ในชีพหนึ่ง

ราม ลิขิต

๑. เทิดครู
ยานี
    ๐ถักถ้อยขึ้นร้อยศิลป์      บรรจงจินตนาการ
ด้วยใจที่ใฝ่จาร                 จารึกร่ำคำกวี
    ๐ในวันอันเปลี่ยวเหงา     กันแสงเศร้าก็สิ้นศรี
ตาดูหูยังดี                        สมองมีขอนำมา
    ๐ข้าเจ้าเอารัตน์ไตร       ขึ้นมาใส่ในเกศา
บิดรและมารดา                 สู่นัยนาลูกทั้งสอง
    ๐ไหล่ซ้ายครูประถม       มัธยมขวาคุ้มครอง
หทัยทั้งสี่ห้อง                   ให้แก่บาในราศี
    ๐บนขวาทูลฟ้ากุ้ง          โปรดผดุงให้คำดี
เชิญเสด็จองค์พระธี            รราชท่านนั้นสู่ซ้าย
    ๐ล่างขวาสุนทรภู่           มหาครูผู้ไม่ตาย 
คมทวนผู้พี่ชาย                 ประจำฝ่ายอุตรทิศ 
    ๐โปรดจงเป็นกำลัง        ให้ขึ้นตั้งและต่อติด 
โง่เขลาแห่งความคิด          สารพิษจงพัดพา 
    ๐จะร่ำคำกวี                 กาพย์ทั้งนี้จะกรีธา
ไม่สวยด้วยภาษา              เชิญสั่งสอนอย่าผ่อนปรน
    ๐ชื่อรามลิขิตเขียน         จะพากเพียรเข้าเจียนผล
ยักย้ายและถ่ายกล              กวีกานท์ฉันทลักษณ์
    ๐จะร้อยถักถ้อยศิลป์       บรรจงจินต์ให้ประจักษ์
ด้วยใจที่ใฝ่รัก                   รจนานับแต่นี้
๒. กำเนิด
ยานี
     ๐เริ่มคำตรงกำเนิด           การก่อเกิดแห่งชีวี
กุมารกุมารี                          พ่อแม่นี้ให้ชีวา
    ๐ด้วยรักสลักแล้ว             จึงก่อแก้วตระการตา
ฟูมฟักรู้รักษา                      ผดุงพาจนปลอดภัย
    ๐เก้าเดือนจึงเคลื่อนดัน      แม่เจ็บครรภ์สู้กลั้นใจ
พ่อเล่าเฝ้าระไว                    แวดระวังพล่านระวิง
    ๐ถ้วนคลอดออกมาครบ      ก็ได้พบที่พักพิง
เจ้าแดงเหมือนแกล้งกลิ้ง         อุแว้กอดตระกองขวัญ
    ๐น้ำอกที่ออกอ้ำ               แต่ละคำล้วนสำคัญ
เลือดเนื้อจากเครือถัน             เสมือนทิพย์แห่งธานินทร์
    ๐ที่เลี้ยงเจ้าเกลี้ยงใส          แต่ตั้งไข่จนใฝ่บิน
มีใดในกายิน                        อยู่นอกหยาดน้ำนมย้อย
    ๐สายใจที่ใส่เปล              โอละเห่กล่อมเนื้อกลอย
เช้าสายจนบ่ายคล้อย             หลังยังค้อมลอมด้วยรัก
    ๐จนปล่อยออกสู่ป่า           เผชิญหล้าหาแหล่งหลัก
ยังเฝ้าจะฟูมฟัก                     ฝันจะเห็นเจ้าคืนหวน
    ๐ไปดีก็มีจิต                     มิได้คิดจะรบกวน
ไปร้ายมิไต่สวน                     พร้อมจะซับความโศกศัลย์
    ๐เริ่มคำตรงกำเนิด            เราล้วนเกิดมาเหมือนกัน
เติบโตหรือตีบตัน                  จำแนกตรงกตัญญู
๓. ปัญญา
ยานี
    ๐ในนามแห่งปัญญา       ซึ่งมีค่าอันตราตรู
ไร้คมจึงมีครู                     ให้รู้เรียนโลกลึกลับ
    ๐ทุกก้าวที่ยาวกว้าง        ทุกทิศถางเห็นทางกลับ
ทุกข์ทนที่หล่นทับ              ก็รู้ถ้วนวิธีทิ้ง
    ๐ติดปีกกระพือไป           ติดหัวใจที่ใฝ่จริง
ก้าวหน้าไม่หยุดนิ่ง              น้ำตาหลั่งยินดีแล้ว
    ๐กอเอ๋ยเจ้ากอไก่           ขอขึ้นไปวิมานแก้ว
คอควายฉอฉายแวว            ให้พอแพรวผ่องนภา
    ๐เรือจ้างระวางจ้อย         ก็ยิ้มน้อยบนใบหน้า
ส่งใครตรงขอบฟ้า              สู้ทนแฝงแต่งความฝัน
    ๐ไม่คิดจะวางแจว           น้ำใจแล้วเหลือรำพัน 
ห้วงน้ำข้างหน้านั้น              คือห้วงในใจสำนึก
    ๐สร้างคนให้เป็นคน         แต่ละผลตกผลึก
ปวดร้าวต้องผ่าวลึก             เมื่อได้รู้วิหคร้าย
    ๐เมื่อขึ้นปาเจรา             คือขึ้นค่าแห่งความหมาย
หญ้าแพรกที่แตกชาย           คือหัตถ์ช่อที่ต่อชั้น
    ๐ดอกเข็มที่เข้มคม          ทะลุตมที่ทึบตัน
อ่อนน้อมมะเขือนั้น             คือเศียรนี้สู่ทิศา
    ๐ยิ่งยงจะพงศ์ใด             ก็สิ้นไร้ซึ่งปัญญา
กตเวทิตา                          หากมิต้องสำนึกตน
๔. ผองเพื่อน
ยานี
    ๐คัลลองแห่งผองเพื่อน      เปรียบได้เดือนที่เคลื่อนวน
ท่ามดาวอันพราวหน              ที่เต็มห้วงแห่งเวหา
    ๐เพื่อนรักสลักใจ               เสมือนชัยของชีวา
รอยแต้มแห่งดวงตา               คือรอยต้องของไมตรี 
    ๐เดินหนบนทางเปลี่ยว       เดินคนเดียวเสียวกลี
ต้องมารก็อาจมี                    ชีวิตนี้เป็นเดิมพัน
    ๐ด้ายผูกความถูกผิด          เส้นบางนิดกระไรนั่น
ด้วยเพื่อนอาจเคลื่อนอัน         ตรายปราศนิราศไป
    ๐ไร้เพื่อนดูเหมือนว่า          จะไร้ค่าไม่ว่าใคร
เต็มคนบนน้ำใจ                     เติมเต็มให้ในตนตัว
    ๐สองมือที่กุมมั่น               เป็นเกลอกันไม่บั่นบัว
เคียงเท้าและก้าวทั่ว               ในทุกทิศที่ตรงทาง
    ๐คำเตือนจากเพื่อนรัก         คือคำวักน้ำใจวาง
ไม่เพราะแต่ไม่พราง               ฟังดูหมางแต่ไม่หมอง
    ๐เจ็บช้ำระกำใจ                 ถึงเน่าในและกลัดหนอง
มากคนไม่สนมอง                  แต่มิตรนี้ไม่หนีหาย
    ๐ขึ้นสูงผดุงศรี                  ก็ยินดีดั่งพี่ชาย
ทุกข์ห้อมก็พร้อมตาย              กับสหายไม่เหหัน
    ๐กัลยาณมิตร                    รู้บูชิตก็จิตจันทร์
กลางฟ้าดาราพัน                    เห็นไหมเพื่อนที่เกลื่อนพราว
๕. ท่องโลก
โกสุม
    ๐แหงนมองฟ้า       นัยน์ตาฝัน
เห็นเมฆดั้น               ปั้นแปลงดาว
สวยแพรวพราย          สายพรูพราว
อยากเหินหาว            เหาะไปหา
   
    ๐ดูใสใส               หัวใจซื่อ
คนยุดมือ                  เจ้ายื้อมา
มิเกรงใด                  ภัยดาษดา        
เท้าท่องหา                กล้ากำแหง
    
    ๐พินิจเถา             เจ้าโคถึก
ท่วงทีลึก                  คึกคักแรง
พิศสรรพางค์             เห็นยังแดง
โศกแสลง                 จักแทงเสีย
    
    ๐กับจะดัก             กักจนดับ 
พร้าจะสับ                 ยับพเยีย
ผีจะออก                  หลอกชะเลีย
พลจะเพลีย               เรี่ยจนหลง
    
    ๐ใครจะสน             คนละสี
พ่วงจนพี                    ดีทั้งดง
เขาจะรีบ                    ถีบกระทง
โดยประสงค์                ทำภักษา
    
    ๐ชีวิตคน                บนเส็งเคร็ง
สังคมเข่ง                   เขย่งฆ่า
อยู่อย่างเดียด              จ้องเคียดคา
ตีนเหยียบขา                มือง่าขอ
    
    ๐การท่องโลก          โขยกรีบ
แค่ควบกีบ                   คงตีบตอ
ควรรู้หยั่ง                    ยั้งจิตยอ
ปัดป้องป้อ                   เล่ห์ล่อหลาย
    
    ๐ใช่!ควรฝัน             เพื่อวันหนึ่ง
จะไปถึง                      ซึ่งดาวราย
เกิดเป็นคน                   มนเมามาย
ย่อมหมดหมาย             จะมุ่นไหม 
    
    ๐การตริตรอง            ครรลองสัจ
ให้ชัดชัด                     จักพัดภัย
โลกจริงลวง                  กลวงตันไกล
ย่นย่อใกล้                     ใสขุ่นสม
    
    ๐แหงนมองฟ้า            ตาแฝงฝัน
เมฆาดั้น                        รันด้วยลม
ชีวิตล่อง                        คล่องเต็มคม
คำขมขม                        ควรสนอง 
๖. ปีกรัก
โกสุม
    ๐ปีกแห่งรัก        ถักทอรุ้ง
วาดโค้งคุ้ง            ทุ่งสีทอง
อิ่มหัวใจ               ไอละออง
สายขวัญคล้อง       ล่องรวยริน
    ๐รักคือใคร        ไยฝังฝัน
เห็นดวงจันทร์         หันดวงจินต์
เพราะพรูพราย        พลิ้วผายพิณ
เพียงแผ่วผิน          ระพินผล
    ๐ฤารักกาม        จึงตามแฝง
ชิวิตแลง               แล้งทุรน
ศูนย์และสาบ          เปื้อนบาปปน
ควานคว้านค้น        ข้นไค้ตัว
    ๐การรู้รัก           แค่คักคิก
เป็นรักริก               หลับพลิกหัว
ละเมอไหว             ในหมอกมัว
ตื่นรักรั่ว                 รูหัวใจ 
    ๐ใครจะสอน       ซอนวาสี
บรรจงชี้                 และจี้ไช
ว่ารักหรือ               คืออะไร
เห็นแสงใส             ใช่สวยศรี
    ๐ใครจะเชื่อ         เพาะเชื้อรัก
ด้วยตระหนัก            ฝักใฝ่ดี
ปีกทั้งคู่                  สู่วิถี
บินไปที่                  มีดวงดาว
    ๐รักครองคู่          รักรู้สร้าง
หนุ่มสาวพร่าง          สังคมพราว
เธอรักฉัน                ปันรักขาว
กุมมือก้าว               เท้าท่องไป
    ๐สมเป็นรัก        โลกทักว่า
ทรงคุณค่า             ไม่ว่าใคร
สองละมุน              โลกอุ่นไอ  
โลกแจ่มใส             ใจสูงสอง
    ๐ปีกแห่งรัก         ถักทอรุ่ง
เขียนรักรุ้ง              ทุ่งรักทอง
อิ่มรักใส                ใช่รักลอง
สายรักล่อง             คล้องโลกบิน
๗. งามงาน
ฉบัง
    ๐สวยคมสมคนยลยิน              งานไหวชีวิน
ชูชีพแจ่มชัดวัฒนา
    ๐สองมือทอปรารถนา             สมหมายเกิดมา
เติมตนเต็มค่าสังคม
    ๐สัมมาท้าทายทุกข์ถม             เห็นตัวเห็นตม
เห็นต่ำเห็นต้อยร่อยไร       
    
    ๐ค่อยจิตคิดแจ่มแย้มใจ            ค่อยเท้าก้าวไป
ย่อมก้าวสู่เนื้อนพคุณ
    ๐เม็ดเหงื่อเรื่อเหลืองการุณย์      ลูบแล้วละมุน
ละไมอาบย้อมวิญญาณ
    ๐เลี้ยงตนพ้นทุกข์ทรมาน           อิ่มท้องทนทาน
เพื่อหยัดยืนสู้ชีวิต
    ๐ครอบครัวจรุงสุจริต                ดีชั่วใกล้ชิด
ชี้เชิงรู้ชอบเฉิดฉัน
    ๐สร้างเสริมสังคมสำคัญ            ร่วมด้วยช่วยกัน
บรรเทาความทุกข์สาธารณ์
    ๐อาจบ้างเบี่ยงคว่ำคลุกคลาน     สู้ตายปลายปราณ
ไม่แพ้แก้ไขใหญ่หลวง
    ๐เอื้อมดาวประดับทรัพย์ทรวง      งามงานโชติช่วง
ในหนึ่งชีพนี้ลีลา
๘. โรคา
ฉบัง
    ๐เรือนกายในวันเวทนา         เมื่อข้องโรคา
จืตครวญป่วนปั่นพรั่นพรึง
    ๐ปวดหัวตัวร้อนบรรึง            หูตาหน้าตึง
กระตุกจุกเสียดเบียดเบียน
    ๐ท้องไส้ไข้ส่าอาเจียน         ลมหอบคลื่นเหียน
ให้ขมล่มหิวชิวหา
    ๐ประเด็นเป็นโดยธรรมดา       มีอุบัติมา
เพื่อผูกมัดชีพปุถุชน
    ๐หาใครไหนเบี่ยงเลี่ยงหน       ทางอันทุกข์ทน
ให้เห็นเป็นอุทาหรณ์
    ๐สำแดงแทงในใจนร             รู้เท่าในทร
ที่ทาบท้นทุกข์นาที
    ๐รู้เล่ห์เฉโกโลกีย์                 สรรพางค์พ่วงพี
ผ่ายผอมมิใช่ของไผ
    ๐เกิดมาเกาะกล่องดวงใจ        ตนเต้าเมาไป
ปกปักรักษามามาย   
    ๐กลับล่วงอื่นร่ำทำลาย           ตีตรวนปิดตาย
แค่ตัวขรัวตูหรูหรา
    ๐เรือนกายในวันเวทนา           อาณัติสัญญาณ์
บอกเราแค่หลักปักเลน
๙. ชรา
สุรางคนางค์
    ๐เกิดขึ้นเป็นคน      ยากดีมีจน              ไม่พ้นวัยเพล  
สวยรูปปานหล่อ         ต่างก็ต้องเกณฑ์       หาเบ้เหเบน  
เป็นเวรปลงวัย   
    ๐เมื่อกลุ้มความแก่  ย่อมยันยักแย่           เสื่อมแน่เสียดใน
แทบโทรมทุกส่วน       กระสวนกระษัย         มาดลเมื่อใด
ก็ด้วยธรรมดา
    ๐ผมหงอกดอกเลา  โพลนบงพงเบา        เต็มเฒ่านาถา
รังเกียจเคียดขัง          ชิงชังชรา                แต่ใครไหนคลา
ทุกตาถึงตัว
    ๐เท่าทันสรรค์สุข     ยืนนอนนั่งลุก          กักกุกมิกลัว
มาเถิดฑูตท่าน            หฤหรรษ์ยิ้มหัว         มืดหน้าตามัว
พันพัวตามเพลง
    ๐มิเท่าเปล่าสุข        สิ้นไทใจทุกข์          รนรุกละเลง
หวาดสิงวิงสาน            ผุดพล่านโผงเผง     งับหางตนเอง
ย่อมเก่งอย่างกลัว 
    ๐คือวัยเขาว่า           อ่านชีพชีวา          ผ่านมาพร่ามัว
ก่อกรรมทำเข็ญ            ลำเค็ญคืนครัว       ทุกข์กรายท้ายกลัว
ตามยั่ววิญญาณ    
    
    ๐คือวัยเขาว่า           ศักดิ์งามสง่า        โอ่จ่าอาจารย์
อิ่มบุญอุ่นบน                ตัวตนตระการ       มากลูกมายหลาน
สำราญอุรา
 
    ๐ก็นี่แหละโลก         วัฏฏะกระโตก-       กระตากกับตา
หมุนเผียนเปลี่ยนผัน      คือธรรม์ขันธา       เกิดมีเสื่อมมา
เป็นเช่นนั้นเอง
    ๐รู้ว่าราวี                เวลาวารี             เข้าขี่ข่มเหง
มิอมตะ                      ชนะคะเนง           กลัวไยยำเยง
เถอะเร่งลีลา    
    
    ๐สู่ธรรมขำทม         ประเสริฐประสม    พร้อมล้มถลา
ชีพนี้สั้นนัก                 ชูชักพิชาน์           แตะอนัตตา
จักอาภาตัว
๑๐. มรณา
สุรางคนางค์
     ๐ณ ราตรีหนึ่ง          แว่วเสียงรำพึง           ก่นถึงความกลัว
ไฉนนัยนา                   หมอกฝ้าแฝงทั่ว         พระยมยิ้มหัว
ใจรัวระริก    
    ๐อึดอัดขัดข้อง         สูดปราณอกป่อง        มือป้องป่ายจิก
เนื้อตัวเต้นเร่า               ผีเจ้าคักคิก               กลอกตาขลุกขลิก
ร่างพลิกล่วงพ้น
    ๐เรียกว่าความตาย     เป็นผลเบื้องปลาย      ของกายสกนธ์
ของจิตวิญญาณ            ตระการทุพพล           อนัตตังตน 
ทุกคนต้องเจอ   
    
    ๐สิ้นสูญทุกสิ่ง           ทรัพย์สินศูนย์จริง      เคยสิงเสมอ
บ้ายศหมดศักดิ์               บ้ารักแค่เรอ             ภาพบ้าล้วนเบลอ
เพียงบ่นพร่ำไป
  
    ๐มาเปลือยกลับเปล่า   วัดกว้างคูณยาว       ไหนเล่ายิ่งใหญ่
แค่คืบแค่ศอก                ตีตอกต่อใคร           เห็นขำแห่งไข
เห็นเน่าเห็นหนอน
    ๐สายสิญจน์ตราสัง      เมื่อม้วยมรณัง       กอปรบงกชกร
ตระเกียงส่องทาง            อรหังสังวร            เงินปากผีปอน
แจ้งหมายปลายมือ
    ๐ไปสู่ป่าช้า               ตากลียายกลา       ยิ้มร่าฮาฮือ
เร่งเอาตัวมัน                 ดูกันใครคือ           เท่านี้เองหรือ
เคยดื้อเหลือหลาย
    ๐ขึ้นสู่กองฟอน          สุมไฟใส่ขอน        ลุกโพลงผันผาย
เอ็นดึงกระโดด              เด้งโลดไว้ลาย       สมองขยาย
แตกโพละพริบเดียว
    ๐แขนคาขาขาด         เครื่องในเผละพาด     ไส้กราดเป็นเกลียว
ห้อยย้อยต่องแต่ง           ไฟแล่งแรงเรี่ยว          กลิ่นไหม้เหม็นเขียว
เหลือเถ้าถนิม
    ๐ไหนเล่าตัวตน          ของเราละคน     เคยปรนประพิมพ์
ประพายประไพ              ไฉไลจริม          กระหย่งกระหยิ่ม
กระวาดกระวี 
    ๐นี้คือสัมมา             ในชีพชีวา          เพียรว่าวจี 
ดูโลกลึกลับ                 ใช่นับเท่านี้         แง่มุมมากมี 
ทุกวี่ทุกวัน
    ๐แต่เกิดกายตน       เรียนครูรู้คน         ฝ่าฝนฟากฝัน
เกิดมาทำไม               หากใจรู้ทัน          เล่ห์โลกย์ทั้งนั้น
ตัวฉันยินดี/.				
comments powered by Disqus
  • พุดพัดชา

    17 กุมภาพันธ์ 2546 01:53 น. - comment id 109348

    งดงามในดวงใจในโลกหล้า

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน