---๑--- กวียังคงเป็นกวี นิรันดร์ทั้งโลกนี้และโลกหน้า งดงาม ในความธรรมดา หลุดจากโลกมายา ที่วุ่นวน ขอให้กวีมีความสุข เสมอคำที่ปลอบปลุกผู้ทุกข์ท้น งามเหมือน มุ่นเมฆสรรค์เสกมนต์ เท่าถ้อยที่ หุบเขาฝนโปรยไพร ---๒---- ในหุบเขา เขาเคยเขียนบทกวี จิตเสรี อักษร สุนทรสมัย เสพย์แดดเช้า ที่สาดส่องอยู่รองไร และเขียนคำซึ้งซึ้งไว้ ให้ฉันยล เขียนป่า เอาไว้ให้เห็นป่า และเขียนฟ้าทั้งฟ้าด้วยห่าฝน เมื่อรู้สึก เขาเขียนเขานิพนธ์ ท่วมท้น ด้วยความรักเกินจักประมาณ ---๓--- คิดถึง คิดถึงเธอเสมอ ได้พบเธอในฝันอันพรายหวาน ในดอกไม้ ในท้องฟ้า ในสายธาร เสมอท่วม จินตนาการ หวานละไม ---๔--- กวียังคงเป็นกวี จากกัน ณ โลกนี้ถึงโลกใหม่ เธอจากไป ในหุบเขาฝนโปรยไพร ขณะโลกนี้ขื่นไข้เหลือเกินแล้ว มิรู้ว่า โลกเธอสวยหรือไม่ แต่โลกฉันขื่นไข้เหลือเกินแล้ว รำลึกถึง กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ผู้ล่วงลับ เมื่อ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ ..พระฤหัสบ์ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๕๒/แทนคุณแทนไท..
12 กุมภาพันธ์ 2552 14:16 น. - comment id 949038
ที 2 แระกาน
12 กุมภาพันธ์ 2552 14:21 น. - comment id 949044
ร่วมไว้อาลัยท่านด้วยคนค่ะ บทกวีไม่มีวันตายแม้กวีอาจหายไปจากโลกนี้
12 กุมภาพันธ์ 2552 14:22 น. - comment id 949046
อ่า...อีโมชั่นข้างบนผิดสองอันหลังนะคะ ตั้งใจจะพิมพ์แบบนี้ค่ะ
12 กุมภาพันธ์ 2552 14:50 น. - comment id 949071
12 กุมภาพันธ์ 2552 15:51 น. - comment id 949123
ร่วม รำลึกถึงด้วยครับ
12 กุมภาพันธ์ 2552 16:09 น. - comment id 949144
ร่วมรำลึกด้วยคนนะคะ
12 กุมภาพันธ์ 2552 16:11 น. - comment id 949150
12 กุมภาพันธ์ 2552 16:27 น. - comment id 949164
ไม่ใคร่ได้เขียนอะไรเป็นชิ้นเป็นงานนักในระยะนี้ วันก่อนไปเขาใหญ่ก็ไม่มีอารมณ์พอที่เขียนธรรมชาติสวยๆได้ อาจเพราะมีเรื่องกังวลใจหลายประการอยู่ แรมเดือนนี้ ลงใต้เลียบทะเลเป็นว่าเล่น บางขณะเวลาก็ไปเสวนากับต้นไม้ใบหญ้าที่เขาหลวงบ้าง แต่สมุดบันทึกเล่มเก่าๆ ก็ไม่ใคร่ได้ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์นัก มีแต่รองรอยเขียนที่ไม่ใคร่สมความรู้สึกนัก... ค่ำก่อน นั่งอ่านจดหมายจากนักเขียนหนุ่ม ต้องบอกว่า อ่านอีกแล้วซินะ อันที่จริงอ่านเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วจำไม่ใคร่ได้นัก รู้แต่ว่าถ้อยความคิดที่กวีผมยาวเขียนให้อ่าน สะท้อนความรู้สึกนึกคิดของคนในป่าในเขาได้ดียิ่ง ยิ่งวันไหนทุกข์ยากกับชีวิตในเมืองที่แสนจะวุ่นวาย เผลอยิบจับมาเสพย์หละก็ ยิ่งคิดถึงบ้านเป็นเท่าทวี วันนี้ ๑๒ กุมภาพันธ์ ห้าสิบหนึ่ง พรุ่งนี้ก็จะตรงกับวันที่กวีผู้ล่วงลับ จากหุบเขาฝนโปรยไพร นครศรีธรรมราชไปครบ ๓ ปี แม้ถ้อยคำที่เราเขียนจะไม่ได้เข้าใกล้ความเป็นกวี แต่ด้วยจิตรำลึกถึง ความเป็นกวีของท่านมักมาเยือนหัวใจเราเสมอๆ รำลึกถึงท่านด้วยใจคารวะ กวีผมยาว กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ แทนคุณแทนไท
12 กุมภาพันธ์ 2552 16:29 น. - comment id 949169
สวัสดีครับคุณมณีจันทร์ คุณยาแก้ปวด นานแล้วไม่ได้เจอกันที่ สวัสดีและมีความสบายใจนะครับ
12 กุมภาพันธ์ 2552 16:31 น. - comment id 949171
บทกวี ไม่มีวันจางหายไปจากหัวใจค่ะพี่แทน บางครั้งอาจจะหลืบเร้นซ่อนมุมใดมุมหนึ่งแต่ก็ยังฝึกรากลึกไม่มีวันตายค่ะ ขอให้พี่ชายมีชีวิตที่สุดสมหวังและมีความสุขในทุกวันค่ะ รักและคิดถึงเสมอมา จากน้องสาว
12 กุมภาพันธ์ 2552 16:35 น. - comment id 949177
ขอร่วมลำลึกด้วยคนค่ะ
12 กุมภาพันธ์ 2552 16:35 น. - comment id 949178
"สิบสี่วันไม่ลงแปลงผัก หญ้าขึ้นรก... สิบแปดวันไม่ได้จับพู่กัน ความคิดรก... สามสิบวันไม่ได้เขียนบทกวี จิตใจไม่สะอาด" เป็นคำที่กวีผู้ลับล่วงกล่าวไว้ในกวีนิพนธ์ ในหุบเขา ท่าจะไม่ผิดเพี้ยนนักครับ นับเดือนไม่ได้แวะมาวางอารมณ์ไว้ รู้สึกรกอารมณ์ยังไงพิกล ขอบคุณที่แวะมาครับคุณโคลอน สวัสดีและมีแต่ความสบายใจนะครับ
12 กุมภาพันธ์ 2552 16:44 น. - comment id 949184
ขอร่วมระรึกถึง จิตวิญญาณแห่งกวี ผู้ร่วงลับ แด่ กนกพงศ์ สงสมพันธุ์
12 กุมภาพันธ์ 2552 16:49 น. - comment id 949187
สวัสดีครับคุณกีกี้ คุณกนกพงศ์ จากเราไปสามปีแล้วครับคุณก่องกิก แต่บทกวีอันพิสุทธิ์ของเขายังจารอยู่ในใจคนรักบทกวีทั้งหลาย คุณเพียงพลิ้วครับ เวลาอ่านบทกวีของเขา ผมรู้สึกอิสระ และปลดปล่อยยังไงพิกล ขอบคุณที่แวะมานะครับ "ผีเสื้อตายอยู่บนลานหญ้า ชีวิตแสนสั้น แต่อิ่มเอมในคุณค่า ด้วยผ่านความงามแห่งกลีบดอกไม้" ๑๘ มิถุนา ๔๕ เป็นอิสระทางความงามที่เขาเขียนไว้ อ่านเจอรู้สึกเหมือนเขียนเขาคำนิยามให้ตัวเขาเองยังไงพิกล แม้ชีวิตเขาแสนสั้นกว่าที่ควรเป็น แต่เส้นทางอักษราของเขางดงาม นิรันดร์ และอิ่มเอมยิ่งนัก
12 กุมภาพันธ์ 2552 17:21 น. - comment id 949214
12 กุมภาพันธ์ 2552 18:55 น. - comment id 949245
บางทีบทกวีก็เงียบไปเหมือนกันครับ หรือไม่ก็ไปอึกทึกอยูในสถานซึ่งเร้นเงียบจนเกินจะได้ยิน สวัสดีครับคุณกระต่าย มีแต่ความสุขนะครับ ขอบคุณทุกคำและทุกปรารถนาดี สวัสดีครับคุณเทพธัญญ์ วัยเพียงสี่สิบน่าจะเป็นวัยที่กำลังเริ่มต้น คิดแล้วได้แต่รู้สึกใจหายปนๆกับเสียดายครับ หวังว่า "แผนดินอื่น" ของเขาในวันนี้จะนิรันดร์และงดงาม ขอบคุณที่แวะมาครับ คุณพิมพรรณ สวัสดีครับ
12 กุมภาพันธ์ 2552 18:56 น. - comment id 949246
ทุกบทกวีเป็นความรู้สึกอิสระต่อการเขียน ทุกนิยามมีความหมาย มีความหลากหลายทุกตัวอักษร ทุกความคิดที่ผลิตเป็นวลี มีคุณค่าในตัวในความปรารถนา เราสามารถสนธนากับทุ่งดอกไม้ ใบหญ้าที่ปรารถนาจะรับรู้ความเป็นไป ในโลกเปล่าค่ะ จารจดทุกบทตอน สะท้อนในตัวตน ทุกคำกลั่นกมล เป็นตัวตนของนักคิด สวัสดีค่ะ พี่แทนคุณแทนไท พี่แทนคุณแทนไทสบายดีนะค่ะ นานๆได้อ่าน ดอกบัวไม่เคยอ่านบทกวีท่านผู้นี้เลยค่ะ ขอบคุณที่พี่แทนไทนำมาเขียนให้ได้รู้จัก ขอให้พี่แทนไทมีแต่ความสุขเสมอค่ะ
12 กุมภาพันธ์ 2552 19:02 น. - comment id 949250
น้อมรำลึกถึงบุคคลผู้เสียสละเพื่อผืนป่าไทย คุณ กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ด้วยจิตคารวะค่ะ
12 กุมภาพันธ์ 2552 20:34 น. - comment id 949342
ชอบงานเขียนของ กนกพงศ์เช่นกันค่ะ รวมถึงงานเขียนของคุณแทนด้วย คงร้างเรื้อมานานแต่มิได้รกค่ะ กวีเขียนมีมากความหมายในตัว บางครั้งก็ถึงกับซึมและซึมซับกับนิยาม บ่อยครั้งที่เต็มตื้นในบางบทและบางตอน และจับใจตลอดกาลกับบทกวี ขอให้มีความสุขค่ะ
12 กุมภาพันธ์ 2552 20:43 น. - comment id 949353
ร่วมรำลึกด้วยคนค่ะ มาตามคนป่วน อันดับ1+2 กลับที่ตั้งก่อนนะคะ อิอิ
12 กุมภาพันธ์ 2552 20:49 น. - comment id 949357
งานสัปดาห์หนังงสือครั้งล่าสุดที่ผ่านมา มีโอกาสได้ซื้อผลงานดีๆของคุณกนกพงศ์มาหลายเล่มเลยค่ะ บทกวีแต่ละบทสอดแทรกเรื่องราวชีวิตคนได้อย่างแยบยล อ่านแล้วได้แง่คิดหลายอย่างเลยค่ะ ถือเป็นอีกหนึ่งกวีคุณภาพ น่าเสียดายที่เขาจากเราเร็วเกินไป ขอร่วมรำลึกด้วยคนค่ะ
12 กุมภาพันธ์ 2552 22:54 น. - comment id 949432
มาร่วมรำลึก และราตรีสวัสดิ์ค่ะ พี่แทน
12 กุมภาพันธ์ 2552 23:43 น. - comment id 949447
กวีจากใจค่ะ CrazyOrkut.com- Orkut Image Scraps!
13 กุมภาพันธ์ 2552 09:14 น. - comment id 949544
สวัสดีครับคุณดอกบัว...อะไรจะสบายความรู้สึกมากไปกว่ากล้าทำและกล้าเป็นสุขกับสิ่งที่ตัวเองเป็น ในโลกที่วุ่นวนจะมีสักกี่คนที่ปลีกตัวเองออกไปจากสมมุติเหล่านั้นได้ คนยิ่งใหญ่บางคนไม่อาจเป็นอะไรให้ใครได้แม้เพียงสักคน แต่คนเด็กๆบางคนกลับเป็นไฟ เป็นแรงดาลใจให้อีกหลายคน ขอให้คุณดอกบัวมีแต่ความสุขเช่นกันนะครับ หวังใจ สวัสดีครับคุณประทีปดาว... คุณกนกพงศ์ ล่วงลับไปวันนี้ก็สามปีแล้ว ผืนป่าจะเป็นสิ่งระลึกถึงเขานิรันดร์ เหมือนกับบทกวีที่จักงอกงามในเนื้อไทยต่อไป ขอบคุณที่แวะมาครับ สุขรู้สึกนะครับคุณ สวัสดีครับคุณแจ้น... บางทีก็ละอายความตั้งใจที่ปล่อยให้ความรักของตัวรื้อรก ทั้งที่เพราะความรักนี่แหละที่ทำให้มีรักและมีรักเกินจักประมาณ ขอบคุณที่แวะมานะครับ และขอบคุณในทุกคำที่งอกงามจากดวงใจดีดี ขอให้คุณมีความสุข ขอให้บทกวีสวยงาม หวังใจ สวัสดีครับคุณเฌอมาลย์ ขอบคุณที่แวะมาครับ สวัสดีครับคุณน้ำแข็งเปล่า ... วันเวลาหมุนผ่านไปทุกวัน และบางทีก็พรากบางสิ่งบางอย่างจากเราไปโดยมิเปิดโอกาสให้ต่อรอง เหมือนกับจะสอนให้เรารู้ซึ้งถึงความไม่เที่ยงของวันพรุ่ง ปรารถนาสิ่งใด เมื่อวันนี้ยังมีก้อย่ารอวันพรุ่ง.... น่าเสียดายระคนกับใจหายครับสำหรับการจากไป สามปีที่คนที่อยู่ยังรำลึกถึงและคงเป็นเช่นนี้อีกนิรันดร์สำหรับคนที่จะยังอยู่ต่อไป... ขอบคุณที่แวะมาครับ สวัสดีครับน้องแมงกุ๊ดจี่ ขอบคุณที่แวะมาครับ มีแต่ความงดงามนะครับคุณทิกิ ชื่อเพลง : กนกพงศ์ ขอบคุณบทเพลง ศิลปิน : ยืนยง โอภากุล เนื้อเพลง : ** เมื่อครั้งยังเป็นอยู่ ฉันมาเยี่ยมเธอทุกปี เหตุผลเธอคงมี จึงอยู่ที่ฝนโปรยไพร อักษรที่ค้นหา กับเวลาที่ใช้ไป คุ้มค่าต่อจิตใจ ต่อเติมฝันแด่ผู้คน เธอรักและแน่วแน่ ในวิถีของชาวป่า เรียบง่ายในพนา แต่ทว่าหมั่นฝึกฝน หล่อหลอมกลางขุนเขา ที่เปลี่ยวเหงาและยากจน ทั้งหมดนี้ส่งผล ให้ภาษาของเธองดงาม *ในยามที่ฉันได้ยิน ว่าเธอบินจากเราไป ช่างสุดเศร้าเสียใจ ไม่ทันได้ไถ่ได้ถาม ถนนสายอักษร คงเงียบงำหมื่นชั่วยาม เมื่อโลกนี้สิ้นนาม กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ (ซ้ำ */**) กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ผู้ต่อเติมฝันแด่ผู้คน
13 กุมภาพันธ์ 2552 12:11 น. - comment id 949658
"สิบสี่วันไม่ลงแปลงผัก หญ้าขึ้นรก... สิบแปดวันไม่ได้จับพู่กัน ความคิดรก... สามสิบวันไม่ได้เขียนบทกวี จิตใจไม่สะอาด" ^ ^ ^ เป็นเช่นนั้นจริงๆค่ะ ปล.เวลาไม่ได้เขียนกลอนนานๆเหมือนสมองด้านจินตนาการมันจะฝ่อเอาง่ายๆนะคะ ต้องคอยเคาะมั่ง ขูดมั่ง ขัดมั่ง อยู่เรื่อย
13 กุมภาพันธ์ 2552 12:40 น. - comment id 949676
บัวกนก..ผลิบานวิมานสรวง.. http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song774.html http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4258.html (สีแผ่นดิน..ณ..วันนี้) บัวกนกผลิบานวิมานสรวง หอมดั่งดวงทิพยชาติประดับสวรรค์ กนกพงศ์ ฝากนามเป็นนิรันดร์ แห่งหุบฝันฝนโปรยไพรในใจดวง เป็นตำนานเลือดโนราห์คนปักษ์ใต้ เป็นดั่งสายธาราแห่งเขาหลวง เป็นไม้งามไม้ไพรกุดั่นดวง ประดับสรวงฝากมาลาคำย้ำนิรันดร์ นิทราให้สนิทสถิตทอด ดาวโอบกอดเดือนเห่กล่อมนะจอมขวัญ ให้พรายแสงศรีกวีรักจักสืบทอดชั่วกัปป์กัลป์ ดั่งรอยธรรมรอยทองแห่งผองชน อวยพรให้*แผ่นดินเรา*ยังคงอยู่ ให้ร่มรัตน์ฉัตรคู่เคียงเวหน ให้*สายน้ำรักนิรันดร์*จากดินเดียวกันเกื้อกมล หวังชีพชนม์คนไทใจคงทอง... โปรยพิกุลหอมหอมดวงดอกไม้หวาน เหนือสายธารหุบเขาหลวงพร้อมลอยล่อง วิญญาณกวีแก้วรัตนโกสินทร์สู่แดนฝันอันเรืองรอง โลกแซ่ซร้องสดุดี..เป็นที่รัก...แห่งผืนดิน..! ................... พลีด้วยคารวะและอาลัยสุดซึ้งจากใจพุดค่ะ และ.. พรุ่งนี้.... เป็นวันที่นกไพรในใจนวลดวงงาม จักถูก*ประชุมเพลิง* ที่.. พรายแสงคงเริงโรจน์โชติช่วงตระการ จิตวิญญาณดั่งดวงเพชรมณีรุ้ง คงพุ่งสู่สวรรค์สรวงที่เฝ้ารอ... ฝากรัศมีแห่ง..ความงามให้..ความดี..ความเพียร เพื่อ.. เป็นดั่งบทเรียนแด่ ทุกดวงใจในแวดวงวรรณกรรม ให้มิสิ้นไฟฝัน..หวัง..หวาน เขาคนดียอมพลีจิตวิญญาณไพร ทำงานหามรุ่งหามค่ำ... ฝากไว้กับผืนหล้าพสุธาไทยพสุธาทอง.. ไว้ให้ได้รำลึกจดจำ ให้... เป็นแบบอย่างแด่ชนรุ่นหลัง ตราบชั่วกาลกัปป์กัลป์ เขาคือ..*คนดีของแผ่นดิน*ถิ่นปักษ์ใต้บ้านเรา ที่พุดแสนศรัทธา และ.. หลงรักชื่นชมในงานงาม มานานนักหนา มาหลายปีแล้วค่ะ และ.. กับสิ่งสุดท้าย... ที่ใจดวงนี้..ผู้รักแสนรักอักษราวรรณกรรม และโลกบรรณพิภพ จะพึงทำได้ คือ... นำบทความสดุดี แสนงาม จากยอดนักเขียนซีไรต์ถึงซีไรต์ มาวางพลีกำนัล ให้.. ทุกดวงใจ ในร่มรัก เรือนไทยมิ่งมิตรน้องพี่ ได้ร่วมปันอ่าน.. เพื่อ.. ผนึกจิตสืบสาน..ตามรอย..ผู้เป็นดั่งตำนาน *วีรบุรุษนักเขียนแห่งพงไพร* ที่.. ได้เททุ่มถอดชีวิตจิตใจ เพื่อรจนาเรื่องราวอันแสนยิ่งใหญ่ มอบคืนกลับให้กับโลกใบนี้ ดั่งของขวัญ ก่อน.. ผืนดินจะกลบหน้า ก่อนที่ฟ้าจะแปรสี และ ก่อนที่สายนทีจะหยุดไหลล่อง..ก่อนวันที่จะสายเกิน... ............................. บทความจากหนังสือพิมพ์*มติชน* คอลัมน์ประชาชื่น หน้า33 ฉบับวันที่24 กุมภาพันธ์ 2549 จาก..ซีไรต์..ถึง...ซีไรต์ .................... การจากไปของ *กนกพงศ์ สมสมพันธุ์* นักเขียนเรื่องสั้นรางวัลซีไรต์ เป็นเรื่องที่ญาติมิตร เพื่อนฝูงในวงการและนอกวงการ ไม่คาดคิดมาก่อน แต่เมื่อ กมฺมุนา วตฺตตี โลโก " สัตวโลกย่อมเป็นไปตามกรรม" การสูญเสียกนกพงศ์ จึงเป็นธรรมดาของความเสียใจที่ไม่อาจบรรยายได้ ...นอกเสียจากเสี้ยวของความรู้สึกที่เพื่อนแต่ละคน ได้ถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือจารไว้เป็นอนุสรณ์ในวาระสุดท้าย... ....................... ปากกากนกพงศ์...เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ น้ำตามาตกเหย้า ที่หุบเขาฝนโปรยไพร กลางควันอันอวลกระไอ "โลกใบเล็กของซัลมาน" มาอยู่มายงยุค มายงยามเป็นตำนาน ให้เห็นหัวใจหาญ แห่งผู้คนบนแผ่นดิน ดูดั่ง "แผ่นดินอื่น" แท้ดินเดียวในธรณิน คือชนอันชาชิน ยังหยัดอยู่สู้พาลา ขุนน้ำทะเลใต้ แลขุนไพรแห่งภาษา ขุนภูเหยียบเมฆา จักโปรยปราณหว่านภูพง ตื่นแล้วในโลกนี้ แลโลกหน้าอย่างทระนง ฝากนามสำคัญคง "กนกพงศ์ สงสมพันธุ์" หุบเขาฝนโปรยไพร โปรยดอกไม้มาลาวรรณ บานอยู่คู่กัปกัลป์ กับปากกา "กนกพงศ์" เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ******************************* เสียดาย...*ชาติ กอบจิตติ* ชีวิตเริ่มต้นเมื่อสี่สิบ เชื่อว่าเราหลายคนคงเคยได้ยินประโยคนี้ ผมเองก็เช่นกัน แต่ไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่า กนกพงศ์ของพวกเรา จะเริ่มต้นชีวิตในวัยสี่สิบของเขาด้วยหนทางนี้ เมื่อรู้ข่าวการจากไปของกนกพงศ์ ผมเชื่อว่ามีคนตกใจ และไม่อยากเชื่ออยู่หลายคน ผมเองก็เช่นกัน ต่อมาเมื่อรู้ว่าเป็นความจริง ก็ต้องทำใจ เพื่อลบล้างความเสียใจที่มี แน่นอน เรายังเป็นปุถุชนอยู่ ความเสียใจจึงยังไม่ยอมจากเราไปง่ายๆ แต่นอกเหนือจากความเสียใจ ที่มีต่อการจากไปของเขาแล้ว ผมยังรู้สึกเสียดาย ผมเชื่ออยู่ตลอดเวลาว่า งานเขียนของกนกพงศ์จะต้องพัฒนาต่อไปอีกไกล เพราะ ความเป็นคนช่างคิดและฝีมือของเขา ต่อเมื่อมาถึงวันนี้ (ในวัยสี่สิบ) ร่องรอยในการเปลี่ยนถ่ายงานเริ่มปรากฏออกมาบ้างแล้ว และผมคิดว่ากนกพงศ์ก็รู้ดีว่าเขากำลังทำอะไร ถ้าทอดเวลาให้เขาอีกสักนิดหนึ่ง เราอาจจะได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น ในวงวรรณกรรมไทยก็เป็นได้ ผมจึงรู้สึกเสียดาย สิ่งที่เขาทิ้งไว้ในวันนี้คืองาน และวิถีชีวิตของเขาที่กลมกลืนกับการทำงาน อาจเป็นแบบอย่าง (หนึ่ง) ให้นักเขียนรุ่นหลังได้ศึกษา หรือมองแนวทางในการดำเนินชีวิตได้ นับเป็นประโยชน์ที่เขาทิ้งไว้ให้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ สำหรับผมแล้ว นอกเหนือจากเสียดาย ที่จะไม่มีโอกาสได้อ่านงานของเขาอีกต่อไป ผมยิ่งเสียดายมากขึ้นเมื่อนึกถึงเขาว่า ต่อไปนี้ใน "วง" ของเราจะไม่มีกนกพงศ์อีกต่อไป ใครที่เคยอ่านงานเขียนของกนกพงศ์แล้ว คิดเลยเถิดว่าเขาคงเป็นคนเคร่งเครียดไม่น่าคบ เป็นความคิดที่ผิดครับ กนกพงศ์ในวงเป็นคนสนุกชอบอำ อยู่ด้วยแล้วมีความสุข ผมจึงรู้สึกเสียดาย แต่ถึงจะเสียดายอย่างไรก็คงห้ามเขาไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงบอกกับเพื่อนว่า ไปเถอะกนกพงศ์ ไปเริ่มต้นชีวิตตามที่ปรารถนา อย่าได้ห่วงอะไร ด้วยรัก *ชาติ กอบจิตติ* ****************************** ไม่ต้องสงสัย...*บินหลา สันกาลาคีรี* "ผมกับกนกพงศ์ไม่สนิทกัน เจอครั้งสุดท้ายประมาณ 7-8 ปีที่แล้ว เจอกันไม่เกิน 10 ครั้งในชีวิต เขาเคยเป็นรุ่นน้อง ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ แต่ไม่เจอกัน เพราะผมออกมาก่อน "ติดตามอ่านงานของกนกพงศ์มาตลอด โดยเฉพาะเล่มล่าสุดที่วางคือ โลกหมุนรอบตัวเอง อยากบอกว่าเป็นรวมเรื่องสั้นที่ดีมากๆ มาก จนกระทั่งรู้สึกว่า...คำว่า ลุ่มลึก ลึกซึ้ง มาใช้กับเล่มนี้ได้เลย ตั้งแต่กนกพงศ์แต่งเรื่องสั้นชุด แผ่นดินอื่น ก็ไม่ได้รวมเรื่องสั้นอีกเลยเกือบ 10 ปี งานชุด โลกหมุนรอบตัวเอง มีค่ามากกว่าเวลาเกือบ 10 ปีนั้น ยากมากที่จะเขียนให้ได้ขนาดนั้น และถ้าผมเขียนได้ถึงขนาดนั้น ก็คงไม่เสียดายชีวิตเท่าไหร่ "เมื่อรู้ว่ากนกพงศ์เสียชีวิตก็ใจหาย เพราะกนกพงศ์ของผมคือคำว่า ไม่ต้องสงสัย ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัย เขาเป็นของแท้ เขาเป็นมืออาชีพ เป็นตัวจริง ทั้งงานและตัวเขากลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน ผมเชื่อว่างานของเขาจะอยู่อีกนาน และเชื่อว่างานของเขา จะเป็นตำนานเรื่องสั้นของไทยเหมือนงานของ มนัส จรรยงค์ และเหมือนงานของนักเขียนอาวุโสหลายท่าน "กนกพงศ์เป็นที่รักของทุกคน ทุกคนรักเขา มีความรักมากมายให้เขา ก็แสดงว่าเขาต้องมีความรักมากมาย ให้คนอื่นด้วยเหมือนกัน...เป็นสิ่งที่สัมผัสได้" ยังจำคืนหนึ่ง ริมน้ำปิง นิ่ง นิ่ง นิ่ง เงียบงัน กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างเขา อ่านงานของคุณเล่มล่า ลมปลิว ใบไม้ป่า หลับตา ถอนใจยาว เจ้าหงิญของเรา เตาะแตะตามรอยเท้าคุณ หลายขวบปี ใจหาย, เสียดาย หรือชีวิต เกิดมาคิด เขียน ได้เพียงนี้ วันหน้า ณ ริมฝั่ง มหานที สอนผมอีกที ในความเงียบงัน *บินหลา สันกาลาคีรี* ************************ อาลัยกนกพงศ์.....*จิระนันท์ พิตรปรีชา* รับรู้ข่าวร้ายไม่รู้จบ กี่ร้อยพันศพ...ศึกแดนใต้ เรือนหมื่นคลื่นกวาดอนาถใจ ทิ้งรอยหม่นไหม้อันดามัน แล้วมาข่าวร้ายรายล่าสุด จบชีวิตปิดสมุดหยุดเขียนฝัน เพื่อนเรา "กนกพงศ์ สงสมพันธุ์" ฉับพลันจากพรากยากทำใจ ไร้เงาเหงาโค้งควนขนุน พิกุลร่วงบนพื้นป่าใหญ่ วรรณกรรมบทอำลา...สุดอาลัย ฝากผลงานคนใต้ให้แผ่นดิน *จิระนันท์ พิตรปรีชา* ************************** เปลวกนก กนกพงศ์.....*ศักดิ์ศิริ มีสมสืบ* กนกเปลวสะบัดปลาย อยู่แปลบปลาบ นรกซึ้งสวรรค์ทราบเจ้าสร้างสรรค์ ประชุมเพลิง "กนกพงศ์ สงสมพันธุ์" วงวรรณสะท้านไหวทั้งว่านวงศ์ คืนสู่ธรรมชาติแล้วธาตุสี่ เหลือธุลีอังคารเจ้าเป็นเถ้าผง หากคมคิดคมคำเจ้ายังคง กระเดื่องนามกนกพงศ์คงกระพัน แผ่นดินนี้ยากแค้นแสนขมขื่น แผ่นดินอื่นมีไหมให้ใจฝัน แผ่นดินใดเอื้อศรัทธาค่าชีวัน แผ่นดินนั้นสัจจธรรมจักดำรง แผ่นดินที่ความจนพ้นอดสู แผ่นดินซึ่งความรู้พ้นโลภหลง แผ่นดินซึ่งคนทุกข์ยังทระนง แผ่นดินซึ่งคนตรงยังยืนยัน ทางที่เราต้องผ่าน...สะพานขาด เรายังอาจฝ่าข้ามด้วยความฝัน เปลวกนก กนกพงศ์ส่องวงวรรณ จัดโชติชาวง เช่นนั้น...นิรันดร์ไป *ศักดิ์ศิริ มีสมสืบ* **************** แผ่นดินอื่นของกนกพงศ์......*อัศศิริ ธรรมโชติ* วันนี้ขอกล่าวถึงผลงานของเพื่อนนักเขียนคนหนึ่งซึ่งเพิ่งจากไป "แผ่นดินอื่น" คือชื่องานรวมเรื่องสั้นของเขา ที่ได้รับรางวัลซีไรต์ในปี พ.ศ.2539 ซึ่งคณะกรรมการตัดสินได้กล่าวสดุดีเอาไว้ มีความตอนหนึ่งว่า "สะท้อนความคิด ความเชื่อ คุณค่า และคตินิยมพื้นถิ่นอย่างลึกซึ้งและแหลมคม ให้เห็นว่าแม้ในสังคมที่ต่างวัฒนธรรม ต่างความเชื่อ มนุษย์ก็สามารถอยู่ร่วมกันด้วยไมตรีสัมพันธ์" นี่น่าจะหมายถึง การสะท้อนชีวิตและโลกของคนมุสลิมเอาไว้ในหนังสือเล่มนี้ กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ เป็นนักเขียนชาวใต้ เกิดที่พัทลุง แต่ได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของนครศรีธรรมราช จนกระทั่งวาระสุดท้าย แต่.. ก่อนหน้านั้นเขาได้ใช้ชีวิตไปทุกที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสามจังหวัดภาคใต้ที่กำลังมีปัญหาอยู่ในปัจจุบัน กนกพงศ์คลุกคลีและมีเพื่อนเป็นมุสลิมหลายคน เขาจึงเป็นนักเขียนคนหนึ่งซึ่งรู้จักและ เข้าใจโลกของคนมุสลิมในแถบชายแดนดี นับตั้งแต่ฮาราน ที่เป็นทหารชุดปฏิบัติการของรัฐบาล ครูสาวของเด็กนักเรียนอย่างฟาริดา คนงานอย่างกอเส็มซึ่งเป็นคนเลี้ยงแพะในกุโบร์ "หมู่บ้านมุสลิมไม่สนุก แน่ละ... เพราะเราจะหาเหล้าจากที่นี่ไม่ได้แม้เพียงหยด บูเก๊ะกรือซอในยามค่ำคืนจึงเต็มด้วยความว้าเหว่และหดหู่... ด้วยตกอยู่กลางวงล้อมของขุนเขา" นี่คือข้อความหนึ่งในเรื่องแผ่นดินอื่น กนกพงศ์เป็นนักเขียนผู้สามารถ ทั้งในการเล่าเรื่อง และใช้ภาษาสวยสมกับที่เป็นวรรณศิลป์ เขา เข้าใจโลกของคนมุสลิมดี อย่างที่เขากล่าวถึงฮารานว่า เป็นผู้ที่ถูกบ่มเพาะมาให้มีจิตใจเข้มแข็ง เปี่ยมด้วยความอดทนและรักในเพื่อนมนุษย์ เยี่ยงเดียวกับมุสลิมทั่วไป จิตใจของมุสลิมถูกฝึกฝนให้กอปรด้วยสามสิ่งนี้ตั้งแต่เล็กๆ ผมจึงอยากให้คอหนังสือ และผู้ที่สนใจ ในปัญหาของจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั่วไป ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ เพราะนี่คือ ผลงานทางวรรณกรรมชิ้นเยี่ยมที่กนกพงศ์ได้ทำไว้ จะลองอ่านฝีมือเขียนของเขาในบางตอนดูได้ "เพลงรองแง็งดังแว่วมาจากบ้านงาน หวานก้องของไวโอลิน ในเพลงลาฆูดูวอกรีดบาดหัวใจชวนให้สงสัยว่า นิ้วเรียวจากมือใดถึงพรมสาย ราวจะดึงจันทร์เพ็ญให้ลอยต่ำลงมาได้ถึงปานนั้น เด็กหนุ่มมุสลิมอีกสองคนยังอยู่ที่บ้านงาน เฝ้ารอลิเกฮูลูเอื้อนเสียงแข่งสำเนียงหวานกับน้ำค้างซึ่งพรมยอดหญ้า" กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ เจ็บป่วยและตายด้วยไข้หวัดใหญ่เมื่อวันมาฆบูชา ที่เพิ่งจะผ่านมานี้ด้วยวัยเพียง 40 ปี ช่างน่าเสียดายนัก จึงขอร่วมไว้อาลัยด้วยงานเขียนชิ้นนี้ครับ *อัศศิริ ธรรมโชติ* ******************* บันทึกสุดท้ายที่ไม่อยากเขียน กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ "ผมอยากจะเขียนนวนิยาย" โดย...คุณสาโรจน์ มณีรัตน์ ไม่น่าเชื่อว่าการเขียนถึง "กนกพงศ์ สงสมพันธุ์" ในอดีต สมัยเมื่อครั้งที่เขาได้รับรางวัลรวมเรื่องสั้นซีไรต์ ชุด "แผ่นดินอื่น" เมื่อปี 2539 ทั้งในเรื่องของวิธีคิด ลักษณะการทำงาน รวมไปถึงความมุ่งมั่น ที่เขาต้องการที่จะเป็นนักเขียนอาชีพ จะทำให้ต้องกลับมาเขียนถึงเขาอีกครั้งหนึ่ง ! ในฐานะนักเขียนนามอุโฆษ ที่จบชีวิตลงด้วยโรคน้ำท่วมปอด เมื่อตอนสายของวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2549 ที่ผ่านมา และจะฌาปนกิจในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2549 ทั้งที่จริงแล้ว การเขียนถึง "กนกพงศ์" ครั้งนี้ น่าจะเป็นการเขียนต่อยอด จากเมื่อครั้งที่เขาเคยขึ้นเวที "มติชนบุ๊คส์เดย์ตะลอนทัวร์" ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ เมื่อ 3-4 ปีผ่านมา ครั้งนั้นมี "พล.ท.บัญชร ชวาลศิลป์" ร่วมเวทีแสดงความคิดเห็นด้วย และ "กนกพงศ์" ได้เล่าไว้บนเวที ถึงความฝันในงานเขียนของเขาว่า ผมอยากจะเขียนนวนิยาย "เพียงแต่ตอนนี้ กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยผมวางพล็อตคร่าวๆ ให้ตัวละครคนหนึ่งถูกทุกคนมองว่าเป็นคนบ้า แต่คนบ้าคนนี้กลับเป็นผู้หยั่งรู้อนาคตทุกอย่าง พล็อตเป็นอย่างนี้ แต่รายละเอียดคงต้องลงไปเก็บข้อมูล ที่หลังคาแดง (โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี) อีกครั้ง" ตอนที่ "กนกพงศ์" พูดถึงงานเขียนนวนิยายเรื่องนี้ ผู้ฟังในหอประชุมค่อนข้างให้ความสนใจกันมาก ถึงขนาดเขียนคำถามมาถาม แต่เขาคงยังยืนยันความคิดเดิม "เป็นสิ่งที่ผมอยากทำครับ" เพียงแต่ว่ายังไม่ได้ทำ เหตุที่ "กนกพงศ์" อยากเขียนนวนิยาย เพราะภาพเดิมของเขาผ่านงานเขียนเรื่องสั้นมาแล้วหลายเล่ม รวมถึงรวมเรื่องสั้นเล่มสุดคือ "โลกหมุนรอบตัวเอง" และ นิตยสารเรื่องสั้น "ราหูอมจันทร์" เล่ม 1 ที่ขณะนี้คงอยู่ในขั้นตอนของการจัดทำอาร์ตเวิร์ค หรือไม่ก็คงใกล้จะแล้วเสร็จ เพราะเท่าที่ทราบ "กนกพงศ์" ค่อนข้างตั้งใจทำนิตยสารเล่มนี้เป็นอย่างมาก เพราะเขาอยากให้นิตยสารเล่มนี้ เสมือนเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับนักเขียน หรือแฟนานุแฟนที่ชื่นชอบงานวรรณกรรม แต่เขามาด่วนจากไปเสียก่อน ! ถ้ามองย้อนไปในอดีต ความมุ่งมั่นที่เขาอยากเป็นนักเขียน สิ่งหนึ่งน่าจะมาจาก "พ่อ" เพราะพ่อสืบเชื้อสายมาจากขุนโจรโบราณ พ่อซึ่งมีอดีตเป็นครู และพ่อผู้เปิดโอกาสให้ลูกๆ ทั้ง 3 คนขณะนั้น เลือกเป็นสมาชิกหนังสือเล่มใดก็ได้ โดยกนกพงศ์เลือกชัยพฤกษ์การ์ตูน พี่ชายเลือกการ์ตูนเด็กก้าวหน้า และพี่สาวเลือกขวัญเรือน ประกอบกับอิทธิพลอีกประการ ที่น่าจะมีส่วนทำให้กรอบความคิด มุมมอง ทัศนคติ ตลอดจนความเชื่อดั้งเดิมที่เกี่ยวกับสังคม การเมือง การทหาร หรือการจัดการของชาวบ้านแจ่มชัดขึ้น เพราะพื้นที่อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุงในอดีต เคยเป็นพื้นที่สีแดงมาก่อน ดังนั้น ภาพที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นภาพของความโหดร้าย หรือภาพของความไม่เป็นธรรม จึงเป็นภาพที่เขานำมาตั้งคำถามกับสังคม จนเกิดเป็นงานเขียนในยุคแรกๆ ที่มีฉาก บรรยากาศ หรือตัวละคร ล้วนสร้างขึ้นจากความทรงจำดั้งเดิม อาทิในรวมเรื่องสั้นชุด "สะพานขาด" อย่างไรก็ตาม เมื่อวิเคราะห์ลึกๆ "กนกพงศ์" แท้จริงแล้วงานเขียนของเขาพัฒนา เติบโตมาจากกรอบความคิดที่อิสระ มองถึงลักษณะของปัจเจก มองถึงเรื่องอัตถิภาวนิยม การแสดงออกระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์ มนุษย์กับมนุษย์ และ.. ท้ายสุด คืออารมณ์กับความรู้สึกที่เขาเข้าไปสัมผัสต่อเรื่องนั้นๆ "กนกพงศ์" เริ่มค้นพบโลกของเขา เขาจึงหันหลังให้โลกแห่งการศึกษา แต่กระนั้น เขาก็ขัดแย้งกับ "แม่" พอสมควร เพราะ "แม่" ไม่ต้องการให้เป็นนักเขียน "แม่ผมเป็นโนราห์ แม่อยากให้ผมเรียนจบ มีงานทำดีๆ แม่ไม่อยากให้ผมเป็นนักเขียน ดังนั้น เมื่อผมเลือกที่จะเป็นนักเขียน จึงมีปัญหากับแม่พอสมควร" แต่ ด้วยความมุ่งมั่นที่อยากจะเป็นนักเขียน จึงทำให้เขาเดินต่อไป ด้วยการไปรบกวนพี่ เพื่อน น้องในกลุ่มนาคร ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มวรรณกรรมท้องถิ่น ที่มีนักเขียนปักษ์ใต้มาชุมนุมมากที่สุด "กนกพงศ์" ใช้ชีวิตระหว่างนี้ ด้วยการฝึกฝนงานเขียนเป็นร้อยๆ เรื่อง แต่กระนั้น ก็ยังไม่ใช่จุดสูงสุดของ "กนกพงศ์" ที่อยากจะเดินต่อไป เพราะเขาเริ่มรู้สึกว่า ความฝันกับความเป็นจริงคนละเรื่อง เขาจึงตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปทำงานที่บริษัทเคล็ดไทย โดยทำอาร์ตเวิร์คบ้าง บรรณาธิการเล่มบ้าง แต่เขาทำได้ไม่นาน เพราะรู้สึกว่างานประจำมันแย่งเวลางานเขียนของเขาไป เขาจึงตัดสินใจไปเช่าบ้านอยู่กับเพื่อน ที่ทางขึ้นน้ำตกอ้ายเขียว อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช เพื่อเขียนหนังสืออย่างเป็นเรื่องเป็นราว จน..เรื่องสั้น "สะพานขาด" ได้รับการประดับช่อการะเกด จากบรรณาธิการสุชาติ สวัสดิ์ศรี ในชุดเดินข้ามคืน "โลกใบเล็กของซัลมาน" ได้รับการประดับช่อการะเกด จากบรรณาธิการสุชาติ สวัสดิ์ศรี ในชุดคนพันธุ์ใหม่ ถึงตรงนี้ "กนกพงศ์" เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น ในฐานะนักเขียนรุ่นใหม่ แต่นั่น ก็ยังไม่ใช่ความฝัน เพราะความฝันของนักเขียน นอกจากผลงานจะเป็นที่ยอมรับในระดับหนึ่ง การมีพ็อคเก็ตบุ๊กสักเล่มดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ภูมิใจยิ่งกว่า จน สำนักพิมพ์นกสีเหลืองของ "เวียง-วชิระ บัวสนธิ์" เล็งเห็นงานอันทรงคุณค่าที่สุด จึงพิมพ์รวมเรื่องสั้นชุดสะพานขาดออกมาในเดือนตุลาคม 2534 พฤษภาคม 2535 รวมเรื่องสั้นชุดคนใบเลี้ยงเดี่ยว จึงปรากฏออกมาเป็นเล่มที่สอง ถึงตรงนี้ ดูเหมือนเส้นทางที่ "กนกพงศ์" เลือกเดินจะแจ่มชัดขึ้น เพราะรวมเรื่องสั้นทั้ง 2 เล่ม ได้รับการกล่าวขานเป็นอย่างมาก จนถึงมีมือมืดส่งเรื่องสั้นทั้ง 2 เล่มนี้ เข้าชิงซีไรต์ ในปี 2536 แต่ "กนกพงศ์" ขอใช้สิทธินักเขียนขอถอนรวมเรื่องสั้นทั้ง 2 เล่มออกมา ทั้งๆ มีผู้วิจารณ์กันว่าหากเขาไม่ถอนรวมเรื่องสั้นครั้งนั้น เขาอาจเป็นนักเขียนซีไรต์ประจำปี 2536 ไปแล้วก็ได้ แต่ เขากลับไม่เชื่อเช่นนั้น เพราะเขาเชื่อตามที่ "เออร์เนสต์ แฮมมิ่งเวย์" นักประพันธ์ชาวอเมริกันที่บอกว่า "ข้าพเจ้าไม่ได้ประสบความสำเร็จเพราะเหตุบังเอิญ แต่ข้าพเจ้าประสบความสำเร็จเพราะทำงานหนัก" ความสำเร็จจากการทำงานหนักนี่เอง ที่พี่ชาย "เจน สงสมพันธุ์" รู้ดีว่า หากเขาปล่อยให้น้องชายเป็นอยู่อย่างนี้ ไม่เพียงแม่จะไม่สบายใจ หากยังทำให้น้องชายห่างไกลจากความฝันนานขึ้น ดังนั้น ทางเดียวที่จะทำให้ "กนกพงศ์" ใกล้สู่ความฝันเร็วขึ้น คือ.. ต้องตั้งสำนักพิมพ์นาครขึ้นมา ทางหนึ่ง เพื่อให้เขาจมจ่อมอยู่กับงานวรรณกรรม ทางหนึ่งเพื่อให้แม่สบายใจ และอีกทางหนึ่ง เขาจะได้มีรายได้เลี้ยงตัวเอง จน.. พอมีรายได้เพื่อไปเก็บข้อมูลมารังสรรค์งานวรรณกรรมต่อไป ! เหมือนอย่าง "แผ่นดินอื่น" เรื่องสั้นขนาดยาว ที่เขาใช้เวลากว่า 5 ปีในการเก็บข้อมูล วิจัย และทำการศึกษาอย่างจริงๆ จังๆ ฉะนั้น จึงไม่แปลกเมื่อ "แผ่นดินอื่น" ถูกเสนอชื่อเข้าชิงซีไรต์ในปี 2539 " เออร์สกิน คอล์ดเวลล์" ในร่าง "กนกพงศ์ สงสมพันธุ์" จึงได้รับการยอมรับให้เป็นนักเขียนซีไรต์ในที่สุด แต่ "กนกพงศ์" คงยังเป็น "กนกพงศ์" เขายอมรับว่าดีใจแต่ขณะเดียวกัน เขารู้ดีว่าเส้นทางที่ตัวเองเลือกเดินนั้นยังอีกยาวไกล ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาจะต้องเดินฝ่าไป "กนกพงศ์" รู้ดีว่า ทุกถิ่นฐานที่เขาอยู่ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเช่าทางขึ้นน้ำตกพรหมโลก บ้านเช่าทางขึ้นน้ำตกอ้ายเขียว หรือบ้านเช่าที่หุบเขาฝนโปรยไพร ล้วนเป็นแหล่งสร้างงานวรรณกรรมทั้งสิ้น โดยเฉพาะที่บ้านหุบเขาฝนโปรยไพร ที่ระยะหลังๆ เขามีโอกาสอยู่กับหญิงสาวผู้เป็นที่รัก "อุรุดา โควินทร์" ก็ล้วนเป็นแหล่งสร้างงานวรรณกรรมดีๆ ออกมาอยู่เสมอ แม้นานๆ ครั้งก็ตาม.. วันนี้.. แม้ไม่มีร่างเงาของ "กนกพงศ์" อีกต่อไปแล้ว แต่.. เชื่อแน่ว่าผลงานของเขาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรวมเรื่องสั้น บทกวี หรือบทเพลง ล้วนต่างเป็นภาพสะท้อน ที่หลายคนคงประจักษ์ชัดว่า เขาตั้งใจมากแค่ไหน ที่จะเป็นนักเขียนให้ได้ในวันหนึ่ง *วันนี้เขาเป็นนักเขียนแล้ว เป็นนักเขียนในกลางใจของผู้คน* และ.. เป็นหนึ่งในดวงใจ เป็นวีรบุรุษไพรของนักอยากจะเขียนเพียรฝันค้าง อีกคน...ที่ชื่อพุดพัดชาค่ะ ที่.. แสนรักแสนศรัทธาคารวะ..ตราบชีพวาย*
13 กุมภาพันธ์ 2552 19:00 น. - comment id 950009
มาร่วม..รำลึกถึง.ผู้ล่วงลับ...ด้วยคนนะคะ... แวะมาทักทายกันค่ะ...คิดถึงนะคะ
23 กุมภาพันธ์ 2552 21:34 น. - comment id 954871
ตามมาช้า...สิบวันให้หลัง แต่ใจยัง...รำลึกถึง บุคคลทรงคุณค่าแห่งวงกวี