4 มิถุนายน 2552 11:56 น.
กระป๋องสีชมพู
................ฟ้าเอ๋ยฟ้าร้อง
ดั่งเสียงกลองรัวลั่นทุกสถาน
ฟ้าพิโรธหรือไรในวิกาล
ใครอาจหาญตีกลองบอกศัตรู
................มีฝนตกโปรยปรายเป็นสายฝน
เสียงระคนของกบระงมเสียง
หลังฝนตกไร้เสียงไร้สำเนียง
เหลือแต่เพียงน้ำค้างเกาะกิ่งเอย
................ท้องเอ๋ยท้องฟ้า
หมู่ดาราเคว้งคว้างกลางเวหา
ไร้เมฆหมอกลอยคว้างกลางนภา
แสงดาราส่องระยับจับหัวใจ
................มองไปที่ดวงดาวบนฟากฟ้า
เหมือนกับว่ามีฝันอันยิ่งใหญ่
พักพิงหัวใจใต้ต้นไม้
ปล่อยกายให้สายลมห่มใจเอย
................แม่เอ๋ยแม่น้ำ
ให้ชุ่มช่ำชุบชีวิตสิ่งทั้งหลาย
แม่น้ำนี้มีพระคุณอันมากมาย
ตอบแทนได้ด้วยรำลึกคุณด้วยใจ
.................ใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า
ร่วมรักษาสายธาราให้สวยใส
ไม่ทิ้งเศษขยะและใส่ใจ
สายธาราจะคงอยู่แสนนานเอย
.................น้ำเอ๋ยน้ำใจ
ยิ่งใหญ่ดุจดั่งน้ำทะเล
เพราะน้ำนี้เลี้ยงดูปลาปูที่ขาเก
เลี้ยงดูสัตว์ทะเลอีกมากมาย
.................ใครเหนื่อยมาได้รับน้ำก็สดชื่น
ยิ้มชื่นมื่นเหมือนทิ้งสิ่งทั้งหลาย
ทิ้งเหนื่อยล้าอ่อนแรงและทุกข์กาย
ใจสบายด้วยน้ำใจของคนเอย
..................แผ่นเอ๋ยแผ่นดิน
ทุกชีวินอยู่บนผืนแผ่นนี้
ไม่ว่าใครจะเลวหรือจะดี
ทุกชีวีดับสิ้นบนผืนดิน
....................ทุกทุกคนไม่ว่าอยู่ทิศใด
เหนือหรือใต้ถิ่นไทยทุกสถาน
ไทยรวมใจเป็นหนึ่งทุกเหตุการณ์
ไทยร่วมต้านพ้นผ่านวิกฤตเอย
3 มิถุนายน 2552 12:24 น.
กระป๋องสีชมพู
.........เพื่อนนั้นหรือคือความเหงาเศร้าในจิต
อยากจะหามิตรแท้ได้ดั่งใจหมาย
ไร้มิตรแท้ มีมิตรเทียม ไร้มิตรตาย
สุดความหมายไม่มีเพื่อนเตือนใจตน
..........ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้
เหมือนคนแพ้ในจิตติดวิถี
เหมือนเดินไปตามเข็มวินาที
และนาทีก็เดินไปไม่คู่กัน
............นาฬิกาเดินไปไม่หวนกลับ
หากจะพักคงต้องตายหมดความหมาย
คำว่า เพื่อน มีมากอยู่รอบกาย
แต่สุดท้ายก็ไม่เหลือเลยสักคน..........
3 มิถุนายน 2552 12:16 น.
กระป๋องสีชมพู
.........ละอองดอกไม้ปลิวตามลมหนาว
กับความขาวของหมองละอองฝน
หมู่ดอกไม้นานาพันธุ์ช่างน่ายล
รสสุคนธ์ความหนาวสะท้านใจ...........