( อิ น ท ร วิ เ ชี ย ร ฉั น ท์ ๑๑ ) ๏ เมฆาขมุกมัว นภะทั่วสิแปลงแสง จากสีรพีแดง ดุจดับและลับไป ๏ ครืนครืนคะโครมโครม พยุโหมถโถมใส่ ผืนฟ้านภาลัย ตะละสีจะซีดเซียว ๏ ครึ้มฟ้าคะครึ้มฝน ขณะลมก็ก่อเกลียว รวบรวมละลดเลี้ยว ปะทะเข้า ณ ตำบล ๏ ผู้เฒ่าและหนุ่มสาว อกรุ่มและร้อนรน เมื่อได้เจอะตัวตน พยุโทสะเดือดดาล ๏ โครมโครมคะครืนครืน ดุจคลื่นทะเลมาร พลิกภพกระทบบ้าน นฤทั่วก็กลัวเกรง ๏ เปรี้ยงปร้างประแปลบแปลบ นภแลบและข่มเหง ผู้คนก็รีบเร่ง จรหนีและลี้ภัย ๏ สายฝนซะซู่ซู่ พร่ำพร่ำพรูพะพร่างใส่ สู่พื้นพนาไพร และตำบลมิยั้งยับ ๏ ลมอุ้มกระแสธาร ชะระรานกระแทกทับ เรือนไม้ก็หมุนกลับ นรดิ้นและสิ้นใจ ๏ จวบจนรตีกาล ก็มิหยุดสะดุดไว้ กลับยิ่งจะโถมใส่ ทุกที่พินาศพัง ๏ ผ่านผันผะผันผ่าน รติกาละหมดหวัง ลมพายุประดัง คละเสียงร่ำร้องให้ ๏ แววแววแวะวาววับ รพิจับนภาใส เมฆฝนก็หมดไป นฤทั่วก็ยินดี ๏ ผู้เฒ่าก็กล่าวว่า ขณะฟ้ามิเปรมปรีดิ์ ทุกสิ่งมิเว้นที่ ก็มิอาจจะต้านทาน
29 เมษายน 2547 11:36 น. - comment id 256674
บทกวีที่รื่นไหลในความเป็นไปแห่งกฎธรรมชาติ บทกวีที่เขียนพรรณาถึงความงดงามแห่งธรรมชาติ มักจะงดงามเสมอ งดงามในตัวของมันเองครับ
29 เมษายน 2547 18:17 น. - comment id 256936
ฟ้าร้องสิร้องก้อง...................วนนองเพราะหยาดฝน ธาราก็เวียนวน........................ภวล่องลุภารา ความดีจะคุ้มครอง...............นยะปองตระกองมา ความชั่วจะล่มพา......................มิคละคลาดวะวาตม์วาย ทิกิ_tiki (คิดอยู่นานกว่าจะได้บทหลัง)