28 มิถุนายน 2551 23:34 น.

ผู้แพ้

กฤตศิลป์ ชินบุตร

ครอบครัวของผมเป็นครอบครัวชนบท แต่ไม่ได้ห่างไกลความเจริญนัก เพราะผมมีโอกาสเข้ามาในเมืองบ่อยๆ จึงได้พบได้เห็นสิ่งต่างๆอย่างคนเมืองเขาเห็นกัน เรามีเทคโนโลยีสมัยใหม่ในบ้านหลายชิ้น นั่นหมายถึงความสะดวกสบายได้เพิ่มเข้ามา แต่เราก็ต้องสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไปตลอดกาล
	

นึกย้อนไปสมัยก่อน ความเจริญยังมาไม่ถึง เราอยู่กันอย่างเรียบง่ายในบ้านหลังเล็ก ข้างบ้านมีแปลงผัก รั้วบ้านมีไม้เลื้อย หลังบ้านก็มีผลไม้นานาชนิดให้เก็บกิน เพื่อนบ้านก็จุนเจือเกื้อหนุน อาหารการกินแบ่งปันเสมอ หน้านาก็ช่วยกันลงแขก งานบุญงานทานต่างพร้อมเพรียงเรียงหน้า พอกาลเวลาผ่านมาไม่นาน เพื่อนบ้านของผมได้นำเอาตู้สี่เหลี่ยมเข้ามา รู้ภายหลังว่าเป็นโทรทัศน์ จุดเริ่มต้นเรื่องราวที่ผมจะเล่าจึงบังเกิดขึ้น 
	

ทุกครอบครัวที่นี่ล้วนมีฐานะความเป็นอยู่ไม่ต่างกันมากนัก รายได้หลักมาจากการทำนา ทำไร่ อันที่จริงมันก็ไม่ได้เป็นรายได้หรอก เพราะเราทำไว้กิน เหลือกินก็แบ่งปันเพื่อนบ้านยามขาดแคลน หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมไม่ขายเอาเงินมาใช้ คำตอบก็คือ เราไม่รู้ว่าจะนำเงินมาทำอะไร บ้านก็มีแล้ว ข้าวปลาอาหารก็บริบูรณ์ อยากกินเนื้อก็เข้าป่า อยากกินปลาก็ลงหนอง ผักมากมายอยู่ริมรั้ว ชีวิตช่วงนั้นของผมช่างมีความสุขมาก มากเสียจนทำให้ผมเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อนึกถึง
	

ได้เวลาทานยาแล้วค่ะเสียงของพยาบาลปลุกผมจากห้วงความคิด
	ครับผมทานยาอย่างว่าง่าย 
	

ชั่วชีวิตของคนเราในโลกนี้ไม่ได้ยาวนานนักหรอกนะ หากมีโลกหน้าก็คงเหมือนกัน ทว่าเรา(ผม)กับไม่เคยให้ความสำคัญกับมันเลย ยิ่งเวลาที่เรามีสุขก็มัวหลงระเริงจนไม่รู้ว่าเวลาได้ดำเนินไป กระทั่งห้วงแห่งความสุขจางหาย ความระทมเข้ามาแทนที่นั้นแหละ จึงจะเห็นค่าของเวลา และเราก็ไม่สามารถโทษใครได้เลย หากช่วงเวลาแห่งทุกข์ยาวนานในความรู้สึก เพราะอันที่จริงเวลามันก็ยังดำเนินไปตามปกติ 


	เมื่อเพื่อนบ้านของผมชื้อโทรทัศน์มาใช้ ดูเหมือนทั้งหมู่บ้านจะกล่าวขานเรื่องความร่ำรวยของเขากันยกใหญ่ แต่ไม่มีใครสังเกตว่าข้าวในยุ้งฉางเพื่อนบ้านคนนั้นหายไปกว่าครึ่ง 
ชายคนที่ผมกว่าถึงไม่ใช่ใครอื่นหรอก ก็เพื่อนผมเอง ด้วยศักดิ์ศรีของคำว่าเพื่อนจึงนำพาโทรทัศน์เครื่องที่สองสู่บ้านของผม และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เครื่องเสียงดังกระหึ่มออกจากบ้านของผมด้วย
	

นายเป็นไงบ้าง เพื่อนคนนั้นถามผมจากเตียงข้างๆ 
	ค่อยยังชั่วแล้ว นายละ ผมถามตอบตามมารยาท 
	แย่วะ ฉันคงเดินไม่ได้อีกแล้ว หมอจะตัดมันทิ้ง เพราะกลิ่นมันเริ่มโชยแล้ว 
	ไม่เป็นไรหรอกประโยคหลังผมเหมือนพูดกับตัวเองว่าเดี๋ยวก็ดีขึ้นเองแหละ
	

	ชีวิตของผมและเพื่อนบ้านกาลต่อมา หลังจากรู้จักประโยชน์ของเงินว่าสามารถแลกสิ่ง
อำนวยความสะดวก ชื้อวิถีชีวิตแสนสบาย การแลกเปลี่ยน การช่วยเหลือกันและกันจึงกลับกลายเป็นการว่าจ้างและค้าขาย จากหมู่บ้านอันสงบในอดีต กาลปัจจุบันไม่ต่างจากสังคมเมืองมากนัก ดีที่ว่าเรายังทักทาย พูดคุย และไปมาหาสู่กันบ้าง ใครเป็นใครเจ็บเรายังถามไถ่และห่วงใย(บางแห่งที่ผมรู้จักเขามักจะรอไปเผาเลย) กระนั้นการแข่งขันก็บังเกิดขึ้น มันมิได้โจ่งแจ้งเหมือนสงครามสมัยก่อนหรอก แต่น่ากลัวเพราะเราไม่รู้ว่าใครเป็นศัตรู ใช่ผมกำลังพูดถึงสงครามเย็นในหมู่บ้าน เป็นสงครามของการสร้างฐานะให้เหนือกว่าคนอื่นโดยมีเทคโนโลยีเป็นเครื่องบ่งชี้ความมั่งคั่ง การดำรงชีพวิถีเดิมเหลือเพียงตำนาน


	เมื่อทุกอย่างถูกตีตราด้วยเงิน ทรัพย์อุดมในน้ำ ป่าคืออัญมณีให้ค้นหา ท้องนาเป็นคลังสมบัติ จึงธรรมดาที่สิ่งเหล่านั้นจะเสื่อมโทรม ปลาหมดน้ำ ของหมดป่า ข้าวหมดนา กระนั้นการแก่งแย่งก็ไม่ยุติลง เพราะป่ายังเหลือไม้  ดินในนายังคงอยู่  เรื่องน่าเศร้าจึงอุบัติขึ้น ผมและเพื่อนบ้านลักลอบตัดไม้ส่งนายทุน ขณะที่แม่บ้านก็จ้างคนมาขุดหน้าดินไปขาย เพื่อนำเงินมาใช้ ผลกรรมจึงสนองพวกเราทุกคน
	
	นายดูกลุ้มใจนะเพื่อนของผมถามอย่างเป็นห่วง 
	มาถึงจุดนี้แล้ว ฉันไม่อยากหลอกตัวเองอีกต่อไปวะผมตอบ
	เรื่องอะไร
	นายดูสภาพของพวกเราสิ แทบทุกคนล้วนสาหัสปางตายผมพูด ขณะที่ฝ่ายนั้นเงียบไป
	

	เมื่อหน้าดินอันอุดมสมบูรณ์ถูกลอกไปขาย ข้าวที่เคยงามกลับแคระแกรน น้ำในคลองเหือดแห้ง เพราะฝนแล้ง ความยากลำบากบังเกิด ทางเดียวที่ยังพอให้เดินคือการตัดไม้ เหมือนสวรรค์มีตา ฟ้าคงรู้ ฝนจึงพรั่งพรูลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา น้ำท่วมที่นาเหมือนทะเลสีทันดรอันไพศาล ทางการยื่นมือเข้าช่วยในการอพยพ กระนั้นก็ไม่มีใครจากหมู่บ้านไป เพราะจิตใจของเราถูกพันธนาการด้วยตรวนของวัตถุแล้ว


	ค่ำคืนมืดสนิทไม่มีดาว ไร้เสียงนกกากู่ร้อง เสียงหรีดหริ่งเรไรเงียบหาย มีเพียงเสียงห่าฝนที่กระหน่ำเหมือนฟ้ารั่ว ทุกชีวิตหลับใหลบนบ้าน พลันเสียงฝนถูกกลบด้วยเสียงดังสนั่นเหมือนของตกกระแทก เสี้ยววินาที่ต่อมาบ้านก็ล่องลอยเหมือนเรือลำน้อยกลางทะเลสีทันดรอันเงียบสงบ ก่อนเกรียวคลื่นจะผลุดขึ้นมาตีกาบเรือให้สั่นคลอน และคลื่นยักษ์ก็โอบกอดเรือไว้ในอ้อมกอดอย่างแนบแน่น บ้านจมอยู่ในทะเลโคลนจากบนเขา ก้อนหิน ซุงไม้ เศษไม้ ต้นไม้ เกลื่อนไปหมด และทุกอย่างก็มืดสนิท 


	ความสว่างจากไฟนีออนสว่างจ้า ผมรู้สึกตัว จึงรู้ว่ากำลังนอนอยู่ในโรงพยาบาล ภาพต่างๆเวียนวนมาในห้วงคำนึง อดีต อนาคต ปัจจุบัน และปัจจุบัน ผมเป็นคนพิการ ขาข้างซ้ายไม่มีอีกแล้ว เพื่อนผมก็ไม่ต่างกัน 
	เราเคยแข่งกันแทบจะทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การงาน ครอบครับ ชื่อเสียงและเกียรติยศ กระทั่งวันนี้ยังไม่มีใครเป็นผู้มีชัย นายว่าไหม ผมถามเพื่อน 
	ใช่ ทุกคนไม่มีวันชนะหรอก ต่อให้ดินรนเพียงใดก็ตาม เราก็ต้องแพ้
	แพ้ธรรมชาติเราพูดพร้อมกัน
	
	ชั่วชีวิตของผมมีแต่การต่อสู้ และการแข่งขัน จนบัดนี้ผมไม่เหลืออะไรทั้งสิ้น สิ่งที่ผมขวนขวายเป็นเพียงมายาเท่านั้น ชีวิตสั้นๆจากนี้ผมขออยู่ดูโลกอย่างควรเป็น ใช่ไหมเพื่อนรัก
			
29 พฤษภาคม 2551 เวลา 00.40 น.				
28 มิถุนายน 2551 23:30 น.

อุดมกาฬ

กฤตศิลป์ ชินบุตร

ท่ามกลางความตระหนกของผู้คนกับวิบัติภัยอันน่ากลัว แผ่นดินไหวกลางมหานครขนาด 7.5 ริกเตอร์ เมืองทั้งเมืองประสบความยากลำบาก ขาดน้ำ ขาดไฟ มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวณมาก  ตึกที่ไม่แข็งแรงถล่ม ป้ายโฆษนาขนาดใหญ่ล้มระเนระนาด สถานีวิทยุโทรทัศน์ไม่สามารถออกอากาศได้ตามปกติ  ช่องทางที่พอติดต่อกันได้คือทางเคเบิลทีวีที่ประกาศตัวจะช่วยเหลือผู้ประสบภัย หลายสถานีขอบริจาคทรัพย์สิน เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ยารักษาโรค เพื่อช่วยเหลือเพื่อนผู้ประสบภัย โดยขึ้นหมายเลขบัญชีตัวใหญ่ไว้ส่วนล่างของจอภาพ ส่วนที่อยู่ตัวเล็กๆเพื่อบริจาคสิ่งของอยู่ถัดลงไป 

	แน่นอนว่ากำลังใจจากคนไทยมีให้กันเสมอ แม้ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่มิตร แต่ก็เป็นเพื่อนร่วมชาติ ศาสน์ กษัตริย์เดียวกัน เส้นทางการช่วยเหลือตามเคเบิลทีวีเป็นอีกเส้นทางที่เข้าถึงผู้ประสบภัยอย่างรวดเร็ว และเห็นเป็นรูปธรรม พวกเขาถ่ายทอดสดการเข้าไปจ่ายแจกข้าวปลาอาหาร การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ การเก็บกู้ซากอาคาร และการบูรณะเมือง ผิดกับหน่วยงานราชการที่ล่าช้า และเต็มไปด้วยกฎ ด้วยระเบียบ 
	ชั่วโมงต่อไป เอาอะไรออกอากาศดีครับ เลขาถาม ผอ.สถานี 
	ภาพผู้ประสบภัยที่ได้รับการช่วยเหลือจากเราผอ.ตอบ
	เมื่อวานก็ออกไปแล้วนี่ครับ
	ไม่เป็นไรหรอก วันนี้เราทำเป็นการประมวลภาพ และ สุดท้ายก็ขอรับบริจาคจากผู้ชมเหมือนเดิม

	เหตุการณ์แสนเวทนาถูกฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีหรือคนไทยจะนิ่งเฉย ต่างก็ช่วยกันบริจาคข้าวปลาอาหาร แต่ด้วยเส้นทางขนส่งยากลำบากกันดาร อาหารที่ส่งมาจากทางไกลจึงเน่าเสียเป็นส่วนใหญ่ การแก้ปัญหาที่นักข่าวของเคเบิลทีวีแนะนำ คือให้บริจาคเป็นเงินแทน แล้วพวกเขาจะจัดการชื้ออาหารและน้ำดื่มเอง วิธีการนี้จะช่วยให้ผู้ประสบภัยได้ทานอาหารที่สะอาดและปลอดภัย 

	ผ่านไปหนึ่งเดือน มหานครแห่งนี้กลับสู่ภาวะปกติ วิถีชีวิตของผู้คนดำเนินไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กรรมกรยังทำงานหนัก ลูกจ้างยังถูกนายจ้างด่าทอ และผู้คนยังทักทายกันด้วยคำหยาบต่างๆนานา  ลูกๆไม่มีโอกาสเห็นหน้าพ่อและแม่จนกว่าวันหยุดจะมาถึง และความรักความห่วงใยในครอบครัวแปรเปลี่ยนเป็นเทคโนโลยี ทว่าหนึ่งเดือนผ่านมามีสิ่งหนึ่งที่ผู้คนรับรู้ว่ามันเกิดขึ้นและดำรงอยู่ มิใช่เหตุแผ่นดินไหวหรอก แต่มันคือภาพน้ำใจที่คนไทยมีให้กันต่างหาก

	มีคำกล่าวไว้ว่า อุปสรรค์สร้างคนให้เป็นคนแกร่ง ปัญหาสร้างคนให้มีปัญญา วิกฤตสร้างคนให้เป็นคนกล้า วิบัติภัยครั้งนี้ก็ได้สร้างวีระบุรุษให้เกิดขึ้นมาเช่นเดียวกัน เขาคนนั้นไม่ใช่ใครอื่นไกล หากแต่เป็นคนที่ทุกคนรู้จักกันดี เขาคลุกคลีอยู่กับพี่น้องผู้เดือดร้อนยามประสบภัยเรื่อยมากระทั่งบัดนี้ เมืองกลับสู่ภาวะปรกติแล้ว เขาก็ยังจัดกิจกรรมเพื่อปลุกปลอบขวัญกำลังใจให้ผู้ประสบภัย การช่วยเหลือผู้อื่นอย่างเต็มใจเป็นสิ่งประเสริฐ และยิ่งกว่านั้นก็คือคุณ สนธยา ผู้เสียสละทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือคนอื่นเขาจึงควรได้รับเกียรตินี้ และเวลานี้ท่านอยู่กับเราในห้องส่งแล้ว แน่นอนว่าเราจะรู้จักท่านอย่างลึกซึ้ง อะไรเป็นสาเหตุให้ท่านอุทิศตนเพื่อช่วยสังคมช่วงหน้ามีคำตอบแน่นอนครับพิธีกรรายการ คนจริงพูดเกริ่น
	ชีวิตของผมเติบโตมาท่ามกลางความยากลำบาก ทั้งในครอบครัวเอง และสังคม ในครอบครัวนั้น ผมต้องบอกว่ายากจนมาก บางมื้ออด บางมื้อหิว นานที่จึงจะรู้ว่าความอิ่มเป็นยังไง คุณสนธยา เริ่มเล่าเรื่องในวัยเด็ก
	แสดงว่าคุณไม่ชอบชีวิตในวัยเด็กเลยใช่ไหมครับ
	เปล่าเลย ผมกับรู้สึกเป็นสุขเมื่อคิดถึงมัน และผมยินดีหากสามารถย้อนเวลากลับไปได้
	คุณต้องการมีชีวิตแบบนั้นจริงๆหรือพิธีกรถามเขา
	ผมไม่ได้บอกว่าผมชอบชีวิตแบบนั้น แต่ชีวิตแบบนั้นทำให้ผมเป็นแบบนี้ ผมมีวันนี้ได้เพราะวันนั้น อันที่จริงก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกนะ ยังมีอีกเรื่องที่ผมจำได้ขึ้นใจ มันเป็นความทรงจำอันขมขื่นในวัยเด็ก คือผมไม่มีเพื่อนเลยเขาเงียบไป เหมือนจมดิ่งในความทรงจำสุดลึก
	เพราะอะไรครับ
	ผมไม่รู้ ยิ่งผมพยายามเข้าไปสนิทกับพวกเขา คุณรู้ไหมว่าผมได้อะไรกลับมาเขาเงียบอย่างจงใจเพื่อให้คนฟังสนใจ
	ผมถูกเขารังแกสารพัด
	นั่นเป็นสาเหตุให้คุณเก็บตัวเงียบ และไม่ยอมมีเพื่อนอีกเลยใช่ไหมครับพิธีกรพยายามเชื่อมโยงเรื่อง
	ไม่ใช่เลยครับ มันกับทำให้ผมพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้พวกเขาจะยอมรับผม
	คุณไม่รู้สึกโกรธหรอพิธีกรถามขณะเหลือบดูเวลา 
	โกรธสิ ผมโกรธตัวเองมากที่ไม่สามารถทำให้พวกเขายอมรับผมเป็นเพื่อนได้เขาตอบ
	นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมคุณถึงอุทิศตนเพื่อคนอื่นใช่ไหมครับ
	เขาพยักหน้า
	ท่านผู้ชมครับนี่เป็นเพียงบางเสี้ยวของชีวิตจริงจากชายผู้เป็นตำนานช่วงหน้าเรามารู้จักเขากันต่อครับ

	หลังจากแผ่นดินไหวได้สองวัน คุณสนธยาได้เข้ามาแก้ไขรายละเอียดในการเบิกถอน จากบัญชีที่เขาเปิดขึ้นเพื่อรับบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางเคเบิลทีวีที่เขาเป็นเจ้าของโดยให้ทางธนาคารโอนยอดเงินจากบัญชีที่เปิดไว้แล้วนั้นไปยังอีกบัญชี เขาให้เหตุผลด้านความสะดวกและความรวดเร็วในการเบิกจ่ายเพื่อความช่วยเหลือจะไปสู่ผู้เดือดร้อน ทางธนาคารเห็นว่าในภาวะเช่นนี้ควรอำนวยความสะดวกทุกอย่างเพื่อให้แก่เขา เพราะผู้ได้ประโยชน์ก็คือประชาชนเอง 

	กลับเข้ามาสู่รายการของเราอีกครั้งนะครับ เมื่อสักครู่นี้คุณสนธยาได้บอกว่าท่านพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เพื่อนๆยอมรับ เรื่องราวเป็นยังไงต่อหรือครับ 
	เมื่อผมถูกเพื่อนๆปฏิเสธหลายต่อหลายครั้ง ผมก็เลยมานั่งพิจารณาตัวเองว่าผมผิดปรกติอะไรบ้าง อันที่จริงผมรู้อยู่แล้วว่าทำไมเพื่อนๆไม่ยอมรับผม
	อะไรครับ
	ความจนไงล่ะ ครอบครัวผมจน ผมเป็นลูกคนจน คงไม่มีใครอยากให้ลูกๆคบกับผมหรอก ก็ผมถูกตราหน้าว่าไร้อนาคตเหมือนพ่อแม่ของผมแล้วนี่เขาพูดขณะที่นัยน์ตาพร่ามัวด้วยน้ำตาแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจกับเหตุการณ์ในอดีต 
	พิธีกรรู้สึกว่าความทรงจำในตอนนี้ทำให้คุณสนธยาเจ็บปวด จึงเปลี่ยนเรื่องสนทนา
	นี่คงเป็นแรงจูงใจที่นำพาคุณมาสู่ความสำเร็จในวันนี้ใช่ไหมครับ
	ถูกที่เดียวล่ะเขาตอบ
	เรื่องราวในวันเด็กอันขมขื่น ได้หล่อหลอมให้ชายผู้นี้เป็นบุคคลที่ใครๆต่างเคารพและยกย่อง ช่วงหน้าเราจะได้รู้แล้วว่าทำไมเขาจึงอุทิศเพื่อช่วยสังคมพิธีกรพักรายการเพื่อให้คุณสนธยาได้ผ่อนคลายความตึงเครียด

	ผมพยายามทำทุกวิธีทางเพื่อให้คนอื่นยอมรับผมให้ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม หนทางที่ดูเหมือนจะส่องสว่างบนทางมืดมิดของผมก็คือ เงินตรา ผมจึ้งดิ้นรนทนทุกข์เพื่อให้ได้มา และสร้างฐานะที่ดีกว่า แต่ทางฝันกับความจริงช่างแตกต่าง ผมล้มบ่อยครั้ง เจ็บตัวเจ็บใจมาก็มาก บางช่วงเวลาผมเหมือนยอมแพ้ ปล่อยชีวิตล่องลอยกลางมหาชเลสีทันดรอันไพศาล ไม่มีเข็มทิศ ไม่มีเครื่องยนต์หรือใบเรือให้พึ่งพิง เพียงกระแสน้ำสาดซัดตามแต่อารมณ์ กระนั้นผมก็ยังฝืนชะตา ดิ้นทั้งที่รู้ว่าแพ้ ความบากบั่นความมุ่งมั่นเหล่านั้นจึงสำเร็จในที่สุด เรือที่ไร้จุดหมายเข้าสู่จุดหมายในที่สุด
	ฝั่งที่ว่าก็คือการก่อตั้งสถานีเคเบิลทีวีใช่ไหมครับ
	ครับ เขาตอบ 
	คำถามสุดท้ายสำหรับวันนี้ ทำไมคุณสนธยาจึงยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือสังคม และท่านได้อะไรตอบแทนบ้างไหม
	ผมว่ามันชัดเจนในตัวมันอยู่แล้ว การทำงานเพื่อสังคม ก็คือเพื่อสังคมโดยแท้จริง มิใช่ทำเพื่อตนเอง กระทั่งเกียรติยศต่างๆก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมหวังเลย การเสียสละต่างหากที่ต้องมี เพราะเราต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมง และแน่นอนที่สุดคืออุดมการณ์เพื่อมวลชน ยอมตายเพื่อผดุงความถูกต้อง ซึ่งทุกคนควรจะมีด้วยกัน เพื่อให้สังคมของเราร่มเย็นตลอดไป
	หลังจากที่คุณสนธยาไปออกรายการ คนจริง ชื่อเสียงของยิ่งขจายขจร เขาเป็นยิ่งกว่าดารา คำพูดของเขาศักดิ์สิทธิ์กว่าพระ เขาไปที่ไหนก็มีแต่คนไหว้ทายทัก นี่แหละหนาคือผลของการทำดี ดังวจนะพุทธองค์ที่กล่าวไว้ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว


	อีกด้านหนึ่งของดวงจันทร์ที่เราเห็น เป็นด้านมืดอับแสงสาดส่อง เราไม่เคยรู้เลยว่าตรงนั้นมีอะไรซ่อนอยู่ เพราะเมื่อโลกเคลื่อนไปตามวงโคจร ดวงจันทร์ก็หมุนตามโลกไป เหมือนจงใจปิดบังด้านหลังอันมืดมิด (เมื่อมองจากโลก) 
การช่วยเหลือผู้ประสบภัยผ่านพ้นไป ยอดคงเหลือในบัญชีผู้บริจาคที่คุณสนธยาแสดงต่อสาธารณะคือ ห้าแสนบาทจากยอดบริจาคสิบกว่าล้าน แน่นอนว่าเงินจำนวนนั้นถูกบริจาคเป็นการกุศลต่อไป  แต่ใครเล่าจะรู้ว่าบัญชีผู้บริจาคถูกแบ่งเป็นสองบัญชี และบัญชีที่ถูกแบ่งนั้นยังไม่มีการเคลื่อนไหวไดๆ ยอดเงินสิบกว่าล้านยังบริบูรณ์ 


                วันเวลาผ่านไป มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น ทั้งเรื่องดีเรื่องร้าย ความทรงจำเกี่ยวกับอุบัติภัยของธรณีหายไปสิ้น แต่ใครบางคนจะไม่มีวันลืมวันเวลาที่ล่วงเลย    คุณสนธยาก้าวเข้ามาในธนาคาร แต่ครั้งนี้เขามิได้มาด้วยภาระของสังคมอย่างเคย แต่มาถอนเงินในบัญชี อันที่จริงก็เป็นเรื่องธรรมดาหรอกนะสำหรับการถอนเงิน แต่ใครหารู้ไม่ว่าเงินส่วนที่เขาแบ่งจากบัญชีบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยยังคงบริบูรณ์ เพราะเขามิได้นำเงินส่วนนี้ไปใช้เลย แต่เรื่องราวไม่คาดฝันก็บังเกิด เงินในบัญชีกว่าสิบล้านหายไป 
ผมจะบอกประชาชนว่าธนาคารแห่งนี้ไม่มีความปลอดภัยอีกต่อไป เมื่อคุณตอบผมไม่ได้ว่าเงินของผมหายไปไหน ซ้ำยังปฏิเสธความรับผิดชอบอีกคุณสนธยาพูดอย่างเกรี้ยวกราดต่อหน้าผู้จัดการธนาคาร เมื่อเขาได้รับคำตอบที่ไม่ชวนฟัง
ใจเย็นสิคุณ ผมว่าคุณไม่กล้าทำหรอกผู้จัดการพูดอย่างเหมือนมีนัย 
ทำไมผมจะไม่กล้า ก็ในเมื่อผมเป็นผู้เสียหาย เป็นผู้ถูกกระทำ
ผู้ถูกกระทำหรือ ไม่ใช่คุณหรอกมั่ง
คุณพูดเรื่องอะไร เงินของผมหายไปนะ ผมก็ต้องเป็นผู้เสียหายสิเขาพูด
คุณกล้าพูดว่าเป็นเงินของคุณอย่างนั้นหรือผู้จัดการธนาคารพูดอย่างผู้มีชัย

							31 พฤษภาคม 2551				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกฤตศิลป์ ชินบุตร
Lovings  กฤตศิลป์ ชินบุตร เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกฤตศิลป์ ชินบุตร
Lovings  กฤตศิลป์ ชินบุตร เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกฤตศิลป์ ชินบุตร
Lovings  กฤตศิลป์ ชินบุตร เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงกฤตศิลป์ ชินบุตร