ในกลางกรุงห้องหับปรับอากาศ ไม่ได้ขลาดกลัวร้อนอาทรแล้ง ในหมู่บ้านกลางป่านาระแหง แค่ลมแรงวนหมุนก็กรุ่นเกรง มีหลายลางบอกมาว่าฝนขาด หนาวที่บาดใจรอนกว่าค่อนเคร่ง ไฟไหม้ฟางที่โหมโลมบรรเลง ไม้ที่เบ่งผลิใบก็ไม่มี น้ำบ่อน้ำบาดาลพาลจะหมด คลองคดบึงคอดขอดเต็มที่ นกนาล่องหนาวเจ้าก็หนี บินรี่ขึ้นเหนือเพื่อพ้นภัย ลมหนาวจากเหนือก็ไม่ล่อง ลมใต้จากท้องทะเลใหญ่ ก็ไม่มาพัดพาดหายขาดไป เหลือเพียงลมร้อนไล่ในทุ่งแล้ง ชาวบ้านต่างก็รอบริจาค ทนลำบากทนร้อนรุกทั่วทุกแห่ง โอ่งอ่างถังตัดมาดัดแปลง เอาไว้เป็นแหล่งสำรองน้ำ ในกลางกรุงห้องหับปรับอากาศ กำลังวาดแผนการงานขม้ำ งบประมาณงบประเมาเอามายำ ไว้งบเหลือค่อยนำไปกู้ภัย กรมนั้นจะปันไปเท่านี้ อธิบดีจะเอาสักเท่าไหร่ นี่บำเหน็จท่านปลัดจัดเอาไป เงินกู้ภัยกู้ฐานะพระยาเมือง (ม้าก้านกล้วย)
23 กุมภาพันธ์ 2545 23:22 น. - comment id 37009
พี่ม้าจ๋า อ่านแล้วเห็นภาพพจน์เลย กลอนอ่านแล้วให้ความรู้สึกตามบทกลอน เพราะค่ะ เตยชอบที่พี่แต่งเล่นคำอ่ะ กลอนมีชีวิตเลยค่ะ
24 กุมภาพันธ์ 2545 02:12 น. - comment id 37053
พี่ม้าจ๋า... ลงท้ายเสียดสีได้ดีจริงๆ จ้า
24 กุมภาพันธ์ 2545 02:40 น. - comment id 37060
คนลำบากยังลำบากวันยังค่ำ ทุกคืนวันชอกช้ำตรมปมไม่หาย ทำงานหนักเพื่อปักหลักจนถึงตาย ทุกข์จะคลาย" คนขยัน " หาทำกิน ทานการให้เป็นสิ่งดี แต่ท่าทีถมทะเลไม่จบสิ้น แก้ปัญหาที่ปลายเหตุฉุดให้ดิ้น อย่าหวังสิ้นสงบศึกได้ดั่งอารมณ์ เลิกรอน้ำจากหลวงเหอะ..อิอิ
24 กุมภาพันธ์ 2545 06:27 น. - comment id 37093
พี่ม้าฯคะ...อิอิอิ...ช่างเหน็บแนมดีจัง
24 กุมภาพันธ์ 2545 23:35 น. - comment id 37201
ถึงพี่ม้าฯ ด้วยคน...อิอิ...กลอนอย่างนี้หาอ่านยากจ้า
24 กุมภาพันธ์ 2545 23:36 น. - comment id 37202
เจทท์เคยเห็นภาพแบบนี้ ที่อรัญประเทศ เมื่อนานหลายสิบปีมาแล้ว เป็นภาพที่ไม่อยากจะจำเท่าไหร่ ถ้าไม่ได้เจอกับตัวเอง คงไม่มีใครรู้ว่า มันทรมานขนาดไหน สำหรับคนกรุงเทพที่ยังต้องลุยน้ำท่วมตอนหน้าฝน จะมีใครเข้าใจบ้างหนอ