30 ตุลาคม 2552 10:12 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
ก่อนอื่นเราต้องย้อนมาดูตัวเองก่อนว่า สาเหตุหลักที่ทำให้เราไม่มีสมาธิหรืออ่านหนังสือแล้วจำไม่ได้เพราะสาเหตุอะไรแล้วค่อยเขียนออกมาทีละข้อ
อันดับแรกต้องหาสาเหตุก่อน สาเหตุ อาจจะมาสิ่งเหล่านี้
ขาดความสนใจความมุ่งมั่นในการที่จะทำ บางคนอ่านหนังสือกับเพื่อนไปคุยไป บางคนอ่านหนังสือ พร้อมเปิดโทรทัศน์ไปด้วย
สนใจในสิ่งที่จะทำเกินไป เช่นบางคนตื่นขึ้นมาตอนเช้า ทุกวัน แต่อ่านมากไปจนเบลอ เราคิดอ่านหนังสือทุกวัน แต่อ่านวันละสามถึงห้าหน้าแล้วจดหัวข้อใจความสำคัญเอาไว้
ความเป็นคนหัวดีทำให้เราคิดไว ทำไว คิดหลายเรื่องในเวลาเดียวกัน ทำให้เราทำอะไรได้ไม่ดีสักอย่าง
เราจึงต้องมีวิธีสร้างสมาธิในการอ่าน เช่น
ต้องสร้างนิสัย อย่าผัดวันประกันพรุ่ง
ต้องสร้างนิสัยความมุ่งมั่น ว่าต้องทำให้สำเร็จถ้าไม่สำเร็จจะไม่ทำสิ่งอื่น
จัดลำดับเรื่องที่จะทำก่อนลงมือ
ต้องคิดทีละเรื่องแบบเข้าใจไม่ใช่การท่องจำ
สร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมในการอ่านหนังสือ
รู้จักพัก และแบ่งเวลาเป็นช่วงๆ
ต้องเต็มใจและจริงใจในการกระทำสิ่งนั้น
ต้องคิดในเรื่องสร้างสรรค์
เลิกนิสัยเรื่องมากในการทำอะไรสักอย่าง
ต้องมีจุดมุ่งหมาย ที่ชัดเจน
หลายคนอาจจะมีความเห็นนอกเหนือจากนี้ สำหรับข้าพเจ้า สมัยที่เรียน ประถม ขี้เกียจ ทำการบ้าน มาก ขี้เกียจเรียน เวลาครูสั่งการบ้าน ก็แกล้งลืมไว้โรงเรียน หรือไม่งั้นก็จะซ่อนไว้ในตู้กับข้าวเป็นประจำ
พอเข้ามัธยมพ่อกับพี่ต้องลากบังคับพาไปสอบเข้ามัธยมข้าพเจ้าก็ยังเหมือนเดิม
พอเข้ารั้ววิทยาลัย ก็ไปสอบธรรมศาสตร์ ไม่กล้าไปดูผลสอบ
เลยมาลงเรียนที่รามคำแหงก็ด้วยความขี้เกียจอีกนั่นแระ เพราะขี้เกียจเรียน นาน เลย ไปนั่งมันทุกเอก ทุกคณะ ทุกภาควิชา อย่างนี้เป็นเวลาหนึ่งเทอม แล้วดูว่า เราชอบคณะไหน วิชาอะไร ง่าย และจบเร็ว จึงได้คณะที่ชอบ แล้วรีบลงเรียนก็เลยรีบเรียนให้มันจบๆ
พอถึงปริญญาโท เงินหมด อยากกลับบ้านเลยต้องรีบเรียนให้จบภายในสองปี พอถึง ปริญญาเอก ความขี้เกียจเรียนมันก็ตามมาอีก เรียนห้าปีอะไรก็ผ่านหมดแล้ว แต่ขี้เกียจไปสอบ อาจารย์ก็โทรตามว่าวันสุดท้ายแล้ว ถ้าไม่ไปสอบจะไม่ได้เป็นดอกเตอร์ เลยต้องไปสอบให้มันจบๆจะได้ไม่ต้องเรียนอีก และไปทำอย่างอื่นได้บ้าง
ผลก็คือจบเป็นดร.สมใจ ดังนั้น ถ้าคนเราถ้ามุ่งมั่น และสนใจ จริงจังไม่มีอะไรเกินความสามารถของคนที่เราเรียกว่า มนุษย์ได้หรอกคุณว่า จริงไหม
ปล. จากดอกเตอร์เพศชาย นายคนหนึ่ง
กระต่ายใต้เงาจันทร์
29 ตุลาคม 2552 21:30 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
บ่ายสามโมงเย็นของวันอาทิตย์ข้าพเจ้าได้มาถึงสถานปฎิบัติ ซึ่งมากับพระนิสิตของมหาวิทยาลัยสงฆ์ เพื่อมาปฏิบัติธรรมในโครงการวิปัสสนากรรมฐาน ข้าพเจ้ารู้สึกไม่เต็มใจมาตั้งแต่แรกเพราะเห็นมีแต่พระนิสิตซึ่งข้าพเจ้าเป็นผู้หญิงจึงพึงระวังและสำรวมแต่ขัดคู่ชีวิตไม่ได้เลยต้องเดินทางมาด้วยกัน
มีเจ้าภาพมาเลี้ยงอาหารพระนิสิตซึ่งเป็นญาติโยมที่เดินทางมาจากกรุงเทพ ข้าพเจ้ามองดูความเป็นไปของญาติโยม แม่ครัว ที่ตั้งใจและพิถีพิถันกันในการทำครัว ไม่ว่าขนมลูกชุบที่จัดเรียงอย่างสวยงามหรือไม่แม้แต่ข้าวต้มกุ้งที่ใส่กุ้งตัวใหญ่ๆสดจนเต็มหม้อ หรือ จนกระทั่งแซนวิชทูน่าที่เต็มหมด กล้วยตาก มะละกอ ที่คัดสรรและอยากให้พระฉันอาหารที่เลิศรสและดีที่สุด
ในยามค่ำคืนข้าพเจ้าเรียนสิ่งที่พระอาจารย์สอนว่าให้รู้และรู้ว่าทำอะไรอยู่แค่นั้น และหลักธรรมมากมายที่ท่านสั่งสอนแต่ข้าพเจ้าก็ถกเถียงได้ทุกข้อไปทำให้รุ่งเช้าอีกวันข้าพเจ้าไม่อยากปฏิบัติและใจไม่ยอมรับและคิดว่าตัวเองจะโง่และขาดเขลาเบาปัญหาที่จะศึกษาและรู้ถึงแก่นพระพุทธศาสนาหรือไม่ บารมีเก่าคงจะไม่ถึงทำให้ข้าพเจ้าถอดถอยเสียกลางคัน
เคยตั้งคำถาม ตัวเองหลายครั้งว่ามาปฏิบัติธรรมเพราะอะไรหรือต้องการหลุดพ้นจากความทุกข์ ไม่เลยในใจข้าพเจ้าไม่เคยคิดถึงสิ่งเหล่านี้ ข้าพเจ้าคิดเสมอเหตุเกิดที่ไหนต้องแก้ที่นั่น ถ้าเราทำอย่างหวังเราจะได้อะไรแน่นอนมนุษย์ถ้าไม่มีความหวังก็จะอยู่อย่างเป็นสุขและมีความหมายอะไรมีสิ่งอะไรน่าค้นหาอีกแต่ก็ก็ต้องกลับมาถามตัวเองทุกครั้งเรามีความหวังและคาดหวังว่าเราจะสมหวังในเรื่องที่เราทำแต่เราเคยนึกหรือไม่ว่าความหวังและความสมหวังมันอยู่คนละส่วนและคนละเรื่องกัน
เดินจงกรมก็แล้วนั่งสมาธิก็แล้วจิตก็ยังจะลอยฟุ้ง ไปรับสิ่งรับรู้จากภายนอกเรื่อยไป เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
ข้าพเจ้าเข้าใจส่วนที่ข้าพเจ้าคิดว่าตัวเองเข้าใจ เพราะเราไม่บังคับจิต ไม่ฝืนใจตัวเองข้าพเจ้านั่งสมาธิได้ แต่ข้าพเจ้าจะนั่งเมื่ออยากจะนั่งหรือกระทำเท่านั้น จึงมีในส่วนที่ข้าพเจ้าคิดว่าเข้าใจแต่กลับไม่เข้าใจเสียเองว่า
ข้าพเจ้าใช้จิตควบคุมอารมณ์
หรือใช้อารมณ์ควบคุมจิต
การเรียนหลักธรรมคิดว่าง่ายก็ง่ายคิดว่ายากก็ยากก็เหมือนความอยากและไม่อยากนั่นแหละว่า เรารับรู้ส่วนนั้นด้วยอาการอย่างไร ภูมิหลังและต้นทุนในการให้พระพุทธศาสนาขัดเกลาคงมีมาไม่เท่ากัน มีหลายคนถกเกียงว่า มารไม่มีบารมีไม่เกิด แต่เถียงกับจิต และความรู้สึกตัวเอง จึงรู้สึกว่า เหมือนเป็น มาร ที่กำจัดยากชะมัด
เคยผ่านสถานที่ปฏิบัติธรรมมาก็หลายแห่งแต่สุดท้ายข้าพเจ้าก็ต้องกับมานั่งเถียงกับจิตข้างในตัวเองเสียทุกครั้งไปก็แค่หลักธรรมง่ายๆทำไมคนเราต้องแสวงหาและเดินทางมาปฏิบัติธรรม บางคนจริงจังเสียจนข้าพเจ้ารู้สึกว่าไป กดดันตัวเองมากไปหรือเปล่า แน่นอนมนุษย์ถ้าไม่อยู่ในกฎและกรอบย่อมจะเดินออกนอกลู่นอกทางที่วางไว้ แต่ทำไมมนุษย์คิดเป็น แต่ทำไม่ค่อยได้ก็ไม่รู้ ถ้าทำได้เราคงจะสงบและคงไม่มีเรื่องราวที่ต้องมากระทำ และหากิจกรรมทำร่วมกัน ข้าพเจ้าคิดว่าการใช้ชีวิตต้องมีสติ รู้ว่าตัวเองทำอะไร อะไรถูก อะไรผิด นี่เป็นหลักธรรมง่ายๆที่เรามักปฏิบัติไม่ได้เพราะอะไรเพราะตัวกิเลสและความไม่รู้จักพอ แต่ถ้าเราใช้ชีวิต เหมือนพระบรมราโชวาทขององค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า
อยู่อย่างพอเพียง ชีวิตคงมีความสุข และ อยู่ร่วมกันอย่างสันติ แต่มนุษย์มัก มีเหตุและหาข้ออ้างมารองรับสิ่งที่ต้องการจะได้มาเสียทุกครั้งไป
เหมือนคนบางคนเคยพูดคุยกับข้าพเจ้าว่า พระเดี๊ยวนี้รวย มีรถส่วนตัวมีคนเพราะมีข้ออ้างว่ามีกิจนิมนต์เยอะเดินทางไม่สะดวกก็เพราะอะไร เพราะ มนุษย์ศรัทธาและไม่สร้างค่าและความหมายให้ท่าน ก็ไม่ทราบว่าส่วนนี้ใครผิดและใครเป็นตัวกิเลสและต้องเข้าใจว่า
ในส่วนของพระอาจารย์ที่จบมาสูงๆระดับปริญญาโท ปริญญาเอก หรือเป็นพระมหาเปรียญเก้าประโยค เป็นพระอาจารย์สอนพระนิสิต มิได้เงินเดือนเท่าคนทั่วไป มีเงินเดือนเพียงน้อยนิด และบางองค์จำวัดอยู่ไกลจากที่สอนจึงจำเป็นต้องมีพาหนะในการเดินทาง
มีโยมแม่ท่านหนึ่งมาถามข้าพเจ้าว่าพระพูดผมไม่ผิดหรือลูก ทำไมพระ ไม่พูดอาตมาก็เลยเถียงท่านในใจที่ท่านคิดว่าเพราะพูดผมไม่ได้นะไม่ผิดหรอก เพราะพระท่านไม่มีผมก็ได้แน่คิดในใจก็เท่านั้นแต่ตอบท่านไปว่าไม่ผิดหรอกคะ พระก็มีและมาจากหลายสายและในส่วนที่มาปฏิบัติธรรมวินัยเป็นพระนิสิตคะ
มีญาติโยมที่ศรัทธา พระอาจารย์ฝากหลานสาว อายุประมาณสิบสี่สิบห้ามาปฎิบัติธรรม เด็กสองคนคุยกันทั้งคืน ทำให้คนที่มาร่วมปฎิบัติธรรมไม่ได้นอน มีอาจารย์ท่านหนึ่งบอกในตอนเช้าว่า ให้ไล่กลับไปเพราะทำตัวไม่เหมาะสม
ทราบจากพระอาจารย์ว่า เด็กสองคนไม่เคยปฏิบัติธรรมมาก่อนนี่เป็นครั้งแรกในชีวิต
เลยตอบอาจารย์ท่านนั้นไปว่า ให้โอกาสเด็กอีกสักครั้งดีไหมค่ะ เรียกมาชี้แจงหรือจับแยกกันนอน และสอนว่าควรทำตัวอย่างไร ถ้าเด็กถูกไล่ออกไป หรือเรียกให้ผู้ปกครองมารับ เด็กๆจะรู้สึกอย่างไรกับการปฏิบัติธรรมครั้งแรกค่ะ
ท่านอาจารย์ท่านนั้นจึงตกลงและเข้าใจในเหตุผล
ข้าพเจ้าเก็บมาเขียนมาคิดเพื่อสะกิดเป็นข้อเตือนใจว่า เกิดเป็นคนอย่าเลือกปฏิบัติ จงทำเรื่องง่ายให้ง่ายเข้าไว้เพราะตราบใดเราทำเรื่องง่ายให้ง่ายยังไม่ได้ตราบนั้นคงจะทำเรื่องยากให้ง่ายคงยากเสียเหลือเกินกระมัง
คิด เขียน แล้วปล่อยวางไม่ได้เก็บมาสนใจ แล้ววันเวลาก็ผ่านไปอีกวัน พอผ่านวันนี้ก็ถึงพรุ่งนี้อีกแล้ว
กระต่ายใต้เงาจันทร์
12 ม.ค. 51
21 ตุลาคม 2552 14:19 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
บ่ายในวันพุธที่แสนสบาย ฉันเปิดเครื่องเข้าเอ็มเอสเอ็น เพื่อเช็คเมลล์ได้ไม่ทันไร เสียงไฟกระพริบพร้อมข้อความทักทาย ผ่านจากหน้าจอที่ไหนไม่รู้ มายังจอสี่เหลี่ยมที่ฉันยังนั่งจ้องอยู่
พี่กระต่ายยยยยยยยยยยย หายไปไหนตั้งนาน คิดถึงอ่ะ......
โอ้โห้แหะ.....เจ้าเดิม.....เริ่มเปิดเครื่องเจ้าเด็กนี้.....ก็เริ่มมาหลอน....กำๆๆๆๆนาย จันทร์เจ้า เจ้าเก่า เจ้าเดิม
เอออออออ.....พอดี พี่กระต่าย ถอดหัวหาอาหารเพลิน ทำทางกลับไม่ได้ หลงทางทั้งนานสองนาน สามนาน สี่นาน กว่าจะเจอเอาหัวใส่คอเหมือนเดิมแทบแย่อ่ะ
ฉันรัวนิ้วพิมพ์ตอบกลับไป
ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก.........?
ดูนายจันทร์เจ้าพิมพ์กลับมาสิ
ว๊ากมาจากคำว่าจ๊าก หรือเจี๊ยก ซึ่งเป็นบรรพบุรษของน้อง ต้องให้ความเคารพ บูชา นับถือ เข้าใจ๊
วอท ? นายจันทร์พิมพ์กลับสั้นทุกคำ
เฮ้อ....พี่กระต่ายกลุ้มใจจัง สงสารทางบ้าน ที่ส่งเสียนายให้เรียน ขี้เกียจเรียนรึไงถึงพูดภาษาไทยได้แค่นี้
555555555555555อาการเดิมนายจันทร์เจ้ามาแล้ว กาต่ายหล่ะขนหัวลุก ได้แต่นั่งน้าจอสี่เหลี่ยมถอนหายใจ
เฮ้ออออ......แล้วก็เฮ้ออออ......แล้วก็เฮ้อ......
พี่กระต่ายข้างล่างเอ็ม รูปพี่กระต่ายเหรอ นายจันทร์เจ้าคงเพิ่งรู้สึกสงสัย ความรู้สึกช้า หรือมีปัญหากับระบบสมอง ถึงเพิ่งมาถาม
(ฉันคิด )
ผีมั๊งค่ะ หรือยายบ้าที่ไหนไม่รู้เห็นหน้าตา อุบาศก์ ทุเรศดี เลยขอยืมมาใช้
5555555555555555555555555555555555
น่านนนนนนนนนนนนนนนนอาการเดิม อาการซ้ำซ้อนเยือนมาอีกหน
นี่ๆๆนาย ตอนแม่นายตั้งท้องคงอ่านหนังสือขายหัวเราะเยอะ พอคลอดออกมาหัวเราะไม่หยุด
เฮ้อออออออออออออออออออออออออออออออออ
พี่กระต่ายถอนหายใจเป็นอะไร
เป็นคนสวยว๊อยยยยยยยยยยยยยยยย........ฉันรีบตอบโดยไม่ต้องคิด(เอิ๊กๆๆ)
ที่ถอนหายใจสงสารคนทางบ้านนายน่ะ คงกลุ้มใจแย่อาการนายหนักหนาสาหัสเอาการทีเดียว
คงงั้นแร๊ะ
555555555555555555555555555555
ดูดูดูมันทำ ทำไปถึงทำกับฉันได้ เฮ้อๆๆๆๆกำมือมือขึ้นแล้วหมุนๆๆชูมือขึ้นโบกไปมา
พี่กระต่ายพูดไรอ่ะ งงง ไม่รู้ว่านายจันทร์เจ้าอยู่ในอาการเกาหัว คิ้วขมวด หน้าย่นเป็นแหนมรึปล่าว หรือว่า อาจจะกำลังตีเอาของในเกมส์อย่างลุ้นระทึก เพราะถามเจ้าหมอนี่ทีไร นั่งเล่นเกมส์ทุกที
จนกระต่ายยกให้เป็นวีรบุรุษไร้สาระแล้วตอนนี้
ก็ได้แต่จินตนาการภาพนายคนนี้ไปเรื่อยเปื่อย
พี่กระต่ายพูดเองยังงงเองเลย เอ็งไม่งงก็แปลกหล่ะ
55555555555555555555555555555
อาการนายจันทร์เจ้าเหมือนเดิมเปี๊ยบ
ไปน่ะ ปวดฟันจะไปหาหมอฟันหน่อย ไปหามาแล้ว ไม่ยอมถอนให้
อยากเตะหมอว่ะ .....?
แล้วฉันก็รีบปิดเอ็มเอสเอ็น หนีทันที กลัวอาการเดิม นายจันทร์เจ้าตามมาหลอน......บรื๊อ...........คิดแล้วขนหัวลุกชะมัด
21 ตุลาคม 2552 12:24 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
ไม่มีผู้ใดสามารถได้รับความสุขจากความสำเร็จที่ยั่งยืนจนกว่า เขาจะได้มองตัวเองและได้ค้นพบความผิดพลาดของตัวเองทั้งหมดก่อน
ถ้าท่านต้องสบประมาทคนบางคนออกมา ท่านจงเขียนมันลงไปบนพื้นทรายที่ขอบน้ำ
จงอย่าหวาดกลัวต่ออุปสรรคเล็กน้อย ขอจงจำไว้ว่า ว่าว แห่งความสำเร็จของท่านนั้น จะลอยสูงขึ้นไปด้วยการปะทะต้านแรงลมแห่งอุปสรรคเสมอ มิใช่ลอยตาม
จงทำงานมากกว่าค่าจ้างที่ได้รับ
หากมีโอกาสและเจอเจ้านายที่ดี ท่านจะได้รับผลกลับมาทวีคูณ
คนฉลาดจะจดจำอดีตเพื่อเป็นบทเรียนสอนใจ คนโง่จะจดจำอดีตเพื่อตอกย้ำความเจ็บปวด
ความโชคดีและโชคร้ายก็เหมือนเพื่อนมาเยี่ยมเยือนชั่วคราว เขาไม่ได้มาอยู่กับเราตลอดไป เขาอาจจะมาแล้วกลับไปหรือกลับมาใหม่ ได้อีก ต้อนรับเขาดีๆก็แล้วกัน
ความคิดก็เหมือนของแหลมมีคมถ้าไม่ระวัง บางทีความคิดจะบาดตัวเอง
เราควรขอบคุณคนที่บอกว่าเราผิด เพราะเราจะได้สำรวจตัวเอง ถ้าเราผิดจริงจะได้แก้ไขต่อไป
ขัดรองเท้า ขัดภาชนะใดก็ตาม ยังได้ความสะอาดสวยงาม ขัดใจคนได้อะไร
คนโง่มักคิดว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรให้สนุกสนานที่สุด คนฉลาดมักจะคิดว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรให้เป็นประโยชน์ที่สุด
ความล้มเหลวทุกครั้ง เป็นคุณสมบัติแปลกปลอมเข้ามา มันเปิดโอกาสให้เราเรียนรู้ บทเรียนบางอย่างที่จำเป็นซึ่งเราไม่สามารถเรียนรู้ได้ในทางอื่น เราเรียกสิ่งที่ล้มเหลวนั้นว่า เป็นความพ่ายแพ้เพียงชั่วคราว
เราจะหมดความสนใจใครคนใดคนหนึ่ง เมื่อเราได้เห็นความเป็นที่สุดของเขา ทันที่ที่เราเห็นข้อบกพร่อง อันเป็นที่สุดของเขา และเป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัวที่สุดของคนผู้นั้น เราจะหมดความศรัทธาและหมดความสนใจ เรื่องราวของเขาจะจบลงแค่นั้น
ท่านจะไม่สามารถ มีอำนาจในชุมชนของท่านหรือมั่นคงถาวรไม่ว่าทางใดทางหนึ่งได้ เว้นแต่ว่า ท่านโตพอที่จะตำหนิความผิดพลาดและความพ่ายแพ้แก่ตนเองก่อน
มีคำกล่าวว่า หนังสือ คือเพื่อน หมายถึง หนังสือดีๆเท่านั้น ถ้าเป็นหนังสือเลวๆหนังสือคือ ศัตรู เช่นกัน
ไม่ว่าอยู่ต่อหน้าใครต้องทำใจให้เมตตา ไม่ว่าอยู่ไหนจงทำใจให้ปกติ ไม่ว่าอยู่ไหน จงทำใจให้สงบ ไว้ว่าเป็นอะไร จงพอใจในตัวเอง
เวลาเจอเรื่องหนักๆ ให้บอกตัวเองว่า เราจะก้าวผ่านบทเรียนแห่ง ชีวิต
เวลาเจอปัญหาให้บอกว่า เราจะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษณ์
เวลาเจอความทุกข์ให้บอกว่า นี่คือแบบทักษะในการดำเนินชีวิต
เวลาเจอเจ้านายจู้จี้ เจ้าระเบียบ ให้บอกว่าเป็น การฝึกตัวเองให้สมบูรณ์แบบ
เวลาเจอคนตำหนิ ให้คิดว่านี่เป็นการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ
เวลาเจอคนนินทา เป็นการสะท้อนว่า เรายังมีความหมาย
เวลาเจอความผิดหวัง ให้บอกว่า นี่เป็นพลังธรรมชาติสร้างภูมิคุ้มกันชีวิต
เวลาเราป่วยไข้ ทำให้เป็นการเตือนใจให้เรารู้ว่าต้องรักษาสุขภาพให้ดี
เวลา เจอคนกะล่อน นี่เป็นอุทาหรณ์ที่ไม่น่าเจริญรอยตาม
เวลาเจอลูกดื้อ นี่คือ บทพิสูจน์ของ พ่อแม่ที่แท้จริง
เวลาเจอคนมีคู่แล้ว ให้บอกว่า ไม่มีใครสามารถได้ทุกอย่างที่หวัง
เวลาเจอภาวะหลุดจากอำนาจ บอกได้ว่า ทุกอย่างเป็นอณัตตา และสรรพสิ่ง
เวลาเจอคนเลว ให้รู้ว่า นี่คือตัวอย่างที่ไม่พึงประสงค์
คนที่โชคร้ายที่สุด คือ คนที่ชอบคิดว่า ตัวเองโชคร้าย
ธรรมชาติสอนการใช้ชีวิต เมื่อเจอความตาย นั่นคือ ฉากสุดท้าย ของ ชีวิต ที่สมบูรณ์แบบ
เรา มีความสามารถ ทำอะไร ได้ ตั้งหลายอย่าง แต่มี อย่างเดียว ที่เรามัก ทำ กันไม่ได้ คือ การทำชีวิตให้มีความสุข
ยิ่งไร้เมตตา เหมือนยิ่งเรียกหา ศัตรู
การให้อภัยที่ยิ่งใหญ่ คือ การทำบุญ อย่างหนึ่ง เมื่อ เขาพูด หรือ ทำให้เรา เสียหาย เราให้อภัย เขา เราได้บุญ
หนังสือมีมากมายหลายล้านเล่ม แต่เราไม่มีเวลามากพอ ที่จะอ่านได้ทุกเล่ม แต่เรามีเวลามากพอที่จะเลือกอ่าน หนังสือ บางเล่ม เพื่อ ส่งเสริมปัญญาและ พัฒนาคุณภาพ ของชีวิต
ชีวิตที่แสนร่ำรวยกับชีวิตที่แสนเป็นสุขมันคนเรื่อง เพราะว่า บางที่ชีวิตที่ร่ำรวยใช่ว่า จะมีความสุข หรือชีวิตที่มีความสุขไม่จำเป็นต้องร่ำรวยเสมอไป
คนที่ไม่เคยผิดพลาด คือ คนที่ไม่มีโอกาสเรียนรู้
คนที่ไม่เคยต่อสู้กับชีวิต จะเป็นคนอ่อนแอและอยู่อย่างพ่ายแพ้
เมื่อถูกนินทาว่าร้าย ให้คิดว่า ดีเหมือนกัน เราจะได้ไม่หลงลืมตัว
เมื่อ ข้าวของเสียหาย หรือสูญหาย หรือ ล้มละลายหมดตัว ให้คิดว่า ดีเหมือนกัน เราไม่ต้องมีภาระคอยดูแลเป็นห่วงอีก
เมื่อชีวิตล่วงเลยเข้าสู่วัยชรา ให้คิดว่า ดีเหมือนกัน แสดงว่า เราอายุยืนขึ้น
เมื่อเราเจ็บป่วย ให้คิดว่า ดีเหมือนกัน เราจะได้ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต
แม้ว่า เรื่องร้ายๆอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา พยายามให้เห็นประโยชน์อีกด้านหนึ่ง เสมอ ชีวิตเราจะได้ไม่เป็นทุกข์
21 ตุลาคม 2552 12:17 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
นายวายร้ายกับยัยตัวแสบ(ภาคมหาลัย)
ตอน เรื่องของตุ้มเม้ง
ในวันที่มหาลัยเปิดภาคเรียนวันแรก เหตุเกิดที่นี่ มศว.แห่งนี้
นายตุ้มเม้งนั่งหลับที่ข้างหน้ารถตู้ติดคนขับ
ด้านหลังมีแม่ และพี่สาวและน้องสาวอีกคนตามมาส่งเพราะเป็นวันแรกที่ตุ้มเม้งเข้ารั้วมหาลัยแห่งนี้
รถจอดหน้าหอใน ไม่ทันจะดับเครื่อง สะกระชากประตูรถตูด้านข้างรถออกจากกัน ดังสนั่น
ไอ้ลูกตุ้ม มึงทำไมทำกับกูหยั่งงี้ กูรักมึง
เสียงตะโกนของผู้หญิงดังลั่น เข้ามาในรถ ก่อนจะเห็นหน้า
เด็กผู้หญิงวัยแรกรุ่น ซอยผมสั้น ปากบางจิ้มลิ้ม ดวงตากลมแป๊ว รูปร่างกะทัดรัด แต่งกายทะมัดทะแมง
ตุ้มเม้งอยู่ด้านหน้ารถ ค่ะลูก เปิดประตูด้านหน้าสิ
เสียงแม่นายลูกตุ้มตอบไป พร้อมกลั้นหัวเราะ
เสียงปิดประตูด้านข้าง ปัง ไปเปิดประตูด้านหน้าแทน
ถึงกูเป็นทอม กูก็รักมึงโว๊ย
พูดเสร็จ แล้วก็เดินหนีหายไปในอาคาร
วันแรก ตุ้มเม้ง ในรั้วมหาลัยโคตร ประทับใจ
การปรับสภาพนักศึกษาใหม่ ดำเนินการไปเรื่อยๆ
ยายทอมตัวแสบก็ตะโกนบอกรัก ตุ้มเม้งได้ทุกวัน
ตัวเองชื่ออะไร ตุ้มเม้งคงทนไม่ไหวถามไปในวันหนึ่ง
เค้าชื่อ ฟ้า
แล้วตัวเองเป็นทอมทำไม
เค้าเป็นตามแฟชั่น แต่บอกนายจริงๆน่ะ กูรักมึงว่ะ
เออกูรู้ พร้อมอาการเกาหัว กล้าชิบ เออลองคบกันดูก่อน
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา เห็นตุ้มเม้งที่ไหน เห็นฟ้าที่นั่น
แล้วเหตุก็เกิด ที่สนามบอลหลังเลิกเรียนวันหนึ่ง
ฟ้าเค้าจะไปแข่งฟุตบอลพรุ่งนี้ ตัวเองคิดว่าเค้าจะชนะไหม
โอ๊ย ไม่ต้องคิด คิดทำไมแฟนฟ้าทั้งคน ตุ้มเม้งน่ะระดับเทพ เข่งที่ไหนแพ้ที่นั่น
เออจะพูดทามมายเนี่ยย.....ตุ้มเม้งได้แต่บ่นงำงัมในลำคอ
รุ่งขึ้นตุ้มเม้งก้ขึ้นรถไฟพร้อมสมัครพรรคพวก โดยฟ้าไม่ได้ไปด้วยเพราะติดเรียนพิเศษ
มา เรามาวาแผนกัน ตุ้มเม้งเริ่มประชุม ฟ้าดูถูกกูไว้ ทีมเราต้องฮึกเหิม ทุบหม้อข้าวอย่างพระเจ้าตากเตรียมออกรบ เอาเงินมารวมกันซื้อของกินให้หมด พวกเรามาล่ารางวัลแบบนักล่าฝันกัน
แล้วฟ้าก็ดูถูกจริงๆ ทีมตุ้มเม้ง แพ้ จนพรุน เพราะนักกีฬากินเหล้าขาวผสมโออิชิ หมดเงิน หมดแรง
หมดค่ารถ ดีน่ะ มีรถไฟฟรี ทีมนักล่าฝันจึงได้กลับบ้านกันทุกคน
อีกเดือนต่อมา ฟ้า เค้าจะไปแข่งฟุตบอลอีกฟ้าว่าเค้ามีโอกาสไหม
นี่ๆๆคนนี้แฟนใคร ตุ้มเม้งน่ะ แฟนฟ้า เก่ง หล่อ หน้าตาดี แต่เล่นกีฬาไม่ได้เรื่อง แต่ความอดทนสูง ที่ยังกล้า จะไปแข่งอีก ทนหน้าดู ชมน่ะนี่ตุ้มเม้ง
โห้ นั่นปากเหรอน่ะ แสบจริงๆแล้วเอาเสื้อบอลเค้าไปใส่เรียนพิเศษนี่น่ะยาวปิดกางเกงตัวใหญ่โคร่ง แนวสะ ช่างกล้าๆๆๆ
ถึงเวลา นัดสำคัญทีมนายตุ้มเม้งซ้อนขับมอเตอรไซด์ไปคนละคัน
คราวนี้มีฟ้าไปด้วย
ถึงสนามแข่ง ฟ้าก็ยังไม่ยอมถอดหมวกกันน๊อค เดินไปเดินมาทั้งอย่างนั้น
ฟ้าตัวเองทำไมไม่ถอดหมวกอ่ะ
อย่าเรียกเสียงดังสิ ฟ้าเอ็ดเบาๆๆเดี๊ยวทีมนายแพ้อีก คนอื่นจำหน้าฟ้าได้ว่ามากับตุ้มเม้ง ฟ้าอายแย่
นี่ยายตัวแสบมาเชียร์หรือมาแช่งหึ
ว่าแล้วทีมตุ้มเม้งก็ลงสนามโชว์ลีลาฝีเท้า บุกฝ่ายตรงข้ามตลอดหมดไปสิบกว่านาทีแรก ทุกคนในทีมยืนเท้าเอวเป็นหมาหอบแดด เพราะเป็นทีมที่ไม่เคยวอร์มเลย แข่งทีไรลงสนามเลยทุกที
เหลียวมองหน้ากันไปมาไม่มีตัวเปลี่ยนมาพอดีแป๊ะ
กว่าจะสิ้นสุดการแข่งขันสะบักบอมกันน่าดู
เสียงโทรศัพท์
ตุ้มเม้งดังขึ้น เฮ้ย ไอ้ตุ้ม กูต้องไปปล่าวว่ะ แต่กูยังไม่สร่างเมาเลยว่ะ ยังอ๊วกอยู่
เออมึงอ๊วกต่อไป อ๊วกอย่างมีความสุขแข่งเสร็จแล้วเพื่อน
ฟ้าขอชมทีมตุ้มเม้งน่ะ ว่าเป็นทีมที่มีมาตรฐานดี แข่งทุกนัด กินศูนย์ทุกนัด ยกย่องๆๆๆ
ไอ้ฟ้า ......วันพระไม่ได้มีหนเดียว ก่อนวันพระ ต้องมีโกน ทุกคนเราต้องมีความฝันเฟ้ยยยย แม่สอนมา เพราะฉะนั้นอย่างลูกต้มต้องล่าฝัน
แต่กองทัพต้องเดินด้วยท้องไป ไปฉลองกันที่ทีมเรารักษามาตรฐานได้อย่างยอดเยี่ยม
ตุ้มเม้งจงเจริญ.....เย้ๆๆๆๆๆๆๆ...