30 มิถุนายน 2551 19:02 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
รักคืออะไรกัน
สารพันความทุกข์เข็ญ
รักเป็น-รักไม่เป็น
น้ำตากระเซ็นอยู่ไม่วาย
หรือเพียงรักปรารถนา
หมายได้มาเพียงร่างกาย
เช่นนั้นน่าเสียดาย
ต้องกลับกลายเป็นเปลวไฟ
ไฟแรกคือไฟห่วง
ดั่งแก้วดวงอันสดใส
แสนกลัวจะจากไป
แทบขังไว้นัยน์ตามอง
เพลิงหวงมารุมเร้า
ใจหมองเศร้าเป็นเพลิงสอง
หวงมากน้ำตานอง
อกกลัดหนองไม่ยากเย็น
ไฟสามคือเพลิงหา
ยามลับตาไกลเกินเห็น
เดือนลับอับจันทร์เพ็ญ
แสนลำเค็ญไม่พบพาน
ไฟสี่เป็นเพลิงโหย
ร้องโอดโอยดังขับขาน
ยามเสื่อมไม่ชื่นบาน
เจ็บรนรานเกินจะทน
สี่เพลิงนี้ห่อหุ้ม
แลล้อมรุมจนสับสน
รักใดจะน่ายล
ไร้เมฆฝนกระจ่างตา
รักใดเล่ารักแท้
นี่สิแน่ไร้มายา
อยู่เหนือห้วงเวลา
คือเมตตาอารีกัน
สูงสุดคือการให้
แก่ใครใครสารพัน
มิหมายแบ่งชนชั้น
อันเป็นรักประเสริฐดี
จึงรักคนทั้งโลก
เป็นดั่งโชคในหล้านี้
กรองรักจากฤดี
โลกสดศรีมีให้กัน
การรบจะรู้จบ
โลกสงบพบเร็ววัน
สงครามสารพัน
ด้วยรักนั้นจะหมดไป
สร้างรักให้เป็นรัก
สร้างโลกหนักให้สดใส
มือมั่นผสานใจ
เถิดผองไทสุขนิรันดร์
25 เมษายน 2551
28 มิถุนายน 2551 17:41 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
ทินกรรอนรอนยามอรุณ
อุษาสางเบาบางเคล้าไออุ่น
จึงฝ้าหมอกครุกรุ่นเต็มทิวเขา
หลังสายฝนกระหน่ำยามคืนค่ำ
เสียงฝนพรำจางหายในตอนเช้า
ยินเสียงร้องผองนกในม่านเงา
รุกความเศร้าไล่ความเหงาอันยาวนาน
เคยอยู่เมืองมีแสงสีวิไลเลิศ
มาอยู่ป่าจึงเกิดความเกียจคร้าน
ด้วยภาระหน้าที่การงาน
ทรมานอย่างไรต้องจำทน
แสงทองส่องฟ้าเพลานี้
เหมือนดั่งชี้บัญชาจากห่าฝน
เสมือนนายสั่งสิ้นเสียงคำรน
เป็นนายคนให้ด้นในเวลา
จึงฝ่าหมอกยามเช้าเข้าป่าไผ่
เก็บหน่อไม้แทงยอดในดงหนา
ดงชื้นชื้นป่าทึบทึบน่าระอา
บดบังตาจ้องหาแทบไม่มี
หยาดฝนเกาะพริ้งกิ่งใบไม้
งามสดใสหาใช่ในยามนี้
ล้วนร่วงหล่นจนชื้นทั่วกายี
แสงสุรีย์แผดเผาจึงเบาบาง
อากาศอุ่นยามเช้าก้าวมาถึง
หน่อไม้จึงมากยิ่งกว่าฟ้าสาง
พรางเก็บพรางก้มก็ล้มพราง
ถึงสุดทางธารน้ำอันฉ่ำเย็น
ความหน่ายเหนื่อยเกาะกุมในอารมณ์
ความระทมบังเกิดมาให้เห็น
ยิ่งริ้วรอยบาดแผลความลำเค็ญ
ก่อเกิดเป็นการสังเวชในตัวตน
เบื้องหน้านั้นวารินเอื่อยรินไหล
เหตุไฉนใยเราเฝ้าสับสน
ปล่อยชีวิตล่องลอยในสายชล
เป็นทาสคนจนตัวไม่เป็นตัว
ทรุดนั่งลงตรงนั้นกะทันหัน
สารพันภาพเก่าในเงาสลัว
เป็นม่านหมอกทะมึนมืดอันน่ากลัว
อีกกี่ชั่วชีวิตจะบรรเทา
ปลาว่ายแหวกแทรกกายในสายน้ำ
ผลุดและดำโต้คลื่นฝืนแรงเขา
สายน้ำหลากไหลเชี่ยวไม่เหลือเงา
ไฉนเล่าพวกเจ้าจึงฝ่าไป
หรือเจ้าหวังพบเห็นแหล่งต้นน้ำ
อันชุ่มฉ่ำล้ำค่าสวยสดใส
แม้นหนทางยากเย็นสักปานใด
ด้วยหัวใจใกล้-ไกลจะไปยล
ปลายทางข้างหน้าไม่อาจรู้
จะมีอยู่หรือไม่ใครจะสน
มัจฉายังว่ายฝืนสายชล
และเราคนควรหรือจะอือออ
ทางหลายแพร่งแสดงอยู่ตรงหน้า
ไปซ้าย-ขวาอย่างไรกันดีหนอ
ก้าว-ไม่ก้าวยังไงยังรั้งรอ
วันนี้พอเห็นทางสว่างแล
สายลมพัดพาใบไม้ปลิว
ลอยละลิ่วสู่น้ำอย่างผู้แพ้
ไร้แรงฝืนคลื่นลมอันผันแปร
พ่ายให้แก่อำนาจมหึมา
คือความแตกต่างในสองสิ่ง
ยอมหยุดนิ่งหรือค้านหัวชนฝา
หนึ่งชีวิตอุบัติเกิดขึ้นมา
อยู่ที่ว่าจะเลือกทำ-หรือไม่ทำ
ความเหนื่อยเมื่อยล้าจางหายไป
เหลือเปลวไฟนัยน์ตาอันค่าล้ำ
ชีวิตจากนี้แม้ระกำ
ไม่กลืนกล้ำช้ำจินต์เพราะยินดี
ยามสายมาเยือนเหมือนเตือนสั่ง
ว่าเรายังภาระอย่าหน่ายหนี
งานในไร่มากมายเรารู้ดี
จึงรีบปรี่สู่ที่ที่จากมา
เก็บฟืนสุมไฟให้ไหม้น้ำ
เดือดแล้วนำหน่อไม้ใส่ลงหนา
ควันโขมงอ้อยอิ่งสู่ท้องฟ้า
ข้ามหลังคากระท่อมอันเดียวดาย
จับมีดด้ามยาวก้าวต่อก้าว
แล้วจึงง้าวด้วยแรงอันเหลือหลาย
พงหญ้ารกดงนั้นพลันกระจุยกระจาย
กระทั่งบ่ายจึงพ่ายสุริยา
กระท่อมน้อยรอคอยเหมือนทุกคราว
รีบเปิบข้าวด่วนจี่มิได้ช้า
หน่อไม้หวานกับน้ำพริกแมงดา
สุขอุราตามวิถีคนภูธร
กินอิ่มท้องอิ่มมุ่งริมธาร
แคร่ไม้ไผ่จักรสานหลบแดดร้อน
เสียงน้ำไหลบรรเลงเป็นเพลงกลอน
ทิ้งกายนอนนิทราอภิรมย์
เกิดพอใจในวิถีอันเรียบง่าย
สุขสบายหายเศร้าที่สะสม
ไพรพฤกษ์โยกไหวล้อสายลม
ก็น่าชมเกินกว่าจะบรรยาย
วิหคขับขานบทเพลงรัก
ไพเราะนักยิ่งกว่าเพลงทั้งหลาย
จูบเย้ยจันทร์ยังพ่ายถล่มทลาย
หากเดียวดายเปล่าดายจะอาวรณ์
ตะวันชิงพระลบหลบยอดเขา
ก่อแสงเงาฉาบฟ้าไม่เหมือนก่อน
สุริยันกลางวันอันรุ่มร้อน
เมื่อจากจรคงอนุสรณ์ให้จดจำ
เป็นภาพวาดปลายพู่กันจิตกรเอก
คล้ายมนต์เสกน่านฟ้าให้ค่าล้ำ
ดั่งวิมานเทวาดาษดาทองคำ
ก่อนพลบค่ำดำมืดมาครอบครอง
หนึ่งวันผ่านพ้นอีกหนแล้ว
เสียงเจือแจ้วแว่วเสนาะเริ่มขับร้อง
หลากเพลงหลากแนวหลากทำนอง
ของเพื่อนผองแห่งไพรใต้ดวงดาว
แสงสว่างของตะเกียงกระพริบไหว
เปล่งเปลวไฟเทียบชั้นจันทร์บนหาว
จันทร์เหมือนรู้ยิ่งเพิ่มแรงสกาว
กลบดวงดาวขาวพร่างทั้งนภา
สรรพสิ่งมากมายในเอกภพ
เหมือนสงบอยุดนิ่งบนฟากฟ้า
เพียงเสี้ยวหนึ่งของห้วงเวลา
จึงรู้ว่าล้วนแล้วแต่เปลี่ยนไป
ตัวเราคือตัวเราในวันนี้
ผ่านวินาทีก็อาจเป็นอื่นได้
วจนะพุทธองค์ยังคงใช้
เกิด-ตั้ง-ดับเป็นเงื่อนไขนิรันดร์
สายลมโชยโอนอ่อนตอนสงัด
เหมือนทางลัดไปสู่ห้วงความฝัน
ทุกชีวิตหลับใหลเหมือนเหมือนกัน
รอตะวันวันใหม่จะโคจร
จากผืนดินว่างเปล่าไร้ค่า
เพียงให้หญ้านกกาพำนักนอน
ไม่มีใครแผ้วถางเหมือนกาลก่อน
ไร่จึงค่อนเป็นป่าอยู่ในที
กาลนี้ลูกน้อยมาสานต่อ
รอยมือพ่อผู้ล่วงไปเมืองผี
พลิกฟื้นผืนดินให้ขจี
สมกับที่เป็นลูกคนภูธร
ภาระหน้าที่จึงลุล่วง
งานทั้งปวงสมบูรณ์ดังคำสอน
วันนี้ถึงทีจะจากจร
ถิ่นเคยนอนแรมเดือนกลางขุนเขา
ตอนมาอาวรณ์ไม่อยากพราก
ตอนจะจากใจนี้ช่างเปลี่ยวเหงา
ยิ่งมองยิ่งโศกวิโยคเศร้า
ลมแผ่วเบาเคล้าคลอไม่วาย
สัมภาระในเป้กระชับมั่น
ลาไร่ฝันไปตอนก่อนจะสาย
มุ่งตามทางเมฆไม้เรียงราย
อาทิตย์ฉายสาดส่องนำทาง
ลงห้วยขึ้นเขาแสนลำบาก
ด้วยน้ำหลากมากล้นตลิ่งข้าง
น้ำเชี่ยวเลี้ยวลดเลือนราง
กว่าจะผ่านช่างยากลำบากเทียว
จากครั้งนี้หาใช่นิรันดร์
จะกลับมาไร่ฝันวันเก็บเกี่ยว
ถั่วลิลงปลูกไว้ขจีเขียว
คงโดดเดี่ยวเดียวดายไม่นานเอยฯ 23 พฤษภาคม 2551
28 มิถุนายน 2551 17:30 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
ตะวันอ่อนแสง
รอนรอนอ่อนแรง............................ลาลับขอบฟ้า
เผยหมึกราตรี................................ล้อมดวงดารา
จึงงามจับตา....................................ต้องดวงหทัย
เมื่อรักบังเกิด
ดูช่างงามเพริศ..............................เกินค่าใดใด
รักนั้นแสนหวาน............................ซาบซ่านดวงใจ
รักจึงยิ่งใหญ่ ..................................กว่าฟ้าสากล
ดวงจันทร์เด่นฟ้า
ดูงามตรึงตรา ..................................ทว่าสับสน
ฝุ่นลมธุลี............................................พัดวีวกวน
ฟ้าเริ่มโปรยฝน.................................ดูหม่นหมองมัว
เหมือนรักยามนี้
ไม่สวยสดศรี .................................พินิจถ้วนทั่ว
เงามืดปิดบัง ................................เพพังน่ากลัว
กว่ารู้สึกตัว .................................สายเกินเยียวยา
ฟ้ายามหลังฝน
หายมืดหายหม่น.............................มองเห็นจันทรา
ไม่มีลมวก ...................................บดบังดวงตา
ไร้แววเมฆา ....................................เปิดฟ้าเปิดใจ
แต่คนหลังรัก
ชอกช้ำยิ่งนัก ...........................................ดั่งมีเปลวไฟ
ลามเลียร่างกาย................................วาดวอดมอดไหม้
หนทางแห่งใด...................................ก็ไม่นำพา
ธรรมชาติโหดร้าย
มีเสื่อมมีคลาย ...................................ไร้เล่ห์มายา
เพียงความเคลื่อนไหว.....................ในห้วงเวลา
หาอยู่คู่ฟ้า........................................เป็นนิจนิรันดร์
มนุษย์ประเสริฐ
สิ่งใดเลอเลิศ ......................................หาได้รังสรรค์
เวียนว่ายมายา....................................ลวงตาสารพัน
วัฏฏะเหล่านั้น........................................เกาะกุมจิตใจ
จึงรู้จริงแท้
ตัวเราพ่ายแพ้...................................หาแน่ไฉน
เกิดตั้งแล้วดับ....................................วงล้อหมุนไป
มโนรสใดใด .................................สุดแต่ตัวเรา
เพียงหนึ่งห้วงจิต
ใช่ทั้งชีวิต .........................................ลองคิดด้วยเชาว์
แยกแยะดี-ชั่ว........................................อย่ามัวโง่เขลา
เรื่องร้ายบรรเทา...................................หายเศร้าแท้จริง
14 เมษายน 2551
28 มิถุนายน 2551 17:25 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
สายน้ำเอื่อยไหล
มดน้อยลอยไป...............................แห่งใดกันหนอ
ลมวกพัดมา...................................ก่อคลื่นสาดทอ
มดน้อยลอยคอ..............................อยู่เปลี่ยวเอกา
ใต้น้ำมืดมิด
เกินกว่าจะคิด ...............................เรี่ยวแรงอ่อนล้า
ฮึดสู้สุดเฮือก ................................เท่าแรงหาญกล้า
แทบม้วยชีวา ................................มหานที
ปล่อยวางทุกสิ่ง
ปล่อยกายแน่นิ่ง............................จมดิ่งเมืองผี
สิ้นแล้วความหวัง...........................ให้รั้งชีวี
แต่ฟ้ายังมี.......................................เมตตาการุณย์
ใบไม้ลอยล่อง
ฝ่าคลื่นฝ่าฟอง....................................ให้มดเกาะทุ่น
เหมือนฟ้าประทาน............................แก่ผู้มีบุญ
มดน้อยอิงหนุน................................เข้าฝั่งปลอดภัย
ใบไม้ไร้ค่า
ปลิดปลิวล่วงมา..................................ทว่ายิ่งใหญ่
มดน้อยรอดตาย...............................วาระนี้ไซร้
มีค่าอันใด...........................................ประดับโลกา
15 มิถุนายน 2551
28 มิถุนายน 2551 01:28 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
ภูเขาตระหง่านฟ้า......................................ไกลตา
เหมือนดั่งจอมปลวกนา..............................ว่าใกล้
เพียงเสี้ยวหนึ่งเวลา..................................ปีนป่าย
ง่ายยิ่งปลอกกล้วยไซร้..............................พูดได้แท้เทียว
เขาเดียวตระหง่านฟ้า................................ต่อหน้า
สูงใหญ่สุดสายตา......................................ใช่ใกล้
ปีนป่ายยิ่งอ่อนล้า......................................เหนื่อยยิ่ง
ยากดั่งงมเข็มไซร้....................................ไป่ได้ง่ายดาย
ยามรักพรายเพริศแพร้ว..........................งามงด
ดุจดั่งอมฤตรด..........................................สู่หล้า
จันทร์กระจ่างสวยสด................................นัยน์ตา
จึงวาดฝัน-รักข้า.......................................กว่าฟ้าเท่าเทียม
ยามรักเรียมดับแล้ว..................................มืดมิด
ดุจดั่งต้องยาพิษ........................................แทบบ้า
บุ่มบ่ามรักไม่คิด.......................................คราญใคร่
จึงเจ็บยิ่งกว่าฟ้า.......................................กว่าหล้าจักรวาล
เพียงเดินดารผ่านก้าว..............................รายทาง
ไคลเหงื่ออาบกายบ้าง................................ดั่งแจ้ง
สิ่งหวังใช่พรายพร่าง..................................สวยสด เสมอนา
ล้วนแลกด้วยลำแข้ง.................................จึ่งได้เชยชมฯ
28 เมษายน 2551