1 ธันวาคม 2549 16:28 น. - comment id 633061
ประชาชนทั่วทิศคิดแตกต่าง จึงเกิดทางสองแพร่งแห่งปัญหา ต่างทิฐิดื้อแพ่งแย่งศรัทธา ไร้ปัญญาไตร่ตรองมองการณ์ไกล ลืมบ้านเมืองเรื่องจริงอิงความคิด ลืมถูกผิดหลงภาพฉาบเลื่อมใส หลงศรัทธาคนผิดเป็นพิษภัย มองด้วยใจเป็นกลางวางให้ตรง นำเหตุผลทั้งสองทางมาวางคู่ ไตร่ตรองดูพิเคราะห์ความตามประสงค์ เหตุและผลบนความต่างไหนมั่นคง ค่อยฟันธงก่อนทะเลาะเบาะแว้งกัน ควรเปิดตาเปิดใจเราให้กว้าง อคติวางด้วยจิตคิดสร้างสรรค์ ดี-ร้าย-เลว-มองที่ใจนัยสำคัญ รู้เท่าทัน...เพื่อชาติก่อนพลาดเอย เอางานเก่าเก็บมาร่วมลงด้วยค่ะ
1 ธันวาคม 2549 16:30 น. - comment id 633062
เป็นโรคร้ายกำเนิดเกิดช้าช้า เกินรักษาเยียวยาคิดแก้ไข เดี๋ยวโรคนี้โรคนั้นบั่นเรื่อยไป รุมทำให้พิการจนลาญร้าว
1 ธันวาคม 2549 16:48 น. - comment id 633065
เป็นประชาธิปไตยบนเส้นขนาน คอยจ้องผลาญคอยทำลายคอยไล่ล่า ประชาชาติอยู่อย่างไรใครจะพา ที่ต้องการคือครองฟ้าครองแผ่นดิน
1 ธันวาคม 2549 17:53 น. - comment id 633084
ช่วงนี้ผมปิดหูปิดตาจากข่าวสารแทบทุกชนิด ผ่อนคลายความเครียดของเราได้เยอะ ยังไงก็นึกถึงตนเองไว้ก่อน เอาตัวให้รอดเสียก่อน เดินไปไหนมาไหนไม่ค่อยภาคภูมิใจสักเท่าไหร่ เพราะไม่ได้เลือกผู้บริหารประเทศด้วยตนเอง
1 ธันวาคม 2549 18:10 น. - comment id 633093
ประชาธิปไตย ต้องมาจากผู้นำที่มีคุณธรรม.....(ถ้าผู้นำไม่มีคุณธรรม..ประชาธิปไตย..ก็คงเป็นเผด็จการ)..
1 ธันวาคม 2549 19:56 น. - comment id 633118
ไม่ขอออกความเห็นน่ะค่ะ...เพราะเกี่ยวกับการเมือง...แต่ชื่นชมในผลงานมากค่ะสุดยอดจริงๆ
1 ธันวาคม 2549 20:48 น. - comment id 633129
ชื่นชมในผลงานนะครับ แต่งได้เยี่ยมมากเลย ผมเทียบมะติดเลยอ่ะครับ ก็อย่างว่าละครับ ตอนนี้มีหลายคนดีความหายของคำว่า ประชาธิไตยไคนละทิศละทางกันหมด สังคมก็เลยวุ่นวาย ไม่ขอพุดมากกดีกว่าครับ เอาเป็นว่าชื่นชมผลงานกลอนบทนี้มากนะครับ แวะมาอ่านผ่านมาชื่นชมครับ
1 ธันวาคม 2549 21:10 น. - comment id 633146
1 ธันวาคม 2549 22:05 น. - comment id 633171
ไม่หนุกเลยน้องหมาหนุกก่า
1 ธันวาคม 2549 23:50 น. - comment id 633190
2 ธันวาคม 2549 09:46 น. - comment id 633240
แวะมาทักทายนะน้องชาย.... ...ในเวียงตอนเช้าเย็น..ตอนกลางวันร้อนตับแลบ...รักษาสุขภาพนะครับ
2 ธันวาคม 2549 10:12 น. - comment id 633257
แวะมาชื่นชมผลงาน และ กำลัง ค่ะ
3 ธันวาคม 2549 10:06 น. - comment id 633415
สวัสดีครับเพื่อนๆ ก่อนที่เราจะคุยกัน หรือ แสดงความคิดเห็นใดๆ กรุณาอ่าน ข้อความที่ผมคัดลอกมาก่อนนะครับ ร่มรื่นในเงาคิด สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร ด้านบวกของความหงุดหงิด "ฉันเชื่อว่าเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ หากเพียงจะเริ่มต้นหันกลับมารับฟังกันและกันอีกครั้ง ด้วยบทสนทนาอันเรียบง่าย ซื่อตรง และเคารพต่อความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่การพูดคุยเพื่อประนีประนอม ต่อรอง แก้ปัญหา โต้แย้ง หรือประชาสัมพันธ์ แต่เป็นบทสนทนาเรียบง่าย เปี่ยมไปด้วยความสัตย์จริง ซึ่งเราแต่ละคนจะมีโอกาสได้พูด มีผู้รับฟังเรา และเราต่างรับฟังกันและกันอย่างตั้งอกตั้งใจ" นั่นดูเหมือนบทสรุปที่ชัดเจนที่สุดสำหรับหนังสือ "หันหน้าเข้าหากัน" ของ มาร์กาเร็ต เจ. วีตเลย์ แปลเป็นภาษาไทยโดย บุลยา และอยากให้ขีดเส้นใต้คำว่า "การหันหน้าเข้าหากัน" ที่มาร์กาเร็ตขับเน้นขึ้นมานั้น เธอไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อประนีประนอม ต่อรอง แก้ปัญหา โต้แย้ง หรือประชาสัมพันธ์ แต่ต้องการให้เกิดการสนทนาอย่างเรียบง่าย จริงใจ เท่านั้น การได้สนทนากันต่างหาก ที่มันจะนำไปสู่ "สิ่งดีๆ" ที่เราไม่ได้คาดหมาย มาร์กาเร็ตบอกว่า แม้ระหว่างที่สนทนาถึงจะเกิดความรู้สึกในทางที่ไม่ดีก็ตาม แต่เธอก็บอกว่า อย่าไปรู้สึกว่าการรู้สึกไม่ดีนั้น จะไม่ดี หากเราพลิกมุมไปอีกนิด เราอาจจะมองเห็นคุณค่าบางอย่างได้ เธอยกตัวอย่าง "เมื่อไม่นานมาเพิ่งได้ยินบางอย่างที่ทำให้ฉันประหลาดใจ อะไรที่ทำให้ฉันตกตะลึง? คำตอบนี้ไม่ง่ายเลย ฉันคุ้นเคยกับการนั่งฟังพร้อมๆ กับพยักหน้าไปกับคำพูดที่ฉันเห็นด้วย แต่เมื่อสังเกตว่ามีคำพูดที่สร้างความประหลาดใจ ฉันกลับแลเห็นมุมมอง ความเชื่อ ตลอดจนการคาดคะเนถึงสิ่งต่างๆ ของตนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น การสังเกตเห็นถึงสิ่งที่ทำให้ฉันประหลาดใจและหงุดหงิดใจเป็นวิธีที่มีประโยชน์อย่างยิ่งในการช่วยให้มองเห็นความเชื่อที่ซุกซ่อนตัวอยู่ ถ้าคุณพูดอะไรที่ทำให้ฉันประหลาดใจ หมายความว่าฉันคะเนว่าสิ่งที่คุณพูดนั้นไม่ถูกต้องและไม่เป็นจริง ถ้าคุณพูดบางสิ่งที่ทำให้ฉันหงุดหงิด แปลว่าฉันเชื่อในสิ่งที่ตรงกันข้าม ความรู้สึกตกตะลึงที่ฉันมีต่อจุดยืนของคุณ ได้เปิดเผยจุดยืนของฉันออกมา เมื่อได้ยินตัวเองพูดว่า มีคนเชื่อเรื่องอย่างนี้ได้อย่างไร? จะมีแสงสาดส่องมาให้ฉันเห็นความเชื่อของตนเอง ชั่วขณะเหล่านี้นับเป็นของขวัญอันแสนวิเศษ เพราะเมื่อมองเห็นความเชื่อ และการคาดคะเนของตนเองแล้ว ก็จะสามารถตัดสินใจว่าจะยังให้คุณค่าต่อเรื่องนั้นหรือไม่" อาจจะยอกย้อนไปสักนิด อธิบายให้ง่ายขึ้น มาร์กาเร็ตกำลังบอกว่า อย่าไปรู้สึกหงุดหงิดกับสิ่งที่เราได้ฟังจากคนอื่นเลย การที่เราหงุดหงิดนั้น แสดงว่า เรามีความรู้สึก และความเชื่อต่างไปจากเขา การจับความรู้สึกตรงนั้นได้ แสดงให้เห็นเรา "ได้เข้าใจตัวเอง" เข้าใจว่า ว่าเรามีความเชื่อ หรือจุดยืนต่อเรื่องนั้นต่างจากเขานั่นเอง และสิ่งนั้น ทำให้เกิดสิ่งที่มาร์กาเร็ตใช้คำว่า เหมือน "มีแสงสาดส่องมาให้ฉันเห็นความเชื่อของตนเอง" กล่าวคือ เมื่อเรารู้จุดยืน ว่า เราเชื่อต่างจากความเชื่อของเขา ตรงนี้ ก็จะมาสู่ขั้นตอนการพิจารณา "ภายใน" ของตัวเราเองว่า เราจะเปลี่ยนความเชื่อของตัวเอง หรือยืนยันในความเชื่อนั้น หากเห็นว่าความเชื่อเขามีความถูกต้องกว่า เราก็อาจเปลี่ยนความเชื่อตนเอง แต่หากไม่เห็นด้วยกับความเชื่อนั้น เราก็ต้องมา "วางท่าที" ต่อความแตกต่างนั้น เพื่อไม่ให้ความแตกต่างนั้น กลายเป็นความขัดแย้ง กลายเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกัน หรือเลวร้ายสุดสุด คือ เป็นศัตรูกัน การเชื่อไม่เหมือนกัน ต้องไม่ทำให้เราเป็นฝ่ายตรงข้ามกัน มาร์กาเร็ตมีข้อเสนอเพื่อรับมือกับความแตกต่างอย่างน่าสนใจว่า "รับฟังสิ่งใหม่ๆ (จากความแตกต่างนั้น) และตั้งใจฟังให้ดีที่สุดว่ามีสิ่งใดที่แตกต่างหรือทำให้คุณประหลาดใจ ลองดูว่าการทำเยี่ยงนี้จะช่วยให้คุณได้เรียนรู้อะไรแปลกใหม่ ไปจากเดิมหรือไม่ สังเกตดูว่าสัมพันธภาพระหว่างคุณและคู่สนทนาได้งอกงามขึ้นหรือไม่ หากลองใช้วิธีนี้กับบางคน คุณอาจพบตนเองหัวเราะอย่างชื่นบานเมื่อตระหนักว่ามีหนทางอันพิเศษมากมายเพียงใดในการเป็นมนุษย์" ใช่แล้ว มนุษย์ไม่จำเป็น "ต้องเหมือนกัน" เราแตกต่างกันได้ แต่ต้องพยายามยอมรับความแตกต่างนั้น และมองเห็นประโยชน์ของความไม่เหมือนนั้นให้ได้ อยากให้คนในสังคมไทย ที่กำลังแตกเป็นเสี่ยงๆ ทั้งทางการเมือง ทั้งปัญหาในภาคใต้ ได้อ่านหนังสือเล่มนี้กันมากๆ อ่านแล้วจะได้ตระหนักถึงการหันหน้ามาสนทนากัน "ไม่ว่าการพูดคุยจะนำคุณไปสู่จุดใด ฉันเชื่อมั่นว่า ที่สุดคุณจะพบว่าการรับฟังและพูดคุยกับผู้อื่นนั้นจะช่วยเยียวยาความแตกแยก แบ่งพรรคแบ่งพวก และดึงความกล้าหาญกลับคืนมาสู่เเราอีกครั้ง เราสามารถเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ หากเพียงจะเริ่มหันกลับมารับฟังผู้อื่นอีกครั้ง" นั่นคือคำยืนยันของ มาร์กาเร็ต เจ. วีตเลย์ จากหนังสือมติชนสุดสัปดาห์ ประจำวันที่ 1-7 ธันวาคม 2549 ------------------------------------------------------------ เอาล่ะครับ.. และข้างล่างนี่คือสิ่งที่ผมคิด อันอเมริกานั้นไซร้ บริโภคประชาธิปไตย คลั่งไคล้สิทธิมนุษยชน จุ้นไปทั้งโลก แต่ไม่เคยมองดูพฤติกรรมหลายๆ อย่างที่เขาทำต่อใครๆ ในโลก อาทิ ถ้านายพุ่มไม้ ปธน.เมกา ยกพลไปถล่มใคร ยึดน้ำมันบ้านใครนี่อีกเรื่อง อย่างนี้ไม่ผิด แต่เรามีรัฐประหารขึ้นมา ก็ถามกันวุ่นวาย ผมไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหารครับ แต่ถ้าจะถามว่าการทำรัฐประหารครั้งนี้เป็นการล้มระบอบประชาธิปไตยหรือเปล่า คงต้องถามกลับว่า 5 ปีที่ผ่านมา ผู้นำของรัฐบาลชุดที่แล้วยึดมั่นในความเป็นประชาธิปไตยหรือเปล่ า คำว่า ประชาธิปไตย มันถูกทำลายโดยสิ้นเชิงแล้วครับ จะยังไงก็เหอะ สิ่งหนึ่งที่เราต้องทำการปฏิรูปคือ ปฏิรูปการเรียนรู้ ฟื้นฟูสังคมรากหญ้ามากกว่า ผมไม่ได้ดูถูกคนรากหญ้าว่าเป็นคนไม่มีความรู้ โง่เง่าเต่าตุ่นนะครับ เพราะผมก็เสพข้อมูลอะไรไม่ต่างจากพวกเขา ความจริงแล้วเห็นว่าคนรากหญ้ามีส่วนร่วมทางการเมืองมาก แต่สิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นการโดนหลอก จากกลุ่มผู้มีอำนาจ การที่ชาวบ้านกระสันจะไปเลือกตั้ง เพราะถูกเป่าปี่ใส่หูทุกวันว่า ประชาธิปไตยมาจากการเลือกตั้ง ทั้งที่การเลือกตั้งเป็นแค่ส่วนประกอบของประชาธิปไตยเท่านั้น แล้วยิ่งเศรษฐกิจพอเพียงยิ่งเป็นการบอกเล่าที่ไม่เกิดผลอะไรเลย ครับเมื่อนักเศรษฐศาสตร์พร่ำบอกว่า การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ แต่ดูหนี้บัตรเครดิตของสาวโรงงาน หนี้กองทุนหมู่บ้าน แม้แต่หนี้ของครูบาอาจารย์อีก น่าตกใจมากครับ นี่อาจคือคำตอบที่ว่าทำไมชาวบ้านถึงรับฟังแต่กระแสหลัก ใครขึ้นมามีอำนาจก็เชื่อกันหมด หมั่นไส้นักข่าวที่ชอบตั้งคำถามที่คิดว่าดูฉลาด ซักโน่นซักนี่ วางฟอร์ม เห็นก็เซ็ง ทั้งที่ถึงวันนี้ก็คิดว่า บ้านเมืองยังไม่มีที่ว่าจะสงบได้เลย คนไทยเอาใจยาก รัฐบาลต้องมาจากการเลือกตั้ง ตั้งมาก็ไล่ ทหารปฏิวัติให้ก็โห่ สอนทหารอีกต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ คนไทยเก่งนะครับ แต่พาชาติล่มจม บางทีการพึ่งพาต่างชาติ ก็เพราะเป็นประเทศกสิกรรม หรือจะคิดปล่อยให้เราอยู่ตามยถากรรมดี อย่าไปพัฒนาเลย ก็ดูอัปยศมาก วางฟอร์มว่ารอบคอบ แต่แท้จริงขี้ขลาด หวังพึ่งฟ้าแต่ดันอวดดีกับฟ้า หาความเจริญไม่ได้ มองเห็นแต่คนไทยทึ้งแผ่นดิน มองต่างประเทศอย่าง อินเดีย ที่ยากจนที่สุด แต่เขาไม่มีการขายเสียงเลย เพราะมีการศึกษาสูง ซึ่งผมมองว่า ประเทศเราคงไม่อยากพัฒนาด้านการศึกษา เพราะรัฐบาลทุนนิยมคงไม่ทำแน่ เพราะคนโง่เป็นเหยื่ออันโอชะ ถึงรำคาญพวกที่เป็นซัมบอดี้ของสังคมทั้งหลายที่ชอบตั้งคำถาม ไม่ช่วยกันคิดทางไปข้างหน้า ถ้าว่า ถอยหลังลงคลอง ก็คงงั้นล่ะครับสำหรับผม แต่จะให้เดินหน้าลงเหว หรือรอดูประวัติศาสตร์ซ้ำซากของตุลาฯ ที่มีการยิงกันตาย ก็ดูจะตอบคำถามว่า เราเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง กระนั้นหรือ สำหรับเรื่องนายทหารที่เข้ามาทำการยึดอำนาจ กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นนักรัฐประหารไหม ซึ่งผมเองก็ไม่ได้คิดว่า เขาเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาแต่อย่างใด เพียงแต่หวังว่าเขาจะไม่มีเจตนาร้าย เพราะตัวอย่างรัฐประหารที่ไม่แสวงหาอำนาจก็มีให้เห็นในต่างประเ ทศ ไหนๆ ก็มีค่านิยมแบบไทยๆ ที่ชอบอ้างต่างประเทศ เหมือนเรามีวัฒนธรรมขึ้นมาบ้าง ซึ่งคำว่า culture น่าจะมีความหมายว่า พฤติธรรมมากกว่านะ การแสดงออกประชาธิปไตยที่ถูกต้องนั้นประชาชนต้องแสดงออกครับ แม้ท่ามกลางกฎอัยการศึกก็ถือเป็นกฎอัยการศึกแบบประชาธิปไตย ที่มันมีปัญหามาตลอดเพราะก่อนการปฏิวัติเพราะคนไม่แสดงออก พอแสดงออกก็ก้าวร้าว ปราศจากอารมณ์ขัน ดูไม่เจริญ เป็นประชาธิปไตยไม่ได้ ไอ้ที่ ปาวๆ ว่าประชาชนต้องเป็นใหญ่ในแผ่นดินอีก ทั้งๆ ที่เรามีพระเจ้าอยู่หัวอยู่ กรอกหูกันทุกวันโดยไม่แหกตาดูว่า ประชาชนค่อนประเทศเป็นยังไง อำนาจอยู่ในมือพวกนั้นทีไร ก็ล่ม เดือดร้อนพระเจ้าอยู่หัวทุกที ไม่เคยมีสำนึกว่าเราเป็นประเทศเดียวที่มีพระเจ้าแผ่นปกครองโดยธรรมและทำ แค่คำว่าชาติ ในสายตาชนชั้นกลางกับชนชั้นล่างยังต่างกันเลย ชีวิตที่มันปากกัดตีนถีบ เพราะรักตัวเองกับการที่มีรัฐบาลเลี้ยงไข้ ไม่ได้ลืมตาอ้าปาก มีแต่พระเจ้าอยู่หัวเท่านั้นที่ทรงช่วยชนชั้นล่างอย่าง จริงจัง และ จีรัง และอีกเรื่องที่ไม่เคยเชื่อเลยว่า ความคิดแตกต่างแต่เราไม่แตกแยก โดยเฉพาะถ้าต้องพูดกับ คนที่ตะแบงเพียงอย่างเดียว ในฐานะคนไทย ที่มีความเป็นอยู่พอเพียงอย่างไทยๆ นะครับ ทุนนิยมที่คำนึงถึงประสิทธิผล กำไร ผลตอบแทน พร้อมจะแปลงทรัพยากรทุกอย่างให้เป็นทุน ความพอเพียงตรงนี้จะกลายเป็นเครื่องถ่วงรั้งการเติบโต การเป็นวัตถุนิยมสุดๆ ทำให้เห็นแก่ตัวมากขึ้น ขาดจิตอาสาสมัคร ขาดจิตใจที่ออกมารับใช้งานของส่วนรวม และคนเราควรมีความสุขจากข้างใน ไม่ใช่ความสุขจากข้างนอกที่วัตถุนิยมตอบสนองได้ แต่สำหรับมนุษย์ชั้นรากหญ้าของประเทศที่ปากกัดตีนถีบจะเข้าใจไห ม ความพอเพียงในความคิดผมนะ หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอ ที่จะรับผลกระทบการเปลี่ยนแปลงได้ทั้งภายนอกและภายใน ปรับตัวให้สมดุลและพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กว้างขวาง ทั้งด้านวัตถุและสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้บ้าง ยังไงก็ต้องสร้างจากพื้นฐานจิตใจของคนในชาติโดยเฉพาะเจ้าหน้าที ่ของรัฐ นักธุรกิจฯลฯ ให้มีจิตสำนึกในคุณธรรม (สำหรับผม ขอสักข้อ คือมีหิริโอตตัปปะ บ้างก็ยังดี) ซื่อสัตย์สุจริตบ้าง มีสติ มีความรอบคอบบ้าง ผมไม่ได้มีความสุขโดยการเรียกร้องให้เรากลับไปอยู่สังคมดั้งเดิ ม หรือ ดึกดำบรรพ์ ที่ไหน เพียงแต่ว่าสิ่งที่หยิบยื่นให้เขาน่ะ มันเกินความจำเป็น เอาเงินไปล่อ หลอกลวงให้เห็นสวรรค์ทั้งที่ยังไม่ได้สร้างอะไรเป็นชิ้นป็นอัน เชื่อว่า เพื่อนๆ คงเคยอ่าน โดราเอมอน กันนะครับ หุ่นแมวโลกอนาคต ที่คนไทย ส่วนหนึ่งจะมองว่า เจ้าแมวนี้มันน่ารัก เป็นหุ่นแมวที่ถูกส่งมาช่วยเหลือปู่ทวด คือเจ้าโนบิตะ อ่านเพลินๆ ก็อยากเป็นเจ้าโนบิตะ เพราะมีของวิเศษตอบสนองความต้องการได้ มันก็แค่ความหมายของคนที่ยึดติดเพียงปัจจุบัน ลืมมองผลเสียระยะยาวของเรื่องอนาคต แต่ถ้าคนไทยที่มอง ใช้มุมมองแห่งความจริง ย่อมมองว่า เจ้าโดราเอมอน ไม่ได้ช่วยเจ้าโนบิตะแต่อย่างใด หากเป็น โดราเอมอนประชานิยม ที่ได้แต่หยิบยื่นของวิเศษ ในรูปโครงการต่างๆ จนทำให้คนไทยอย่างโนบิตะเสียคน ถึงพยายามเน้น เรื่องการศึกษามากกว่าอย่าอื่น เมื่อคนเรามีโอกาสได้เรียน และเรียนได้ บ้านเมืองจะไม่แย่ขนาดนี้ บางทีผมก็อยากตอบใครๆ แบบนี้เช่นกันครับว่า การต่อสู้ทางการเมืองที่ผ่านมา เหตุผลที่คนยินดีกับการรัฐประหารนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะหยิบยกเอาตำราหรือทฤษฎีทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาวิเคราะห์ได้ หากใครจะหยิบยกเอาทฤษฎีขึ้นมาวิเคราะห์ก็คงจะได้คำตอบที่เฉไฉไป จากสถานการณ์ที่เป็นจริง และปวดหัวไม่เข้าใจไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ที่ทำไมคนไทยถึงได้ออกมามีความสุขกับรถถังและทหารที่ประจำการอยู่ทั่วบ้านทั่วเมืองตอนนี้ เพราะจริงๆ แล้วมันไม่ใช่บทสรุปของการต่อสู้ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย หรือว่าการต่อสู้ทางการเมืองในรูปแบบใด มันคือบทสรุปของการต่อสู้กันระหว่างความดีกับความช ั่วต่างหาก เรากลัวประเทศจะเสียภาพลักษณ์ ประเภทที่ว่า ประชาธิปไตยจะเริ่มต้นศูนย์อีกไม่ได้ ทั้งที่มันโดนทำลายมานานกว่า 5 ปีแล้ว ต่อให้เลือกตั้ง เขาก็กลับมาอยู่ดี เราจะโทษอะไรดี ฝ่ายค้านก็ไม่เอาไหน คนไทยรักนายเหลี่ยมอยู่ เราต้องทนเคารพเสียงข้างมากเพราะยังไง๊ก็โกงเข้ามาโกยได้อีก เปลี่ยนอำนาจเป็นทหารเพื่อยุติเส้นสายการกิน การโกงมั่ง จะต่างอะไรที่เปลี่ยนผีตัวอื่นมาโกยบ้านโกยเมือง ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า การทำการปฏิวัติแต่ละครั้งนำมาซึ่งการเสื่อมเสียเกียรติยศและศั กดิ์ศรีของทหารอย่างมากด้วย..แต่ในที่สุด มันก็เกิดขึ้น และผมก็คิดอีกว่า รัฐประหารครั้งนี้ก็เขวี้ยงงูไม่พ้นคอ เพราะแม้จะคืนอำนาจให้กับประชาชนรากหญ้า ซึ่งยังจมปลักกับการศึกษาที่โหลยโท่ยอยู่แบบนี้ นายเหลี่ยมก็กลับมาอยู่ดี ถึงเวลานั้นก็ไม่มีใครรับประกันว่าทหารจะไม่ใช้ความรุนแรง ซึ่งมันก็ประชาธิปไตยดี..มั้ง ถึงหลายคนจะไม่เห็นด้วยไม่ยอมรับการรัฐประหาร แต่ผมก็ยอมรับอย่างหนึ่งว่า ประชาธิปไตยของไทยนั้นยังต้องผ่านการลองผิดลองถูกอีกมา จนกว่าจะค้นพบรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของไทยอย่างแท้จริงและสมคว รเป็นอย่างยิ่งที่ว่า นานาประเทศจะได้ไม่ต้องมาสงสัยอะไรอีก เรื่องรัฐประหารในเมืองไทย เน้นย้ำว่าแบบฉบับเมืองไทย นักประชาธิปไตย เน้นว่า"จำนวนหนึ่ง"แสดงออกถึงการผิดหวัง ไม่เห็นด้วยที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามกติกา และเป็นวิกฤติเนื่องจากขัดแย้งกับกติกาว่าด้วยระบอบประชาธิปไตย โดยสิ้นเชิง เพราะเราคิดว่าประชาธิปไตยไปไม่ถึงไหนเสียที ยังพึ่งพิงอำนาจ หรืออิทธิพลเหนือกฎเกณฑ์ ไม่ตามกรอบอันดี ความยุติธรรมทัดเทียมของประชาชน ประชาธิปไตยคล้ายอุดมคติอันงดงามที่หากมีจริง ก็ทำให้สังคมบรรลุถึงจุดสุดยอดของการปกครอง แต่...เป็นการยึดติดโดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริงของสภาพชีวิตที่ เป็นอยู่ เพราะความจริงแล้ว ประชาธิปไตยเป็นการเขียนขึ้นจากคนบางกลุ่ม บางประเภท บางรูปแบบการศึกษา และบางพื้นฐานวัฒนธรรมและความคิด ที่ต้องยอมรับว่า ไม่ได้แทนเสียงของมนุษย์ทั้งโลกด้วย ธรรมชาติของความขี้สงสัยของมนุษย์ทำให้เกิดวิทยาศาสตร์ ธรรมชาติของความหวาดกลัวและต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวของมนุษย์ทำให ้มนุษย์มีศาสนา ธรรมชาติของความชิงดีชิงเด่นต้องการเอาชนะของมนุษย์ทำให้มีสงคราม ไม่ว่าเราจะรู้คำตอบของธรรมชาติหรือไม่ เราก็ต้องดำเนินชีวิตไปตามธรรมชาติอยู่ดี การเมืองการปกครองก็เหมือนกัน มันก็ดำเนินไปตามธรรมชาติ และ สภาวการณ์แต่ละช่วง สังคมของมนุษย์ มีจุดหมายคือความสุขซึ่งความดี ความเสมอภาค ซึ่งเป็นนามธรรม วัดไม่ได้อีกนั่นแหละ ผมก็แค่มาเล่าสู่กันฟัง ไม่ได้มาเถียงข้างๆ คูๆ เพราะเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะคลี่คลายไปในทางที่มันต้องเป็น ไม่ใช่อุดมคติของมนุษย์บางกลุ่มที่สำคัญตนว่าบรรลุแล้ว เพราะในชีวิตจริงมันก็มีโหดร้าย ผิดหวังเป็นเรื่องธรรมดาอะครับ
3 ธันวาคม 2549 10:18 น. - comment id 633416
สวัสดีครับ..คุณเฌอมาลย์ ชอบบทกลอนที่คุณสื่อนะครับ ขอบคุณมากครับ -------------- ขอบคุณครับ คุณก้าวที่..กล้า -------------- ขอบคุณครับ คุณทางแสงดาว -------------- ขอบคุณครับ คุณชัยชนะ ผมทนได้ทุกสถานการณ์ น่ะครับ ไม่ว่าบ้านเมืองจะแบบไหน ผมก็ยังติดตามเสมอ ทำอะไรเท่าที่ผมทำได้ครับ ขอบคุณสำหรับความคิดเห็น ผมอยากบอกว่า ผมมีพื้นที่เล็กๆ สำหรับผมให้ผมแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นการคุยกับพี่ที่ผมนับถือ และมองต่างขั้วกับผมอย่างสิ้นเชิง แต่สิ่งหนึ่งที่เราคุยกันคือ ความจริงใจ ที่เรามอง และเห็นต่าง ผมเคารพ และรับได้กับมุมมองของพี่เขาเรื่องความเสียหายต่อบ้านเมืองกับการรัฐประหาร เพราะเป็นการแสดงความคิดเห็น ไม่ใช่ตะแบงจะเอาชนะ บางครั้ง การไม่ทำอะไรเลย ก็ดี คือ ไม่ผิด แต่การแสดงออก ก็เสี่ยงต่อการดูถูกว่า คิดสั้น คิดตื้น คิดได้แค่นี้หรือ บางทีคนเราก็อาจจะกลัวว่าใครจะว่าเราว่าโง่ ครับ ผมยังโง่อยู่ ยังต้องอ่านหนังสืออยู่ ยังต้องหาอะไรอ่านอยู่ และยังต้องวิเคราะห์อยู่ ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้ว่า เรายังโง่ ยังมีอะไรที่เรายังไม่รู้อีกเยอะ และการเปิดปากพูดกับพี่ ที่ผมนับถือ ทำให้เรามองตัวเอง และเริ่มหาข้อมูลเพิ่มขึ้น ซึ่งนั่นคือวิสัยที่เราควรคุยกัน ขอบคุณครับ ที่เข้ามาทักทายผม มีอะไรคุยกันนะครับ สบายดีนะครับ
3 ธันวาคม 2549 10:22 น. - comment id 633417
สวัสดีครับ..คุณแสงตะวัน นั่นแหละครับ ที่ผู้นำควรมี เรามีคนเก่งเต็มประเทศแล้วครับ การเป็นผู้นำ ขาดไม่ได้ก็เรื่องนี้แหละครับ อาจจะต้องสูงกว่ามาตรฐานของคนธรรมดาด้วย ขอบคุณครับที่เข่ามาทักทาย ----------- สวัสดีครับ คุณกระต่ายใต้เงาจันทร์ คุณใช้สิทธิ์ในการไม่พูด ผมเคารพสิทธิ์คุณนะ ขอบคุณสำหรับดอกไม้ครับ
3 ธันวาคม 2549 10:33 น. - comment id 633418
สวัสดีครับ..คุณวิจิตรวาทะลักษณ์ ผมชื่นชมการแสดงออก และความจริงใจในบทกลอนของคุณมากกว่านะครับ ผมเห็นตรงนั้น ผมสนใจการเมืองแค่ไหน ผมไม่รู้ เพียงแต่อาจจะขลุกอยู่ที่ประชาไทย หรือที่ไฟลามทุ่ง อ่านโน่นนี่ คุยกับคอลัมนสต์ที่ผมชื่นชม ชื่นชอบ แต่ไม่ต้องเชื่อทั้งหมด เขาเหล่านั้น ไม่ว่าจะคุณชัชชรินทร์ คุณ อัศศิริ สิงห์สนามหลวง คุณเสกสรรค์ หรือใครอีกหลายต่อหลายคนที่ผมติดตาม เพราะเขียนชื่อก็คงไม่หมด ผมชอบวิธีคิด การพูด การเขียน การแสดงออก รุ่นใหม่ก็เยอะครับ อย่างผมชอบความคิด คุณคุ่น คุณวินทร์ ก็ตามอ่าน ทำนองนั้น เชื่อว่าคุณน่าจะได้อ่านงานบุคคลที่คุณชื่นชอบอยู่ ผมไม่สนใจกับการถูกบริภาษณ์แบบไม่มีเหตุผล ไม่แสดงตัวนะครับ เพราะนั่นคือ เรายังไม่รู้จัก ในเมื่อไม่แสดงตัวก็อย่าออกความเห็นเลย ผมจะตอบได้ยังไง ผมก็ไม่มีภูมิอะไรให้ใครมาลองด้วย คิดต่างยังไงก็คุยกัน ขอบคุณสำหรับคำชื่นชม ตอนอายุเท่าคุณ ผมยังเขียนกลอนไม่เป็นเลยครับ ยังทำงานรับใช้ชาวต่างชาติอยู่เลย เชื่อว่า คุณเป็นคนรุ่นใหม่ ที่เดินทางสายนี้ได้ดีนะครับ
3 ธันวาคม 2549 11:07 น. - comment id 633422
ขอบคุณอีกครั้งกับดอกไม้ครับ คุณแสงตะวัน -------- สวัสดีครับ น้องบัว เรื่องลูกชายพี่..ไว้มีเวลาว่างๆ พี่จไปนั่งพิมพ์ให้อ่านครับ เพราะยังมีวีรกรรมเขาอีกเยอะ นายตังเม บางวันพี่หมั่นไส้เขาจนต้องเรียก นายถุงดำก็มี บล็อคที่นั่น พี่พูดอย่างไม่อายเลยครับ ว่าหลานเขาทำให้ แบคกราวน์ที่เปลี่ยนบ่อย เพราะเคยเมล์ถามเพื่อน และก็ได้รับไมตรีอย่างดีเสมอมา คอยแนะนำ และส่งลิ้งค์วิธีสร้างบล็อคให้ พี่ก็ส่งให้หลาน กับน้องสาวจัดการ เขาก็จัดการได้ดี พี่แค่ก็อปลงอย่างเดียว ทั้งแบคกราวน์ ทั้งเพลง ฉะนั้น อย่าแปลกใจ บางที เพลงกับกลอนไปกันไม่ได้เลย สบายดีนะครับ ---------- สวัสดีครับ คุณ tiki ------------- หวัดดีคับ พี่ชาย บ้านผมหนาวแล้วครับ วันไหนขี่มอ'ไซต์มาเปิดร้าน ปวดหูมากเลย หนาวอะครับ แต่กลางวัน ก็ร้อนตับแล่บ เหมียนกัลล์ครับ พี่สบายดีนะครับ ไม่เขียนกลอนมาให้อ่านบ้างเลย ------------ ขอบคุณมากครับ คุณทะเลใจ
3 ธันวาคม 2549 22:04 น. - comment id 633526
มาทักทายค่ะ เอาดอกไม้มาฝาก
4 ธันวาคม 2549 10:42 น. - comment id 633582
ผมเก็บกลอนนี้ไว้ เชื่อว่าหลายคนต้องได้อ่านมาแล้ว แต่ผมชอบอยู่มาก ขออนุญาตนำมาลงที่นี่ ด้วยความเคารพครับ -หัวใจเมือง- เขียนโดย คุณถนอม อัครเศรณี ซึ่งใช้นามปากกาว่า "อัครรักษ์" เขียนขึ้นในสมัยของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เมืองใดไม่มีทหารหาญ เมืองนั้นไม่นานเป็นข้า เมืองใดไร้จอมพารา เมืองนั้นไม่ช้าอับจน เมืองใดไม่มีพาณิชย์เลิศ เมืองนั้นย่อมเกิดสับสน เมืองใดไร้ศิลป์โสภณ เมืองนั้นไม่พ้นเสื่อมทราม เมืองใดไม่มีกวีแก้ว เมืองนั้นไม่แคล้วคนหยาม เมืองใดไร้นารีงาม เมืองนั้นสิ้นความภูมิใจ เมืองใดไม่มีดนตรีเลิศ เมืองนั้นไม่เพริศพิศมัย เมืองใดไร้ธรรมอำไพ เมืองนั้นบรรลัยแน่นอน สวัสดีครับ คุณวาที สบายดีนะครับ ขอบคุณครับที่เข้ามาทักทาย
5 ธันวาคม 2549 12:41 น. - comment id 633729
ภาพที่ค.ห. 19 . ให้ความรู้สึกดีนะคะ ดอกไม้ที่ปลายปืน .. ในความแข็งกร้าวยังปรากฏความงดงามของหัวใจ แตกต่างจากภาพบางอย่าง ที่คุณพอจะนึกออก (เชื่อว่านึกออกค่ะ) ซึ่งไม่งดงามเอาเสียเลย
5 ธันวาคม 2549 14:34 น. - comment id 633756
สวัสดีวันพ่อครับ..คุณอัลมิตรา ภาพนี้ ภาพนี้ หรือภาพนี้ครับ นอกเหนือจากนี้ ภาพที่ไม่งดงาม ไม่ควรเก็บไว้ในใจ ขอให้มีความสุขในวันพ่อครับ