เหลือเพียงใจที่ไหม้เกรียม
นรศิริ
กระเสือกสนดิ้นรนระคนเศร้า
ทิ้งถิ่นเก่าเหย้ารักพักอาศัย
เพียงเสื้อผ้าห่อกายาพานำไป
อุ้มลูกน้อยกลอยใจทั้งวิ่งเดิน
สามชีวาฝ่าดงดอยทั้งน้อยใหญ่
รื่นไถลในพงรกระหกระเหิน
เจ็ดวันวิ่งเวียนวนปะปนเดิน
ขึ้นลงเนินปวดชาขาอ่อนแรง
จวบจนถึงแดนถิ่นแผ่นดินหวัง
เกิดพลังดังรุ่งรพีแสง
คลายเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าคราอ่อนแรง
ร่มไตรรงค์คงไม่แห้งแล้งน้ำใจ
มาพบเพื่อนพวกพ้องล้วนน้องพี่
ปลอบชีวีฟูมพักไม่ผลักใส
กระท่อมน้อยไผ่สานสราญใจ
นอนรายรอบกองไฟในราตรี
เราหนีร้อนมาพึ่งเย็นเห็นใจบ้าง
มืดทุกทางหม่นหมักไร้ศักดิ์ศรี
ถูกนายครอบกรอบเกรียบเหยียบย่ำยี
สิทธิ์ที่มีเพียงขี้ข้าน้ำตานอง
ถ้าบังเอิญฝืนกฎหมดที่พัก
จะต้องจักถูกไล่ไปทั้งผอง
ต้องหดหัวหัวหดในกระดอง
จะถูกต้องหรือไรไม่นำพา
ข้าโชคดีมีงานการทำบ้าง
มีนายจ้างดีเด่นเป็นนักหนา
คงมีสุขดังหวังตั้งใจมา
มีเสื้อผ้าอาหารทานจนเฟือ
อนิจจาหวังคลายมลายสิ้น
ถูกโกงกินค่าจ้างช่างร้ายเหลือ
สามเดือนจ่ายหนึ่งครั้งนั่งเป็นเบือ
สองเดือนเหลือไปไหนใคร่รู้จัง
เงินเดือนดีมีบัตรได้เต็มแน่
ต่างด้าวแค่แปดสิบบาทที่วาดหวัง
คนไทยรับร้อยยี่สิบเต็มกำลัง
ซ้ำงานยังหนักหนาเวลาเลย
ยุติธรรมกับคำว่าค่าของคน
จะต้องค้นเสาะหามาเฉลย
แทรกในดินบินบนฟ้าสมุทรเอย
คนจนคงไม่เคยได้เจอะเจอ
กระเสือกสนรนดิ้นมาถิ่นนี้
หวังให้มีชีวีสุขเสมอ
แต่ความหวังพังหมดอดบำเรอ
เพียงละเมอเพ้อพร่ำคร่ำครวญคราง