ใบไม้ต้นฤดู เดือนตุลา ๕
ม้าก้านกล้วย
วันสิบสามเดือนสิบเอ็ดเกร็ดประวัติ
ข่าวสะพัดถาโถมประโลมไล่
ฝูงขบวนต่อต้านฤาทานไหว
จึงเรื่อยไหลเคลื่อนขบวนชวนกันมา
จะขอพึ่งพระราชบารมี
เพราะเกรงกลัวฤทธีพายุกล้า
จึงชักชวนไปสวนจิตรลดา
ใจกลางของพารา- ประชาชน
แต่เหมือนคราวฟ้าร้องคะนองครืน
กระสุนปืนร้อนฉ่าเหมือนห่าฝน
สาดกระหน่ำกลางกรีดร้องของผู้คน
ใบไม้หล่นร่วงแล้วแผ่วพลัง
ด้านหน้าหนีไม่ได้ไม่เดินหน้า
ด้านหลังร่นมาเพราะล้าหลัง
กระจุกถูกกวาดต้อนกร่อนกระทั่ง
เสียงชิงชังสาปแช่งแข่งเสียงปืน
ความหวาดกลัวกลับเหือดเป็นเดือดดาล
สู้ต่อต้านร่วมแรงแบ่งกันฝืน
ไม่มีอาวุธปะทะจุสู้ปืน
ฉวยไม้ฟืนกระถางอิฐและจิตใจ
วันที่ ๑๑ ตค.
นร. นักศึกษาทั่วประเทศหลั่งไหลมาจากทุกทิศทางเข้าสมทบกับพลังที่มาชุมนุมกันอยู่ก่อนแล้วไม่ขาดสาย จากพันเป็นหมื่น จากหมื่นเป็นแสน การอภิปรายโจมตีเผด็จการทั้งสามคนกระหึ่มไปทั่ว ดนตรีจากคณะคาราวาน ดังปลุกเร้า พวกที่มีโทรโข่งจะเน้นแต่คำว่า ต้องสามัคคีกัน อย่าทอดทิ้งกันเป็นอันขาด ไม่ว่าจะถูกปราบปรามอย่างโหดร้ายแค่ไหนก็ตาม ประโยคที่เน้นนี้ ก็เพราะเหล่าผู้นำนักศึกษารู้แล้วว่า อาจเกิดการเข่นฆ่าประชาชนขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ ขณะเดียวกัน ก็พยายามบอกกับตำรวจทหารที่มารักษาการว่า ศัตรูของพวกเขามีเฉพาะเหล่าทรชนทั้งสามเท่านั้น ไม่ได้รวมถึงเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ
ต้องการให้ ๓ ทรชนนั้นสำนึกบาปและมอบอำนาจการปกครองให้กับประชาชนเสียที เพราะตลอดเวลา เหล่า ๓ ทรชนได้ใช้เล่ห์เหลี่ยมกดขี่ประชาชน ทหาร ตำรวจ และผู้สุจริตเสมอมา จะเห็นได้ว่า พยายามกัน ๓ คนนั้นออกจากพวกทหารตำรวจชั้นผู้น้อยคนอื่น ๆ และข้อเรียกร้องก็เพียงเพื่อขอประชาธิปไตยของประชาชน ยังไม่มีข้อเรียกร้องให้ขับออกนอกประเทศ หรือลงโทษตามกฎหมาย
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถหยุดพลังมวลชนที่มาจากทุกสารทิศได้แล้ว คณะผู้ปกครองก็เริ่มวิตกแล้วว่า ..แผนการเข่นฆ่านั้น สายเกินกระทำเสียแล้ว กระแสคลื่นชนกระหน่ำมาเร็วกว่าที่คิด ดังนั้น จอมพลประภาสจึงยอมให้ตัวแทนนักศึกษาเข้าพบเป็นครั้งแรก แต่การเจรจาล้มเหลว! เพียงข้อเรียกร้องให้ปล่อยตัวโดยไม่มีเงื่อนไข กับให้คืนรัฐธรรมนูญกับประชาชน ถูกปฏิเสธ
นักเรียนไทยในต่างประเทศออกแถลงการณ์ส่งมาที่ศูนย์นิสิต มีข้อความเรียกร้องให้ต่อสู้ โดยจะให้กำลังใจช่วย รวมทั้งบริจาคเงินส่งมาสมทบด้วย น้ำใจเหล่านี้ส่งมาจากอเมริกา ญี่ปุ่น เยอรมันนี ฯลฯ
พลังจากนักศึกษาเชียงใหม่ถูกสกัดกั้นไม่ให้เข้ากรุงเทพฯ แต่นร.อาชีวะทั้งมวลประกาศขออยู่แนวหน้าหากเกิดการปะทะ แหละพวกเขาเหล่านี้แหละที่ต้องจบชีวิตมากกว่าคนอื่น ด้วยความบ้าบิ่นมุทะลุ
โรงเรียนและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ปิดการเรียนการสอนไม่มีกำหนด เพื่อให้นร.และครูอาจารย์สามารถไปร่วมชุมนุมได้
วันที่ ๑๒ ตค.
ความหลงมัวเมาในอำนาจแท้ ๆ ของ ๒ จอมพลไทยที่ทำให้เกิดวีรชน
ในเมื่อเห็นว่าจวนตัว จอมพลทั้งสองก็เริ่มคลายความแข็งกร้าวลงทีละน้อย เริ่มจาก ยอมให้ประกันตัวผู้ถูกกล่าวหาทั้ง ๑๓ คน แต่คนทั้งหมดไม่ยอมออกจากห้องขัง เพราะเห็นว่าตัวเองไม่ผิด หากจะปล่อยต้องปล่อยโดยไม่มีเงื่อนไข นายประกันที่มาประกันก็คือคนของรัฐบาลนั่นเองทำหน้าที่เป็นหน้าม้า รัฐบาลคิดว่า เมื่อคนทั้งหมดเป็นอิสระแล้ว ปัญหาการชุมนุมจะยุติลง ..พวกเขาคิดผิด..
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประกาศหยุดการสอบทั้งหมดในวันนี้ (ช้าจัง) และเดินขบวนไปสมทบกับนักศึกษาอื่นที่ธรรมศาตร์ มีนักเรียนจากโรงเรียนบุตรทัพบกเดินขบวนเข้าร่วมการประท้วงนี้ด้วย พวกเขาประกาศว่า แม้ว่าพวกเราเป็นลูกทหาร แต่ก็รู้ว่าอะไรถูกหรือไม่ถูกอย่างไร และเราก็พร้อมที่จะต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม (แม้แต่ลูกทหารยังรู้เรื่อง..นับถือ)
วันที่ ๑๓ ตค.
ข้อเรียกร้องที่เป็นทางการของผู้ประท้วงทั้งหมดยังยืนยันว่า.. พวกเขาต้องการเพียง
-ให้ปล่อยผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดโดยไม่มีเงื่อนไข
-ใหัรัฐบาลกำหนดเวลาการออกรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้แน่นอน
ง่าย ๆ สองข้อแค่นี้..ทำไมทำไม่ได้ แสดงว่าหวงอำนาจจนหน้ามืดตามัว
พลังของผู้ประท้วงทั้งหมดได้เตรียมจะเดินขบวนออกจากธรรมศาสตร์และสนามหลวงเลยไปถึงราชดำเนินจำนวนนับแสน ๆ คน เพื่อไปพบผู้นำรัฐบาลเพื่อเปิดการเจรจา โดยกำหนดนัดเวลาเที่ยงตรง การเคลื่อนขบวนเป็นไปอย่างช้า ๆ เป็นระเบียบภายใต้การควบคุมดูแลของเหล่าผู้นำนักศึกษาคนสำคัญ ทุกคนท่องขึ้นใจตลอดทาง คือ สามัคคีกันเป็นใจเดียว ยึดชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทัพหน้าเป็นสตรี อัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์ของสองพระองค์ และธงไตรรงค์นำขบวน
ตัวแทนนิสิตส่วนหนึ่งได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อีกส่วนหนึ่งเข้าพบจอมพลประภาสอีกครั้ง ซึ่งการเจรจาในครั้งนี้จอมพลประภาสยอมปล่อยผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดอย่างไม่มีเงื่อนไขและเรื่องรัฐธรรมนูญรับปากว่าจะจัดการให้ภายในตุลาคมปีหน้า ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้ว พลังมวลชนส่วนหนึ่งยังไม่รู้เรื่องการเจรจา ยังเคลื่อนขบวนต่อไปเรื่อย ๆ ..จนกระทั่งถึงเวลาสี่ทุ่ม..ห้าทุ่ม.. ก็มีข่าวว่า..นักศึกษาที่เข้าพบจอมพลประภาสโดนฆ่าตายหมดแล้ว การสลายตัวจึงทำไม่ได้ต้องเกาะกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่น มุ่งหน้าไปยังสวนจิตร เพื่อขอพระบารมีคุ้มครอง