ตะวันลอยคล้อยหลบลงพลบค่ำ ลาดิ่งดำขอบฟ้าลึกกว่าเห็น รอนแสงลาลับล่วงแล้วช่วงเย็น ฟ้าเปลี่ยนเป็นมืดมัวทั่วทั้งฟ้า ริ้วลมแห่งเหมันต์หันหอบริ้ว ระเรียงเรื่อยเฉื่อยฉิวโกรกผิวหน้า รถด่วนดีเซลรางคนบางตา เคลื่อนเทียบชานชาลาสถานี อึกทึกผู้คนอลหม่าน ผู้โดยสารจอแจแลหาที่ มองเลขหมายซ้ายทีบ้างขวาที เดี๋ยวเดินชี้เดินเฉียด..สวนเบียดไป ฉันเก็บของเข้าชั้นสัมภาระ ก่อนจะผละเอนอิงพิงหัวไหล่ โยกปรับเบาะท้าวอาร์มตามชอบใจ เมื่อยังอีกยาวไกล ถึงปลายทาง ทอดสายตาอาลัย..ไปรอบรอบ ทะลุกรอบกระจก..จอหน้าต่าง แล้วเฉียบพลันทันใด..หัวใจคว้าง พลันเสียงรถบดราง..เคลื่อนออกแล้ว โอดลาภูมิลำเนา..เคล้าระทด ได้กำหนดรถด่วนขบวนแถว กวาดตามองท้องฟ้าทุ่งนาแนว สุดจะซ่อนเร้นแววตาอาวรณ์ ชายผู้นั่งแถวท้าย..ฝั่งซ้ายสุด ยังมิหยุดอิดออดทำทอดถอน ขณะการพลัดพรากจำจากจร กำลังเคลื่อนเลื่อนคลอนหมอนรถไฟ ริ้วลมแห่งเหมันต์ประชันริ้ว ระเรื่อยปลิวทิวทุ่งสะดุ้งไหว คล้ายทุ่งโศกโบกลาเคล้าอาลัย นวลจันทร์ไล้นวลนุ่มปลอบพุ่มพฤกษ์ รถด่วนขบวนเดิมเริ่มชะลอ ระหว่างฉันเริ่มกรอ...ความรู้สึก เก็บเอารอยอาลัยไว้เบื้องลึก พินิจเสียงอึกทึกรายรอบรถ เข้าสถานีสองของเส้นทาง ตามเวลาตารางวางกำหนด จากมืดมนปนเปลี่ยวทางเคี้ยวคด ค่อยทยอยน้อยลด..จนหมดวับ พลันจู่จู่ใจเปลี่ยวเสียวสะดุ้ง สายตาพุ่งถลันหน้าหันขวับ ลอบมองลอดหน้าต่างอย่างลับลับ แอบซึมซับความสวยด้วยวาวตา ระลอกลมระเรื่อยเอื่อยเอื่อยพัด สยายผมสะบัดเผยชัดหน้า ไฟหนุ่มโหมเปลวคุโชนอุรา ครั้นจะคว้าเอื้อมสอย..ก็ลอยลม เธอแหกออกนอกกรงกรอบวงเนตร แสนสังเวชหัวใจอย่างไรข่ม หวั่นไหวไปตามประสาห้วงอารมณ์ ทับแล้วถม..กลบทิ้ง..น่าชิงชัง แล้วอึกทึก..อีกหน...ก็อลหม่าน ผู้โดยสารใหม่มาหาที่นั่ง ฉันเอนพักสายตาแต่หูฟัง เบาะข้างดังเสียงเบียด ออดเอี๊ยดอ๊าด! ข่มเปลือกตาให้ปิดสนิทแนบ กลับยินเสียงกรอบแกรบของกระดาษ ตาเริ่มคลี่หรี่มองเห็นซองการ์ด ฟุ้งกลิ่นสาดโชยล้อมหอมจางจาง แต่นั่นก็มิเท่าเห็นเจ้าของ ผู้ถือซองชมพูนั่งอยู่ข้าง ใจเตลิดเปิดอกแล่นตกราง เทขบวนครวญครางอยู่ทางนี้ (แทบจะเปิดปากอ้า..เบิกตาค้าง นะนั่น..นางโฉมตรู..เมื่อครู่นี้) ชายผู้นั่งแถวท้ายฝั่งซ้ายสุด แทบจะหลุดตกพนักตักเก้าอี้ แต่ทว่าทั้งห้วงดวงฤดี หลุดไปที่พนักอ้อมตักเธอ รางจะคดรถจะเคลื่อนเหมือนไม่ทราบ มันหวิววาบสรรพางค์เหมือนอย่างเผลอ ติดภวังค์ขังตรึง..เหมือนหนึ่งละเมอ พาให้เซ่อลุกลนคนขี้อาย จนวังเวงหนึ่งหย่อมย่านโหวกเหวก ถูกเธอเสกเสียงแรกแทรกโดยง่าย ละมุนเกินกว่าหูจะรู้คลาย คำทักทายเพียงน้อยพร้อมรอยยิ้ม ฉุดฉันดำดิ่งไปไกลกว่าลึก เกินมโนสำนึกรู้สึกอิ่ม เกรงฉันกลัวหัวอกสั่นตกริม ขณะลิ้มพริ้มพรายสบสายตา สิ้นสุดกิริยาทุกอากัป นิ่งค้างรับจำนนผลประหม่า ใจยังสั่นไหวรัวตัวยังชา คล้ายเวลาหยุดลง.. ตรงสองเรา รู้สึกตัวอีกครั้ง...ตั้งยิ้มรับ พร้อมพร้อมกับเงยก้มเสยผมเผ้า เปล่งเสียงทักแกมอายคล้ายแผ่วเบา มือลูบเกาเปะปะเกะกะเกิน นอกจากใจพ่ายแพ้แต่แรกพบ ยังสยบอยู่ใต้ความอายเขิน ที่แอบมาโดยไม่ได้เชื้อเชิญ ทำเอาเปิ่นพาขันขำกันไป แล้วกำแพงรู้สึกเมื่อสักครู่ เหมือนผุดบานประตูอยู่ใกล้ใกล้ หลังยิ้มขำเพียงนิดเผลอคิดไกล แง้มประตูหัวใจไว้รับกัน จากความสวยแปรค่าเป็นน่ารัก ได้รู้จักแม้ช่วงเพียงสั้นสั้น แต่เหมือนเยื่อใยถูกคล้องผูกพัน หรืออาจฉันนั้นผิด...คิดฝ่ายเดียว ว่าแววตาคราแรกคนแปลกหน้า ช่วงเวลาถาโถมให้โน้มเหนี่ยว เป็นเคยคุ้นอุ่นใสนัยน์ตาเรียว แค่หนึ่งเที่ยวโดยสารการรถไฟ หากล้อรถไต่รางสร้างระยะ เราอาจสร้างพันธะด้วยการไต่- สองเส้นรางละขั้วสองหัวใจ ที่กำลังโยงใยสถานี สองคนจากสองทางต่างที่มา สบสายตาอาจสร้างโลกต่างสี แต่คล้ายรวมเป็นโลกเดียวที่มี ความพอดีผสมเหมือนกลมกลืน คืนนี้ดาวโคจรมาก่อนเมฆ แต่ดวงเอกเจิดจรัสกลางดาษดื่น คือดาวที่โน้มต่ำของค่ำคืน กลบดวงอื่นด้วยวาวดาวตาเธอ จ้องแววดาวประกายยามฉายแสง คล้ายดาวแฝงความในให้ไผลเผลอ ใช่ไหมเยื่อใยนั้นที่ฉันเจอ อยากชะเง้อถามดาวเกรงร้าวราน กระทั่งดาวดวงเอกถูกเมฆกลบ ซุกเข้าหลบเปลือกตาปิดประสาน ฉันกลับไม่อาจเลิกยิ้มเบิกบาน เมื่อไหล่ด้านขวาถูกเธอแนบซบ จะให้ทำฉันใดเล่าใจเอ๋ย แทบมิอาจนิ่งเฉยเสงี่ยมสงบ ปรารถนาเอ่อริมปริ่มทำนบ ก้มก็สบเธอเคียงเพียงเอื้อมมือ เสียงบรรเลงเพลงสุขก็ปลุกเร้า เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือ ดังเหมาะเจาะซึ้งพาเคลิ้มตาปรือ อยากยั้งยื้อเวลาให้ช้าลง ช่วงเวลาแห่งห้วงหฤหรรษ์ หนึ่งราตรีแสนสั้นน่าพิศวง เธอเอียงซบไหล่ฉันอย่างบรรจง จากนี้คงแยกทางต่างคนต่างไป ฉันเอียงแก้มแนบเคียงพูดเสียงคลอ อยากติดต่อขอเบอร์ฯเธอได้ไหม เธอดึงการ์ดแต่งงานจากด้านใน จึงเข้าใจบางอย่างกระจ่างชัด มันเหมือนสุขแล้วเศร้าเคล้าระคน เหมือนปะปนคละแฝงเหมือนแย้งขัด ปราสาททรายถูกคลื่นกลืนแล้วซัด กร่อนแล้วกัดราบลาดเรียบหาดทราย ถึงสถานีหน้าคงฟ้าสาง มองดูรางรถไฟ...แล้วใจหาย เราอาจได้พบกันวันสุดท้าย เธอใกล้ถึงสุดสาย..ของปลายทาง ฉันขอมองดวงตาประกายดาว อีกสักคราวก่อนลาเมื่อฟ้าสาง แสงสุรีย์แรกเยือนเหมือนดาวจาง แล้วเลือนรางลับหายจากสายตา ชายผู้นั่งฝั่งซ้ายแถวท้ายสุด ค่อยค่อยทรุดตัวขดอย่างหมดท่า เมื่อคนเคยนั่งข้างจากร้างลา ไปต่อหน้ากับคนบนบัตรเชิญ ครั้นจะตัดสัมพันธ์มันก็สาย แม้รู้จักอีกฝ่ายคล้ายผิวเผิน แต่หัวใจใยเยื่อก็เหลือเกิน ยากจะเมินอาลัยของใจตน พกดวงจิตอิดโรยลงโดยสาร สิ้นสุดการสัญจรจากตอนต้น แลเห็นใครหน้านิ่วยืนคิ้วชน ถามแกมบ่นโทรไปก็ไม่รับ ทำกระอักกระไอแสร้งใสซื่อ แต่เอื้อมมือคลึงแนบแอบลูบจับ รูปของเธอซ่อนอยู่รู้ลับลับ ก่อนตอบเมียปุบปับ ว่าหลับเพลิน ~ ๒๓ กันยายน ๒๕๕๔ ~
23 กันยายน 2554 13:20 น. - comment id 1208964
อ่านแล้วลุ้นๆตามค่ะ ว่าเหุตการณ์จะเป็นอย่างไร
23 กันยายน 2554 13:31 น. - comment id 1208968
สนุกจัง.....
23 กันยายน 2554 18:04 น. - comment id 1209035
สวัสดีค่ะคุณจ้อง เจรียงคำ อ่านเพลินนึงว่าเดินอยู่บนขบวนรถไฟ 55+ อ่านแล้วเชื่อเสมือนจริงตั้งแต่ต้นจนจบ อ่านแล้วนึกว่าคุณจ้องพบรักกับสาวไหน ลุ้นแทบตายที่ไหนได้ภรรยานั้นเอง ล้อเล่นนะค่ะคุณจ้อง- เจรียงคำ อย่าโกรธนะค่ะ
26 กันยายน 2554 11:36 น. - comment id 1209373
กลอนของพี่จ้องฯ... แซมไม่เคยผิดหวัง.. ขอบคุณที่แบ่งปันค่ะ... แซม
26 กันยายน 2554 17:39 น. - comment id 1209436
............ เข้าใจคิดกระทู้ บทกลอนไพเราะจ้ะ ...............
28 มกราคม 2555 13:37 น. - comment id 1222572
...เรื่องสั้นที่มีฉันทลักษณ์ โอ...งามนัก