28 เมษายน 2551 23:15 น.

น้ำเน่าในเน่าเงาจันทร์ ลมหายใจสุดท้ายฝากไว้ในสายลม

กระต่ายใต้เงาจันทร์

ตอนที่ 2

เปลี่ยนมุมมองและเปลี่ยนชีวิต


ฉัน   ตัวตน  มีเลือดเนื้อ    มีความคิดและจิตวิญญาณ        ในส่วนของชีวิตจริงฉันผ่านจุดสูงสุดในชีวิตมาแล้ว
ไม่ว่า  หน้าที่การงาน   ฐานะทางสังคม    การยอมรับนับหน้าถือตา ฉัน  ขีดเขียนและฉีกกระดาษทิ้งหลายครั้ง   เพราะอาย  ไม่อยากเล่าประสบการณ์ชีวิตตัวเอง   ย้ำคิดกับตัวเองตลอดเวลา   ฉันล้มเหลวทุกอย่างโดยสิ้นเชิง

แต่เพราะด้วยจิตวิญญาณหรือไม่เพราะความทุกข์ที่ทับถมจนฉันต้องวนเวียนมาหาเพื่อนใจ   ตัวตัวอักษร   ที่ไม่เคยทำร้ายฉันสักครั้งมีแต่ตรงกันข้ามที่คอยรักษาและเหมือนยาวิเศษณ์รักษาใจฉันเสมอมา

ฉันแต่งงานกับคนที่เรียกว่า   เพียบพร้อมทั้งรูปสมบัติ   นามสมบัติ  เรียกว่า  ถ้าลงนามสกุลคงรู้จักค่อนประเทศกระมังแต่ความยึดติด   กับรูปภายนอกและเพราะต้องการรักษาครอบครัวทำให้ฉันมารับกรรมในส่วนที่ฉันไม่ได้ทำจนกระทั่งบัดนี้
ฉันเคยมีบริบัท  มีลูกน้องมากมาย   เขาให้ฉันเป็นเจ้าของ    มีรถ  มีบ้าน   ไปไหนมีคนขับรถประจำตัว    แต่ฉันต้องแลกทั้งชีวิต    ถ้าคุณยอมใครครั้งหนึ่ง  ทั้งชีวิต  คุณต้องยอมเขาตลอดเพราะเพียงแค่ว่า   ต้องการรักษาครอบครัวไม่ต้องการให้ลูกมีปัญหา    ทั้งชีวิตฉัน   มีแต่คำนี้    กูสั่งให้มึงทำอะไร   มึงต้องทำ    ไม่ต้องถาม   
ถ้าไม่พอใจเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋ากลับบ้านมึงไป      ระยะเวลาเกือบยี่สิบปีฉันไม่รู้ฉันทนมาได้อย่างไร      เลี้ยงลูกก็ส่งเสียเลี้ยงดูเพียงคนเดียว        ความรับผิดชอบในบ้านก็ต้องรับผิดชอบ    ใครอีกคนมีแต่ออกคำสั่ง   ไม่พอใจ   บินต่างประเทศ  ติดต่อไม่ได้   เหตุผลคำเดียว   เครียด        หายไปเหมือนตายจากเป็นเดือนจนถึงที่สุดฉันต้องยอมรับ   คดี   ฉ้อโกงเจ้าหนี้    ทั้งศาลเพ่งและอาญา   จวบจนถึงกระทั่งถึงปัจจุบันเพราะฉันไม่รู้เลยว่า  ใครอีกคนเอาเงินไปทางไหน  ในรูปบริษัทมีชื่อฉันก็จริง   แต่คนอีกคนเก็บเช็คเก็บตราบริษัท   จะใช้เงินในส่วนของเขาฉันมีหน้าที่เซ็นต์เท่านั้น  มิเคยได้แตะต้องเงินส่วนนี้  มีบัญชี  จีน   มาปกปิดฉันอีกที    ตลกดีไหมในส่วนที่ฉันขาย  ฉันต้องส่งเงินบริษัทตัวเองนี่คือข้อตกลงที่ยื่นให้ฉัน  
หนี้  กับคดี   เพียงเหตุผลว่า  เธอเป็นคนไทยเวลาให้การในศาลพูดคล่องหน่อย   ไม่เคยถามแม้แต่ว่าฉันเต็มใจไหมถ้าคุณการซื้อใจใครสักคน   อย่าโง่เหมือนฉัน    ขอเตือน  อย่าเอาชีวิตไปผูกติดกับใคร     ผลสุดท้าย    มีแต่สูญเสีย
บอกได้เลยว่า   จากมีเงินเป็นล้านจนไม่เหลือแบงค์สักใบในชีวิต                คนอีกคนหอบเงินหนีไปอยู่กับผู้หญิงอีกคน   เหรียญจะช่วยชีวิตคุณเพราะฉันไม่เคยเห็นคุณค่าของเหรียญ    จนวันหนึ่งไม่มีเงิน  สิ่งนี้จะประทั่งชีวิตฉันและลูกไว้   ฝึกไว้เถอะ    หยอดออมสินไว้   ไม่แน่สักวันคุณอาจได้ใช้เหมือนฉัน

ร้องไห้   มากมาย   ถามตัวเองว่าผิดอะไรถามเขาก็ถาม   ก็ได้   คำตอบเดิม   ฉันไม่เคยผิดอะไรบกพร่องตรงไหนเป็นเดือนไม่กล้าออกไปไหน  อาย     เสียใจ  ร้องไห้      สะอื้นอยู่ในอกคืนแล้วคืนเล่าไม่ยอมเปิดไฟ   ไม่ยอมอาบน้ำสามวันเต็มๆ    ความคิดแวบเข้ามา     ตายดีกว่า
ฉันเทยาพารากรอกใส่ปากเป็นขวดลูกซึ่งเป็นเพื่อนฉัน   บอกเพียงว่า   คุณแม่ ตายหนูตายด้วย       และมีเสียงกรอกข้างหู   คุณแม่มีชีวิตอยู่เพื่อหนู   พร้อมกับอ้อมแขนเล็กๆที่อบอุ่น
ฉันมาคิด    ทั้งชีวิตฉันคนนี้อยู่กับฉันสักเท่าไรกัน    ไปๆมาๆๆหายๆๆมาทีไรก็มีแต่เรื่องเดือดร้อนให้ฉันช้ำใจทั้งคำพูดและการกระทำ   บอกตามความสัจจริงฉันอยู่กับคนๆนี้ไม่มีสักคืนที่ฉันนอนหลับแบบมีความสุขหรือมีความสบายใจสักครั้ง

อย่าขาดกันเป็นปี  ฉันก็ยังยอมชีวิตอยู่เพื่อลูก  จนผลสุดท้าย  บังคับขู่เข็ญที่ดินเอาเงินเก็บและทองฉันไปจนหมดตัวเหตุผลเพื่อสร้างโรงเหล้า   แล้วสุดท้ายฉันก็เสียรู้สูญเสียทุกสิ่งฉันไม่เหลืออะไรเลย    แถมยังโดนขู่เข็ญให้เซ็นต์รับถ้ามีคนมาตรวจโรงเหล้า   ฉันเริ่มโวยวายและพูดและสุดทน   มีคำตะคอกสวนกลับ  มึงก็โดนคดีอยู่แล้วโดนอีกสักคดีเป็นอะไร      ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อลูกเพื่อคนอื่น     แถมยังไม่สะใจ   เอาภรรยาเมืองจีน  มาเดินในเขตตำบลที่ฉันอยู่คำซุบซิบนินทาจึงตามมามากมาย    แวลาชาวบ้านเห็นฉัน   คงสมเพชและสงสารเพราะฉันเคยเป็นกำนันในตำบลนี้   ฉันต้องป่าวประกาศบอกไปว่า    ฉันหย่ามาเกือบสามปีแล้ว    ที่ฉันไม่พูดเพราะฉันคิดว่าต่างคนต่างอยู่  ชีวิตคงจะสุขสงบได้

ถ้าคุณต้องทน  ที่ต้องรับคำสั่งใครทั้งชีวิต   แม้กระทั่ง     ลมหายใจแทบไม่ใช่ของคุณ    ทนเพื่อรักษาครอบครัว   จนลืมตัวเอง    ทนแม้กระทั่งบังคับตั้งท้องให้คนอื่น    ทนแม้กระทั่ง   ต้องรับคดีเพ่งและอาญาคนเดียวจนแม้กระทั้งเหมือนถูกปล้นทุกอย่างในชีวิตเกียรติยศศักดิ์ศรีคำดูถูกแม่ของคุณครอบครัวของคุณ     ผลสุดท้ายคุณจะไม่ได้อะไรกลับมามีแต่ทุกข์    และโรคหัวใจที่เกิดจากความเครียดและการสะสมมานานปี    

ฉันทนจนเหลือทน   มาแต่งงานกับคนที่รอคอยฉันสิบกว่าปี   ไม่มีอะไร   ไม่มีบ้าน   ไม่มีบริษัท  ไม่มีรถ     บ้านเช่า   ข้าวซื้อ   ไปไหนขึ้นรถเมล์แต่มีมือเล็กๆที่อบอุ่น   และอ้อมกอดที่ห่วงใย   ฉันจึงเปลี่ยนมุมมองและเปลี่ยนชีวิตใหม่ฉันนอนหลับอย่างสุขในชีวิตอย่างไม่เคยเป็นกับมุ้งที่ฉันไม่เคยนอนมาทั้งชีวิตแปลกน่ะ  เมื่อก่อนฉันนอนเตียงหนานุ่มห้องปรับอากาศชั้นดี  แต่ในวันนี้  ฉันนอนกับผ้าปูเก่าๆกับมุ้งหมอนผ้าห่มและพัดลมมีมือมาเกาะกุมเวลาฉันหลับฉันเพิ่งรู้ว่า   ความสุขที่แท้จริงคือแค่นี้แค่ฉันยอมรับและมีคนเคียงข้างที่เข้าใจ

ให้อภัยและอโหสิกรรมคิดว่า    เป็นกรรมเก่า   ทุกวันนี้ฉันมีชีวิตที่ฉันเป็น   แค่ขอให้ชีวิตลมหายใจเฮือกสุดท้ายแบบเรียบง่าย  แต่ฉัน  ก็ยังเป็นเพียงแค่คนธรรมดา    คงแค่ให้อภัยแต่ไม่ให้เผา
ถ้ามีใครได้อ่านเรื่องนี้   ลองเปลี่ยนมุมมอง   และการใช้  ชีวิต เสียใหม่    จงรวบรวมความกล้าเดินหน้าออกจากความกลัว

ในส่วนของความจริงฉันยังต้องขึ้นศาลจนทุกวันนี้    แม้บริษัทโรงสีไฟไทยพันธ์จะขายทอดตลาดอยู่ที่บริษัทสินทรัพย์สุขุมวิทแต่ต้องมารอคนซื้ออยู่ดี   แบงค์ยังคงให้ฉันโดนคดี  ทั้งเพ่งทั้งพาณิชย์ทั้งที่ฉันหลักทรัพย์ค้ำประกันมากกว่าวงเกินกู้

ฉันคิดเสมอ   ฉันโชดดี   ที่ฉันได้เจออะไรมากมาย  ในชีวิต   ที่น้อยคนอายุเท่าฉันจะเจอได้      ขอฝากไว้เป็นข้อคิด   ลูกหลานคุณมีปํญหาจงช่วยเขาแก้อย่าผลักไส  อย่ายึดติด  กับธรรมเนียมเก่าๆว่าเป็นเรื่องน่าอายสำหรับการที่ผู้หญิงหย่าร้างแล้วแต่งงานใหม่    อย่าเอาความคิดตัวเองเป็นที่ตั้ง   หรือคิดแทนคนอื่น   ในเรื่องที่คุณไม่รู้  ไม่งั้นบางที  คุณอาจจะฆ่าคนตายโดยไม่รู้ตัว


สุดท้าย   สิ่งที่ทำให้ฉันมีชีวิตต่อมาได้จนบัดนี้    คือบ้านกลอนไทย    ที่คำให้ฉันได้กลับมาสัมสัมผัสตัวอักษรอีกครั้ง
พี่ทิกิ   ที่ฉันพบในช่วงฉันสับสนกลับชีวิต    และเรื่องดีๆที่ฉันได้อ่าน   ของพี่ดอกแก้ว และอ่านเขียนของพี่พุด  ที่เขียนถึงเรื่องราวในธรรมชาติและเกี่ยวกับบ้านสวน  ซึ่งเหมือนเป็นความผูกพันธ์ของฉันกับพ่อทำให้ฉันเองนึกถึงคำสอนและคำสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อก่อนที่พ่อจะจากฉันไป     ทำให้ฉันเลิกคิดฆ่าตัวตายได้ตั้งแต่บัดนั้น   ขอบคุณ  เรไร   ที่ช่วยกล่อมเกลาและเปิดโลกสู่งานกลอนของฉัน    ขอบคุณปักษาวายุ  ที่เป็นเพื่อนที่ดีและมีบทกลอนที่อบอุ่นให้ฉันได้อ่านเวลาเครียดๆในหลายๆเรื่อง ขอบคุณแทนคุณแทนไทที่ให้ข้อคิดดีๆในชีวิต      ขอบคุณต้นกล้า   อันดามัน   ที่ห่วงใยกันเสมอมา   ขอบคุณร้อยฝันที่ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันทุกวันนี้  และสุดท้าย  คงต้องขอบคุณ  คุณอัลมินตรา  ที่พาไปพบแต่สิ่งดีๆในการไปร่วมทางทำกิจกรรมร่วมกันในแต่ละครั้งทำให้พบลุงแก้วประเสริฐที่บางครั้งคำพูดผ่านตัวอักษรหลานกลับลุงบางอย่างทดแทนคำพูดของพ่อเสมอมา
เจ้ากระต่ายน้อย     สิ่งที่จะละเลยไม่ได้คือปีกฟ้า     ต้องบอกผ่านไปเลยว่า    เวปของคุณได้ช่วยต่อชีวิตและลมหายใจของคนๆหนึ่ง   คนๆนั้นไม่ใช่ใคร   กระต่ายใต้เงาจันทร์
ฉันเอง  ไม่รู้ตัวเองเลยว่า    จะอายุยืนยาวเพียงใด  เพียงอยากฝากข้อคิด  และบางสิ่งบางอย่างเตือนใจทิ้งไว้บ้างก็เท่านั้น

ขอเพียงความหวังและสิ่งสุดท้าย    ลมหายใจสุดท้ายฝากไว้ในสายลม 
				
28 เมษายน 2551 23:10 น.

น้ำเน่าในเงาจันทร์

กระต่ายใต้เงาจันทร์

 ตอนที่1
จงขอบคุณเมื่อมีคนกล่าวลา
และฉลองพร้อมกับกล่าวคำว่า   สวัสดี   ที่ชีวิตนี้คุณจะเป็นไทยไม่เป็นเมืองขึ้นใครอีกแล้ว



มีคนกล่าวว่า     การที่คนสองคน   มาจากชีวิต  ที่แตกต่างกัน    การเลี้ยงดู   สภาพ  แวดล้อมต่างกันมิใช่เรื่องง่ายและถ้าถึงที่สุด  ลงเอย  ด้วยการแต่งงาน  โดยที่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่เต็มใจ  แต่เพราะต้องการรักษาสถานะทางสังคม    ความยอมรับ   หรือเพื่อหลีกหนีคำนินทา  แม้แต่เพียงเพื่อสนองความต้องการที่เรียกว่า  ชีวิตหนึ่งอยากใส่ชุดแต่งงานสักครั้งก็ตามเถอะ

การเลี้ยงดูจากพ่อแม่ก็มีผลเช่นกัน     ผู้หญิงบางคนเพราะยึดติดกับคำสอนที่ว่า    เสียตัวให้ผู้ชายคนนั้นไปแล้วก็ต้องแต่งกับเขา   หรือแม้กระทั่งมีปัญหามากมายเพียงใด    ต้องอดทน   โดยเฉพาะครอบครัวคนจีน   โดยลืมนึกและถามลูกหลานไปว่า   มีความสุขดีอยู่หรือเปล่า      เพียงต้องการก็เพื่อ   รักษาภาพและหน้าตาทางสังคม

บอกได้เลยว่า    คุณกำลังกล่าวสู่เส้นทางนรกชัดๆ            ถ้ามีปัญหาส่อเค้าวุ่นวายมาตั้งแต่ต้น    ถ้ายอมจนแม้กระทั้งทั้งชีวิตไม่เหลืออะไร   ศักดิ์ศรี     ทรัพย์สิน   หรือแม้กระทั่งค่าของความเป็นคน  คนเราบางคนเปลี่ยนแปลงตัวเองได้    แต่หลายคนยากมาก  บางครั้งยอมเสียหมดก็เหมือนเพาะบ่มนิสัยความเคยตัวและเห็นแก่ตัวให้กับคนอีกคนโดยที่เราไม่รู้ตัว
อย่ารักคนอื่นมากกว่าตัวเราเอง   เพราะผลสุดท้ายขณะที่เราร้องไห้   เราทุกข์   จนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ไม่มีใครรับรู้กับเรา     ถ้าอยากร้องไห้    ร้องเสียให้พอ   อย่าปิดกั้นตัวเอง   ปล่อยให้มันรินไหลจากตาซ้ายสู่ตาขวาจะสะอื้นเพียงใดก็ทำเสียให้พอ    แล้วต้องมีสติ   ต้องใช้สติบังคับอารมณ์   เมื่อเราเกิดมา  เราก็มาคนเดียว   เมื่อเราจากไปเราก็ไปคนเดียว    ไม่มีอะไรที่เป็นของๆเรา  จงขอบคุณ   ถ้ามีคนกล่าวลา   และนึกเสียว่า   เขาให้บทเรียนชีวิตเราบทใหญ่ที่ทำให้เราแกร่งและกล้าหาญที่ยอมรับกับโชคชะตาที่เหมือนแบบทดสอบชุดหนึ่งที่เราจะผ่านได้หรือไม่ก็เท่านั้น
ข้อสำคัญ   ในเวลาที่เราร้องไห้ให้ข้อคิดไว้ว่า      แหมเราประหยัดค่าน้ำตาล้างตาตั้งเยอะที่สำคัญตอนนี้เราไม่ต้องกลัวว่าจะทำอะไรให้ใครไม่พอใจเพราะตัวเราเป็นไทยแล้ว
				
19 มีนาคม 2551 01:04 น.

ลองนึกดูที…เรื่องดีๆมีไหมสักวัน

กระต่ายใต้เงาจันทร์


เอาน่า....นั่งนึกทั้งวันวันนี้...ต้องมีสักเรื่องสิน่า...
ในบางวัน  เดินจากในซอยบ้านออกมาปากซอยถึงสี่แยกไฟแดงของถนนใหญ่    ท้องฟ้าที่แจ่มใสกลับมีสัญญาณไฟเขียวจากพระอินทร์    ให้โปรยปรายพระพิรุณ  มาเขกหัวกันเล่นซะงั้น

และในตอนกลางวันพอฉันลงจากรถ      เมื่อรับประทานอาหารเที่ยง   ฝนที่หยุดตกตั้งแต่เช้า    ก็กระหน่ำลงมาทันที    ที่ฉันลงจากรถ   แหม...นึกในใจ...สาวบริสุทธิ์มันหายไปไหนหมดว่ะ..
วันนี้ถึงไม่มีใคร...คิดปักตะไคร้กันบ้าง(สงสัยจะหมดโลกแล้วแฮะ)
และก็อีกเช่นกันในวันที่ฉันพกร่ม    คิดว่า  วันนี้เป็นไงเป็นกันรับรองฝนตกฉันไม่เปียก    แต่เอาสิ...งวันนั้นทั้งวันฝนไม่ตก
ฉันเลยกลับแห้งสนิททั้งๆที่  ไม่ได้พกผ้าอนามัย
ฉันเลยมานั่งคิด   มองใหม่   ในวันที่ฉันต้องนั่งรถทัวร์   ถ้าแวะปั๊ม เข้าห้องน้ำ   สาธารณะ    แล้วฝาชักโครกปิดอยู่   ฉันคงไม่กล้านั่ง
เพราะกลัวมหันภัย  ที่ส่งกลิ่นมายั่วยวนจนฉันทนไม่ไหวกลับสีเหลืองที่ลอยตุ๊บป่องๆ...ใต้ฝาชักโครกนั้น

แต่ถ้าวันไหน   เปิดเข้าไปในห้องน้ำ   สาธารณะ   แล้วพบว่า   แหมวันนี้คอห่านชูคอเชิด ชักโครกเปิดฝาอยู่  ดูสวยงามแห้งสะอาดตา   คอห่านก็น่าสัมผัสเสียนี่กระไร...
....เอาหล่ะน่า....วันนี้เจอเรื่องดีๆเข้าให้แล้ว...
การมอง   การคิด   วิธีคิด   และการกระทำอยู่ที่ตัวเรา  ว่าจะมองอย่างไร   ให้ใจเป็นสุข
				
1 มีนาคม 2551 02:22 น.

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเมื่อสู่อินเดีย(ตอนจบ)

กระต่ายใต้เงาจันทร์

ประเทศอินเดีย   บอกได้เลยว่า    สิ่งคุณกลัวคือขอทาน       เคยลองมาแล้วค่ะด้วยความสงสารให้ไอศครีม   ขอทานเด็กไปคนหนึ่ง   ทีนี้   ตามมาเป็นร้อย    เกาะแข้งเกาะขา   จนเราเดินไม่ได้     ลองถามหลายคนที่อยู่ในอินเดีย    บอกว่า  วรรณะนี้เกิดมาเพื่อเป็นขอทาน  น่าสงสารและเห็นใจ   แต่แปลกน่ะ  คนอินเดีย   เท่าที่เห็นไม่มีคนบ้า   ไม่เคยเห็นโรงพยาบาลบ้า  และม้านั่งริมทาง  เท่าที่สังเกตุคนอินเดีย   ชอบคุยกัน    บอกว่ายุ่งมาก   แต่ไม่เห็นมีอะไรคุยกันสะมากกว่า

สิ่งเร้นลับที่ต้องไปค้นหาเองคือ   พุทธยา    สวยงามและศักดิ์สิทธิ์   


สำหรับการต่อรถในอินเดีย    คุณต้องมีเงินปลีก   ไม่งั้นคุณจะไม่ค่อยได้เงินทอน   ไม่ว่าซื้อของฝาก   ทั้งที่ตกลงราคากันแล้ว   ถ้าไม่มีเงินปลีก   ก็ไม่ยอมทอนหลายร้าน

สเน่ห์ของอินเดีย   คงจะเป็นการต่อรองราคาของ   ว่าเราเสียรู้คนอินเดียไหม

หลายคนเท่าที่เจอ   กลับไปซื้อร้านเดิม   ส่วนมากจะได้ราคาไม่ตรงกัน   คนไทยที่มาเที่ยว  บางคนก็รับไม่ได้   กับการไม่รักษาคำพูดของคนเดีย

สถานที่สำคัญ     เดี๊ยวนี้มีขอทาน   ทั้งมืออาชีพ  และสมัครเล่น   ถามไถ่  ได้ใจความว่า   คนไทยชอบ  สงสาร   เลยให้เงินง่าย  แถมไม่รับเงินทอน  ทำให้คนอินเดียเคยตัว


สภาพฝุ่นที่คละคลุ้งจนแทบหายใจไม่ออก   ความสกปรก   อาหาร    ต้องทำใจและยอมรับให้ได้แต่คนไทยดีอย่างหนึ่ง   คือมีวัดไทยในอินเดียเป็นที่พึ่งพิง

และสถานที่สำคัญ  ขอทานจะเข้าไปไม่ได้

การนั่งปฎิบัติธรรม   เราต้องยอมรับ    และอย่าคิดแทนคนอื่น     มองดูด้วยสายตาที่มองว่า   ผู้คนหลั่งไหลมาด้วยศรัทธา   มีความสุข  กับสิ่งที่เห็นที่เป็นอยู่


บอกได้เลยว่า   คนอินเดียพูดประโยคง่ายของคนไทยได้เยอะมาก   และค่อนข้างจะประหยัด   ไปดูที่สอบเป็นดอกเตอร์   มหาลัยใช้กระดาษซีดมากใบปริญญาเอกเก่า  ใบสมัคร   ร้อยด้วยเชือกกระสอบ    คนใหญ่คนโต  จะมาจะไม่วุ่นวาย  เหมือนคนไทย   เตรียมตัวสามสิบนาทีเสร็จ


ห้องน้ำในสถานที่สำคัญ  มีทุกที่ค่ะ  แต่ตามทาง  เรามักเห็นคนอินเดีย  ยืนฉี่  กันก้นขาวๆๆหรือล้อมวงสังสรรค์ไปคุยไปขี้ไป


คนไทยจึงกลัวเรื่องห้องน้ำที่สุด   สถานที่เที่ยวที่สำคัญมีหุกแห่งแยกชายหญิงสะอาดในระดับหนึ่ง				
9 กุมภาพันธ์ 2551 15:40 น.

14 วันในอินเดีย (ตอนที่ 2)

กระต่ายใต้เงาจันทร์



  	จริงๆแล้วจุดประสงค์มาอินเดียครั้งนี้    เพียงเพื่อนั่งสมาธิปฎิบัติธรรมเก้าวัน    ในส่วนของพระมหาประเสริฐท่านมาทำปริญญาเอก  เพื่อเป็นดอกเตอร์  ซึ่งในตอนนี้ท่านได้เป็นสมใจ   เป็นความโชคดี โดยบังเอิญหลายอย่างที่เดินทางมาครั้งนี้   ได้เจอเรื่องไม่คาดฝัน  ไม่คิดว่าลามะทิเบตลงมาจากเขาเป็นแสนคนเพื่อสวดมนต์ประจำปี ในเดือนมกราคม สวดมนต์กันตั้งแต่เช้าจนค่ำ โชคดีได้มีโอกาสเข้าร่วมพิธีอย่างชิดใกล้   ยามแขกกันฝูงชนมากมายออกไปแต่กลับผลักเราเข้าไปในพิธีอย่างไม่รุ้เนื้อรู้ตัวในเจดีย์พุทธยา  หน้าพระพุทธเมตตา เพราะเข้าใจว่าเป็นชาวทิเบตเหมือนกัน
	สิ่งสำคัญที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้เลยคือ แม่น้ำเนรัญชรา    แม่น้ำเนรัญชรา ชาวบ้านแถบนั้นเรียกว่า "ลิลาจัน" มาจากคำสันสกฤตว่า "ไนยรัญจนะ" แปลว่า แม่น้ำที่มีสีใสสะอาด แต่จริงแล้วเนรัญชรามีแต่ทรายเต็มไปหมด  จะเห็นแขกนั่งกันเป็นระยะๆ อดสงสัยไม่ได้ ว่าเขานั่งทำอะไรกันนะ ในแม่น้ำเนรัญชรา อยากจะไปดูใกล้ๆจัง แต่ขวัญใจที่ไปด้วยกระซิบเบาๆๆว่า   แขกนั่งขี้    คิดอยู่ในใจ    ที่อินเดีย  ล้าหลัง  ไม่เจริญ  และ     ยังสกปรก    คงจะมาจากความแตกต่าง   ในเรื่องชนชั้น    วรรณะ  วัฒธรรม              การนั่งไปคุยไป   ขี้ไป   ตามข้างทาง  หรือกลางทุ่งนา   นี่เองคงเป็นสาเหตุ   และที่มา   ของคำว่า ขี้คุย

         แม่น้ำเนรัญชรา  การเห็นครั้งแรก     ผิดกับสิ่งที่คิดไว้ใน    มโนภาพ   ฟ้ากับดิน   ไม่มีแม่น้ำสักนิด
 	ขอยืนยันว่าวันแรกที่เห็น แม่น้ำมีแต่ทรายจริงๆ โกรธแสนโกรธ ที่ดอกเตอร์บอกว่าจะพาไปดูน้ำในแม่น้ำเนรัญชรา แต่มีเพียงทรายกับขี้แขก ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เมื่อบ่นกับตัวเองว่า อยากเห็นแม่น้ำเนรัญชรา ดอกเตอร์บอกว่า อย่าล้อเล่น วันหลังจะพามาดูน้ำ ใครจะคิดว่าปาฏิหาริย์จะมีจริง    พูดขึ้นกับตัวเอง   เหมือนล้อเล่น  กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ด้วยความผูกพันธ์และความรักและศรัทธา  ในองค์พระพิศเณศ   ที่วนเวียนและเหมือนมีพลังลี้ลับ   ที่ตัวเองยังสับสนในตัวเอง  และไม่สามารถพิสูจน์ได้    ท่ามกลางอุณหภูมิ ไม่ถึง 5 องศา ฝนตกลงมาอย่างหนัก และไม่มีท่าทีว่าจะหยุดตก 
         ในส่วนของประเทศอินเดีย   ไม่รู้เรื่องอะไร    ต้องถามดอกเตอร์ฤทธิชัย  เพราะท่านอยู่อินเดียมา12 ปี  ฝนเมื่อไรจะหยุดตกสักที นี้ก็ตกมาหลายชั่วโมงแล้ว  คำตอบที่ได้รับ คือฝนอินเดียตกกันเป็นอาทิตย์ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ฝนตกเกือบ24 ชั่วโมงจึงหยุดตก
       ท้องฟ้ายังมื้อครึมในรุ่งขึ้นของอีกวัน  ดอกเตอร์เลยพานั่งรถสามล้อไปวัดรัญชราวาส ชื่อคล้ายวัดเนรัญชราราม อันเป็นสถานที่ตั้ง   ของมมร.สธ.ศูนย์การศึกษาเพชรบุรี    เมื่อรถถึงแม่น้ำเนรัญ  ภาพที่เห็นเบื้องหน้า แม่น้ำเนรัญ จริง ๆๆๆ ซึ่งต่างจากวันก่อนอย่างสิ้นเชิง
	เจอกับพระที่วัดเนรัญชราวาส ท่านก็ใจดีมาทัก โยมโชคดีที่ได้เห็นแม่น้ำเนรัญชรา หน้าหนาว ภาพแบบนี้ไม่เห็นมา หลายปีแล้ว ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกตามสบายนะโยม

    เมื่อถึงวันที่จะไปนั่งปฎิธรรมที่พุทธคยา   วันแรก   ไม่มีสมาธินั่งปฎิบัติธรรมไม่ได้เลย   เพราะเราไม่เคยพอใจ   กับสิ่งรอบตัว     ไม่ว่าฝุ่นที่คละคลุ้งทั่วไป   สภาพขอทานเต็มไปหมด  เพื่อเราพ้นจากวัดไทย  เดินตามเป็นกิโล      แม้กระทั่งเมื่อได้ไปนั่งที่ใต้ต้นโพธิ์ที่เจดีย์พุทธคยา  ก็ยังคิดอีกว่า   ผู้คนทำไมมากมาย   หาความสุขสงบไม่ได้ ผู้คนที่มามาเพื่ออะไรกันหรือเพื่อบอกเพียงว่า   ได้มาแล้ว   ตกลงวันแรกไม่ได้อะไรกลับมาเลย

    แต่เมื่อได้สนทนาธรรมกับพระมหาประเสริฐ  ท่านให้ข้อคิดกลับมาว่า    เพราะเราไปคิดแทนคนอื่น   ว่าไม่มีความสุข   อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี  ทำไมเราไมคิดมุมกลับว่า   สิ่งที่ทุกคนทำ เพราะอยากทำ   มีความสุขในสิ่งที่ตัวเองทำ  และตัวเองเป็นอยู่ขณะนั้น 
   	พุทธคยา เป็นสถานที่สำคัญของชาวพุทธ  มีสิ่งสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า คือต้นพระศรีมหาโพธิ์   ขอเล่าประวัติของต้นโพธิ์ ซึ่งปัจจุบันเป็นต้นที่ 4 
       ต้นโพธิ์ต้นแรก เป็นสหชาติเกิดขึ้นพร้อมกับวันที่พระโพธิสัตว์ประสูติ ตามพุทธประวัติกล่าวว่า สหชาติ มี 7ประการ คือ กาฬุทายีอำมาตย์ , ฉันนะ , อานนท์พุทธอนุชา , พระนางพิมพา , ม้ากัณฑกะ , ขุมทรัพย์ 4 มุมเมือง , ต้นอัสสัตถะพฤกษ์ (ต้นโพธิ์) ต้นโพธิ์นี้จะผุดขึ้นมาเองจากพื้นเป็นปาฏิหาริย์ หรือจะมีคนมาปลูกในวันนั้นพอดีก็สุดจะทราบได้ อย่างไรก็ตามต้นโพธิ์ต้นนี้มีอายุมาจนถึงสมัยพุทธศตวรรษที่ 2 พระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์ชาวพุทธผู้ยิ่งใหญ่ ทรงเคารพรัก ต้นโพธิ์เป็นอย่างยิ่ง จะเสด็จไปนมัสการต้นโพธิ์อยู่ตลอดเช้าเย็น พระเหสีของพระเจ้าอโศกมหาราช คือ พระนางติษยรักษิต ไม่พอพระทัยที่พระเจ้าอโศก เอาใจใส่ต้นโพธิ์มากเกินไป(หึงกระทั่งต้นไม้) จึงได้ให้คนนางสาวใช้นามว่า นครา เอายาพิษเพื่อทำลายต้นโพธิ์ บางแห่งบอกว่าพระนางเอาเงี่ยงกระเบนมีพิษมาทิ่มรากต้นโพธิ์จนต้นโพธิ์ตาย เมื่อพระเจ้าอโศกทรงทราบถึงกับทรงวิสัญญีภาพล้มสลบลง เสียพระทัยเป็นอย่างยิ่งให้คนนำเอาน้ำนมโคมารดต้นโพธิ์ทุกวัน และพระองค์เองก็ทรงคุกเข่าที่ต้นโพธิ์นี้ พร้อมกับตั้งสัตยาธิษฐานขอให้มีหน่องอก ก็เกิดอัศจรรย์มีหน่อโพธิ์งอกขึ้นมา พระองค์ได้นำมาปลูกเป็นต้นที่ 2 อายุของต้นแรกสิริอายุได้ 342 ปี
     	 ต้นโพธิ์ต้นที่ 2 มีอายุยืนมาจนกระทั่ง กษัตริย์ใจทมิฬหินชาตินามว่า ศศางกา ได้มาพบกับต้นพระศรีมหาโพธิ์ ก็ไม่พอพระทัยเนื่องเพราะพระองค์นับถือฮินดู จึงได้ให้คนทำลายต้นพระศรีมหาโพธิ์ และทำลายพระพุทธรูปในวิหารทั้งหมด แต่อำมาตย์ชาวพุทธไม่กล้าทำลายพระพุทธรูป จึงได้ใช้วิธีเอาปูนโบกทับเพื่อปิดไว้เฉยๆ ภายหลังพระเจ้าศศางกาได้รับผลกรรมเกิดแผลพุพองทั่วร่าง และสิ้นพระชนม์อย่างอนาถ รวมอายุต้นโพธิ์ต้นที่ 2 ได้ 871 ปี 
     	ต้นโพธิ์ต้นที่ 3 หลังจากนั้นไม่นานพระเจ้าปูรณวรมา กษัตริย์ชาวพุทธได้มาพบเห็นต้นพระศรีมหาโพธิ์ล้มเช่นนั้นก็เสียพระทัย แต่ให้คนได้ค้นหาหน่อพระศรีมหาโพธิ์ ก็พบหน่อโพธิ์ขึ้นที่ใต้ต้นโพธิ์ จึงให้มีการปลูกขึ้นใหม่และสร้างรั้วล้อมป้องกันไว้อย่างแน่นหนา ต้นโพธิ์ต้นนี้มีอายุยืนนานมากถึง 1258 ปี ก็ล้มไปตามกาลเวลา
     	ต้นโพธิ์ต้นที่ 4 ในปี 2443 เซอร์อเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮม นักโบราณคดีชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นผู้มีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนามาก ได้ขุดค้นพบพุทธสถานหลายแห่ง จนทำให้พระพุทธศาสนาเป็นที่รู้จักของชาวอินเดีย หลังจากลืมเลือนไปแล้วกว่า 800 ปี ได้เดินทางไปที่พุทธคยาพบกับต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ล้มอยู่ แต่ได้พบหน่อโพธิ์งอกอยู่ที่ใต้ต้นเดิม 2 หน่อ หน่อหนึ่งสูง 6 นิ้ว ได้ปลูกไว้ที่บริเวณต้นเดิม อีกหน่อหนึ่งสูง 4 นิ้ว แยกไปปลูกทางด้านทิศเหนือห่างกัน 250 ฟุต อายุต้นโพธิต้นนี้ นับจากเริ่มปลูกปี 2443 - 2551รวมอายุได้ 108 ปี

สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่ชาวพุทธควรรู้และเกี่ยวกัพระพุทธเจ้าคือ สัตตะมหาสถาน สัตตะมหาสถาน หมายถึง สถานที่รอบๆต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ทรงประทับเสวยวิมุตติสุข(สุขอันเกิดจากการหลุดพ้นจากกิเลส)แต่ละแห่ง แห่งละ7วันรวม 49 วัน คือ
สัปดาห์ที่ 1 : โพธิบัลลังก์
       ทรงประทับอยู่ที่ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์นั่นเอง หลังจากตรัสรู้แล้วทรงเสวยวิมุตติสุขทรงพิจารณาพระธรรม ที่ทรงตรัสรู้ คือ ปฏิจจสมุปบาทตลอด 7 วัน 
สัปดาห์ที่ 2: อนิมิสเจดีย์ 

พระองค์ทรงดำเนินไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือต้นโพธิ์ ทรงยืนพิจารณาทอดพระเนตรต้นพระศรีมหาโพธิ์ โดยไม่กระพริบพระเนตรเลยตลอด 7 วัน ทรงหวลระลึกถึงอดีตที่ทรงชำระกิเลสหมดสิ้นผ่องใส ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่ประทับยืนนั้นเรียกว่า อนิมิสเจดีย์ ที่พุทธคยาปัจจุบัน บริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ของต้นพระศรีมหาโพธิ์ มีเจดีย์เป็นอนุสรณ์อยู่ลักษณะเจดีย์ทาสีขาว
สัปดาห์ที่ 3: รัตนจงกรมเจดีย์

      	พระพุทธเจ้า เสด็จไปบริเวณทิศเหนือของพระศรีมหาโพธิ์ ทรงนิรมิตที่จงกรมระหว่างโพธิบัลลังก์ กับที่ประทับยืนที่อนิมิสเจดีย์ ทรงเสด็จจงกรมจากทิศตะวันออกจรดทิศตะวันตก เรียกว่า รัตนจงกรมเจดีย์
      ปัจจุบันรัตนจงกรมเจดีย์ อยู่ข้างพระมหาเจดีย์ ด้านทิศเหนือมีหินทรายสลักเป็นดอกบัวบาน จำนวน 19 ดอก มีแท่นหินทรายแดงยาวประมาณ 6 เมตร และมีป้ายหินอ่อนปักให้รู้ว่า นี่คือรัตนจงกรมเจดีย์ (Ratna cakra Chatiya) ที่พระพุทธองค์เสวยวิมุตติสุข ในสัปดาห์ที่ 3 ระหว่างต้นพระศรีมหาโพธิ์ กับอนิมิสเจดีย์
สัปดาห์ที่ 4 : รัตนฆรเจดีย์
       
พระองค์เสด็จไปประทับ ณ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงประทับในเรือนแก้ว(รัตนฆร) ที่เทวดานิรมิตถวาย ทรงประทับภายวนเรือนแก้วนั้นตลอด 7 วัน ทรงพิจารณาพระอภิธรรม เมื่อทรงพิจารณาถึงมหาปัฏฐาน ปรากฏมี พระฉัพพรรณรังสีแผ่ออกมาจากพระวรกาย
       ปัจจุบันสถานที่ที่เป็นรัตนฆรเจดีย์นั้น มีอนุสรณสถานเป็นรูปวิหารทรงสี่เหลี่ยม ไม่มีหลังคามุงกว้างประมาณ 11 ฟุต ยาวประมาณ 14 ฟุต รอบข้างเต็มไปด้วยเจดีย์โบราณ มีพระพุทธรูปสมัยคุปตะและสมัยปาละ พิจารณาแลัวเห็นน่าจะมีผู้นำ มาตั้งไว้ในสมัยหลัง หน้าประตูเข้าด้านตะวันตกมีป้ายบอกว่ารัตนฆรเจดีย์ (Ratnagrha Chatiya) 
สัปดาห์ที่ 5 : อชปาลนิโครธ

 	อชปาลนิโครธอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของต้นพระศรีมหาโพธิ์ คำว่า      อชปาลนิโครธ หมายถึง ต้นไทรอันเป็นที่รักษาแพะ หมายถึง ต้นไทรนี้มักมีเด็กเลี้ยงแพะ พาแพะมาหากินเสมอๆ พระพุทธเจ้าขณะยังเป็นพระโพธิสัตว์ ยังไม่ตรัสรู้ ได้เคยเสด็จมารับข้าวมธุปายาส จากนางสุชาดาครั้งหนึ่ง ณ ที่แห่งนี้หลังจากตรัสรู้แล้ว ทรงมาประทับที่นี่อีกครั้งหนึ่ง ทรงพบกับพราหมณ์หุหุกชาติ ซึ่งมีปกติตวาดคนอื่นด้วยคำว่า หึหึ 
สัปดาห์ที่ 6 : สระมุจลินทร์ 
พระพุทธองค์ได้เสด็จไปที่ใต้ต้นมุจลินทร์ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ห่างจากแม่น้ำเนรัญชรา ครึ่งกิโลเมตร ห่างจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ ราวๆ 2 กิโลเมตร ทรงประทับนั่งที่นั่นตลอด 7 วัน 7 คืน ขณะนั้นเกิดฝนตกใหญ่พญานาคนามว่า มุจลินทร์ปรารถนาจะกำบังฝนให้พระพุทธองค์ จึงขนดตนเองวนรอบพระ  วรกายและแผ่พังพานบังลมผนตลอด 7 วัน เมื่อครบ 7 วัน ลมฝนสงบแล้ว ได้คลายตัวออกและแปลงเพศเป็นมานพหนุ่มถวายบังคม ณ เบื้องพระพักตร์พระองค์ 
       ปัจจุบันบริเวณที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ใต้ต้นมุจลินทร์ เป็นสระบัวขนาดใหญ่ ชาวบ้านเรียกว่า  มุจลินทร์โบกขรี (สระบัวมุจลินทร์) มีพระพุทธรูปปางนาคปรกประดิษฐานอยู่กลางสระ
สัปดาห์ที่ 7 : ต้นราชายตนะ
	พระพุทธองค์เสด็จไปยังทิศใต้ของต้นพระศรีมหาโพธิ์ และประทับเสวยวิมุตติสุข ที่ควงไม้ราชายตนะ(ไม้เกตุ)ที่นั้นเป็นสัปดาห์สุดท้ายเป็นสัปดาห์ที่ 7 ขณะนั้นมีพ่อค้าวาณิชจากเมืองอุกกลชนบท ได้เดินทางมาค้าขายคือตปุสสะ และภัลลิกะและได้พบกับพระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ ณ ที่นั้นเกิดความศรัทธาปสาทะเลื่อมใส ได้ทูลถวายข้าวสัตตุผงข้าวสัตตุก้อน เวลานั้นพระพุทธองค์ไม่มีบาตรจะรับ ขณะนั้นท้าวมหาราชทั้ง4 ได้ทรงทราบ จึงน้อมนำบาตรศิลา4 ใบมาทูลถวาย พระองค์ทรงอธิษฐานเป็นบาตรใบเดียว และรับอาหารบิณฑบาตจากพ่อค้าทั้ง 2
สิ่งสำคัญที่ประดิษฐานอยู่ในบริเวณพุทธคยาอีกประการหนึ่ง ซึ่งพุทธศาสนิกชนนิยมไปกราบนมัสการกันมาก คือ พระพุทธรูปพระพุทธเมตตา เป็นพระพุทธปฏิมา ประดิษฐานที่ห้องบูชา ชั้นล่างสุดของมหาเจดีย์ ที่ประตูด้านทิศตะวันออก มีอายุถึง 1400 กว่าปี พุทธลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยหรือปางภูมิสัมผัส ปิดทองเหลืองอร่าม เหตุที่เรียกว่า พระพุทธเมตตาเพราะพระพักตร์เปี่ยมไปด้วย ความอ่อนโยน เมตตากรุณา
       	มีตำนานที่น่าสนใจ เกี่ยวกับพระพุทธเมตตา คือ ครั้งหนึ่งพระเจ้าศศางกา กษัตริย์ฮินดูจากเบงกอล เมื่อขึ้นครองราชย์ ก็ทรงมีนโยบายทำลายพระพุทธศาสนา ได้ยกกองทัพมาถึงบริเวณพระศรีมหาโพธิ์ ได้สั่งให้กองทหารของตนทำลายต้นพระศรีมหาโพธิ์ พร้อมกับขุดรากขึ้นมาเผา (ภายหลังพระเจ้าปูรณวรมันได้เสด็จมาพบ ทรงเร่งให้บูรณะพระศรีมหาโพธิ์ขึ้นใหม่ ) และได้เข้าไปในพระมหาเจดีย์ เห็นพระพุทธรูปพระองค์หนึ่ง คิดจะทำลายด้วยตนเอง แต่ทำลายไม่ลงเพราะพระพักตร์ อันเปี่ยมด้วยเมตตา เมื่อยกทัพกลับพระนคร คิดว่าหากปล่อยให้พระพุทธรูปอยู่ในพระวิหาร พุทธศาสนิกชนก็จะฟื้นฟูขึ้นมาอีก จึงให้นายทหารคนหนึ่งไปทำลายทิ้ง นายทหารนั้นไปถึงก็ไม่กล้าทำลายเพราะเป็นชาวพุทธ แต่ครั้นจะไม่ทำลายก็เกรงพระราชอาญา อาจจะถูกประหารทั้งครอบครัว จึงคิดว่าไม่ทำลายดีกว่า แต่แค่ซ่อนพระพุทธปฏิมานี้เอาไว้ก็พอ จึงเอาอิฐมาก่อปิดทางเข้าห้องบูชาเพื่อไม่ให้ใครเห็น แล้วตั้งรูปพระเมหศวร ไว้ด้านหน้า
    	  เมื่อกลับไปรายงานพระเจ้าศศางกาว่าทำลายพระพุทธรูปเรียบร้อยแล้ว แทนที่จะดีพระทัยกลับหวาดกลัวในอกุศลกรรม ภายหลังต่อมาได้ล้มป่วยลง พระวรกายเน่าเปื่อยเนื้อหลุดเป็นชิ้นๆ ด้วยบาปกรรมที่สั่งให้ทำลายพระศรีมหาโพธิ์ เมื่อพระเจ้าศศางกาสิ้นพระชนม์แล้ว ทหารคนนั้นจึงกลับไปที่พระมหาโพธิ์เจดีย์ นำเอาอิฐที่มุงบังพระพุทธรูปออก และจุดตะเกียงน้ำมันบูชา 
	การเดินทางมาครั้งนี้ นอกจากการได้ปฏิบัติธรรมแล้ว ก็หาโอกาสสัมผัสบรรยากาศแบบแขกสักหน่อย 
 	ท่านดอกเตอร์ก็ใจดี พาไปทานอาหารทิเบต ที่มาตั้งร้านค้าชั่วคราว เมื่อเลิกกิจการก็จะฝั่งทุกอย่างไว้ใต้ดิน ปีหน้าก็ขุดขึ้นมาเปิดกิจการใหม่ อาหารนั้นอร่อย อาหารโปรดของท่านดอกเตอร์ มี โมโม แกงไก่ กินทุกวันไม่มีเบื่อ สั่งอาหารแต่ละครั้งนั่งรอจนลืม ลูกค้าบางคนนอนรออาหารจนหลับ 
 	เรื่องราวต่างๆยังมีอีกมากมาย โปรดติดตามตอนต่อที่ 3 จะกล่าวถึงเกล็ดเล็กน้อย สาระที่น่ารู้ เมื่อเข้าสู่อินเดีย เช่น การซื้อของ รอแขกทำงาน หรือแม้กระทั่งการให้ทานกับขอทาน การขึ้นรถ เป็นต้น 
  				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกระต่ายใต้เงาจันทร์
Lovings  กระต่ายใต้เงาจันทร์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกระต่ายใต้เงาจันทร์
Lovings  กระต่ายใต้เงาจันทร์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกระต่ายใต้เงาจันทร์
Lovings  กระต่ายใต้เงาจันทร์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงกระต่ายใต้เงาจันทร์