21 ตุลาคม 2549 23:48 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
ปากเป็นอวัยวะ สำคํญ ของ มนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการพูด ซึ่งมีหลายประเภท ในลักษณะ การพูดที่ แตกต่าง กันไป
ประเภท พูดเพราะเหลือเกิน หวานจนเลี่ยน เอียนจนอยาก จะอาเจียน ขาทุกคำ ทั้งที่ก็ มีอยู่2 ขา ไม่รู้จะหา ขาไปถึงไหน เคยบรรยาย กับ วิทยากร ท่านหนึ่งพูดเพราะมากๆๆ กี่คำกี่คำ ลง ขาทุกคำ เราได้แต่นั่งนึกในใจ ถ้ามีบรรยาย กับท่านอีก พรุ่งนี้ จะแนะนำ ให้ผู้มาฟัง โขนขนหน้าแข้ง มาให้หมด จะได้โชว์ขากันได้ อย่าง ไม่เคอะ ไม่เขิน
ประเภทพูดเพราะเกินไป ทั้งต่อหน้า และหลับหลัง ขนาดนินทา ยังใช้คำไพเราะ ได้ขนาดนั้น โอ้....คงเป็นความสามารถ พิเศษ ที่ลอกเลียนแบบกันอยาก
อีกประเภท ก็ พูดไม่เพราะ มึง มา พา โวย ไอ้ อี แต่แปลกน่ะ ผู้ชายพูดคำเหล่านี้ กลับบอกว่า สมเป็นชายชาตรี แต่เวลา อิสตรี พูด กลับบอกว่า ฟังไม่ได้ พูดจาไม่ไพเราะแถมหยาบคาย
เจอ ผู้ชาย ประเภทนี้ ชอบใช้ปาก อวดอ้าง อวดอำนาจ อวดบารมี ในงานหนึ่ง เรา ก็นั่งของเรา อยู่ดีๆ ไม่สนใจ ตะโกนข้าม โต๊ะ ด้วยอาการเมามาย ...คุณรู้ไหมผมลูกใคร....เงียบ...สักพัก...มีคนเคลียร์...ดังขึ้นมาอีก..
มึงรู้ไหมกูลูกใคร...สุภาพสตรีอย่างเรา...ได้แต่ตอบในใจ...มึงก็ลูกแม่มึงสิ...เงียบๆ
แต่สุภาพสตรี เราต้องสงวนท่าที ตอบด้วยท่าทีสุภาพ พร้อมยิ้มหวานให้ คุณต้องกลับไป ถามแม่ของคุณ เองว่า...หนูลูกใครจ๊ะ...
ประเภทชอบ ประชดประชัน ช่าง คิด พูดอะไรไป ตอกกลับ ได้อย่างเจ็บแสบ เหน็บแหนม ได้อย่างเจ็บใจ ช่างสรรสร้าง บางคนก็พูดเพราะเป็นคนสนุกสนาน แต่บางคนคง พูด เพราะมีปม อะไรอยู่ในใจ
ปากเป็นส่วนสำคัญ หลายอย่าง สำหรับ ในการพูดนั้น คงต้องรู้จัก เลือกที่จะใช้ ในการทำงาน เราควรจะพูดแต่เท่าที่จำเป็นเท่านั้น ชีวิตจึงจะเป็นสุข
ส่วนคน ที่ร่าเริงสนุกสนาน อาจใช้ปาก พุดคุย ทำให้คนอื่น มีความสุข ไปกับตัวเองได้ แล้วแต่ ศิลปะในการพูดของแต่ละบุคคลเป็นเช่นไร ปากของใครก็หาวิธีใช้ให้เหมาะสม กันเองเอง แล้วกันค่ะ
17 ตุลาคม 2549 18:05 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
.
กว่าจะรู้ว่า... .โลกนี้มันกว้างใหญ่ ต่อเมื่อเราได้.....ออกเดินทาง
กว่าจะรู้ว่า... .ความหมาย........ของฟ้าหลังฝน ต่อเมื่อเราผ่านพ้น.....มันไปได้
กว่าจะรู้ว่า......ในหนังสือ....มีอะไร....ต่อเมื่อเราได้......ลองเปิดอ่าน
กว่าจะรู้ว่า......เสียงหัวเราะ มันมีค่า ต่อเมื่อเราเสียน้ำตา.....ในสักวัน
กว่าจะรู้ว่า.....คำที่เรียกความคิดถึง ต่อเมื่อความคิดคำนึงมีแต่ ....ใครคนนั้น
กว่าจะรู้ว่า.....ใจผูกพันธ์......ต่อเมื่อสูญเสียคนๆนั้นไป
กว่าจะรู้ว่า.......ไม่เงียบเหงา......เพราะคุยได้ทุกเรื่องราวอย่างเข้าใจ
กว่าจะรู้ว่า....อ้างว้างเพียงใด......เมื่อเขาทำเลือนหายไปจากชีวิตเรา
กว่าจะรู้ว่า.....เรายังมีเรื่องอีกมากมาย....เราต้องเปิดใจยอมรับมัน
กว่าจะรู้ว่า.....ดอกไม้บาน.....เราต้องติดตามต่อไป
แล้วเราจะรู้ว่า....เราหมดความหมาย.....ต้องทำใจให้ชาจนเริ่มชิน
มนุษย์ทุกคน มีกลไก ความคิดซับซ้อน เรื่องราว หลายหลาก ต่างเรื่อง ต่างมุม เหมือนวนเวียน บางที เหมือนเสียใจ บางครั้ง เหมือนดีใจ หลายครั้ง ล้มแล้วลุก ยืนสู้ขึ้นใหม่ได้ เรื่องราวที่มี ทั้งดีและร้าย ผ่านพ้นไปได้ ชีวิต ดำเนินต่อไป สร้างความแข็งแกร่ง และเกราะป้องกันตัวเอง ได้อีกชั้นหนึ่ง บางครั้ง ความไม่ไว้ใจ กลับเป็นเรื่องดี
บางที ความรักกลับเป็น เรื่องเลวร้าย มุมมอง แตกต่างกันไป
กว่าจะรู้....เรื่องราว...กว่าจะผ่านพ้น....มีอีกกี่หน....อีกกี่ครั้ง....เหมือนบททดสอบ
คงไม่นาน และยังดำรงชีวิต อยู่ได้กว่าจะรู้....ชีวิตคนแต่ละคนคืออะไร.....คงต้องตอบหัวใจ ตัวเองกัน เอาเองหล่ะทีนี้.....ว่ารู้หรือไม่...หรือได้แค่ว่า...กว่าจะรู้....
11 ตุลาคม 2549 16:43 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
เคยนึกเล่นๆ ตั้งข้อสังเกต ผ่านๆ เรื่องราว ใน365 วัน มีกี่วัน ใน1ปี ที่หัวใจ เราอิ่มอุ่น และเป็นสุข ที่สุด วันที่หัวใจเราแหลกสลาย มีระยะยาวนาน แค่ไหน บางคนมี ความสุข มีเพียง1 วินาที แต่มีความทุกข์ เป็นร้อย เป็นพันวัน
ความผิดหวัง ความสมหวัง การต่อสู้ การยอมแพ้ ความเบิกบานใจ ความหดหู่ และความรู้สึก อีกหลายประการ คือ สองฝั่งชีวิต ที่คนเรา ไปเกี่ยวเนื่องด้วย สำหรับคนไม่สู้ คือคน ไม่มีหวัง บางครั้งเรา อาจแอบหวัง อย่างต่อเนื่องได้ แต่บางทีเราก็ เลือก ไม่ได้ที่จะสิ้นหวัง อย่างยาวนาน
จงอยู่อย่างมี ความหวัง คำคำนี้ง่าย แต่ค่อนข้างยาก ที่จะทำ ผู้คนจำนวนมากสิ้นหวัง อย่างเรื้อรัง อยู่อย่างไร้พลัง เหมือนอยู่ในซากของชีวิต
สาเหตุของ คนที่ใกล้จะตาย เหลือเพียง ลมหายใจ สุดท้าย มีอยู่ หลายประการ
สาเหตุหลัก ๆ ก็คือ การสูญเสีย ความหวังอย่างแรง ไม่สมหวัง ในสิ่งที่คาดหวัง
ยอมรับความเป็นจริง จากบางอย่างไม่ได้ ถูกชะตากรรม เล่นงานหนัก ๆ กับชีวิต
หรือร่างกายอยู่ ในช่วงอ่อนแอ ทำให้ภูมิคุ้มกัน ของความเข้มแข็ง เปราะบาง
ภูมิคุ้มกันที่ทุกคน ควรจะมีคือ เข้าใจโลก และเข้าใจชีวิต เรียนรู้ที่จะอยู่ ได้ด้วยตนเอง นี่คือสัจธรรม ของชีวิต เรามักได้ยินคำพูด คุ้นหูว่า ระยะทางของความสุข แสนสั้น ช่างต่างกัน
กับช่วงเวลาของ ความทุกข์ ที่มักทอด ยาวออกไป ไกลแสนไกล คงเหมือนฉัน ที่เคยรู้สึกว่า ถ้าวันนี้รู้สึก เหนื่อยล้า กับการงาน หรือวุ่นวายใจ
กับความทุกข์ ฉันจะตรงดิ่ง ไปที่ที่นอน แล้วล้มตัวนอน
เหมือนตัวเอง พลัดตกไป ในบ่อลึก และ หลับสนิท เหมือนไม่ได้นอน มานาน แสนนาน ในความทุกข์ ที่กล่าว บางครั้งต้อง อาศัยพลังใจ และเรียนรู้ที่ จะแก้ไข คงพอจะคิด จำแนกได้ดังนี้ 1.ตั้งสติ 2.พร้อมยอมรับ 3.จมอยู่กับความทุกข์เศร้า
4.มองไม่เห็นทิศทาง 5.เสียใจ 6.หาทางออก 7.เรียนรู้วิธีแก้ไข ,9,10. ร้องไห้และร้องไห้
ในช่วงเวลา 1 ปี 1 เดือน หรือ 1 วัน ปริมาณของหวัใจ คน อาจแตกสลาย เพิ่มขึ้น หรือลดลง เมื่อวาน อาจรู้สึก อิ่มอุ่นหัวใจ คล้ายมี ใครสักคน โอบกอด ตลอดเวลา
แต่วันนี้กลับรู้สึก โดดเดี่ยว เคว้งคว้าง อ้างว้าง เหมือนกับว่าหัวใจ แตกสลาย
คนเรา มีพลังในการ เผชิญแรงเสียดทาน ของชีวิตไม่เท่ากัน บางคนอาจ สิ้นหวังง่าย บางคนอาจ สิ้นหวังยาก
การอยู่ในโลกมนุษย์ นี้ให้ได้ คือ การอยู่อย่าง มีความหวัง คล้าย ๆ กับการโกหกตัวเอง ให้แนบเนียน เหมือนเอา ความฝันมาต่อ ลมหายใจ เพราะยังมีหวัง และมีฝัน ที่อยากจะทำ
25 กันยายน 2549 07:59 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
ตีสองกว่าใกล้ตีสามแล้วสิน่ะ แต่เหมือนยังคงได้ยินเสียงผะแผ่ว แว่วเหมือนเสียงสะอื้น ของทะเล ที่ยังคงอ้อยอิ่งในอ้อมกอด
ในราตรีแห่งค่ำคืน ผู้คนหลับสบาย แต่ใครจะรู้บ้างอาจมีหลายคนที่นอนไม่หลับ กลไกมนุษย์ ความคิดซับซ้อน คงเหมือนท้องทะเล ที่บางครั้งเรียบสงบ
สักพักมีคลื่น มาเป็นระรอก บางทีเหมือนไม่มีแต่กลับแอบแฝงอยู่ใต้ผิวน้ำรอจังหวะ ที่ถาโถมกระหน่ำซ้ำเติมอย่างไม่รู้ตัว
ทะเล ให้อะไรหลายอย่าง ความเงียบสงบ ความบ้าคลั่ง เหมือนคลื่นรอเวลาปะทุ คงเหมือนอารมณ์คน ที่เปลี่ยนไปมาตลอดเวลา แต่เวลานี้ อารมณ์ฉัน เหมือนท้องทะเลที่สงบ ละทิ้งทุกอย่าง ความทรงจำที่เลวร้าย ฉันทิ้งและปลดปล่อยมันได้สักที
23 กันยายน 2549 15:01 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
เคยคิดว่า ถ้าเราย้อนรอยก้าวไปในสิ่งที่เราจากมา เรายังเจ็บปวดกับอดีตหรือว่ามีความสุขกับภาพความทรงจำเก่าๆ
มีคนกล่าวว่า การหนีเงาตัวเอง หนีเท่าไรก็ไม่พ้น ความทรงจำ มีทั้งดีและร้าย เชียงใหม่ เมืองแห่งฝัน สวรรค์ แห่งใจ
กลับไปอีกครั้ง พิสูจน์ตัวเอง ความหวาดกลัว ที่ซ่อนอยู่ไม่เจ็บปวดอีกแล้ว มีแต่ความทรงจำที่ดี รอยอดีต กลับงดงาม เพิ่งรู้ใจ ตัวเอง สิ่งที่ซ่อนอยู่คือความผูกพันธ์ ของทะเล เกาะแห่งหนึ่ง ไม่ใช่เชียงใหม่ หรือรอยในใจ ที่เนิ่นนานผ่านมา ขอเพียงเก็บสิ่งนั้น ไว้กับตัวเอง จนสิ้นลมหายใจสุดท้าย
เชียงใหม่ ย่ำรอยเท้าไปหลายที่ กลับมาครั้งนี้ ช่างเหงียบเหงา แต่คนเชียงใหม่ ใจดี น่ารัก เหมือนเดิม ไม่กล้าเดินทางไปเที่ยวสถานที่ที่เคยอยู่ในความทรงจำ รถขับผ่าน รู้สึกได้ สวยงาม ความทรงจำนี้ เราทำไมหนีสิ่งที่ซุกซ่อนในใจ หลายปี กลับมาเจออีกที เหมือนได้ปลดปล่อยความรู้สึก
เริ่มคิดได้ว่า แสงสว่าง เหมือนความทรงจำพอมืดก็หาย พอแจ้งแสงสว่าง ก็กลับ เข้ามา หาอีกครั้ง
เราต้องอยู่ต่อ และเรียนรู้เรื่อง มากมาย หนีเงาตัวเอง เมื่อไรจะพ้นสักที
เผชิญหน้า ครั้งนี้ ปมในใจ ไม่ใช่อย่างที่คิด
ทริปนี้ไปเรื่องาน มีคนคุม แม่แดง กับ เจ้าหน้าที่อบต . สิบเอ็ดชีวิต มีผู้ชายเพียงสองคน อาจารย์บันเทิง กับพี่ต่ายคนขับรถตู้
ไปเพื่อดูงาน ด้านการศึกษา โดยเฉพาะ
ไม่มีอดอยาก แม่แดงมาเอง ดุบ้าง แต่ก็น่ารัก เสมอ แวะทานข้าวอุดรดิตย์ ไปต่อไหว้พระ แวะกัน ตามรายทางไปเรื่อย ถือโอกาสเที่ยวในตัว ถึงเชียงใหม่ ย่ำคำ จะนอนกับใครได้ นอกจากคนคุม
เพชรงาม โรงแรมนี้ ก่อนเข้าาโรงแรม แวะทานข้าว ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง นายกอบต.ใจดี คุณ พิชัย นวลนภาศรี สั่งอาหารให้ทุกที่ ที่ไป ทาน ฟรี ต้องขอขอบคุณ ในที่นี้ค่ะ
กลางคืน พี่กล์อฟ มาหาที่พัก ชวนแม่กับผู้เขียนไปทานอาหารที่ร้าน ตรอกกำแพงดิน
ร้านน่ารักค่ะ ชื่อ Ha' bar ราคาไม่แพง 24บาทแพงสุดแค่ 34บาท คนเสริฟสวยมาก แม่ครัวยิ่งน่ารัก
รายการเด็ด ส้มตำทอด แต่วันนั้นเส้นมะละกอหมดหมด กลายเป็นทาโร่ทอด กับส้มตำ อร่อยมากค่ะ ร้านกึ่งผับ สบายๆ พี่กล์อฟน่ะหนุ่มหล่อน่ะ ใครผ่านไปอุดหนุนได้ค่ะ ใจดี ที่ชอบคือ แผ่นป้ายแผ่นหนึ่งที่อยู่ในร้าน ขอบอกว่า หาดูยากมาก ไปแล้ว ไปดูให้ได้ ร้านนี้ปิดเที่ยงคืน เปิด ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆพี่ค่ะ ค่าโฆษณา
วันรุ่งขึ้นดูงานศูนย์เด็กเล็กอบต.บ้านกลาง จังหวัดลำพูน หายเหนื่อย หลงอยู่ที่นี่ตั้งนานเด็กน่ารักมากจนไม่อยากไปไหน คุณครูเจ้าหน้าที่หน้ารักทุกคน
ฝากถึง หัวหน้าศูนย์ คุณเอกชัย ทวงกันตรงนี้รับปาก จะให้ซีดีเพลง ส่งกลับมาที่ทำงานต่าย กรุณาส่งมาด้วยค่ะ ขอบคุณ อีกครั้งค่ะในมิตรภาพ
กลางวัน ไปที่อบต. บ้านกลาง ได้ความรู้เชิงนโยบาย เจอพี่สาวที่น่ารัก ผอ .กองการศึกษา พี่รัตน์ ดูแลให้ข้อมูลละเอียดยิบ เจอนายกคนเก่ง ความคิดที่กว้างไกล ได้อะไรกลับมามากมาย
คงต้องมาปรับใช้ ให้เหมาะสมกับท้องถิ่นตน
เชียงใหม่ เมืองสวรรค์ เหมือนของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่ได้กลับมา ในด้านงาน รวมถึง เงาในใจ ปลดปล่อย รู้ใจตัวเองสักที เมืองนี้เหมือนมีมนต์ ให้ความ อบอุ่น คุ้นเคย ไม่เสื่อมคลาย อยากกลับไปเชียงใหม่อีกสักครั้ง ขอบคุณ คนเชียงใหม่ทุกคนที่พบเห็น ที่ทำให้ มีความสุข พบปะรอยยิ้ม มิตรไมตรี มีเสมอมา