เขาต้อนควายย้ายทุ่งมุ่งตัดผ่าน ตัวดำกร้านกรำแดดร้อนแผดเผา ร่างกำยำล่ำบึกคึกไม่เบา คอยเร่งเร้าเจ้าควายเดินย้ายตาม วันทั้งวันขยันเดินเพลินชีวิต ถูกลิขิตพิชิตนาใครกล้าหยาม จูงควายไปไถดินทั่วถิ่นคาม ไม่ครั่นคร้ามตามใจหากใคร่ทำ เมื่อน้ำฝนหล่นพรำรีบดำนา หว่านข้าวกล้าท้าลมถ่มกระหน่ำ ยามแดดออกหยอกเย้าเขายังทำ ผิวหมองคล้ำดำหน้าทนฝ่าฟัน อรุณรุ่งมุ่งหน้าพาควายไป ชายทุ่งใหญ่ไกลแน่แต่ไม่หวั่น เพราะหญ้างามอร่ามเชียวเขียวทั่วกัน ด้วยควายนั้นมันชอบต้องตอบแทน
28 ธันวาคม 2546 15:59 น. - comment id 195482
กลอนไพเราะมากเลยค่ะ
29 ธันวาคม 2546 16:36 น. - comment id 195802
ผมชมชอบอ่านกลอนอักษรลิขิต ร่ายชีวิตผิดแผกไปได้หลายอย่าง กระบวนการวางถ้อยร้อยคำไม่อ้างว้าง เป็นแบบอย่างของบทกลอนอักษรไทย ขอปรบมือให้ลือลั่นสะท้านโลก ที่ไทยเกิดมีกวีบริสุทธิ์ผุดผ่องใส อักษรอักขระไม่วิปริตผิดแผกไป เป็นตัวอย่างให้ชาวไทยได้ยั่งยืน แม้นคนไทยรักษาไว้ด้วยใจจิต ชุบชีวิตบทกลอนไทยไว้อย่าได้ฝืน รักษาแบบอย่างวางไว้ให้ยั่งยืน ท่านสุนทรครูคงฟื้นคืนกลับมา บัดนี้เล่ากลอนเปล่าเข้ามาแทรก จัดจำแนกว่าเป็นกลอนสุดซู่ซ่าส์ พวกวัยรุ่นนิยมใช้เหลือสุดคณา อักษรบ้าๆเข้ามาพัวพันจนบรรลัย. นกตะวันนั้นออกจะร้อนแรงเหลือ ฝีปากย่อมเหนือว่าคนเขาทั้งหลาย เหมือนสุริยนฉายแสงให้พรรณราย ดับเงาร้ายที่มาแฝงแห่งกลอนไป หวังอย่างยิ่งคงพินิจจิตเรานี้ ช่วยกระพือบทกลอนนี้ให้ผ่องใส ด้วยสองปีกนกตะวันช่วยกันไป โลกคงใสซางซ่าส์ดุจดวงตะวัน. แก้วประเสริฐ. (เคารพศรัทธาคุณจริงๆครับถึงแม้ว่าจะไม่เคยแสดงความคิดเห็น แต่อ่านกลอนคุณตลอดเวลา เคารพเลยไม่กล้าต่อถ้อยคำกลอนกับคุณ แต่บัดนี้ อ่านกลอนและไม่ใช่กลอนพัวพันกันนุงนัง คุณเป็นอัจฉริยะกลอนคนหนึ่งหวังว่าคงจะ โพสน์ให้คนทั่วไปไหวหวั่นหันกลับมาใช้รากฐานของกลอนได้เหมือนเดิม ขอบคุณครับ)