กวีบทสุดท้าย: ด้วยจิตวิญญาณแห่งรัก..

วสุนทรา

ขอวอนฟ้าวอนเทวาทั้งพิภพ		       
โปรดจงลบภาพลวงในห้วงฝัน
โปรดจงพาทุกข์จากใจไปนิรันดร์	        
โปรดให้ฉันรับความจริง..ได้เสียที
.จักตอบแทนเทพเทพีด้วยชีวิต	       
 ขอเพียงจิตไร้รักทั้งหมดนี้
จักตอบแทนด้วยวิญญาณพร้อมยอมพลี	         
หากฤดีไร้ภาพจำแห่งวันวาน
ให้อนาถวาสนาชะตารัก		        
สัญญาภักดิ์และความฝันที่เคยสาน
กลับลับหายกลายจากร้างราราญ                   
เกินวิญญาญทุกข์จักเอ่ยเผยจำนรรจ์
หรือคือโศกนาฎกรรมแห่งชีวิต                     
หรือเพราะเป็นฟ้าลิขิตแสร้งเสกสรรค์
หรือเพราะกรรมพันผูกแต่ปางบรรพ์	       
หรือสวรรค์จงใจให้พบเธอ....
นึกถึง กวีผู้เป็นที่รัก.เคยอยู่ร่วมเรียงถ้อยอักษรกันบนลานฝันอันงดงาม  แต่แล้ววันหนึ่งฉันก็พบกับการพลัดพรากอย่างเป็นนิรันดร์.....กับการตายจากไปอย่างไม่มีวันกลับ  ....ความทรงจำยังคงอยู่....แต่ทุกครั้งในความทรงจำของฉันจะมีความหวานปนไปด้วยความรู้สึกโศกเศร้าเสมอ...กับการที่ในความจริงต้องพลัดพรากจากคนที่เรารักตลอดกาลนาน..ทำไมนะ..เมื่อมีรัก..ก็ต้องมีความทุกข์ตามมา..หรือต้องไร้รัก จึงจะไร้ความทุกข์...
ถ้าคนเราไม่มีอดีต..ไม่มีความทรงจำ...คงไม่ทุกข์เลย เพราะไม่ต้องจำ..ไม่ต้องรำลึกถึงวันวานที่ผ่านมา....จะมีสักกี่คน ที่จะลืมเรื่องราวในอดีตได้อย่างสิ้นเชิง....อยากจะหลับตา..อยากจะปิดหัวใจ.ไม่อยากจะรับรู้ถึงความรู้สึกต่าง ๆที่เข้ามา.....
...เธอเหมือนความฝันอันงดงาม...แต่พอตื่นขึ้นมาฉันก็พบว่า มันไม่มีอยู่จริง
..เธอเหมือนดอกไม้ที่กำลังแย้มกลีบทักทายฉัน....แต่แล้วเธอก็ร่วงโรยรา
..เธอเหมือนมีตัวตนอยู่จริง...แต่แล้ว วันหนึ่งเธอกลับไร้ตัวตน....
........ท้องฟ้าเบื้องหน้า....คงไม่มีเธออยู่อีกแล้ว
โค้งฟ้าที่เคยสัญญาจะร่วมเดิน...เหลือเพียงเงาอ้างว้างเดียวดายเพียงลำพัง
น้ำตาเอย..เมื่อไหร่จะหยุดไหล........หัวใจเอยเมื่อไหร่จะหยุดคร่ำครวญ....
ความทรงจำที่งดงาม...ความจริงที่แสนเจ็บปวด....อดีตเอย..เมื่อไหร่จักลืม.....
ปัจจุบันเอย..เมื่อไหร่จักร้างทุกข์      ความฝันเอย..ไยมอดดับฉับพลันกระนั้น
ดวงตาที่แสนเศร้าทอด...มองดอกลีลาวดี   ฤดูนี้ดอกสีขาวส่งกลิ่นหอมปนเศร้า รอยยิ้มที่หม่นหมอง..แย้มยิ้มทายทักดวงดอกสีขาว....กลิ่นของดอกไม้ชนิดนี้  ไม่ต่างกับความรู้สึกในมโนสำนึก...นามธรรมที่รู้ว่ามี แต่สัมผัสไม่ได้ เอื้อมไม่ถึง........และทุกครั้งในส่วนลึกที่ถูกซ่อนไว้  ยามอ่อนไหว มักจะปวดร้าว
...ระหว่างความฝันกับความจริง ระหว่างจินตนาการกับโลกความจริง...บางครั้งก็แยกไม่ออก....ทั้งๆที่ อยากแยกมันออกให้ได้ตลอดกาล.....คงได้แต่พยายาม.... เหลือเหนื่อยเกินที่รัก..กับการต่อสู้ทางจิตใจ......บางครั้งอยากจะหยุดนิ่งไร้ซึ่งอายตนะสัมผัสทั้งหลายทั้งปวงหากไม่สามารถระงับน้ำตาที่ร่วงไหลหลั่งรินนั้นได้..
ผิวขลุ่ยโหยโรยลำนำย้ำความฝัน	
สังคีตสรรค์เพลงรักสมัครสมาน
ราตรีลับเลือนลบจบรุ้งวาน		
อุษาผ่านมาเยือนฝันเลือนลอย
ในม่านฝันวันวานผสานรัก		
ร่มทอถักป่านดวงใจมิท้อถอย
คล้องกรสร้างบทกวีนับพันร้อย	
ศศินคล้อยเหลือเพียงรอยอาลัย
น้ำตารินหยาดหยดรดวันนี้		
คำกวีกรีดกรายคลายสดใส
จากเก่าก่อนเขียนด้วยรักล้นหทัย	
เพื่อมอบให้ยอดนาเรศเอกวิราม
กลั้นสะอื้นฝืนสะท้อนร้อนในอก	
สะท้านทกผ่านทรวงเคยไหวหวาม	
บัดนี้รักเหลือเพียงเถ้าไร้ความงาม	
คือถ้อยท่ามกลางหทัยให้จารจำ
คงต้องลา.ลานจันทร์ ลานในฝัน	
มิอาจสรรค์คำกวีคีตะขำ
ยามรักหมดหมดรักไร้น้ำคำ		
ร้างลำนำ ร้างคำ ทางกวี
นอนเอกาเดียวดายในคืนเงียบ	
ฤดีเฉียบเฉกนภาขาดแสงสีร์
มืดมนนักรักมาพรากจากรตี		
ชลนัยน์แห่งกวี..สิ..พรั่งพรู
..ได้ยินเสียงผิวขลุ่ยแว่วพลิ้วลิ่วผ่านพัดมา  น้ำเสียงที่โศกปนหวาน นั้น ได้ตอกย้ำความทรงจำในอดีตกลับมาอีกครั้ง...เรื่องราวที่เกิดขึ้นคล้ายกับความฝัน..ที่งดงามบนเส้นทางแห่งกวี...แต่ก็คล้ายกับ ยามที่พระอาทิตย์จากไปเหลือไว้เพียงความมืดมนแห่งราตรีกาล....คล้ายกับพระจันทร์ที่เลือนหายจากฟากฟ้า...ทว่าทิ้งรอยอาลัยให้รำลึกนึกถึง....เช่นเดียวกับเธอหญิงสาวที่ฉันรัก ได้จากฉันไปแล้ว....อดีตเราเคยร่วมเรียงร้อยอักษรให้แก่กัน เหลือเพียงความทรงจำและคราบน้ำตาแห่งความอาดูร...
 หลังจากการจากไปของเธอ  ฉันไม่มีแม้แต่ความฝัน  ไม่มีกำลังใจที่จะเขียนบทกวีที่งดงามอีกต่อไป....ใจของฉันได้ตายแล้ว..  สิ้นแสงแห่งชีวิตแล้ว พร้อม ๆกับการจากไปของเธอนะที่รัก
............................................14  กุมพาพันธ์.......2547				
comments powered by Disqus
  • อัลมิตรา

    10 พฤษภาคม 2547 14:19 น. - comment id 265071

    เส้นทางที่ย่างก้าวมาไกลแสนไกล
    ด้วยจิตวิญญาณ์แห่งคุณ            
    ได้ผสานเป็นส่วนหนึ่งของลมหายใจของผมไปแล้ว
    
    เพียงแค่คุณทอดสายตามายังผม
    ก็ทำให้ผมสูญเสียความเป็นตัวของตัวผมเอง
    
    ผมแทบจะแยกแยะตัวตนของผมเองไม่ออก 
    ว่าผมหรือคุณ.. ผู้ใดกันแน่ที่เป็นเจ้าของก้อนเนื้อเท่ากำปั้น ณ อกด้านซ้ายนี้
    และทุกครั้งที่กล้ามเนื้อหัวใจเต้นตุบ ๆ 
    ผมก็ไม่อาจปิดปังซ่อนเร้นได้เลยว่า
    ทุกจังหวะแห่งการมีชีวิต... ผมอยู่อย่างมีความหวัง
    
    ผม..ผู้เคยมีเพียงความฝัน  และมันเป็นเพียงสิ่งที่ไกลเกินคว้า  
    สิ่งที่ผมกระทำในอดีตที่ผ่านมา คือการยอมรับชะตากรรมแห่งความรันทดนี้
    แต่..ณ วันนี้ ..เมื่อมีคุณอยู่เคียงใกล้   
    สิ่งที่ผมเคยคิดว่าเป็นเพียงเงามายาที่หล่อหลอมให้ผมมีชีวิตอยู่ได้
    ไม่ใช่แค่ภาพ  ไม่ใช่แค่จินตนาการ
    
    ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมกำลังเผชิญอยู่นี้ เรียกว่าชะตากรรมหรือเปล่า
    หรือเป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ที่จะเกิดเมื่อถึงเวลาเกิด
    ผม ..ก็พร้อมรับหน้าที่นี้ด้วยความเต็มใจ
    
    สิ่งที่ผมหวังไว้ก็เพียง..
    เราคงเป็นความฝันของกันและกัน  ทอประกายใจกันและกันให้สดใส 
    สำหรับวันนี้และวันต่อๆไป ..
    หากยังมีคุณอยู่เคียงใกล้  ชีวิตผมคงไม่อยู่อย่างไร้ความหมายอีกต่อไปแล้ว
    
  • ผู้หญิงไร้เงา

    10 พฤษภาคม 2547 21:18 น. - comment id 265341

    จริง ๆ ผู้หญิงไร้เงาว่าเธอจากคุณไปแต่ร่างกายนะค่ะ แต่ความรู้สึกคุณไม่เคยลืมเธอ ฉะนั้นให้คิดเสียว่าเธอยังอยู่ซิค่ะ อยู่ที่ใดที่หนึ่งที่คุณติดต่อไม่ได้เท่านั้น  แล้วคุณจะรู้สึกดีขึ้นค่ะ  กลอนไพเราะและใช้ภาษาที่สวยงามมากๆๆๆๆๆๆๆเลยค่ะ ชอบงานเขียนของคุณมากนะคะ  อยากอ่านอีกค่ะ แล้วยังไงจะติดตามผลงานนะค่ะ
  • น้องรัก

    11 พฤษภาคม 2547 08:27 น. - comment id 265604

    คุณอัลมิตรา
    
    ขอบคุณมากเลยนะคะ  ภาษางามๆที่นำมาฝากกัน
    
    คุณพี่ผู้หญิงไร้เงา
    
    รักฝากผลงานไว้แต่เพียงเท่านี้ค่ะ   จริงๆแล้วรักวางมือกับการเขียนมานานพอสมควร  มีเหตุผลบางประการที่ไม่สามารถจะเขียนได้ค่ะ..อิอิ   ก็เลยรู้สึกดีใจที่เข้ามาแล้วเจอกับพี่ ๆในนี้  ขอบคุณพี่มากเลยค่ะที่เข้ามาอ่านสม่ำเสมอ   ต่อไปรักจะเข้ามาเป็นคนอ่านแทนจ้ะ

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน