ไม่กลัว ที่จะก้าว... เด็กน้อยเฝ้า..เรียนรู้ ประสบการณ์ ผู้ใหญ่..ชี้..สิ่ง ที่ผ่าน ไม่ ร้าวราน ..อ้างว้าง... เส้นทางเดิน... ร้องไห้...ถูกกระทบ.. กับบางกฏ..ไม่เข้าใจ.. ท้อ.. ลุกสู้ ใหม่.. แค่..ร้องไห้.. เสียใจ..ในนิยาม กำลังใจ..ได้รับ.. เป็นหลัก..ยืนหยัด ...งดงาม.. หยิบปากกา... เขียนคำถาม สื่อนิยาม..วาดใหม่..ให้ใครกัน? .. ...................... ต้นกล้า..วรรณกรรม.. ชอบทุกคำ.. ที่..สื่อ..ในความหมาย... อยากเป็น..ต้นกล้า.. ลิขิตลาย.... จะหัดสาย ลายต้นกล้า..อย่างพากเพียร... ..เรน..ขอบคุณ...บทกวี.. ที่สร้าง.. กำลังใจ... ในเส้นสาย..ลายวรรณกรรม.. ของพี่รัถยา ..นะคะ.. เรน...ชอบมากเลยคะ... ... อันข้างบน...เรน..หัดแต่ง..นะคะ.. ..........
14 กรกฎาคม 2547 08:53 น. - comment id 298042
ต้นกล้า.วรรณกรรม.. ชอบคำนี้จังเลยครับ คิดว่า อีกไม่นานต้นกล้าต้นนี้ คงผลิดอก ออกผลมาให้ชาวไทยโพเอ็มได้ชื่นชมนะ จะขอรออยู่ตรงนี้ จนกว่าจะได้ลิ้มรสชาต ิแห่งความหวาน๚ะ๛ size>
14 กรกฎาคม 2547 09:11 น. - comment id 298049
ท้อ.. ลุกสู้ ใหม่.. แค่..ร้องไห้.. เสียใจ..ในนิยาม กำลังใจ..ได้รับ.. เป็นหลัก..ยืนหยัด ...งดงาม.. หยิบปากกา... เขียนคำถาม สื่อนิยาม..วาดใหม่..ให้ใครกัน? .. น้องเรนอรุณสวัสดิ์คะ..พี่แอ็ปเปิ้ลชอบท่อนนี้จัง อ่านแล้ว กำลังใจมันพรั่งพรู ต้นกล้า.. ลิขิตลาย. ที่แสนงดงาม พี่แอ็ปเปิ้ลรอดูการเติบโตด้วยความชื่นชมและห่วงใย คะ ^__^
14 กรกฎาคม 2547 09:44 น. - comment id 298067
ปลาวาฬมาทักทายพี่เรนนะคะ กลอนพี่เรนยังคงความสดใสเหมือนเคยค่ะ
14 กรกฎาคม 2547 09:53 น. - comment id 298074
..กล้าน้อยค่อยๆ เติบโต.. .. ..ขอเป็นกำลังใจให้จ๊ะ..
14 กรกฎาคม 2547 10:10 น. - comment id 298081
เธอคือ - เด็กหญิงวรรณกรรม - เธอคือ ความฝันของเม็ดพันธ์ที่สดใส เธอคือ เด็กหญิงสายฝนผู้ก้าวเดินออกไป เธอคือ เรนจัง ต้นกล้าที่เติบใหญ่ ผู้มีจิตใจของนักประพันธ์
14 กรกฎาคม 2547 10:56 น. - comment id 298111
นาดีดีต้องใช้ข้าวปลูกพันธุ์ดี ข้าวปลูกไม่ดีแล้วมันก็เสียที่นา เก็บเกี่ยวไปขายไม่ได้ราคา เสียเวร่ำเวลาเสียที่นาฟรีฟรี อิอิเพลงเก่า ๆน่ะ เห็นน้องเรนอยากเป็นต้นกล้า ต้องเลือกผืนนาด้วยนะ ถ้านาไม่มีปุ๋ยดินจืดแล้วต้นกล้าก็แกร็น
14 กรกฎาคม 2547 11:42 น. - comment id 298165
สวัสดีครับน้องเรน ตอนนี้พี่เมกกำลังทำงานและคอยตอบคอมเม้นท์ที่กลอน ใหม่พี่เมกอยู่นะครับ ยังเหลือสมาชิกอีกหลายท่าน ไม่รู้ ว่าวันนี้พี่เมกจะตอบหมดหรือไม่ เพราะงานก็มีให้ทำตั้งมากมาย ใจก็อยากตอบของสมาชิก และที่ต้องตอบเพราะต้องการ อยากพูดคุยกับพี่ ๆ น้อง ๆ พี่เมกแวะมาส่งข่าวแค่นี้นะครับ ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ http://music.kapook.com/newmusicstation/play.php?id=213
14 กรกฎาคม 2547 11:54 น. - comment id 298181
สวัสดีครับน้องเรน ตอนนี้พี่เมกกำลังทำงานและคอยตอบคอมเม้นท์ที่กลอน ใหม่พี่เมกอยู่นะครับ ยังเหลือสมาชิกอีกหลายท่าน ไม่รู้ ว่าวันนี้พี่เมกจะตอบหมดหรือไม่ เพราะงานก็มีให้ทำตั้งมากมาย ใจก็อยากตอบของสมาชิก และที่ต้องตอบเพราะต้องการ อยากพูดคุยกับพี่ ๆ น้อง ๆ พี่เมกแวะมาส่งข่าวแค่นี้นะครับ ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ http://music.kapook.com/newmusicstation/play.php?id=231
14 กรกฎาคม 2547 12:53 น. - comment id 298202
ถูกต้องแล้วจ๊ะ ..................... ลี่...ผู้มาเยือน .
14 กรกฎาคม 2547 16:02 น. - comment id 298269
พี่หนึ่งแวะมาเยี่ยมครับ ^_____^
14 กรกฎาคม 2547 17:16 น. - comment id 298317
เรนน้อย พี่ดอกแก้วรีบมาก..มาบอกว่าคิดถึงนะจ๊ะ อย่าเพิ่งงอแง..แล้วจะมาอีกจ้ะ
14 กรกฎาคม 2547 19:47 น. - comment id 298361
แต่งได้ดีจ๊ะ คิดถึงน้องเรนนะค่ะ
14 กรกฎาคม 2547 20:04 น. - comment id 298378
สื่อนิยามวาดใหม่เพื่อใครหรือ..เพื่อความสุขไง ตัวซน ของคุณพ่อ คุณแม่..ของพวกพ้องน้องพี่..และไม่ต้องคิดว่าตัวเราจะได้อะไร..การทำเพื่อคนอื่น ย่อมเป็นสุข...ที่หาได้ยากนัก... ต้นกล้า.วรรณกรรม...ต้นนี้น่าจะเจริญเติบโตได้ดีนะ ขอเพียงมีความมุ่งมั่น.. ขอบใจนะตัวซนที่ทำความสะอาดให้..ฝีมือการถ่ายรูป.ใช้ได้ แต่ฟิลม์ถ้าจะไม่ดี ดำๆ..สวัสดีนะ.
14 กรกฎาคม 2547 20:08 น. - comment id 298383
ต้นกล้าน้อยๆ.. สักวันจะเติบโตเป็นร่มไม้ใหญ่ กลอนน่ารักค่ะ ดูแลตัวเองด้วยนะ คิดถึงจ้ะ
14 กรกฎาคม 2547 20:10 น. - comment id 298386
ฝากข้อคิด สะกิดใจ ให้เรนนะ ไม่ว่าจะ ท้อแท้ สักแค่ไหน วรรณศิลป์ ถิ่นภาษา คุณค่าไทย คือทุกความ ใส่ใจ ในบทกลอน ฝากให้เธอ เป็นต้นกล้า ขอวันใหม่ ฝากสายใย ความฝันใฝ่ ในอักษร ฝากความรัก คารม คมคำกลอน ฝากพรายพร ให้น้องนี้ จงมีชัย - มัทนาเองก็หายไปนานเหมือนกัน ช่วงนี้ใกล้สอบแล้ว...ขอไปอ่านหนังสือก่อนนะเรน แม้ว่าจะไม่เคยคุยกัน ก็หวังให้เรน..เป็นกำลังสำคัญ.. ในการพัฒนาวรรณศิลป์ไทยให้คงอยู่ต่อไปค่ะ
14 กรกฎาคม 2547 20:51 น. - comment id 298428
^______________^
14 กรกฎาคม 2547 21:24 น. - comment id 298463
ก้าวย่างแม้อย่างช้า แต่แข็งกล้าและมั่นคง ยึดถือทางซื่อตรง ไม่ใหลหลงนอกลู่ทาง แวะมาเดินให้น้องเรนเกาะแขนแบบสุภาพบุรุษจ้า.
15 กรกฎาคม 2547 00:34 น. - comment id 298594
กี้เรน..เพิ่งกลับเข้าบ้าน..นะคะ.. คืนนี้ ..เรนมาบอก.. จะมา..ขอบคุณ ..เพื่อนพี่..อีกครั้ง.. ก็ตอนนี้ .. เรนต้องระวัง.. พลาดพลั้ง ..เกินกฏ.. ต้องจดต้องจำ..นะดิคะ..เฮ้อ!.... (ถอนจายย ). ..เรน..ขอบคุณ..นะคะ.. ง้าน น.. คืนนี้ ..เรนขอเกาะแขน.. ท่านสุภาพบุรุษของ..ไทยโพฯ.. ไปนอน นะคะ.. ราตรีสวัสดิ์คะ.. เรน.. ขอบคุณ..คุณทิงนองนอย... ขอบคุณ..พี่แอ๊ปเปิ้ล.. ขอบคุณนัส.. ขอบคุณ..กุ้งหนามแดง.. ขอบคุณ..พี่พันดาว .. ขอบคุณ..พี่ฤกษ์.. ขอบคุณ..พี่เมก.. ขอบคุณ..พี่ลี่.. ขอบคุณ..พี่หนึ่ง.. ขอบคุณ.. พี่ดอกแก้ว.. ขอบคุณ..พี่หญิงฯ.. ขอบคุณ...คุณลุง.. ขอบคุณ..พี่นางฟ้า.. ขอบคุณ.. มัทนา.. ขอบคุณ ...วาพราว.. และสุดท้าย .. พี่ชายสุภาพบุรุษแห่งโทยโพฯ... หลับ..ฝันดี.. นะคะ.. คร่อกฟี้ .. คร่อกฟี้ .. zz z z z
15 กรกฎาคม 2547 07:32 น. - comment id 298647
หากไร้ฝันไร้แรงล่อเลี้ยงกาย วิญญาณหายหลบลี้หลังหมอกม่าน ความคิดคนถูกคุมขังน่าร้าวราน เพียงปิดกั้นยอมคร้านฝันของตน
15 กรกฎาคม 2547 07:34 น. - comment id 298649
เพียงหนึ่ง ที่เฝ้าคอยนานวัน อาจนับเดือนผ่านผันสักกี่ร้อย วาดวางบนทางใจไร้รูปรอย ปั้นฝันทีละน้อยทีละนิด ค่อย ค่อย ก้าวต่อก้าว มีล้มพลาด ทิ้งร่องรอยคมบาดมาสะกิด เพื่อเรียนรู้ความเป็นไปให้ขบคิด บางมุมมองถูกผิด ตัดสินใจ เปรียบตัวดั่งนกน้อยเมื่อแรกบิน อยากโผผินชมโลกที่กว้างใหญ่ ระหกระเหินเกี่ยวเกาะก้านกิ่งใบ ด้วยปีกท้าลมไกวถึงฝั่งฟ้า เพียงหนึ่ง ที่เฝ้าคอยมานานวัน อาจนับเดือนผ่านผันสักปรารถนา ยังเชื่อต่อดวงใจในศรัทธา เพื่อปั้นฝันอันมีค่าทีละน้อย...
15 กรกฎาคม 2547 07:36 น. - comment id 298651
ลมหายใจของคนช่างเดินทาง คือ ออกไปสัมผัสฟ้ากว้าง...ฟังเสียงลมไหว ฉันไม่ได้มีอุดมการณ์ สำคัญอะไร เพราะความอิสระเรียกร้องหัวใจ ฉันก็แค่ไปตามมัน สูดกลิ่นพเนจร แล้วพรายยิ้มออกมาเป็นบทกลอน แห่งความฝัน ฮัมบทเพลงชื่อว่า...เงียบงัน สนุกเหงาๆ ใต้ดวงตะวัน..ใต้เงาจันทร์และดวงดาว พอใจที่จะวิ่งไปบนผืนทราย กระโดดตัวลอยไม่เหน็ดหน่าย ไม่เหน็บหนาว โดดสูง ตกแรง..ข้อเท้าแผลงเป็นแผลยาว บ้าเอง เจ็บเอง จะไปว่ากล่าว ความผิดให้ใคร นํ้าตาร่วงบ้างแต่ยังยิ้มอยู่ ล้มบ้างแต่ยังยิ้มสู้ ยังหยัดอยู่ได้ไหว เจ็บบ้าง ผิดบ้าง แพ้ก็ช่างไม่หนักหนาอะไร มีพลั้งก็ต้องมีเริ่มต้นใหม่ เป็นธรรมดา แค่ยังเดินได้ด้วยขาตัวเอง มีบ้างที่จะหวั่นเกรง กับวันข้างหน้า แต่ฉันก็ต้องไปต่อ..ไม่อยู่รอรางวัลแห่งศรัทธา ฉันไม่เก่ง แต่ฉันกล้า...จะออกล่าความฝันให้เป็นจริง
15 กรกฎาคม 2547 07:38 น. - comment id 298652
บรรเจิดจิตเสกสร้าง ................จินตนา จิตรกรรมสร้างภาพพา .............พิศได้ จำหลักจำเริญตา ....................ต้องจิต เพิ่งพิศตีความไว้.....................ต่างข้อต่อคน ใจสูงจูงจิตให้.........................เห็นงาม ใจต่างจักเห็นความ.................ต่ำต้อย ต่างคนต่างนิยาม....................ตามจริต ความคิดนำต่างถ้อย................ภาพนี้ที่ชม ศิลป์อื่นดื่นดกล้วน.................เช่นกัน พื้นฐานใจสำคัญ.....................บาทต้น เห็นพ้องผิต่างพรรณ...............เพราะจิต มืดสนิทกลับสว่างล้น.............เนื่องด้วยตาใจ
15 กรกฎาคม 2547 07:42 น. - comment id 298654
วันนี้เฝ้าพิศดอกหญ้า ชื่นชมด้วยวิญญาณ์แน่นหนัก ดอกเอ๋ยดอกหญ้าที่รัก ฉันจักเป็นอย่างตัวเจ้า อ่อนโยน---บอบบางแต่เข้มแข็ง มิสิ้นแรงแกร่งกล้าตามความเขลา มีสติรู้เห็นค่าตัวตนเรา ขอสัญญากับเจ้านับจากนี้ หากแรงลมพัด จักแค่เซซัดเต็มที่ ลมผ่านกลับชูช่อขึ้นอีกที จักไม่ราบอย่างที่ใจเคยเป็น แม้มีพายุโถม จู่โจม-ลำบาก-ยากเข็ญ ดื่มด่ำ-พิษช้ำ-ลำเค็ญ มิให้เห็นแม้น้ำตาสักหยดเดียว
15 กรกฎาคม 2547 07:43 น. - comment id 298655
สวัสดีครับ คนที่มีคุณธรรมเหนือเก่งกาจนั้นคือยอดคน แต่คนที่มีความเก่งกาจเหนือคุณธรรมนั้นคือเดนคน ศีล คือการที่เราจะต้องคอยดูว่าเราจะทำให้คนอื่นเดือนร้อนเพราะการกระทำทางกายและวาจา ของ เราหรือไม่ คือการหมั่นตรวจสอบว่ากายวาจาเราใช้ถูกทางหรือ ถ้าเรามองศีลในแง่นี้วัดก็ไม่จำเป็น เพราะแค่เราพยายามดูตัวเองให้มาก พยายามอย่าไปทำใคร (คนดี) ให้เดือดร้อน และทำให้ถูกหน้าที่ เป็น สมาชิกที่ดีของชุมชน นี้แหล่ะครับศีล ตามที่เมกได้เรียนรู้มา คุณเมจิคครับ ถ้าเรารู้จักระมัดระวังตัวเอง ในเรื่องเหล่านี้เราก็ไม่ต้องดิ้นรนที่จะเข้าวัดฟังธรรม เพราะสื่อทุกวันนี้มีเยอะครับ ทั้งทีวีเอ่ย หนังสือเอ่ย มีเพียบพร้อมไปหมดอยู่ที่เราครับเราต้องการความสุขที่ยั่งยืนจริงหรือ ถ้าเราต้องการ เราจะหาได้จากที่ไหน พระพุทธเจ้าตรัสว่า ใจเป็นใหญ่ใจเป็นหัวหน้าทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจสุขทุกข์ก็เกิดที่ใจ ค้นหาสิครับ ค้นหาสิ่งที่ผิดพลาดแล้วนำมาแก้ไข ค้นหาเหตุของสิ่งที่มันยุ่งยาก สิ่งที่คอยมาทำลายความสุขที่ ยั่งยืน แล้วเราก็เริ่มดำเนินตามกระบวนการที่พระพุทธองค์ทรงชี้ไว้ ด้วยการดูแลตัวเองอย่าไปทำร้ายผู้อื่นด้วยกาย และวาจา คอยเสริมสร้างความเข้มแข็งทางใจด้วยการนั่งสมาธิทำใจให้สงบและรู้วิธีระงับความไม่สงบใจ เช่นเวลา ที่เราโกรธคนอื่น เราก็พยายามมองหาส่วนดีของเขา พยายามมองข้ามในสิ่งที่เขาทำผิดต่อเรา แล้วนึกในใจเสมอว่า กรรมใดใครก่อกรรมนั้นก็จักย้อนสนองคืนเขาเอง ถ้าเราคิดได้ยังงี้นะครับ แทนที่เราจะโกรธเรากลับรู้สึกสงสาร สงสารกลัวเขาจะได้รับกรรมสนอง เมกใช้วิธีนี้บ่อยมาก เพราะคนทุกวันนี้เห็นแก่ตัวมากครับ ทำร้ายเราอยู่เรื่อย วิธีนี้จึงเป็นวิธีที่เมกใช้บ่อยคุณลองใช้ดูสิครับ ขอบคุณครับที่แวะมาให้กำลังใจเมก อันทุกข์สุขอยู่ที่ใจมิใช่หรือ หากคุณถือก็เป็นทุกข์ไม่สุขใส หากไม่ถือก็เป็นสุขไม่ทุกข์ใจ เลือกอย่างใหนจะเป็นสุขหรือทุกข์นา ฯ จาก : เมกกะผู้ชายสีขาว รหัส - วัน เวลา : 303102 - 14 ก.ค. 47 - 10:17
15 กรกฎาคม 2547 07:46 น. - comment id 298657
สวัสดีครับน้องฟ้า พี่ชาขอโทษนะครับถ้าคำพูดพี่ชาอาจไม่เป็นที่พึงใจ (ในคำตอบที่แล้ว) แต่ถึงอย่างไรพี่ชาก็ยังเป็นพี่ชาคนเดิมครับ รับรองไม่โกนหัวไปบวชเป็นพระหรือเณรอย่างที่ท่านฤกษ์ว่าหรอกครับ เพราะอยู่ที่ไหน...ใจเราก็เป็นสุขได้ครับ เพียงแต่เราคิดให้เป็นทำให้ถูก จะอยู่กลางมรสุมลูกโต มวลหมู่ศรัตรูที่ถือปืน ถ้าเราฝึกใจดีแล้วไม่มีสถาน การณ์ไหนที่เราไม่มีสุข น้องฟ้าครับความรัก คือการปรารถนาดีต่อผู้อื่น พี่ชาปรารถนาดีต่อน้องฟ้าในทุกสถานที่และทุกเวลา เมื่อน้องฟ้ามีทุกข์คนที่หวั่นใจ คือพี่ชา ห่วงใยกังวล อยากให้ผ่านพ้นอุปสรรค นี้แหล่ะครับที่ท่าน เรียกว่ากรุณา เมื่อน้องฟ้ามีความสุขพี่ชายิ่งดีใจมากกว่าปลื้มใจไม่มีที่สิ้นสุด อยากให้น้องฟ้ามีสุขอยู่ อย่างนั้น ไม่อยากให้ชีวิตที่สดใสต้องตกต่ำ ไม่อิจฉา ไม่ร้อนใจ มีแต่สบายใจปลื้มใจทุกเวลา นี้เรียกว่า มุทิตา แต่ที่พี่ชาทำไๆม่ได้ก็คืออุเบกขา พี่ชาจึงไม่เป็นพรหมงัยครับ อิ_อิ ขอเป็นพี่ชาอยู่อย่างนี้ดีกว่า ที่เขียนว่าอุเบกขา ไม่ทราบว่าน้องฟ้าจะเข้าใจหรือไม่นะ? ถ้างั้นขออธิบายนิดหน่อย อุเบกขา คือ การรู้จักปล่อยวาง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกรรม พี่ชาพูดอย่างนี้..คงเกาหัวแกร๊ก ๆ สินะ อาจสงสัยอารายหว๋า อิ_อิ คืออย่างนี้ครับน้องฟ้า พี่ชาหมายถึงการปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกรรมที่จะกระทำต่อสิ่งนั้น คือว่า ถ้าเขาทำผิด ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หน้าที่ของเราก็แค่ แนะนำ หรือชักชวนไม่ให้ทำอย่างนั้น ส่วนสิ่งที่เขาทำไปแล้วเราอย่าไป ยุ่งปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ผิดว่าตามผิด นี่ครับคืออุเบกขา วันนี้ก็พร่ำพรรณนามาก็สมควรแก่เวลา จึงขอยุติลงคงไว้แต่เท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการแล ฯ อิ_อิ ตามใบลานเป๊ะ โชคดีและมีความสุขครับน้องฟ้ารับรู้ไว้ว่าพี่ชามีทั้งเมตตากรุณามุทิตาต่อน้องฟ้า มิเสื่อมคลายครับ เกิดมาก็มีเพียงแค่นี้ หมั่นคอยทำดีเถิดหนา ชีวิตทุกชีวิตย่อมมีค่า อย่าปล่อยเวลาให้ล่วงเลย คิดดีทำดีมีความสุข คิดชั่วมีทุกข์นะเพื่อนเอ๋ย บางคนทำดีศักครั้งยังไม่เคย เกิดมาละเลยความเป็นคน เมื่อถึงวันใกล้ดับดิ้น เสียดายชีวินที่สลาย คนเราเกิดมามักกลัวความตาย ยังไม่สายหากคิดกลับใจ ฯ จาก : เมกกะผู้ชายสีขาว (พี่ชา) รหัส - วัน เวลา : 303124 - 14 ก.ค. 47 - 10:41
15 กรกฎาคม 2547 07:47 น. - comment id 298660
ความสุขที่เกิดจากการรักษาศีลนั้นมีมากมายครับ ไม่ใช่มีเฉพาะในบทกลอนนี้เท่านั้น ศีลทำให้เราไม่ต้องสะดุ้งกลัวต่อโทษแห่งการประพฤติผิด ไม่ต้องกลัวต่อการจะตกไปสู่อบาย คือ ความเสื่อม ศีลเป็นแบบแผนแห่งความประฟฤติดีปฏิบัติชอบเป็นหลักเบื้องต้นแห่งการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ศีลนั้นเป็นบรรทัดสำหรับให้คนประพฤติดี ผู้มีศีลย่อมอยู่ในระเบียบแบบแผนเดียวกันคือ ละความความเสียหายทางกายและคำพูดมีแต่ความชื่นบานสุขกายสุขใจเมื่อจากโลกนี้ไป ก็ย่อมไปเกิดในภพภูมิที่ดี พี่เมกหวังเป็นอย่างยิ่งว่าน้องสาวคนนี้คงน้อมนำศีลไปประพฤติปฏิบัตินะครับ อย่างน้อย อาทิตย์หนึ่งได้สักวันสองวันก็ยังดีเพื่อชีวิตที่สดใสของน้องดรีมเองนะครับ โชคดีและขอให้ตั้งมั่นในธรรมครับ เธอนั้นเป็น ดั่งดาว พร่างพราวฟ้า หากจะเอื้อม โน้มมา มันคือฝัน เมื่อตอนนี้ ฉันผง ธุลีพัน หวังซักวัน เศษดิน กลายเป็นดาว เมื่อวันนี้ ต้องดี จนที่สุด ใครทักฉุด ช่างมัน ฉันสานฝัน ต้องทำดี อีกสัก กี่ร้อยวัน ธุลีพัน ผันได้ กลายเป็นดาว ทิ้งความหลัง สร้างฝัน วันข้างหน้า พายุโหม โถมมา อย่าไปสน คนรักดี วันนี้ ขอสู้ทน จะสร้างตน คนรู้...ดาวเพียงดิน จาก : เมกกะผู้ชายสีขาว รหัส - วัน เวลา : 303215 - 14 ก.ค. 47 - 12:36
15 กรกฎาคม 2547 07:48 น. - comment id 298661
กรวดเม็ดเล็ก ๆ รวมกันเป็นภูเขาสูงใหญ่ ก้าวเดินก้าวเล็ก ๆ เป็นระยะทางได้หลายกิโล การกระทำเล็ก ๆ ด้วยความรักความกรุณา สร้างโลกให้สดใส สดสวยด้วยรอยยิ้ม คำพูดเล็ก ๆ สามารถบรรเทาปัญหาที่แสนจะยากเย็น อ้อมกอดเล็ก ๆ เช็ดน้ำตาให้เหือดแห้ง เทียนไขเล็ก ๆ ส่องแสงนำทางในความมืดมิด ความจดจำสิ่งเล็ก ๆ คงอยู่นานหลายปี จาก : เมกกะผู้ชายสีขาว รหัส - วัน เวลา : 303235 - 14 ก.ค. 47 - 13:11
15 กรกฎาคม 2547 07:50 น. - comment id 298663
สวัสดีครับน้องเรน ถ้าจะถามพี่เมกว่าผู้ชายอารมณ์ดีหรือผู้ชายสีขาว พี่เมกตอบอย่างเป็นจริง พี่เมกคือผู้ชายอารมณ์ดี แต่มีสีขาวในอารมณ์ น้องเรนครับอย่ามองอะไรแต่เปลือกนอกนะครับ..เพราะเราอาจจะหลงไปติดไปยึด พี่เมกเห็นคนมากมายต้องวิ่งตามสิ่งที่โลกฉาบทาไว้ วิ่งตามเปลือกโลกยังงี้ ต่อให้วิ่งตามทั้งปีก็ไม่เห็นเนื้อ แท้ต่อให้วิ่งสุดชีวิตด้วยฝีเท้าอันรวดเร็ว ก็หาทันไม่ เพราะอะไรหรือครับเพราะเปลือกมันเปลี่ยนแปลง อยู่ตลอดเวลา เราจะวิ่งตามความเปลี่ยนแปลงได้งัยจริงมั้ยครับน้องเรน เนื้อแท้ของชีวิตคืออะไร ? นี้สิครับคำถามที่ต้องค้นหาและหาคำตอบให้ได้ ถ้าหาไม่เจอเราก็ ยังต้องวิ่งตามเปลือกต่อไปพี่เมกก็เช่นกัน ยังมืดบอด ยังวิ่งเลียบอยู่ตามฝั่งหาทางข้ามฝั่งไม่เจอ แต่ถึงจะวิ่งอยู่ฝั่งนี้พี่เมกก็พยายามวิ่งหาทางข้ามไปฝั่งโน้นอย่างมีสติ ฝั่งโน้นคือความจริง ฝั่งที่เรา วิ่งอยู่นี้ก็แค่ความฝัน น้องเรนครับ พี่เมกเขียนปรัชญามามากจนเกินไปแล้ว กลัวสมองของเด็กน้อยคนนี้จะระเบิด อิ_อิ ขอพักไว้แค่นี้ก่อนนะครับถ้าอยากรู้อะไรเพิ่มเติมก็เข้ามาถามใหม่นะครับ ขอให้ชีวิตนี้ของน้องเรนจงเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยสติสัมปชัญญะรู้เท่ารู้ทันความเป็นไปของโลก โชคดีครับ หากชีวิตคือความว่างเปล่า..... ชีวิตคงไร้คุณค่าใช่ไหม.... คนที่มีหัวใจ เกิดมาทำไมไม่ดูแล... มองไปเส้นทางหน้า แม้ว่าจะฝ่าฝน เดินไปแม้ต้องลม... จำต้องทนแล้วเดินไป ชีวิตที่เกิดมา ไม่ไร้ค่า...จงลิขิต เส้นทางของชีวิต.. ให้พิชิตด้วยมือเรา ฯ จาก : เมกกะผู้ชายสีขาว รหัส - วัน เวลา : 303313 - 14 ก.ค. 47 - 16:30
15 กรกฎาคม 2547 07:53 น. - comment id 298667
บางครั้งชีวิตก็ไม่จำเป็นต้องมีความต้องการอะไรเสมอไป ขอเพียงแค่การหยิบยื่นให้แก่สังคมก็เป็นความสุขอันดับหนึ่งแล้ว จาก : เมกกะผู้ชายสีขาว รหัส - วัน เวลา : 303485 - 14 ก.ค. 47 - 21:04
15 กรกฎาคม 2547 07:55 น. - comment id 298673
เอาเป็นว่าพี่เมกจะพยายามทำงานชิ้นนี้ให้สมบูรณ์ที่สุด เผื่อมีใครจะเก็บงานชิ้นนี้ไว้อ่านพี่เมกจะขอ อธิบายเกี่ยวกับศีลในแง่มุมหนึ่งให้ฟังฟังแล้วอย่าง่วงอ่ะครับน้องแตง แง่มุมนี้พี่เมกได้ยินพระภิกษุรูปหนึ่ง ท่านแสดงทางวิทยุ พี่เลยอัดไว้ฟัง รู้สึกว่าดีเลยจะนำมาเล่าให้น้องแตงได้ฟัง ตั้งใจฟังนะ พระศรีรัตนโมลี (ป.ธ.๙) รองเจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ รองเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ศีล เป็นที่พึ่งในเบื้องต้น ศีลเป็นมารดาของกัลยาณธรรม ศีลเป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้น สาธุชนคนใจบุญทั้งหลาย จึงควรชำระศีลให้หมดจด ดังนี้ คำว่า แม่ แปลว่า ผู้ให้ แม่ได้ให้สิ่งใดกับลูกบ้าง แม่ให้เรามากมาย แต่สิ่งที่แม่ได้ให้นั้น ว่าโดยสังเขป มีอยู่ ๔ ประการด้วยกัน คือ ๑) แม่ให้ชีวิต ๒) แม่ให้การเลี้ยงดู ๓) แม่ให้ความรู้ ๔) แม่ให้ทรัพย์สมบัติ ชีวิตคืออัตภาพร่างกายของเรานี่เอง แม่เป็นผู้ให้แก่ลูก เริ่มตั้งแต่ ลูกได้ปฏิสนธิในครรภ์ของท่านแล้ว ท่านมิได้มอบชีวิตให้กับลูกเพียงเลือดเนื้อเท่านั้น หากแต่ได้มอบความรักความห่วงใย ความรู้สึกอ่อนโยน ใสบริสุทธิ์ให้แก่ลูกน้อยด้วย ยากจะหาความรักจากดวงใจคนอื่น มาเทียมเท่าความรักของผู้เป็นแม่ได้ เมื่อลูกน้อยลืมตาขึ้นมาดูโลก แม่จะคอยให้การเลี้ยงดูร่างกายของลูก ด้วยน้ำนมที่กลั่นออกมาจากเลือดในอก ด้วยข้าวน้ำที่ท่านอุตส่าห์แสวงหามาด้วยความเหน็ดเหนื่อย คอยประคับประคองจิตใจของลูกน้อยด้วยถ้อยคำปลอบประโลมอ่อนหวาน แม่นั้นหาได้หวังเพียงการเจริญเติบโตทางร่างกายของลูกเท่านั้นไม่ แต่ท่านต้องการให้ลูกของท่านมีพัฒนาการทั้งด้านสติปัญญาและจิตใจ ท่านจึงเป็นครูคนแรกที่ให้ความรู้เบื้องต้นแก่ผู้เป็นลูก เริ่มตั้งแต่เขาจำความได้ แม่จะคอยสั่งสอนให้ลูกของตนรู้จักชีวิต บอกให้รู้ว่าใครคือพ่อ ใครคือแม่ ให้เรียนรู้วิธีกิน วิธีดื่ม วิธีเดิน แม่สอนทุกอย่าง เมื่อลูกเติบโตขึ้นสมควรเข้ารับการศึกษา แม่ก็ขวนขวายส่งลูกเข้าเรียน จะเสียเท่าไร จะหมดจะเปลืองเท่าใด แม่ไม่เคยคิด พ่อแม่บางท่านยอมทุ่มเทเงินทองส่งลูกเรียนพิเศษ แม้ค่าเล่าเรียนจะแพงสักปานใดก็ตาม ขอเพียงลูกของท่านมีความรู้ทัดเทียม มีความรู้เพิ่มเติม สามารถนำไปใช้ในการประกอบสัมมาอาชีพ เพื่อเลี้ยงตนให้รอดในอนาคต ตั้งหลักปักฐานอย่างมั่นคงในสังคมได้ เพียงเท่านี้แม่ก็นอนตาหลับแล้ว ทรัพย์สมบัติทุกอย่างที่แม่บากบั่นทนทุกข์ทนยาก เฝ้าเก็บเล็กผสมน้อยมาทั้งชีวิตของท่าน พยายามรักษาไว้เพื่อลูกผู้สืบเชื้อสายของตน เพื่อให้เขาได้มีกินมีใช้ในวันข้างหน้า โดยไม่ต้องลำบากมากนัก ทั้งหมดนี้ คือ หน้าที่ของคนที่เป็นแม่ เป็นมารดาในความเข้าใจของคนทั่วไป แต่คำว่า ศีล ที่เป็นแม่ของความดีนั้น มีอรรถาธิบายต่อไปนี้ คำว่า ศีล หรือ สีลํ เป็นภาษาบาลี ตามความหมายของศัพท์แปลว่า ปกติ แปลว่า ร่มเย็น ศีลเป็นกฎระเบียบของสังคม เป็นคุณลักษณะประจำตัวของผู้ที่ได้ชื่อว่ามนุษย์ มนุษย์ แปลว่า สัตว์ผู้ประเสริฐ เป็นผู้มีจิตใจสูงกว่าสัตว์เดรัจฉานในด้านคุณธรรม บุคคลใด หรือบ้านเมืองใด ที่ไม่ประพฤติผิดในศีล เช่น ใครขัดผลประโยชน์ใคร ไม่พอใจก็ฆ่ากัน ทำลายล้างกัน นึกอยากได้ของคนอื่นก็ฉกชิงเอา ผิดลูกผิดเมียกัน โป้ปดมดเท็จ เมาสุราติดยาเสพติด ขอให้ท่านสาธุชนพิจารณาดูเถิดว่า บุคคลนั้น หรือบ้านเมืองนั้น จะมีความเป็นปกติสุข มีความร่มเย็นหรือไม่ แน่นอนสังคมเช่นนี้มีแต่ความวุ่นวาย ไม่เป็นปกติ ผู้คนเดือดร้อนกันไปทั่ว เมื่อว่าโดยประเภท ศีลมีหลายประเภท เช่น ศีลของสาธุชนผู้ครองเรือน มี ๕ ข้อ เรียกกันว่า ศีลห้า ศีลของอุบาสกอุบาสิกา ผู้มีศรัทธาปสาทะ รักษาศีลอุโบสถ เรียกว่า อุโบสถศีล มี ๘ ข้อ ศีลของสามเณร มี ๑๐ ข้อ และศีลของพระภิกษุ มี ๒๒๗ ข้อ แต่ถึงจะแตกต่างกันที่ประเภทและจำนวน แต่ศีลทุกประเภทก็มีเป้าหมายอันเดียวกัน นั่นคือ ต้องการให้ผู้ปฏิบัติมีระเบียบวินัย มีกาย วาจาสงบเรียบร้อยดีงาม มีความเป็นอยู่ที่เป็นปกติ ไม่เกิดความเดือดร้อนในภายหลัง ศีลนั้นมีความสะอาดกาย สะอาดวาจา และสะอาดใจเป็นลักษณะปรากฏให้เห็น มีหิริ ความละอายใจในการทำความชั่ว และโอตตัปปะ ความเกลงกลัวต่อผลความชั่วที่ตนจะได้รับ เป็นบรรทัดฐาน ดังพระบาลีว่า โสเจยฺยปจฺจุปฎฺฐานํ ตยิทํ ตสฺส วิญฺญุหิ โอตฺตปฺปญฺจ หิรี เจว ปทฎฺฐานนฺติ วณฺณิตํ ฯ แปลว่า เหล่าวิญญูชนพรรณนาว่า ศีลนั้นมีความสะอาด เป็นเครื่องปรากฏ มีหิริโอตตัปปะ เป็นบรรทัดฐาน ความสะอาดก็คือ ความผ่องแผ้ว ความหมดจด ความจริงใจ หิริ แปลว่า ความละอาย โอตตัปปะ แปลว่า ความเกลงกลัว ละอายและเกลงกลัวในที่นี้ หมายถึง ความละอายต่อสิ่งที่เป็นความชั่ว ความไม่ดี เกลงกลัวต่อสิ่งที่เป็นบาป ผิดทำนองคลองธรรม พระอรรถกถาจารย์ในยุคก่อน ท่านได้เปรียบเทียบหิริและโอตตัปปะไว้ดังนี้ คนที่มีหิรินั้น เปรียบเช่นคนกลัวอสรพิษ แม้ว่าอสรพิษจะตัวไม่ใหญ่แต่มีพิษร้ายแรง หากไม่ระวังก็จะถูกมันฉกกัดให้เป็นอันตรายได้ และเปรียบดังสตรีผู้งดงามที่อาบน้ำแล้ว ชะโลมลูบไล้เครื่องประเทืองผิว แต่งตัวงดงาม ย่อมรังเกียจสิ่งสกปรกโสโครกแม้เพียงเล็กน้อย ดังนั้น ผู้ที่รักษาศีลจึงเป็นผู้สะอาดทางกาย วาจา และใจ เป็นผู้มีจิตสำนึกสูง ไม่กระทำความชั่ว มีความละอายและกลัวสิ่งที่ไม่ดี ถึงแม้สิ่งไม่ดีนั้นจะเล็กน้อยก็ตาม หิริและโอตตัปปะสองข้อนี้ เป็นคุณธรรมของเทวดา เทวดานั้นมีธรรมชาติเกลียดกลัวความชั่ว ความไม่ดีไม่งามต่าง ๆ เทวดามีกายอันเป็นทิพย์ คิดจะพูดจะทำอะไรที่ไหน คนเราไม่สามารถจะรู้ได้ แต่เทวดาท่านไม่เคยคิดไม่เคยพูดไม่เคยทำสิ่งที่ไม่ดีที่เป็นความชั่ว ถ้าหากว่าผู้ใดมีหิริและโอตตัปปะ ท่านเรียกผู้นั้นว่า มนุสสเทโว หรือเทวดาเดินดิน เพราะเหตุนั้น ศีลจึงได้ชื่อว่า แม่ของความดี มนุษย์จะเกิดมาได้ ก็เพราะมีแม่ที่เป็นมนุษย์ มนุษย์ที่เกิดมาแล้วจะมีชีวิตอยู่ได้ ก็เพราะแม่ที่เป็นมนุษย์คอยพิทักษ์รักษา เลี้ยงดูประคับประคองดังที่ได้แสดงไว้ในตอนต้นฉันใด ความดีก็เช่นเดียวกัน จะเกิดมีขึ้นได้ก็ต้องเกิดจากแม่บทของความดี ซึ่งก็คือศีลนั่นเอง ความดีที่เกิดขึ้นแล้ว จะคงอยู่ได้ก็เพราะศีล จะเห็นได้ง่าย ๆ จากคนไม่มีศีล ขอให้เราลองสังเกตดูคนบางคน ที่ไม่มีความจริงใจ พูดจากลับกลอก กินเหล้าเมายา ติดยาบ้ายาเสพติด คนที่ติดยาบ้ายาเสพติด เคยเห็นบ้างหรือไม่ ที่คนเช่นนี้ชอบบริจาคทรัพย์ เคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ พูดจาสุภาพเรียบร้อย มีจิตใจที่ให้อภัยผู้อื่น อาจจะมีบ้างบางครั้ง ที่คนไม่มีความดีเหล่านี้ แสร้งทำความดีให้โลกเห็น แต่เพราะการทำความดีในลักษณะนี้ เป็นความสะอาดเพียงแค่กายและวาจา แต่ทางใจไม่สะอาด จึงขาดองค์ประกอบของศีลไปหนึ่งอย่าง ความดีที่เขาสร้างขึ้นมาให้โลกได้รับรู้นั้น ไม่ได้เกิดมาจากแม่บทของความดี กล่าวคือศีลอย่างแท้จริง ความดีที่เขาสร้างขึ้นนั้นไม่นานก็จะสลายไป ความจริงต้องเป็นที่ประจักษ์ต่อชาวโลกอย่างแน่นอน เพราะเขาไม่มีศีลคอยพิทักษ์รักษาคุณความดีให้คงอยู่ ความดีก็คงทนอยู่ไม่ได้ เพราะความดีนั้นจะคงทนอยู่ได้ ก็เพราะมีศีลคอยประคับประคอง ดั่งมารดาคอยดูแลลูกน้อยฉันนั้น ความดีจะคงอยู่ได้ด้วยความประคับประคองของศีล การที่ปุถุชนคนธรรมดา สร้างคุณงามความดี เปรียบเสมือน การมีลูกน้อยที่ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ โดยปราศจากแม่คอยเลี้ยงดูฉันใด พวกเราเหล่าปุถุชนที่ยังมีจิตใจที่ยังไม่แข็งแกร่งมั่นคงเช่นพระอรหันต์ มีสติสมบูรณ์เท่าท่านผู้หมดกิเลส ถึงจะทำความดีแล้วครั้งหนึ่ง ใช่ว่าความดีของเราจะคงอยู่ตราบนิรันดร์ เพราะธรรมชาติของการกระทำความดีนั้น สำหรับปุถุชนคนธรรมดา บางครั้งเป็นสิ่งที่ฝืนความรู้สึก บางครั้งเป็นเรื่องเจ็บปวด บางครั้งก็ต้องอดทน แต่ว่าผลจากการที่เราสู้ทำดี ไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อความชั่วนั้น มีอานิสงส์ยิ่งใหญ่เหลือเกิน ดังวีรกรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลายได้แสดงไว้ให้พวกเราเหล่าพุทธบริษัทได้เห็นประจักษ์ เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญศีลบารมี โดยเสวยพระชาติเป็นพระภูริทัตโพธิสัตว์ เรื่องราวโดยสังเขปมีอยู่ว่า พระภูริทัต เป็นนาคอยู่ที่นาคพิภพในเมืองบาดาล ครั้งหนึ่งพระองค์ได้ติดตามพระบิดาไปเฝ้าท้าววิรูปักษ์ เทพพิทักษ์ทิศตะวันตกของสวรรค์ชั้นจาตุมมหาราช และท้าววิรูปักษ์ก็ได้พาพระภูริทัตพร้อมพระบิดาไปเฝ้าองค์อินทรเทวราช ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระภูริทัตได้แก้ข้อสงสัยบางอย่างให้พระอินทร์ได้ จึงเป็นที่โปรดปรานของพระอินทร์เป็นอย่างมาก พอกลับถึงนาคพิภพแล้ว พระภูริทัตเกิดชอบใจอยากเกิดในสวรรค์บ้าง พระองค์จึงแสวงหาสถานที่อันสงบแห่งหนึ่ง ตั้งใจรักษาศีลอุโบสถอันประกอบด้วยองค์แปดประการ ด้วยหวังจะได้ไปยังสวรรค์ดังที่ตั้งใจไว้ ด้วยเดชแห่งศีลที่พระภูริทัตโพธิสัตว์ตั้งใจประพฤติ จึงมีพวกนางนาคพากันเลื่อมใส ไปกราบไหว้มิได้ขาด พระองค์รู้สึกว่านาคพิภพไม่สงบ จึงได้ลาพระบิดาพระมารดาขอขึ้นไปบำเพ็ญภาวนาบนพื้นพิภพ พระองค์ทรงเลือกบริเวณใต้ต้นไทร ใกล้ฝั่งแม่น้ำยมุนาเป็นสถานที่บำเพ็ญศีลภาวนา และได้ให้สัจอธิษฐานว่า หนัง เอ็น กระดูก และเลือดของเรา หากมีผู้ใดต้องการก็จงเอาไปเถิด เราไม่หวงแหน ไม่ประทุษร้ายต่อผู้มาเอาไป ต่อมาวันหนึ่ง มีคนพาพราหมณ์หมองูใจดุร้ายซึ่งเป็นคนที่พระองค์เคยช่วยเหลือไว้มาที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญเพียร พราหมณ์หมองูได้ร่ายมนต์ทรมานพระโพธิสัตว์อย่างหนัก เพื่อจับพระองค์ไปแสดงกล ลำพังตัวพราหมณ์และเวทมนต์อันน้อยนิดนั้น มิอาจทำอันตรายใด ๆ ต่อพระโพธิสัตว์ได้ แต่เพราะพระองค์ได้อธิษฐานจิตเอาไว้ว่า จะไม่ประทุษร้ายต่อผู้ใด ถึงขนาดถูกพราหมณ์เหยียบหลังแล้วดึงหางฟาดลงกับพื้น พระองค์ถึงแม้เป็นพญานาคมีฤทธานุภาพมากสุดจะพรรณนา แต่ถูกพราหมณ์บังคับให้แสดงกล ลบหลู่เกียรติเฉกเช่นงูน้อยตัวหนึ่ง แต่พระองค์ก็สู้อดทนไม่ทำร้ายพราหมณ์กลับ เพราะเกลงศีลจะขาด จนสุทัสสนกุมารพี่ชาย ขึ้นมาจากนาคพิภพตามมาจนพบ และได้ใช้อุบายช่วยพระโพธิสัตว์จนพ้นจากเงื้อมมือของพราหมณ์หมองูใจทรยศ เพราะประทุษร้ายผู้ทรงศีลอย่างไร้ความปราณี หมองูจึงได้รับกรรมอย่างหนัก เป็นโรคเรื้อน ได้รับทุกขเวทนาไปตลอดชีวิต ฝ่ายพระโพธิสัตว์ได้กลับมาบำเพ็ญศีลบารมี ณ ที่แห่งเดิม แล้วไปบังเกิดยังสวรรค์เสวยสุขดังประสงค์ การทำความดีนั้น บางครั้งก็ต้องมีอุปสรรคขัดขวาง มีมารคอยรบกวน หากเราไม่มีศีลคอยรักษาความดีที่ได้กระทำไว้แล้ว ความดีของเราก็คงอยู่ไม่ได้ อย่างที่เขาว่า ดีแตก แต่หากเราสามารถตั้งใจมั่นรักษาศีลให้บริสุทธิ์แล้วไซร้ ศีลจะมีอานิสงส์มากมายสมดังพระบาลีที่มาในขุททกนิกาย เถรคาถาว่า สีลํ เสตุ มเหสกฺโข สีลํ คนฺโธ อนุตฺตโร สีลํ วิเลปนํ เสฎฺฐํ เยน วาติ ทิโส ทิสํ ฯ แปลว่า ศีลเป็นสะพานอันล้ำค่า ศีลเป็นกลิ่นที่ไม่มีกลิ่นอื่นใดหอมกว่า ศีลเป็นเครื่องลูบไล้ที่เลิศค่า เพราะกลิ่นศีลฟุ้งขจรไปทั่วทุกทิศ มีอธิบายความว่า สะพานที่ชาวโลกใช้เดินข้ามกันอยู่ทั่วไปนั้น ถือว่าเป็นสะพานธรรมดาที่ใช้ข้ามแม่น้ำ ข้ามคลอง ถึงจะสร้างให้โตขนาดไหน ใช้งบประมาณมากเพียงใดก็แล้วแต่ มนุษย์เราก็ไม่สามารถใช้สะพานนี้ข้ามพ้นความชั่วสู่ความดีได้ สะพานคือศีลต่างหากที่ใช้ข้ามความชั่วต่างได้ ถึงจะไม่ได้สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ไม่เสร้างด้วยเงินทองมากมาย แต่ก็ล้ำค่าเหนือสะพานใด ๆ ในโลก หากเราทำความรู้จักสะพานชนิดนี้ให้ดี และนำมาใช้ให้ถูกต้องแล้ว ความทุกข์ร้อน ความหายนะใด ๆในโลก ก็จะลดน้อยบรรเทาเบาบางไปจากชีวิตและสังคมโลก กลิ่นคันธชาติของหอมเหล่าอื่นยังมีเวลาจำกัด หากใช้เป็นเวลาพอสมควรแล้ว กลิ่นก็จะจืดจางลงไปตามลำดับ ทั้งยังไม่สามารถลอยทวนกระแสลมได้ แต่กลิ่นของศีลนี้ หอมยิ่งกว่าคันธชาติทุกชนิด ประการสำคัญกลิ่นของศีลไม่มีเวลาเจือจางเหือดหายไป ยิ่งนานวันยิ่งหอมขึ้นเป็นลำดับ และกลิ่นของศีลนี้สามารถลอยทวนลมได้ ไม่ว่าผู้ใดได้กลิ่นแห่งศีลนี้ ก็อยากจะไปชื่นชมให้ถึงที่ จะเห็นได้จากการที่สาธุชนได้รับทราบว่า พระเถระรูปนั้นรูปนี้ มีศีลเป็นที่น่าเคารพนับถือ ไม่ว่าจะอยู่ในทิศใด ไกลสักเพียงใด เสียค่าเดินทางมากเท่าไร ใช้เวลาเดินทางมากแค่ไหนก็ตาม ต่างก็เต็มใจพากันไปกราบไหว้ เพราะการกราบไหว้และได้ใกล้ชิดกับท่านเหล่านั้น ถือว่าเป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง ประการสุดท้าย ศีลนั้นเป็นเครื่องลูบไล้ที่ดีที่สุดนั้น เครื่องประทินลูบไล้อย่างอื่น ถึงจะมีคุณภาพดีสักเพียงใด ก็ไม่สามารถสร้างความน่าทัศนา แก่ผู้ที่ได้พบเห็นเท่ากับได้เห็นท่านผู้ลูบไล้ด้วยศีล เครื่องลูบไล้ทั่วไปเหมาะสมแต่เฉพาะผู้อยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่เครื่องลูบไล้คือ ศีล ไม่มีจำกัดเพศวัย สามารถใช้ได้ทุกคน ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ เครื่องลูบไล้ทั่วไป ทำให้ดูดีได้เป็นบางแห่ง เช่น ใบหน้า ผิวกาย แต่ศีลทำให้ผู้ประพฤติปฏิบัติสวยงามไปทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นนิสัยใจคอกิริยามารยาท คนทั่วไปรักกันชอบกันเพียงความสวยงามภายนอก รักเช่นนี้จึงไม่คงทนเมื่อได้พบเห็นความประพฤติที่แท้จริง ถึงกับหมดรักไปเลยก็มี บางครั้งถึงกับเกลียดชัง แต่ผู้ที่รักกันเพราะเห็นความงามของจิตใจ ไม่ว่าจะเนิ่นนานสักเพียงใด ความรักจะไม่มีเสื่อมคลายจืดจางไปง่ายๆ แต่ยิ่งนานวันก็ยิ่งมั่นคง เหมือนสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จย่าของปวงชนชาวไทย เมื่อครั้งทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ไม่เคยละเมิดศีล ตั้งพระองค์ไว้ในกัลยาณธรรมสม่ำเสมอ ยังผลให้พระองค์เป็นที่เคารพรักของคนไทยทั้งชาติ แม้พระองค์จะล่วงลับสู่สวรรคาลัย ณ เบื้องบนแล้วก็ตาม แต่ภาพรอยยิ้มที่ใสบริสุทธิ์ของพระองค์ ยังตราตรึงอยู่ในห้วงความทรงจำของพวกเราอย่างไม่มีวันลืมเลือน ธรรมดาว่าคนเรานั้น หากอยู่เพียงลำพังในโลกนี้ เรื่องกฎระเบียบก็คงไม่จำเป็นมากนัก แต่ความเป็นจริงแล้วใช่ว่าเราจะอยู่คนเดียว เรายังมีครอบครัว มีเพื่อนบ้าน อยู่ร่วมกับสังคม เพราะคนเราไม่ใช่พระอรหันต์ การคิดการพูด และการกระทำยังปะปนไปทั้งความดีและความชั่ว มีผิดมีถูก บางครั้งจึงอาจจะมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง ยิ่งในสังคมปัจจุบัน เป็นโลกของวัตถุนิยม ทรัพย์สินเงินทอง ลาภยศสรรเสริญ กลายเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลเหนือคุณงามความดี บิดเบือนความเป็นจริงที่ว่า ศีลคืออริยทรัพย์ เป็นทรัพย์ที่ประเสริฐเหนือทรัพย์ใดๆ เพราะศีลจึงทำให้สังคมทุกระดับสงบสุข เป็นสะพานข้ามความชั่วไปสู่ความดี ศีลทำให้คนมุ่งมั่นที่จะรักษาความดีไว้ คนเรานั้นแม้จะมีรูปงาม มากด้วยความรู้ความสามารถ เพียบพร้อมด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ หากไร้ศีล ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ก็เปรียบได้ดังดอกไม้งามแต่มีกลิ่นเหม็นน่าสะอิดสะเอือนใจ ผู้คนแรกเห็นก็พอใจ แต่เมื่อเข้าใกล้ได้กลิ่น ก็สิ้นอยากเข้าใกล้ แม้จะพูดจาด้วยก็ไม่คิด แต่คนแม้จะด้อยในเรื่องรูปสมบัติ หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ ไร้โภคสมบัติ แต่มีความประพฤติสะอาดบริสุทธิ์ ตั้งอยู่ในศีลธรรมจรรยา มั่นคงอยู่ในธรรม ก็เปรียบได้กับดอกไม้ แม้จะไม่งามวิจิตร ผู้คนแรกเห็น แม้จะไม่ชอบใจ แต่พอเข้าใกล้ ได้กลิ่นหอมชื่นใจก็สิ้นรังเกียจ กลับนิยมชมชอบอยากได้ไว้ส่งกลิ่นให้จรุงใจ ผู้มีศีลนั้น จะเข้าสู่สมาคมใดก็เป็นผู้แกล้วกล้าไม่เก้อเขิน ไม่หวาดหวั่นด้วยกลัวจะมีผู้รู้ความชั่ว เป็นผู้ที่น่าเชื่อใจ ไม่ว่าจะอยู่ในวัยใดก็ดูน่ารักสวยงาม เป็นเด็กก็ได้รับการมองว่าเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย เป็นผู้ใหญ่ก็ดูเป็นผู้มีเหตุผลน่าเคารพยกย่อง เป็นคนสูงอายุที่น่ารักน่าเคารพกราบไหว้ ดำรงเพศคฤหัสถ์ก็น่าคบหา น่าไว้วางใจให้เป็นผู้นำของสังคม เป็นพระภิกษุสามเณร ดำรงเพศบรรพชิต ก็เป็นบุคคลที่น่ากราบไหว้ของคนทั่วไป เป็นที่ไว้วางใจของพระผู้ใหญ่ให้บริหารงาน ศีลจึงสามารถช่วยผู้ปฏิบัติให้ข้ามพ้นจากความชั่วได้ทุกชนิด แต่การบำเพ็ญศีลให้บริบูรณ์นั้น จำเป็นต้องอาศัยความหนักแน่นของจิตใจ ต้องอาศัยความมุ่งมั่นอย่างหนัก ซึ่งบางครั้งเราอาจคับแค้นใจบ้าง เพราะการสร้างแม่บทของความดีคือศีล แต่อานิสงส์คือผลจากการรักษาศีลนั้นมีมากมาย คุ้มค่าพอที่จะอดทนกับความคับแค้นดังกล่าว ผลของการรักษาศีล ก่อให้เกิดความสุข ทั้งแก่ตนและสังคมรอบข้าง ทำให้กาย วาจาเรียบร้อย ทำให้ไม่เบียดเบียนกัน ทำให้ไม่มีเวรไม่มีภัยต่อใคร ๆ ทำให้ระงับความโกรธและความอาฆาต ฉะนั้นสาธุชนจึงควรบำเพ็ญศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เพราะศีลเป็นคุณธรรมพื้นฐานของสังคมทุกระดับ ศีลเป็นแม่แบบให้คุณธรรมเหล่าอื่นได้อุบัติขึ้นและคงอยู่ได้ ศีลจึงเป็นแม่ของความดีทั้งปวง เข้าใจหรือเปล่าน้องแตงหรือหลับแล้วครับงั้นก็ขอให้โชคดีครับ บาย เมกกะผู้ชายสีขาว จาก : เมกกะผู้ชายสีขาว รหัส - วัน เวลา : 303702 - 15 ก.ค. 47 - 07:36
15 กรกฎาคม 2547 08:13 น. - comment id 298689
สวัสดีครับน้องตูน ก่อนอื่นพี่เมกขอขอบใจน้องตูนมาก ๆ เลยนะครับที่ชอบธรรมข้อนี้.ตามธรรมดาแล้วนะครับน้องตูน ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมี ๒ มุมให้มองเสมอ และสองมุมนั้นก็แตกต่างกันออกไปอย่างเห็นได้ชัด คือ มองด้านดีและมองด้านร้าย การมองด้านดีมีคุณมองล้นมองด้านร้ายใหโทษโดยฝ่ายเดียว พี่เมก จะเล่าอะไรให้ฟังนะครับ ตั้งใจฟังนะครับน้องตูน มีชายชาวอินเดียคนหนึ่ง ช่วงสองปีที่ผ่านมา ผู้คนจะพบเห็นจนชินตาว่า บนบ่าของเขามีหม้อดินใบใหญ่ วางอยู่ข้างละใบ.. หม้อดินใบหนึ่งมีรอยร้าว ขณะอีกใบสมบูรณ์สวยงามไร้ที่ติ หม้อใบสวยสามารถบรรจุน้ำไว้ เต็มเปี่ยม นับจากลำธารจนถึงบ้านเจ้านาย.. ขณะที่อีกใบหนึ่งนั้น เมื่อมาถึงปลายทาง กลับเหลือน้ำแค่ครึ่ง เดียวเท่ากับว่าชายผู้นี้ขนน้ำได้เที่ยวละหม้อครึ่งอยู่ทุกครั้ง แน่ล่ะ..หม้อดินใบสวยย่อมภาคภูมิใจในตนเอง ที่ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน ส่วนหม้อดินใบร้าว นอกจากจะอดไม่ได้ที่จะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ในความไม่สมประกอบของตนเองแล้ว มันยังรู้สึกผิดกับการทำ หน้าที่ได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยอีกด้วย.. หลังจากสองปีเต็ม ที่แบกความทุกข์ระทมขมขื่นนั้นเอาไว้ แล้ววันหนึ่งมันจึงตัดสินใจเอ่ยกับคนหาบน้ำตรง ลำธารว่า.. ฉันรู้สึกละอายใจเหลือเกิน ฉันอยากขอโทษท่าน.. ตลอดสองปีมานี้ ฉันทำงานให้ท่านได้เพียงครึ่ง เดียวเท่านั้น เนื่องจากเจ้ารอยร้าวบนตัวฉัน มันทำให้น้ำรั่วไหลไปตลอดทาง เมื่อฟังเช่นนั้นแล้ว คนขนน้ำก็ พลอยรู้สึกเสียใจไปด้วย และแล้วเขาก็พูดว่า เอาล่ะ.. ระหว่างทางที่เราจะเดินกลับไปบ้านเจ้านายฉันอยากให้ เธอสังเกตดอกไม้สวยข้างทางเดินสักหน่อย เธอไม่ได้สังเกตหรอกหรือว่าทำไมดอกไม้ป่าเหล่านั้น ถึงได้งอกงามเฉพาะฝั่งที่ฉันแบกเธอเท่านั้น ทำไมมันไม่ขึ้นอีกฟากหนึ่งด้วยล่ะ นั่นเป็นเพราะฉันได้ตระหนักในข้อจำกัด ของเธอ จึงอาศัยเงื่อนไขนี้ เพาะเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ป่าตรงทางเดินฝั่งที่ฉันแบกเธอเสมอมา และทุกๆวันขณะที่ เราเดินกลับบ้าน เธอเองก็ได้ช่วยฉันรดน้ำต้นไม้ให้มันแล้วตลอดสองปีมานี้ ฉันก็ได้เด็ดดอกไม้สวยๆพวกนี้ไป ปักแจกันให้เจ้านายของเราด้วยนี่ถ้าหากไม่มีเธอแล้วล่ะก็ เจ้านายของเราคงไม่มีโอกาสได้ดอกไม้ป่าอันแสน สวยงามที่ผลิสะพรั่งอยู่ระหว่างทางมาประดับบ้านเป็นแน่... เราเองมีคุณค่าดีพอครับน้องตูนถ้าไม่เปรียบเทียบคนอื่นมากเกินไป ถ้าคิดว่าสิ่งไหนมันไม่ดี ก็พยายาม แก้ไข ทำให้มันดีขึ้น ผลลัพธ์ของการกระทำ ไม่ใช่คำตอบแห่งชัยชนะของชีวิต จุดมุ่งหมายและความตั้งใจจริง ของเราต่างหาก..คือคำตอบที่แท้จริง ชีวิตเราชีวิตหนึ่ง เกิดมาได้มีคนสองคนที่ร่วมกันสร้างมาด้วยความรัก เมื่อได้เกิดมาแล้ว...ก็ควรทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ เรียนรู้กับสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ค้นคว้าหาประสบการณ์จากสิ่งรอบข้าง .........ยึดมั่นในหลักที่ว่า......... ฉันรู้แต่เพียงว่าฉันไม่รู้เท่านั้นพอ ฯ จาก : เมกกะผู้ชายสีขาว รหัส - วัน เวลา : 303444 - 14 ก.ค. 47 - 20:27
15 กรกฎาคม 2547 08:15 น. - comment id 298691
พื้นฐานของการใช้เหตุผล ดร.ปกรณ์ สิงห์สุริยา ในอันที่จริง หากเราต้องการพัฒนาการใช้เหตุผลของเรา เราอาจจะพึ่งพาหนังสือการใช้เหตุผลเบื้องต้นที่เราสามารถพบเจอได้ตามชั้นในห้องสมุด อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญที่ผู้อ่านหนังสือเหล่านี้มักจะพบก็คือว่าพวกเขาไม่สามารถที่จะนำสิ่งที่อ่านมาประยุกต์ใช้ได้ดีเท่าที่ควร หลายคนบอกว่าเมื่ออ่านไปแต่ละบท พวกเขาก็สามารถทำแบบฝึกหัดท้ายบทได้ แต่เมื่อมาอยู่ในสถานการณ์จริง เช่นในการสนทนา หรือในการบทความ พวกเขากลับไม่รู้ว่าควรจะเริ่มอย่างไรก่อนดี ดังนั้นผู้เขียนจึงขอเสนอขั้นตอนที่เป็นหัวใจสำคัญของการใช้เหตุผล ขั้นตอนดังกล่าวจะมีประโยชน์ในสองประการ กล่าวคือ ประการแรกผู้เรียนจะได้แนวทางที่จำเป็นในการใช้เหตุผล ประการที่สอง ผู้เรียนจะได้พื้นฐานที่จะช่วยให้สามารถที่จะศึกษาเพิ่มเติมจากหนังสือต่างๆได้ด้วยตนเอง อะไรคือการใช้เหตุผล การใช้เหตุผลที่เราจะกล่าวถึงในที่นี้จะจำกัดอยู่กับแง่มุมของการประเมินเหตุผล ความสามารถในการประเมินนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เหตุผลไม่ใช่เพียงเพราะว่ายุคนี้เป็นยุคของข้อมูลข่าวสารที่ทำให้เราจำเป็นต้องคอยประเมินสิ่งต่างๆที่ผู้อื่นเสนอมาเท่านั้น หากแต่ยังเป็นเพราะว่าถ้าเราสามารถประเมินเหตุผลได้ เราก็จะประเมินเหตุผลของตนเองได้ และเมื่อนั้นเราจะสามารถตรวจสอบขัดเกลาระบบความคิดของตนเองได้ ทำให้เราเป็นผู้ที่มีเหตุผล มีความสามารถที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ก่อนอื่นเราควรจะทำความเข้าใจกันก่อนว่าอะไรคือ เหตุผล ที่จะต้องประเมิน เหตุผล ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงข้อความๆเดียวอย่าง การนำผลงานของผู้อื่นไปใช้โดยไม่บอกชื่อเจ้าของผลงานเป็นสิ่งที่ผิด แต่ เหตุผล ในที่นี้หมายถึงชุดของข้อความที่ต่างก็มีความสัมพันธ์กันแบบ ทำไม-เพราะอะไร กล่าวคือ ข้อความส่วนหนึ่งจะแสดงว่า ทำไม หรือ เพราะอะไร เราจึงควรยอมรับข้อความ ยกตัวอย่างเช่น นายเขียวทำสิ่งที่ผิด เพราะนายเขียวนำผลงานของนายขาวไปใช้โดยไม่แจ้งชื่อนายขาวให้ผู้อ่านรู้ และ การนำผลงานของผู้อื่นไปใช้โดยไม่บอกชื่อเจ้าของผลงานเป็นสิ่งที่ผิด จะเห็นได้ว่าในตัวอย่างนี้ ข้อความที่ว่า นายเขียวนำผลงานของนายขาวโดยไม่แจ้งชื่อนายขาวให้ผู้อ่านรู้ และข้อความที่ว่า การนำผลงานของผู้อื่นไปใช้โดยไม่บอกชื่อเจ้าของผลงานเป็นสิ่งที่ผิด. นั้นแสดงให้เห็นว่าทำไมจึงควรยอมรับว่า นายเขียวทำสิ่งที่ผิด อนึ่งเราต้องระวังอย่าให้คำว่า ทำไม-เพราะอะไร มาทำให้สับสนระหว่าง เหตุผล กับ สาเหตุ ทั้งเพราะสามารถใช้คำว่า ทำไม เพื่อถามถึงสาเหตุและเหตุผล ก็ได้ วิธีง่ายๆที่ใช้เพื่อตัดสินว่าขณะนี้ประเด็นที่พิจารณากันอยู่เป็นเรื่องของเหตุผลหรือสาเหตุทำได้โดยใคร่ครวญดูว่าคำตอบที่มีต่อคำถามที่ขึ้นต้นด้วย ทำไม นั้นมีบทบาทในการนำเสนอให้ผู้ฟังยอมรับสิ่งที่เป็นคำถามหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น เราอาจจะถามว่า ทำไมหนูจึงตีน้อง หรือทำไมถนนจึงลื่น คำตอบที่มีต่อคำถามเหล่านี้อาจเป็นว่าเพราะน้องดื้อ หรือ เพราะฝนตก เราจะเห็นได้ว่าคำตอบเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องของเหตุผล แต่เป็นเรื่องของสาเหตุ เพราะคำตอบเหล่านี้ไม่มีบทบาทในการนำเสนอให้ผู้ฟังยอมรับว่าเด็กคนนี้ตีน้อง หรือ ถนนลื่นเลย การตีน้องหรือการที่ถนนลื่น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้ว ในทางตรงกันข้ามหากเราต้องการบอกว่าความดื้อของน้องเป็นสาเหตุของการตีร้องจริงๆ (ไม่ใช่เพราะเด็กคนพี่เกเร) หรือเราต้องการบอกว่าฝนตกเป็นสาเหตุของถนนลื่นๆจริง(ไม่ใช่เพราะว่าท่อประปาแตก) เมื่อจี้นจึงเป็นเรื่องของเหตุผล เราเพราะเป็นการเสนอให้ผู้ฟังยอมรับข้อสรุปหนึ่งๆ ขั้นตอนการใช้เหตุผล การใช้เหตุผลประกอบด้วยขั้นตอนง่ายๆสองขั้นตอนได้แก่ ขั้นตอนของการทำความเข้าใจ และขั้นตอนของการประเมิน ขั้นตอนของการทำความเข้าใจ ขั้นตอนนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่จะต้องทำก่อนการประเมินเหตุผลที่ผู้อื่นเสนอมา ถึงแม้โดยทั่วไป เรามักจะเห็นว่าคนส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับขั้นตอนการประเมินเหตุผลมากเสียจนขั้นตอนการทำความเข้าใจถูกบดบังไป แต่ในอันที่จริง การทำความเข้าใจเหตุผลที่คนเสนอมาเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก หากความเอาใจใส่ในขั้นตอนนี้แล้ว เราจะประเมินเหตุผลได้ไม่ดี อีกทั้งยังทำให้มีโอกาสเป็นคนใจแคบ ขาดโอกาสที่จะพัฒนาหรือขัดเกลาความคิดของตนเองอีกด้วย จุดหมายของขั้นตอนนี้คือการพิจารณาว่าอะไรคือความคิดที่ผู้พูดสนอมาให้เรายอมรับ และอะไรคือความคิดที่ผูพูดยกมาสนับสนุนความคิดที่เขาต้องการให้เรายอมรับ หรืออีกนัยหนึ่ง(หากใช้คำเฉพาะในการอ้างเหตุผล) อะไรคือข้อสรุป และอะไรคือข้ออ้าง คำถามที่ใช้นำทางในการพิจารณาก็คือคำถามที่ว่า เขาต้องการบอกอะไร และทำไมเขาจึงบอกเช่นนั้น . โดยปกติแล้วในขั้นตอนนี้จะมีคำบ่งชี้ที่ช่วยสังเกต กล่าวคือ ความคิดหรือข้อความใดเป็นสิ่งที่บุคคลต้องการนำเสนอให้ยอมรับมักจะตามคำบ่งที่ว่า ดังนั้น ฉะนั้น เป็นต้น และความคิดหรือข้อความใดเป็นสิ่งที่ยกมาสนับสนุนมักจะมีคำบ่งที่ว่า เพราะว่า ด้วยเหตุที่ว่า เนื่องจาก เป็นต้น ลองดูตัวอย่างจากสถานการณ์ต่อไปนี้ น.ส.ก๋วย : หนูคิดว่าการใส่สายเดี่ยวเป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดี ด.ญ.ต๊อง : หนูคิดว่าไม่เป็นไรเพราะมันเป็นสิทธิ ในสถานการณ์นี้ เราจะเห็นว่า ด.ญ.ต๊องเป็นผู้เสนอให้ผู้ฟังยอมรับความคิดหนึ่งๆ เราใช้คำถามนำโดยถามว่า ด.ญ.ต๊องต้องการบอกอะไร และทำไมด.ญ.ต๊องจึงบอกเช่นนั้น . ต่อคำถามแรกเราจะเห็นว่าด.ญ.ต๊องต้องการบอว่าใส่สายเดี่ยวไม่เป็นไร ต่อคำถามที่สอง เราจะตอบได้ว่า ด.ญ.ต๊อง ให้เหตุผลสนับสนุนว่า เพราะมันเป็นสิทธิ เพื่อความสะดวกเราอาจจะเขียนเหตุผลของ ด.ญ.ต๊อง ได้ดังนี้ การใส่สายเดี่ยวเป็นสิทธิ ดังนั้นการใส่สายเดี่ยวไม่เป็นไร แม้เราจะทราบแล้วว่าด.ญ.ต๊องต้องการให้เรายอมรับว่าการใส่สายเดี่ยวไม่เป็นไร โดยให้เหตุผลสนับสนุนว่าการแต่งกายดังกล่าวเป็นสิทธิ แต่ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าเราเข้ใจเหตุผลของเขา(ไม่ใช่ตัวของเขา) ได้สมบูรณ์แล้ว เราต้องถามต่อไปว่าทำไมจึงคิดว่า ถ้าการใส่สายเดี่ยวเป็นสิทธิ แล้ว ทำไมจึงบอกได้ว่าการแต่งกายดังกล่าวไม่เป็นไร คราวนี้เป็นหน้าที่ของเราในอันที่จะหาเหตุผลที่ไม่ได้พูดออกมา หรืออีกนัยหนึ่ง เราต้องหาสมมุติฐานที่ช่วยให้ ด.ญ.ต๊อง ใช้เหตุผลดังกล่าวมาสนับสนุนข้อสรุปของตนได้ เหตุผลที่ไม่ได้พูดออกมาน่าจะเป็นว่า ถ้าการกระทำใดเป็นสิทธิ การกระทำนั้นก็เป็นไร เมื่อหาได้ดังนี้ เราก็จะเขียนเหตุผลของด.ญ.ต๊อง ได้ว่า ถ้าการกระทำใดเป็นสิทธิ การกระทำนั้นก็ไม่เป็นไร การใส่สายเดี่ยวเป็นสิทธิ ดังนั้น การใส่สายเดี่ยวไม่เป็นไร แม้เราทราบเหตุผล หรือ ชุดการอ้างเหตุผล ของ ด.ญ.ต๊อง แล้ว เราอาจจะมีคำถามต่อไปว่า คำว่า ไม่เป็นไร ที่ด.ญ.ต๊องใช้มีความหมายว่าอย่างไร ในที่นี้เราต้องใช้บริบทของสถานการณ์ช่วยในการทำความเข้าใจ เมื่อพิจารณาคำถามของ น.ส.ก๋วย แล้วจะเห็นว่าคำว่า ไม่เป็นไร ดังกล่าวน่าจะหมายถึง ไม่ใช่สิ่งดี เพราะน.ส.ก๋วย ถามว่า ดีหรือไม่ดี ดังนั้นเราจึงเขียนเหตุผลของ ด.ญ.ต๊อง ใหม่ได้เป็น ถ้าการกระทำใดเป็นสิทธิ การกระทำนั้นก็ไม่ใช่สิ่งไม่ดี การใส่สายเดี่ยวเป็นสิทธิ ดังนั้น การใส่สายเดี่ยวไม่ใช่สิ่งไม่ดี ประเด็นสำคัญที่เราได้เรียนรู้ก็คือว่า 1) การทำความเข้าใจเหตุผลของผู้อื่นต้องอาศัยคำถามนำที่ว่า เขาต้องการบอกอะไร และทำไมเขาจึงต้องการบอกเช่นนั้น . นอกจากนี้เราอาจจะใช้วิธีดูคำบ่ง เช่น ดังนั้น หรือ เพราะว่า เข้าช่วย 2)โดยปกติคนจะละเหตุผลบางอย่างไว้ในการนำเสนอความคิดหนึ่งๆให้ยอมรับ ดังนั้น เราควรจะหาเหตุผลที่ละไว้ก่อนเพื่อที่จะเข้าใจชุดการอ้างเหตุผลของเขาได้อย่างสมบูรณ์ 3)ในการทำความเข้าใจ เราต้องอาศัยบริบทเข้าช่วย อนึ่งในสถานการณ์ตัวอย่างที่ยกมานั้น ชุดการอ้างเหตุผลมีความเรียบง่าย แต่ในอันที่จริงชุดการอ้างเหตุผลนั้นเป็นข้อสรุปของชุดการอ้างเหตุผลชุดอื่นมาก่อน เราอาจกลับไปพิจารณาตัวอย่างเรื่องนายเขียวอีกครั้งหนึ่ง นายเขียวทำสิ่งที่ผิด เพราะนายเขียวนำผลงานของนายขาวไปใช้โดยไม่แจ้งชื่อนายขาวให้ผู้อ่านรู้ และ การนำผลงานของผู้อื่นไปใช้โดยไม่บอกชื่อเจ้าของผลงานเป็นสิ่งที่ผิด เราจะเห็นว่าในตัวอย่างนี้เราเห็นได้ชัดเจนว่าผู้พูดต้องการบอกอะไร และทำไมเขาจึงบอกเช่นนั้น กล่าวคือ เขาต้องการนำเสนอให้เรายอมรับว่านายเขียวทำสิ่งที่ผิด ข้ออ้างที่เขายกมาสนับสนุนก็คือว่านายเขียวนำผลงานของนายขาวไปใช้โดยไม่แจ้งชื่อนายขาวให้ผู้อ่านรู้ ซึ่งในที่นี้เราทราบได้โดยนัยว่านายเขียวมีเจตนาให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าผลงานของนายขาวที่ปรากฎในงานของตนนั้นเป็นผลงานของตนเอง และข้ออ้างอีกข้อก็คือว่าการนำผลงานของผู้อื่นไปใช้โดยไม่แจ้งชื่อเจ้าของผลงานแก่ผู้อ่านเป็นสิ่งที่ผิด จะเห็นว่าในกรณีนี้ไม่มีการละข้ออ้างใดเลย เช่น เราไม่ต้องถามว่าทำไม การนำผลงานของผู้อื่นไปใช้โดยไม่บอกชื่อเจ้าของผลงานเป็นสิ่งที่ผิด แล้วจึงสรุปได้ว่า นายเขียวทำสิ่งที่ผิด หรือเราไม่ต้องถามว่าทำไมถ้านายเขียวนำผลงานของนายขาวไปใช้โดยไม่แจ้งชื่อนายขาวให้ผู้อ่านรู้ แล้วจึงควรยอมรับว่านายเขียวทำสิ่งที่ผิด เราอาจจะเขียนชุดการอ้างเหตุผลให้เห็นได้ชัดได้ดังนี้ การอ้างเหตุผลชุด1 การนำผลงานของผู้อื่นไปใช้โดยไม่บอกชื่อเจ้าของผลงานเป็นสิ่งที่ผิด นายเขียวนำผลงานของนายขาวไปใช้โดยไม่แจ้งชื่อนายขาวให้ผู้อ่านรู้ ดังนั้น นายเขียวทำสิ่งที่ผิด อย่างไรก็ตามสมมุติว่าเราถามผู้พูต่อไปว่าทำไมการนำผลงานของผู้อื่นไปใช้โดยไม่บอกชื่อเจ้าของผลงานเป็นสิ่งที่ผิดและเขาตอบว่า การนำผลงานของผู้อื่นไปใช้โดยไม่บอกชื่อเจ้าของผลงานเป็นสิ่งที่ผิดเพราะมันเป็นการหลอกลวงผู้อ่าน และเป็นการขโมยผลงานผู้อื่น ต่อไปเราก็ต้องหาชุดการอ้างเหตุผล จะเห็นได้ไม่ยากว่าสิ่งที่ผู้พูดต้องการบอกก็คือ การนำผลงานของผู้อื่นไปใช้โดยไม่บอกชื่อเจ้าของผลงานเป็นสิ่งที่ผิด และเหตุผลที่เขาให้ก็คือ การนำผลงานของผู้อื่นไปใช้โดยไม่บอกชื่อเจ้าของผลงานเป็นการหลอกลวงผู้อ่าน และ การนำผลงานของผู้อื่นไปใช้โดยไม่บอกชื่อเจ้าของผลงานเป็นการขโมยผลงานผู้อื่น จะเห็นว่ามีเหตุผลที่ละไว้ เราสามารถถามคำถามได้ว่า ทำไมถ้าการนำผลงานของผู้อื่นไปใช้โดยไม่บอกชื่อเจ้าของผลงานเป็นการหลอกลวงผู้อ่าน และเป็นการขโมยผลงานผู้อื่น แล้วจึงสรุปได้ว่ามันเป็นผิด คงไม่ต้องสงสัยว่าการหลอก ลวงหรือการขโมยเป็นสิ่งที่ผิด (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีของคนที่ทำสิ่งเหล่านี้เพื่อประโยชน์ส่วนตน) ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่าเราสามารถสร้างชุดการอ้างเหตุผลที่มีข้ออ้างเรื่องความผิดจากการนำผลงานของผู้อื่นไปใช้โดยไม่บอกชื่อเจ้าของผลงาน เป็นข้อสรุปได้สองชุดดังนี้ การอ้างเหตุผลชุด2 การหลอกลวงเป็นสิ่งที่ผิด การนำผลงานของผู้อื่นไปใช้โดยไม่บอกชื่อเจ้าของผลงานเป็นการหลอกลวง ดังนั้น การนำผลงานของผู้อื่นไปใช้โดยไม่บอกชื่อเจ้าของผลงานเป็นสิ่งที่ผิด การอ้างเหตุผลชุด3 การขโมยเป็นสิ่งที่ผิด การนำผลงานของผู้อื่นไปใช้โดยไม่บอกชื่อเจ้าของผลงานเป็นการขโมย ดังนั้น การนำผลงานของผู้อื่นไปใช้โดยไม่บอกชื่อเจ้าของผลงานเป็นสิ่งที่ผิด เราจะเห็นได้ว่าข้อความ การนำผลงานของผู้อื่นไปใช้โดยไม่บอกชื่อเจ้าของผลงานเป็นสิ่งที่ผิด ซึ่งเป็นข้ออ้างของการอ้างเหตุผลชุด1 เป็นข้อสรุปของการอ้างเหตุผลชุด 2 และ 3 มาก่อน ขั้นตอนการประเมิน เมื่อเราได้ชุดการอ้างเหตุผลจากขั้นตอนการทำความเข้าใจแล้ว ต่อไปก็จะต้องประเมินในขั้นตอนการทำความเข้าใจ เรามีการใช้คำถามนำที่ว่า เขาต้องการบอกอะไรและทำไมเขาจึงบอกเช่นนั้น และยังมีคำถามที่ใช้เสริมเมื่อมีการละเหตุผลว่า ทำไมถ้ามีข้ออ้างนี้แล้ว จึงสรุปเช่นนี้ได้ การประเมินนี้ก็มีคำถามนำเช่นกัน กล่าวคือ สิ่งที่เขานำเสนอให้ยอมรับนั้น ยอมรับได้หรือไม่ คำถามนี้มีพื้นฐานมาจากจุดประสงค์ของการเสนอการอ้างชุดการอ้างเหตุผลที่ต้องการให้ผู้ฟังยอมรับความคิดหรือข้อสรุปหนึ่งๆ เราอาจจะตั้งคำถามให้ชัดเจนขึ้นว่า ข้ออ้างที่เขาเสนอมาสนับสนุนข้อสรุปนั้น สนับสนุนข้อสรุปได้จริงหรือไม่ คำถามนี้มีความสำคัญมาก เราสามารถที่จะแบ่งขั้นตอนของการประเมินได้บนพื้นฐานของคำถามนี้ ขั้นตอนการประเมินดังกล่าวแบ่งได้สองขั้นตอน กล่าวคือ 1.การประเมินความสัมพันธ์ทางตรรกะ 2.การประเมินเนื้อหาของข้ออ้าง ขั้นตอนแรกจะช่วยตอบคำถามในลักษณะที่ว่า ข้ออ้างที่ยกมาสนับสนุนข้อสรุปสนับสนุนข้อสรุปได้จริง เพราะว่ามันมีความสัมพันธ์ทางเหตุผลกับข้อสรุป หรือในลักษณะที่ว่าข้ออ้างไม่สนับสนุนข้อสรุปได้จริง เพราะว่ามันไม่มีความสัมพันธ์ทางเหตุผลกับข้อสรุปเลย ขั้นตอนที่สองจะช่วยตอบคำถามในลักษณะที่ว่าข้ออ้างที่ยกมาสนับสนุนข้อสรุปนั้น สนับสนุนข้อสรุปได้จริงเพราะว่าตัวข้ออ้างเองมีความน่าเชื่อถือ หรือในลักษณะที่ว่าข้ออ้างไม่ สนับสนุนข้อสรุปได้จริงเพราะว่าตัวมันเองมันไม่มีความน่าเชื่อถือ 1.การประเมินความสัมพันธ์ทางตรรกะ การประเมินความสัมพันธ์ทางตรรกะมีหน้าที่ในการตอบคำถามที่ว่า ข้ออ้างที่เขานำเสนอมาสนับสนุนข้อสรุปนั้น สนับสนุนข้อสรุปได้จริงหรือไม่ ได้อย่างไร การประเมินดังกล่าวจะตอบคำถามนี้ด้วยการพิจารณาที่ว่าข้ออ้างที่เสนอมาสนับสนุนข้อสรุปนั้นมีความสัมพันธ์ในทางเหตุผลกับข้อสรุปหรือไม่ หากข้ออ้างไม่มีความสัมพันธ์เชิงเหตุผลกับข้อสรุปเลย เราก็ไม่อาจบอกได้ว่าข้ออ้างนั้นนั้นสนับสนุนข้อสรุป ความสัมพันธ์ทางเหตุผลหรือความสัมพันธ์ทางตรรกะนี้เป็นความขึ้นแก่กันของความจริงของข้ออ้างและข้อสรุปในลักษณะที่ว่าหาก ข้ออ้างทุกข้อเป็นจริง ข้อสรุปต้องจริง เหตุผลเบื้องหลังก็คือว่าหากเรานำความเชื่อถือหรือความจริงของข้ออ้างมาให้น้ำหนักสนับสนุนข้อสรุป ความน่าเชื่อถือหรือความจริงของข้อสรุปก็ต้องขึ้นกับของข้ออ้าง หากความจริงเท็จของข้ออ้างไม่มีผลต่อความจริงเท็จของข้อสรุปเลย เราไม่อาจกล่าวได้ว่าข้ออ้างช่วยให้น้ำหนักแก่ข้อสรุป หากเรายอมรับว่าสิ่งที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางเหตุผลกับข้อสรุปสามารถใช้สนับสนุนข้อสรุปได้ เราก็จะเอาอะไรมาสนับสนุนอะไรก็ได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ใดๆต่อกันเลย เช่น คนที่เขียนสิ่งที่คุณกำลังอ่านอยู่นี้ชื่อ ปกรณ์ สิงห์สุริยา ดังนั้นจึงควรขึ้นเงินเดือนให้อาจารย์ทั่วประเทศ หรือ เราไม่รู้ว่ามนุษย์ดาวอังคารมีจริงหรือไม่ เพราะฉะนั้น นักศึกษามหิดลทุกคนเป็นคนมีความกล้าหาญทางจริยธรรม วิธีการตรวจสอบความสัมพันธ์ดังกล่าวนั้นจะคำถามที่ว่าหากข้ออ้างจริงทั้งหมดแล้ว ข้อสรุปจะเท็จได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม คนมักจะใช้คำถามที่ทำให้ตรวจสอบง่ายกว่าว่า หากสมมุติให้ข้อสรุปเป็นเท็จ ข้ออ้างใดข้ออ้างหนึ่งจะเป็นเท็จไปด้วยหรือไม่ ซึ่งวิธีการนี้อาศัยความขึ้นแก่กันของความจริงของข้ออ้างและข้อสรุปนั่นเอง ลองกลับมาพิจารณาชุดการอ้างเหตุผลของ ด.ญ.ต๊อง ถ้าการกระทำใดเป็นสิทธิ การกระทำนั้นก็ไม่ใช่สิ่งไม่ดี การใส่สายเดี่ยวเป็นสิทธิ ดังนั้น การใส่สายเดี่ยวไม่ใช่สิ่งไม่ดี หากเราจะประเมินความสัมพันธ์ทางตรรกะระหว่างข้ออ้างและข้อสรุปของชุดการอ้างเหตุผลนี้เริ่มแรก เราต้องสมมุติให้ การใส่สายเดี่ยวไม่ใช่สิ่งไม่ดี เป็นเท็จ เราก็จะได้ การใส่สายเดี่ยวเป็นสิ่งไม่ดี เราจะเห็นว่าหากเป็นเช่นนั้น ข้ออ้าง การใส่สายเดี่ยวเป็นสิทธิ ไม่น่าจะได้รับผลกระทบใดๆแต่เราจะพบว่าข้ออ้างแรกจะกลายเป็นเท็จ เพราะมีกรณีที่การกระทำที่เป็นสิทธิไม่ใช่สิ่งดี ดังนั้นเราจึงสรุปได้ว่าข้ออ้างและข้อสรุปของชุดการอ้างเหตุผลนี้ความสัมพันธ์ทางตรรกะ เรามาลองพิจารณาอีกตัวอย่างหนึ่ง ถ้าใครเป็นไดโนเสาร์ คนนั้นจะเห็นว่าการใส่สายเดี่ยวไม่ดี น.ส.อาดเห็นว่าการใส่สายเดี่ยวไม่ดี ดังนั้น น.ส.อาดเป็นไดโนเสาร์ หากสมมุติให้ น.ส.อาดเป็นไดโนเสาร์ ผิด เราจะเห็นว่าข้ออ้างแรกก็ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด เพราะหาก น.ส.อาดเป็นไดโนเสาร์ ก็ไม่มีผลให้ผู้ที่เป็นไดโนเสาร์กลับมาเห็นว่าการใส่สายเดี่ยวดีขึ้นมา เพราะว่าผู้ที่เห็นว่าการใส่สายเดี่ยวไม่ดีไม่จำเป็นต้องคนที่หัวโบราณ เขาอาจเป็นปัญญาชน เป็นคนที่เห็นปัญหาสังคม หรือเป็นคนที่พบภัยจากการใส่สายเดี่ยวมากับตัวเองก็ได้ ดังนั้น ชุดการอ้างเหตุผลนี้ ไม่ผ่านการประเมินในขั้นนี้ ข้ออ้างที่ดูเหมือนว่าสนับสนุนข้อสรุปสนับสนุนข้อสรุปไม่มีความสัมพันธ์ทางเหตุผลกับข้อสรุปเลย 2.การประเมินเนื้อหาของข้ออ้าง ตามหลักการแล้วหากชุดการอ้างเหตุผลไม่ผ่านการประเมินขั้นแรก เราก็ไม่ต้องพิจารณาต่อในขั้นนี้ เพราะหากไม่ผ่านการประเมินขั้นแรก ก็หมายความว่าข้ออ้างและข้อสรุปไม่มีความสัมพันธ์กัน ไม่ว่าเนื้อหาของข้ออ้างจะถูกผิดอย่างไรก็ไม่มีผลต่อข้อสรุป แต่ในทางปฏิบัติ เราอาจจะพิจารณาความน่าเชื่อถือของข้ออ้างต่อเพื่อที่จะดูว่าข้ออ้างนั้นมีความน่าเชื่อถือพอที่จะนำไปใช้ต่อในกรณีอื่นได้หรือไม่ การประเมินเนื้อหาของข้ออ้างเป็นสิ่งที่คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น หากคนบอกว่า ชายเป็นโรคตับแข็งมากกว่าหญิง เราก็ปะเมินได้ด้วยการไปตรวจสอบข้อมูลจากโรงพยาบาลต่างๆหากพบว่าสถิติผู้ป่วยโรคตับแข็งเป็นหญิงมากกว่าชาย ก็หมายความว่าข้ออ้างที่ว่าชายเป็นโรคตับแข็งมากกว่าเป็นเท็จ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกกรณีที่ข้ออ้างจะเป็นเรื่องที่ประเมินได้ด้วยข้อเท็จจริง บางครั้งเราก็ต้องอาศัยเหตุผลเป็นพื้นฐานการประเมิน ลองกลับมาที่ชุดการอ้างเหตุผลของด.ญ.ต๊อง อีกครั้งหนึ่ง ถ้าการกระทำใดเป็นสิทธิ การกระทำนั้นก็ไม่ใช่สิ่งไม่ดี การใส่สายเดี่ยวเป็นสิทธิ ดังนั้น การใส่สายเดี่ยวไม่ใช่สิ่งไม่ดี เราจะเห็นว่าข้ออ้างทั้งสองเป็นเรื่องหลักการ ไม่ใช่ของข้อเท็จจริง เราจึงต้องอาศัยเหตุผลประเมิน ในที่นี้จะให้ความสนใจกับข้ออ้างแรกเป็นสำคัญ ขั้นแรก เราต้องถามว่าจริงหรือไม่ที่ว่าถ้าการกระทำใดเป็นสิทธิ การกระทำนั้นก็ไม่ใช่สิ่งไม่ดี หากประเมิน เราต้องคิดหาการกระทำที่เป็นสิทธิและไม่ดี หรืออีกนัยหนึ่ง เราต้องหาตัวอย่างแย้ง (counterexample) หากเราหาได้ ก็หมายความว่าไม่จริงที่ว่าหากการกระทำใดเป็นสิทธิ เราเชื่อได้เสมอว่า การกระทำนั้นไม่ใช่สิ่งไม่ดี ในกรณีนี้ เราสามารถคิดถึงตัวอย่างแย้งได้มากกมาย เช่น การรับประทานอุจจาระของตนเองก็เป็นสิทธิ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี การสูบบุหรี่ก็เป็นสิทธิ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี การนำเอาเงินเดือนส่วนหนึ่งไปซื้อข้าวสารและน้ำปลาไว้พอกินไปหนึ่งเดือน และใช้เงินส่วนที่เหลือทั้งหมดไปเล่นล็อตเตอรี่ ก็เป็นสิทธิ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะเห็นได้ว่าข้ออ้างแรกนี้ไม่จริง ดังนั้น จึงไม่มีน้ำหนักที่จะสนับสนุนข้อสรุป อย่างไรก็ตาม การประเมินที่กล่าวมาข้างต้นเน้นที่การพิจารณาความน่าเชื่อถือของข้ออ้าง แต่อันที่จริงยังมีบางกรณีที่เราสามารถประเมินข้อสรุปได้โดยตรง โดยไม่ต้องพิจารณาที่ตัวข้ออ้าง เราสามารถใช้คำถามนำที่ว่า ข้อสรุปในตัวมันเองยอมรับได้หรือไม่ เราจะลองพิจารณาตัวอย่างกัน ในตัวอย่างนี้ มีคนคิดว่าการอยู่ก่อนแต่งจะช่วยให้ชีวิตสมรสยั่งยืนว่าการแต่งก่อนอยู่โดยให้เหตุผลดังนี้ การรู้ว่ามีนิสัยเข้ากันได้หรือไม่เป็นปัจจัยสำคัญที่ใช้ในการตัดสินใจแต่งงานที่ถูกต้อง การอยู่ก่อนแต่งช่วยทำให้รู้ว่ามีนิสัยเข้ากันได้หรือไม่ ดังนั้น การทดลองอยู่ด้วยกันก่อนแต่งจะทำให้ชีวิตแต่งงานยั่งยืน ในที่นี้เราไม่ต้องประเมินข้ออ้างทั้งสองที่จะประเมินว่าการทดลองอยู่ก่อนแต่งจะทำให้ชีวิตแต่งงานยั่งยืนจริงหรือไม่ ทั้งนี้เพราะว่าในประเทศที่มีปรากฎการณ์ของการอยู่ก่อนแต่งกันมากนั้น มีการเก็บสถิติมาเป็นระยะเวลานานพอๆกับการเกิดขึ้นของปรากฎการณ์ดังกล่าวและจากสถิติ พบว่าคู่ที่ทดลองอยู่ก่อนแต่งมีอัตราการหย่าร้างสูงกว่าคู่ที่แต่งงานก่อนอยู่ด้วยกัน สถิติดังกล่าวจึงเป็นปฏิเสธตัวข้อสรุปได้โดยตรง หรืออีกนัยหนึ่ง เมื่อตั้งคำถามว่า ข้อสรุปเกี่ยวกับการอยู่ก่อนแต่งในตัวมันเองยอมรับได้หรือไม่ นั้น เราจะได้คำตอบว่า ยอมรับไม่ได้เพราะตัวข้อสรุปเองขัดกับข้อเท็จจริงที่มี แน่นอนว่า การปฏิเสธที่ข้อสรุปนี้ย่อมมีผลต่อข้ออ้าง เพราะว่าข้ออ้างและข้อสรุปมีความสัมพันธ์ทางเหตุผล การที่ข้อสรุปในตัวอย่างข้างงต้นเป็นเท็จด้วยข้อมูลทางสถิติทำให้เราต้องสงสัยแล้วว่าข้ออ้างใดข้องหนึ่ง หรืออาจจะทั้งสองข้อเป็นเท็จ เช่น ในอันที่จริงแล้ว การอยู่ก่อนแต่งไม่ทำให้รู้นิสัยใจคอกันอย่างแท้จริง หรือการรู้ว่ามีนิสัยเข้ากันได้หรือไม่นั้นไม่ใช่ปัจจัยสำคัญปัจจัยเดียวที่จะต้องคำนึงถึง ยังมีปัจจัยสำคัญอื่นๆอีกมากมาย เช่น ปัจจัยดังกล่าวอาจจะเป็นความรู้สึกเรียนวิทยาศาสตร์อาจจะคุ้นเคยกับวิธีการประเมินข้อสรุปด้วยวิธีนี้กันดี เพราะมันเป็นเรื่องของการตั้งสมมุติฐานและนำมาตรวจสอบด้วยการทดลอง จุดนี้แสดงให้ว่า คำถามที่ว่าข้ออ้างที่เขาเสนอมาสนับสนุนข้อสรุปนั้น สนับสนุนข้อสรุปได้จริงหรือไม่ ไม่ใช่แง่มุมทั้งหมดของการพิจารณาว่า สิ่งที่เขาเสนอให้ยอมรับนั้น ยอมรับได้หรือไม่ เพราะว่าในการพิจารณาดังกล่าว เราจะไม่จำเป็นต้องดูแต่ที่ข้ออ้างเท่านั้น แต่เราอาจจะพิจารณาที่ข้อสรุปด้วยกันก็ได้ อนึ่งยังมีวิธีพิจารณาที่ข้อสรุปอีกวิธีหนึ่ง วิธีนี้ใช้คำถามนำที่ว่า หากสมมุติฐานให้ข้อสรุปจริง จะมีผลที่ยอมรับไม่ได้ตามมาหรือไม่ หากมีผลที่ยอมรับไม่ได้ตามมาเราก็ต้องปฏิเสธข้อสรุปไป และเมื่อนั้น ข้ออ้างย่อมได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น มนุษย์ทุกคนเกิดมาเป็นไทแก่ตัว ผู้ที่เป็นไทแก่ตัวจะทำอะไรก็ได้ตามต้องการ ดังนั้น มนุษย์ทุกคนจะทำอะไรก็ได้ตามต้องการ หากเราสมมุติให้ข้อสรุปเป็นจริง จะมีผลที่ยอมรับไม่ได้ตามมา เพราะความต้องการของมนุษย์หลากหลาย มีทั้งที่ดีและไม่ดี หากมนุษย์ทำตามใจของตนได้ทั้งหมด มนุษย์ก็จะอยู่เป็นสังคมไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น บางคนต้องการฆ่าทุกคนที่ทำให้ตนไม่พอใจ บางคนต้องการร่วมเพศกับเด็ก บางคนต้องการใช้ยาเสพติด บางคนต้องการตัดขาตัวเอง เมื่อข้อสรุปยอมรับไม่ได้ ก็หมายความว่าจะต้องมีผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของข้ออ้าง ยกตัวอย่างเช่น ไม่จริงที่ว่า ผู้ที่เป็นไทแก่ตัวจะทำอะไรก็ได้ตามต้องการก็ได้ แต่ต้องคำนึงผลกระทบทั้งในระยะสั้นและระยะยาวที่จะมีต่อผู้ที่เป็นไทคนอื่นๆด้วย สรุปขั้นตอนการใช้เหตุผล ขั้นตอนการใช้เหตุผลมีสองขั้นตอน 1. ขั้นตอนการทำความเข้าใจ คำถามนำที่ใช้ เขาต้องการบอกอะไร และทำไมเขาจึงบอกเช่นนั้น ผลที่ได้จากการตอบคำถามคือชุดการอ้างเหตุผล อนึ่ง เนื่องจากว่าโดยทั่วไปคนมักจะละเหตุผลสนับสนุนบางข้อไว้ ดังนั้น จึงมีคำถามนำที่ใช้ช่วยหาข้ออ้างที่ละไว้นั้น คำถามนั้นคือ ทำไมถ้ามีข้ออ้างนี้แล้ว จึงสรุปเช่นนี้ได้ 2. ขั้นตอนการประเมินมีพื้นฐานอยู่บนพื้นฐานที่ว่า สิ่งที่เขาเสนอให้ยอมรับนั้น ยอมรับได้หรือไม่ คำถามดังกล่าวทำให้ช่วยตั้งคำถามหลักที่ช่วยในการประเมินได้สองคำถามใหญ่ กล่าวคือคำถามที่มุ่งประเมินที่ข้ออ้าง และคำถามที่ที่มุ่งประเมินที่ข้อสรุปโดยตรง(ไม่ใช่ประเมินโดยอ้อมผ่านทางการประเมินข้ออ้าง) 2.1 คำถามที่มุ่งประเมินที่ข้ออ้าง ได้แก่ ข้ออ้างที่เขาเสนอมาสนับสนุนข้อสรุปนั้น สนับสนุนข้อสรุปได้จริงหรือไม่ ขั้นตอนที่ใช้ตอบคำถามนี้ประกอบด้วยสองขั้นตอน 1 ขั้นตอนการประเมินความสัมพันธ์ทางเหตุผล : คำถามที่ใช้ หากสมมุติให้ข้อสรุปเป็นเท็จ ข้ออ้างข้ออ้างหนึ่งจะเป็นเท็จไปด้วยหรือไม่ 2 ขั้นตอนการประเมินเนื้อหาของข้ออ้าง ใน ขั้นตอนนี้ ต้องพิจารณาว่าควรใช้ข้อเท็จจริงหรือ เหตุผลมาประเมินดูว่าข้ออ้างนั้นน่าเชื่อถือหรือไม่ 2.2 คำถามที่ที่มุ่งประเมินที่ข้อสรุปโดยตรง ได้แก่ ข้อสรุปในตัวมันเองยอมรับได้หรือไม่ และ หากสมมุติฐานให้ข้อสรุปจริง จะมีผลที่ยอมรับไม่ได้ตามมาหรือไม่ อนึ่ง อย่าลืมว่าข้อสรุปและข้ออ้างมีความสัมพันธ์ทางเหตุผลกัน หากประเมินในขั้นนี้แล้ว พบว่าข้อสรุปยอมรับไม่ได้ หมายความว่าความน่าเชื่อถือของข้ออ้างข้อใดข้อหนึ่ง หรือทั้งสองข้อย่อมได้รับผลกระทบด้วย ที่มา: เอกสารการสอน อ.ดร. ปกรณ์ สิงห์สุริยา , 2543 จาก : เมกกะผู้ชายสีขาว รหัส - วัน เวลา : 303475 - 14 ก.ค. 47 - 20:53
15 กรกฎาคม 2547 08:16 น. - comment id 298692
แสวงหาความต่างทุกอย่างมี จุดพอดีคบกันฉันท์สหาย ร่วมถนอมความเห็นมิเว้นวาย สงวนสายสัมพันธ์นิรันดร จุดประกายมิตรภาพตราบสิ้นฟ้า ต่างเข้ามาเพราะรักในอักษร สร้างความฝันกำหนดเป็นบทกลอน ความอาทรผันผละควรระวัง สามัคคีพี่น้องไม่ต้องซื้อ มิตรนั่นคือผู้ตามให้ความหวัง ไมตรีจิตบริสุทธิ์ประดุจดัง หมื่นพลังรั้งโลกโศกทลาย วัฒนธรรมไทย.ไสวงาม ก็เพราะความอ่อนหวานประสานสาย งามในจิตงามคำงามล้ำกาย คือความหมายงามระยับฉบับไทย บนหัวขาวเทาแกมแซมผมดำ นั้นตอกย้ำจำแนกรุ่นแรกใกล้ แย้มฝาโลงแล้วหนาระอาใจ แต่ทำไมนึกคิดติดอัตตา รู้จักแพ้ยอมด้อยใช่น้อยศักดิ์ มอบความรักยอมให้ฤาไร้ค่า บนพื้นฐานเมตตากรุณา อันวาจาควรถนอมประนอมความ แสวงจุดร่วมด้วยต้องช่วยสร้าง สงวนต่างเก็บซ่อนอย่าย้อนถาม ถ้าเห็นด้วยสอดคล้องต้องนิยาม ช่วยกันหามความสุขสนุกกัน รักกันไว้พวกพ้องและน้องพี่ ต่อไมตรียืนยาวร่วมสาวฝัน เพราะวันพรุ่งอาจจะขาด กันและกัน ถึงตอนนั้นนึกเสียดาย..จะสายเกิน@ Poem ID : 57101 - ผู้ชม 153 ผู้ตอบ 18 Written by : ผู้เฒ่า Posted by : รหัสสมาชิก : 6619 - ผู้เฒ่า
15 กรกฎาคม 2547 21:32 น. - comment id 299144
ไม่มีคำพูดเพราะ ๆ .. แค่อยากบอกว่า .. พี่จะคอยมองดูน้องเรนโตเป็นต้นไม้ที่แข็งแรง..อยู่ตรงนี้เสมอ ..นะจ๊ะ ..............................
16 กรกฎาคม 2547 05:38 น. - comment id 299240
เรน.. ขอบคุณ..พี่เบญนะคะ.. คิดถึง... นะคะ..
16 กรกฎาคม 2547 06:02 น. - comment id 299246
ข้างบนที่เยอะๆ .. เป็นเรนเองคะ .. ขออนุญาต .. เก็บไว้ ..ในไดฯเรน .. จะได้ปริ้นเก็บง่ายๆ นะคะ.. เรน..ขอบคุณ.. พี่หนึ่ง .. พี่ไอซส์ พี่เมก .. แล้วก็ ..คุณลุง..นะคะ..