โค้งไผ่
นกตะวัน
เราเดินข้ามห้วยสองและห้วยหนึ่งกลับมาอีกครั้ง นักดูนกเริ่มทยอยกันเข้ามาดูนกบ้างแล้ว บางคนเราคุ้นหน้าแต่ไม่เคยคุยกัน บางคนเข้ามาทักทายผมบอกว่าชื่อ ปู แต่ผมกลับไม่คุ้นหน้า บางคนแม้ไม่คุ้นหน้าแต่เรายิ้มให้กันตามประสานักดูนก พร้อมทั้งถามไถ่กันว่าเจอนกอะไรบ้าง ตามธรรมเนียมของนักดูนกที่ดี จนกระทั่งเราเดินมาใกล้จะถึงบริเวณที่มีกอไผ่อยู่สองฟากถนน และมีต้นไผ่ล้มระเนระนาด เพราะมีช้างเข้ามาป้วนเปี้ยนหักโค่นลงเมื่อเช้านี้
เห็นถนนพ้นโค้งไม่โล่งแจ้ง
แดดลดแรงร้อนจัดลมพัดไหว
ไผ่แน่นกอก่อข้างริมทางไป
ลำต้นใหญ่อยู่ชิดเบียดติดกัน
ดูค่อนครึ้มทึมนักชักหวาดเสียว
กลัวช้างเลี้ยวมาลิ้มชิมสุขสันต์
เพราะใบไผ่ใสเขียวเคี้ยวนุ่มฟัน
ช้างเหล่านั้นน่าหวนทวนกลับมา
แต่เสียงร้องของปักษาบินหลาดง
ทำลุ่มหลงคอยเหลียวเอี้ยวมองหา
เหมือนเสียงเพลงบรรเลงพลิ้วผิวจากลา
ใจผวาเมื่อไผ่ใบไหวครวญ
อยู่หว่างไผ่ไถลโอนโยนลำไหว
กิ่งเอนไกวเกิดเสียงเพียงลมหวน
ฟังใบไผ่ไล้ลมขรมเชิญชวน
ดนตรีล้วนล้ำค่ากล่อมป่าดง
ในไม่ช้าเรากลับมาถึงจุดเริ่มต้นอีกครั้ง มีรถแล่นเข้ามาจอดจนเนืองแน่นไปหมด นักดูนก นักดูผีเสื้อ และนักท่องเที่ยวทั่วไปเดินกันขวักไขว่ จนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร และใครบ้างที่มาร่วมงานรวมพลคนรักษ์ผีเสื้อ บางคนเรารู้จัก บางคนเราแค่คุ้น แต่ส่วนใหญ่เราไม่รู้จักเลย และแล้วเสียงใครคนหนึ่งที่เดินมาได้ดังขึ้น อาหารอยู่ที่ศาลาแปดเหลี่ยมค่ะ พวกเราจึงรีบเข้าไปนั่งในรถ เพื่อบรรเทาร้อน และมุ่งหน้ากลับบ้านกร่างเพื่อไปร่วมงานและทานอาหารมื้อเที่ยง
ท่องไพร ในเมืองเพชร (11)
1 พฤษภาคม 2547