พื้น เบิกระบำ ฯ เป็นเถิดจั๊กจั่นน้อย เรไร กรีดปีกเพื่อเริงรำ กล่อมหล้า ขานเพลงแห่งดวงใจ ธรรมชาติ ให้สรรพสิ่งใต้ฟ้า ฝึกยิน ฯ ธรรม-ชาติบรรสานใจกู ห้า เป็นเถิดลมล่องน้ำ ในวาร เพียงโบกปีกนกบิน ท่องฟ้า เพียงอยู่คู่เคียงกาล อันผลัด อันผลัดมาเอื้อหล้า ก่อคุณ ฯ เป็นเถิดแสงหิ่งห้อย พริบวาว กระจิริด ดั่งจุล จ่อแต้ม กาฬปักษ์จึ่งรู้พราว วิบพร่าง ไป่แข่ง-เพียงเยื้อนแย้ม ช่วยดาว ฯ ธรรม-ชาติบรรสานใจกู หก เป็นเถิดกรวดกึ่งก้อน ถมทาง ร่วมก่อหนทางยาว เที่ยงแท้ หยัดอุทิศตนวาง ใจวาด ใจวาดแจ่มจ้าแม้ ทุกข์ทน ฯ เป็นเถิดไม้ใหญ่น้อย ในภู ชอนรากยึดเมทะนีดล มั่นไว้ เก็บน้ำซ่อนอักขู ในป่า เพียงเพื่อเมื่อแล้งใช้ แจกเมือง ฯ ธรรม-ชาติบรรสานใจกู เจ็ด เป็นเถิดดั่งดักแด้ เดียวดาย กินเศษไม้ไป่เปลือง เปล่าปลี้ แต่แต่งโลกให้พราย สีสด คือปีกผีเสื้อที่ แต่งตา ฯ เป็นเถิดเพียงเศษปล้อง ไผ่ซาง ทำขลุ่ยกล่อมคนอา- เทวษไหม้ ไป่งามเลิศสำอาง ดั่งหยก แต่แต่งเสียงพริ้งได้ ดุจกัน ฯ ธรรม-ชาติบรรสานใจกู แปด เป็นเถิดดั่งแท่งไต้ ส่องทาง ไร้ค่าเมื่อตาวัน ส่องสร้าน เมื่อมืดจึ่งรางชาง เปลวเด่น สาดส่องแสงจ้าจ้าน แก่คน ฯ เป็นเถิดดั่งร่องน้ำ รางธาร ไหลอาบไปทุกหน แห่งพื้น ให้สรรพสิ่งบรรสาน ลงสู่ เพื่อแต่งโลกให้ชื้น ชุ่มวาว ฯ ธรรม-ชาติบรรสานใจกู เก้า เป็นเถิดจันทร์แหว่งเสี้ยว คืนแรม รวมแผ่นฟ้าร่วมดาว เพื่อเอื้อ เพื่อเอื้อค่ำสว่างแปม ปนมืด เพื่อกล่อมคนร้อนเรื้อ กลับเย็น ฯ เป็นเถิดดั่งเหล็กกล้า ในไฟ หลอมร่างแปรตนเป็น เครื่องใช้ แข็งแต่อ่อนอยู่ใน ความนิ่ง ให้ทื่อ-คม คล้ายคล้าย ดั่งกัน ฯ ธรรม-ชาติบรรสานใจกู สิบ จง-เกลาจิตเพื่อแจ้ง โดยตน รู้-เหตุรู้สิ่งอัน จิตรู้ เถิด-เพื่อดิ่งในหน อันถูก ว่า-ชีพมีเพื่อกู้ ศักดิ์คน ฯ ธรรม-คือทางแต่งแล้ว โดยธรรม ชาติ-ภพเป็นเพียงผล ประจักษ์ใกล้ เป็น-คนหากมืดดำ ในจิต กวี-ภพจักแจ้งได้ ไป่มี ฯ คุณภูมิ ภูสอยดาว,๒๕๔๗
26 พฤศจิกายน 2547 01:05 น. - comment id 378258
บทกวีบทนี้บรรสานด้วยใจกับชีวิตของผม ขอให้กำซาบอาบรสแห่งบทกวี ขอบคุณครับ คุณภูมิ
26 พฤศจิกายน 2547 05:10 น. - comment id 378289
เป็นเถิดดั่งแท่งไต้ ส่องทาง ไร้ค่าเมื่อตาวัน ส่อสร้าน เมื่อมืดจึ่งรางชาง เปลวเด่น สาดส่องแสงจ้าจ้าน แก่คน ฯ ชอบบทนี้มาก เปรียบเทียบได้ดีมากๆค่ะ แต่งได้ประทับใจมากๆค่ะ จะติดตามผลงานต่อๆไปนะคะ
26 พฤศจิกายน 2547 05:22 น. - comment id 378291
ชอบบทกวีบทนี้ของคุณภูมิมากครับ โคลงบทกวีที่แต่งเรียกว่าโคลงอะไร ไม่เห็นเขียนกำกับไว้เหมือนบทกวีอื่นๆของคุณภูมิ ,ลักษมณ์
26 พฤศจิกายน 2547 05:46 น. - comment id 378299
เป็นโคลงโบราณที่เรียกว่าโคลงวิชชุมาลีหรือเปล่า พึ่งเข้าไปค้นมาจากสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทยthaipoet.org ครับ ,ลักษมณ์
26 พฤศจิกายน 2547 05:52 น. - comment id 378301
ขอบคุณครับ
26 พฤศจิกายน 2547 06:11 น. - comment id 378305
พอได้อ่านแล้วรู้ได้ถึงรสของวรรณคดีโบราณผ่านทางคำที่ใช้ในโคลงนี้ ใช้คำได้เป็นเอกลักษณ์มากมาก เป็นคำโบราณที่ไม่ค่อยได้พบเห็นบ่อยนัก และใช้คำได้อย่างลงตัว ทำให้ได้เห็นคุณค่าของคำครับ ขอชื่นชมในผลงาน
26 พฤศจิกายน 2547 06:51 น. - comment id 378315
โคลงบทนี้เป็นโคลงโบราณ โคลงวิชชุมาลี ถูกต้องแล้วครับ
26 พฤศจิกายน 2547 08:40 น. - comment id 378323
คุณภูมิครับ มีบทกวีที่ใช้กลบทในการแต่งที่เป็นแบบโบราณอีกไหมครับ ถ้ามีผมขอชมความงามของกลบทในการแต่งหน่อยนะครับ ขอบคุณครับ
26 พฤศจิกายน 2547 10:31 น. - comment id 378384
บทกวีเป็นงานที่ทำมาด้วยใจถ้าใจของตนเป็นกวีแล้วไซร้ทุกสิ่งที่เราทำออกมาก็จะเป็นเฉกเช่นกวีสรรพางค์
26 พฤศจิกายน 2547 12:49 น. - comment id 378495
เพิ่งวางมือจากงานประจำมาแวะอ่านงานงามคุณภูมิ มีความสุขที่ได้อ่านค่ะ
26 พฤศจิกายน 2547 17:55 น. - comment id 378860
แต่งได้ดีมากเลยค่ะ ชื่นชมในผลงานนะค่ะ
26 พฤศจิกายน 2547 18:00 น. - comment id 378866
ขอขอบคุณทุกผู้ที่ยินยลในรสของกวี จะตั้งใจสรรค์สร้างผลงานต่อไปครับ ขอบคุณครับ คุณภูมิ
27 พฤศจิกายน 2547 01:26 น. - comment id 379017
มาอ่านงานงามนะคะ แม้นจะไม่รู้อะไรเลย แต่ก็รู้ว่ารัก *ภาษาไทย* รัก *ประเทศไทย* ขอขอบคุณ
27 พฤศจิกายน 2547 17:25 น. - comment id 379273
ชอบบทกวีเป็นเถิดดั่งแท่งไต้..(ที่อยู่ข้างบน) ของคุณดิถี แห่งกวี ด้วยครับ ..
28 พฤศจิกายน 2547 00:49 น. - comment id 379446
...ด้วยใจเจ้าบ่ใช้กวีน้อย ...จึงรอคอยทุกสิ่งอย่างสิ้นหวัง ...ไร้รสบทกวีเติมพลัง ...ไร้ความหวังยืนอยู่อย่างเดียวดาย ชอบบทอ่านกวี..รสบทกวีโบราณ.. ที่ให้ความรู้สึก..ลึกซึ้ง..ถึงแก่นของกวีไทย..