** หมาขี้เรื้อน ** เป็นคติที่สอนไว้ในเหตุผล การฝึกตนควรมองตรองศึกษา มีหลายอย่างประวิงกาลผ่านมา ทุกเวลาควรมองฝึกครองกมล ด้วยจิตเราปัจจัยในสาเหตุ มีขอบเขตมักเปลี่ยนเวียนสับสน มิได้สิ่งหมายปองสนองเวียนวน มักปะปนคลุ้งเคล้าเย้ายวนหทัย. *** แก้วประเสริฐ. *** " เป็นของดีที่เพื่อนส่งมาให้อ่านเห็นว่าดีจึงนำมาให้อ่านกันครับ " ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่งเพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน เพื่อเห็นแก่แม่..บัณฑิตใหม่หมาดๆจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้ เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาคอีสาน พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดีมีแต่ความสุขสบาย เมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน แต่ก็นั่นแหละกว่าจะนิ่งก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆกัน ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะพระใหม่มีนิสัยชอบจับผิด และชอบอวดรู้ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้าก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่าล้าสมัย ไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี่ ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่า ท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกินกว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้างก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปทีล้างไปบ่นไป ประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้ โอ้ชีวิต! ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ถือดี ว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าทุกประตู นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจกลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทิน นับถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่อ อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่าท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง วันๆไม่เห็นท่านทอะไรเอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะ ซักผ้าเอง (เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคน จัดการไปเสียทุกอย่าง เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชา เสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัย รวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วยอีกข้อหนึ่งเพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้นพระใหม่เสนอให้ หลวงพ่อเจ้าอาวาส มีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้ สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงานอย่างการซักจีวรเองเป็นต้นด้วยตนเอง ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำ หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วย ท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่านให้พระหนุ่มสามเณรน้อย ทั้งหลายฟังแต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมา แล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง ที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งจากใต้ต้นอโศกที่อยู่ ใกล้ๆ เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่ เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อน คันไปทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่น ไป มาทั้งวัน เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้นเดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้ อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน แต่พวกเธอรู้ไหม เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจ หาว่าแต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที เลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน เจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้นหาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่ แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่า ได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตร สวดมนต์เย็นแล้ว ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบ แต่ในวุ่นวาย นึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู ยิ่งนั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจ ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัวท่านก็ยังไม่ยอมสึก " อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อน ขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษา " โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชาย แล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า หมาขี้เรื้อน ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ ถ้าเรา ยังเป็น โรค อยู่ในใจ ไม่ว่าเราย้ายงาน ไปที่ไหน เราก็บ่นว่าสถานที่เหล่านั้น สกปรก สิ้นดี จากคุณ nidnoi ครับ *** แก้วประเสริฐ. ***
23 กุมภาพันธ์ 2551 14:33 น. - comment id 826213
คิดถึงบรรยากาศ วัดป่า ครับ
23 กุมภาพันธ์ 2551 14:53 น. - comment id 826220
..เคยอ่านเรื่องนี้เหมือนกันค่ะ เห็นด้วยกับคนเราที่มักมองไม่เห็นผิดตนเองแต่เห็นผิดที่ผุ้อื่น...เนาะ
23 กุมภาพันธ์ 2551 16:19 น. - comment id 826230
คะ..ความผิดของผู้อื่นมองเห็นง่าย แต่ของตัวเองไม่ยอมดู อืมมม ต้องให้คนข้างๆคอยสกิด
23 กุมภาพันธ์ 2551 16:49 น. - comment id 826233
ทักทายค่ะ ครูแก้ว สรุปว่าทุกสิ่งอย่างอยู่ที่ตัวเรา อิอิ สบายดีนะค่ะ
23 กุมภาพันธ์ 2551 17:28 น. - comment id 826236
I'm trying hard to understand this story, but there are TOO many Thai vocabularies that I don't know before. I understand only few words .. what should I do? I'm sorry.
24 กุมภาพันธ์ 2551 04:12 น. - comment id 826302
24 กุมภาพันธ์ 2551 06:55 น. - comment id 826320
มารับธรรมทานตอนเช้าครับ การพิจารณาตัวเองก่อน ย่อมดีกว่าฉะนี้แล...
24 กุมภาพันธ์ 2551 06:55 น. - comment id 826322
สวัสดีค่ะคุณลุงแก้ว อ่านแล้วให้ข้อคิดดีจังเลยค่ะ...อิอิ...ป ชักคันๆ ตัวยังไงไม่ทราบค่ะ
24 กุมภาพันธ์ 2551 07:10 น. - comment id 826326
สวัสดีตอนเช้าค่ะ คุณครูแก้ว ดีนะคะที่พระรูปนั้นไม่เกิดอารมณ์โมโห แล้วลาสิกขากลางคัน แสดงว่าพระรูปนี้ ยังเป็นพระที่ดีค่ะ ที่สามารถมองเห็นความ ไม่ดีในตัวเอง เรียกว่าสำนึกได้ แม้นจะ ภายหลังก็ตาม แต่มีอีกหลายคนนะคะใน สังคมนี้ที่ทำผิดแล้วไม่ยอมรับ ก็จะเป็น ที่ปวดเศียรเวียนเกล้าแก่บุคคลในสังคม
24 กุมภาพันธ์ 2551 08:03 น. - comment id 826331
ความสงบในใจใช่หายาก เรียนรู้จากจิตใจเจ้าฝึกฝน ใจหนึ่งใจยกพิจารณาเข้าใจตน ใช่เวียนวนหลุ่มหลงในอบาย
24 กุมภาพันธ์ 2551 08:31 น. - comment id 826342
อ่านเรื่องราวแล้ว..นำมาปรับใช้กับชีวิตได้ดีค่ะ.. ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดี ๆ ..บทกลอนดีๆ ค่ะ.. ** สวัสดียามเช้า..รักษาสุขภาพนะคะ.. **
24 กุมภาพันธ์ 2551 11:45 น. - comment id 826396
คุณ คนลานเทวา ครับเป็นเรื่องจริงครับ ผมคิดว่าเป็นวัดป่า ที่ปราชญ์ไทยเราครับ คือท่านพุทธทาสภิกขุกระมัง ครับแต่เป็นเรื่องจริงครับ ส่วนกลอนนั้นผมแต่ง ขึ้นเอง ขอบคุณที่มาเยี่ยมครับ แก้วประเสริฐ.
24 กุมภาพันธ์ 2551 11:48 น. - comment id 826397
คุณ ไหมไทย ผมคิดว่าเป็นของท่านพุทธทาสภิกขุครับเป็น เรื่องจริงที่เล่ากันมาเพื่อนส่งมาให้ เห็นว่าดีเลย นำมาลง ส่วนกลอนผมแต่งขึ้นเองครับพราะว่าหน้า นี้เป็นหน้ากลอนครับ ขอบคุณครับ แก้วประเสริฐ.
24 กุมภาพันธ์ 2551 11:53 น. - comment id 826399
คุณ มาย่า ครับมักจะเป็นเช่นนั้นครับ ทางพระว่าจิตที่ ฝึกดีแล้วย่อมนำความสุขมาให้ ครับเช่นเดียวกัน หากเรามองตัวเราก่อนที่จะไปมองคนอื่นนั้นก็ย่อม มีสติพิจารณาตนเองได้ว่าดีหรือชั่วครับ การมองในสิ่งรอบข้างย่อมดีขึ้นเข้าใจยิ่งขึ้นครับ ขอบคุณที่มาเยี่ยมครับ แก้วประเสริฐ.
24 กุมภาพันธ์ 2551 11:57 น. - comment id 826400
คุณ กชมนวรรณ ขอบคุณครับ ใช่แล้วทุกๆสิ่งจะดีหรือชั่วอยู่ ที่ตัวของเราเองหากใช่มาทำให้เราได้ หากเรามี สติพิจารณาหาเหตุผลไม่คล้อยตามไปตามโมหะ โทสะและโลภะแล้ว การพิจารณาควรมองตัวเราเป็น เหตุแล้วผลก็จะตามมาจ๊ะ ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างสำเร็จ ได้ด้วยใจจ๊ะ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
24 กุมภาพันธ์ 2551 12:12 น. - comment id 826402
dear silver snitch please pardon me because I see that it is very good sorry for poem I write it thank you and miss you now kaewprasert
24 กุมภาพันธ์ 2551 12:14 น. - comment id 826403
คุณ มายอามีน ขอบคุณมากครับว่างๆแวะมาเยี่ยมบ้างนะครับ แก้วประเสริฐ.
24 กุมภาพันธ์ 2551 12:16 น. - comment id 826404
คุณ คนบนเกาะ ครับการพิจารณาตนเองก่อน นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง เพราะเราจะมีสติปัญญาพิจารณาถึงเหตุและผลของ เรื่องนั้นๆก่อนครับ ขอบคุณครับ แก้วประเสริฐ.
24 กุมภาพันธ์ 2551 12:18 น. - comment id 826407
คุณ ปราณรวี ภาพสวยจังผมเก็บไว้แล้วครับ ผมคิดว่า เป็นของปราชญ์ทางพระครับคือพุทธทาสภิกขุครับ ใช่หรือไม่ ไม่ค่อยแน่ใจครับ ขอบคุณครับ แก้วประเสริฐ.
24 กุมภาพันธ์ 2551 12:24 น. - comment id 826408
คุณ ช่ออักษราลี ตามความเห็นนะครับว่าน่าจะเป็นท่านปราชญ์ ทางพระคือท่านพุทธทาศภิกขุ เพราะเวลาจะอบรม สาณุศิษย์ท่านมักจะเกิดขึ้นลานหินใต้ต้นไม้ เพราะ ผมเองก็เคยไปเที่ยวมาครับและไปนมัสการรูปท่าน ในเนื้อเรื่องคล้ายๆกับเหตุการณ์เพราะจะมีหมาด้วย ครับ ระดับท่านย่อมละแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวงย่อมปราศ จาก โลภะ โทสะ และโมหะ แล้วครับ ก่อนอื่น ท่านต้องสังเกตุออกท่านพูดไม่มากหรอกครับ พูดน้อยแต่ละคำพูดท่านมักล้วนด้วยเหตุผล ทั้งสิ้นครับ ขอบใจมากจ้ารักเสมอ แก้วประเสริฐ.
24 กุมภาพันธ์ 2551 12:26 น. - comment id 826409
คุณ หยดน้ำ ครับเป็นกลอนธรรมที่ดียิ่งครับ ขอบคุณที่ ช่วยเสริมนะครับ ว่างๆมาเยี่ยมบ้างนะครับขอบคุณ แก้วประเสริฐ.
24 กุมภาพันธ์ 2551 12:30 น. - comment id 826410
คุณ หมองอิง ผมก็เห็นตรงกับความคิดคุณเช่นเดียวกันครับ เพราะสิ่งในโลกใบนี้มันวุ่นวายยิ่งนักหากตาม กระแสย่อมยิ่งยุ่งมาขึ้นดังลิงในแหแหละครับ การฝึกฝนจิตเรานี่แหละทำให้เกิดปัญญาประกอบ กับสติความคิดอ่านดำริห์ไตร่ตรองเกิดขึ้นครับ ขอบคุณมากครับ โทษที่มาสวัสดีท่อนหลังครับ ขอบคุณ แก้วประเสริฐ.
24 กุมภาพันธ์ 2551 15:18 น. - comment id 826435
ธรรมแท้ๆนี่..ไม่ต้องสรรคำพูดให้งดงาม..แต่สิ่งรอบๆตัวเรานั้นเป็นธรรมทั้งสิ้น..ครับ
24 กุมภาพันธ์ 2551 17:52 น. - comment id 826450
คุณ อรุณสุข ใช่แล้วครับธรรมชาติคือธรรมะอันแท้จริงไม่ อยู่ไกลหรอกอยู่ในตัวเราเองนี่แหละหากทำตัว เราให้เหมือนธรรมชาติได้ก็จะประสบธรรมรู้แจ้ง ครับ เช่นทำไมต้นไม้จึงแห้งเหี่ยวและตายไป เป็นต้นครับแม้แต่ต้นไม้ใหญ่ๆก็ตาม ขอบคุณครับ แก้วประเสริฐ.
24 กุมภาพันธ์ 2551 21:50 น. - comment id 826474
ดีจังครับ การบวชมีผลต่อชีวิตมากมาย ผมบวชที่วัดป่าเหมือนกัน 1 เดือน ถึงไม่เต็มพรรษาแต่ก็รู้ว่าผลบุญมีจริง
24 กุมภาพันธ์ 2551 22:42 น. - comment id 826483
คุณ ครูใหญ่โรงเรียนเล็ก ขอบคุณมากครับครูที่แวะมาเยี่ยมเยียนผม ยังจำเหตุการณ์ต่างๆคราวไปเยือนโรงเรียนครู ได้อย่างแม่นยำ และพวกเราไปทอดผ้าป่ากันที่ วัดหลวงพ่อสบายดีหรือเปล่าครับ ท่านน่าเคารพ นับถือจริงๆครับ ตอนนี้งานครูคงจะมากนะครับ การบวชเรียนที่จริงผมรับราชการอยู่ในระหว่าง นั้นผมเข้าเวรมีการแทนเวรกันได้ ผมขออนุญาต ผู้บังคับบัญชาขอบวชทีแรกตั้งใจว่าจะบวชไม่นาน แต่พอเข้าไปศึกษาพระธรรมเกิดทำให้จิตใจผม ร่าเริงผ่องใส ผมนั่งสมาธิทุกวันหน้าพระประธาน เกิดเหตุการณ์ปลาดมากมาย เล่าให้ฟังแค่นี้ นะครับ จึงบวชต่อจนครบหนึ่งพรรษา สอบ นวกะภูมิอารามหลวงเกิดฟลุ๊คครับได้ที่หนึ่ง พร้อมประกาศนียบัตรด้วยครับ ดีใจจังที่พบ และคิดว่าคุณครูคงจะได้สิ่งมากมายในพระธรรม ขอบคุณมากครับ รักคิดถึงเสมอครับ แก้วประเสริฐ.
25 กุมภาพันธ์ 2551 08:42 น. - comment id 826564
สอนใจหลานได้หลายอย่างเลยค่ะคุณลุง
25 กุมภาพันธ์ 2551 10:59 น. - comment id 826604
คุณ เพียงพลิ้ว ลุงเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีมากรู้สึกว่าก็เคยอ่าน มาแล้วเหมือนกันแต่ไม่ได้เก็บไว้ พอเพื่อนส่งมา ให้อ่านอีกก็เลยนำมาส่งให้อ่านกันจ้า รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
25 กุมภาพันธ์ 2551 14:00 น. - comment id 826655
มองตัวเองให้ออก...ก่อนเนาะ....แล้วค่อยไปมองคนอื่น ขอบคุณที่นำมาแบ่งปันนะคะ
25 กุมภาพันธ์ 2551 14:14 น. - comment id 826663
คุณ โคลอน ถูกต้องที่สุดครับก่อนจะทำอะไรไปหรือกล่าว ถึงใครควรมองตัวเราก่อนว่าสมควรหรือไม่ จึงค่อย กระทำ เพราะเหตุที่มองตัวเรานั้นคือมีสติพิจารณา เมื่อพิจารณาแล้วย่อมทำไป ผลก็เกิดขึ้นผิดพลาด น้อยมากครับ ขอบคุณครับ แก้วประเสริฐ.
25 กุมภาพันธ์ 2551 14:36 น. - comment id 826675
กราบขอบพระคุณครับ...ผมกำลังรู้สึกคันอยู่พอดีครับ..ต่อไปจะได้เลิกตำหนิ ผอ.เสียทีครับ
25 กุมภาพันธ์ 2551 14:55 น. - comment id 826688
คุณ อินสวน ไม่เป็นไรครับสิ่งใดดีๆ ผมมักจะนำมาให้ พวกเราได้อ่านกัน แล้วแต่จิตใจแต่ละคนครับ ขอบคุณครับ แก้วประเสริฐ.
25 กุมภาพันธ์ 2551 15:33 น. - comment id 826723
มารับข้อมูลแล้วนำไปคิดค่ะคุณลุง...
25 กุมภาพันธ์ 2551 15:52 น. - comment id 826734
คุณ whitelily ครับผมเห็นว่าดีเลยนำมาลงให้อ่านกันครับ ส่วนกลอนผมแต่งขึ้นเองครับ อิอิ คล้องกันหรือ เปล่าไม่รู้ ขอบคุณครับ แก้วประเสริฐ.