22 สิงหาคม 2551 13:06 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
ครึ่งหนึ่งของชีวิตที่เราทำหายไปต่อให้เสียดายไปจนตาย มันก็เท่านั้นเหลืออีก
ครึ่งชีวิตที่มันยังต้องการความรักตัวเองกลับมาชีวิตมันมีคุณค่ากว่านี้ ร้องถูก
ร้องผิดว่ากันไปแต่เพลงนี้ยังอยู่ในใจตลอดกาล ในความรู้สึก เพราะได้อารมณ์
และความหมายดีทีเดียว แต่ความรู้สึกของคนแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไป
เพราะบางคนไม่อยากมีชีวิตอยู่ แต่บางคนที่เหลือโอกาสอยู่น้อยนิด กลับต้อง
การมีปาฏิหารย์เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป ถ้าสลับกันได้คงดี
บางคนจดจำเรื่องราวที่ผ่านมา ย้ำคิดย้ำทำเสียดายเวลา บางคนมีชีวิตอยู่
แบบเรียบง่าย สบายๆ แต่มีหลายคนที่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาและอุปสรรค
ความทุกข์อยู่ร่ำไป จนรู้สึกว่าความทุกข์นั้นเป็นความเคยชิน และกลายเป็น
ส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน
กลไกของวิธีคิดแตกต่างกันในแต่ละคน พลังในการเผชิญปัญหาและแรง
เสียดทานไม่เท่ากัน บางคนสิ้นหวังง่าย บางคนสิ้นหวังยาก
การมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องไม่หมดหวังง่ายๆ การสร้างความ
หวังบางทีก็เหมือนการหลอกตัวเองไปวันๆและเราต้องสร้างความหวังให้แนบ
เนียนถ้าเราทำไม่แนบเนียนแสดงว่าเราไม่เชื่อเรื่องความหวังหรือเชื่อครึ่งๆ
กลางๆไม่ก่อประโยชน์อันใดเลย
การมีความหวัง สมหวัง ผิดหวัง การต่อสู้ การยอมแพ้ การดีใจ การเสียใจ
หัวเราะ หรือ ร้องไห้ มักเกิดควบคู่กันไป กับชีวิต
บางคนช่วงชีวิตเยาว์วัยมีความสุขมากมาย แต่เมื่อสู่โลกที่ต้องดิ้นรนด้วยตัว
เอง เจอแต่เรื่องวุ่นวาย เวียนว่ายไม่รู้จบ
บางคนช่วงชีวิตแรกลำบาก แต่ช่วงชีวิตหลังมีแต่เรื่องดีๆเข้ามาในชีวิต
แต่ก็มีบางคนที่ลำบากมันตั้งแต่เกิดจนตัวตาย และคงก็มีบางคนเกิดมาสบายตั้ง
แต่เกิดจนตาย
ความสุข ความทุกข์ เกิดจากความคิด เหมือนรัก โลภ โกรธ หลง เป็น
เรื่องธรรมดา เพราะต้องมีคละเคล้าปะปนกันไปอย่างต่อเนื่อง คนทุกคนจึง
ควรสร้างความหวังอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเราไม่สามารถมีความหวังตลอดเวลาได้
แต่การอยู่อย่างมีความหวังพูดง่าย แต่กระทำยาก แต่ก็ควรอย่าสิ้นหวังอย่างยืด
เยื้อยาวนานเพราะการสิ้นหวังทำให้หมดชีวิตชีวา ขาดแรงบันดาลใจ
การอยู่อย่างมีความหวังบางคนต้องใช้พลังอย่างมาก และต้องใช้ความอดทนพอ
ควร เพราะเราอาจหวังและสู้ทนหวัง แต่อาจไม่สมหวังเพราะการมีความหวัง
และการสมหวังไม่ใช่เรื่องเดียวกันแต่เป็นเรื่องต่อเนื่องกัน
สาหตุที่เราสูญเสียความหวังคือ การทำอะไรเต็มที่ ทำดีต่อเนื่อง แต่ไม่ได้รับผล
ของการกระทำที่คุ้มค่า แต่ตรงกันข้าม ถูกดุด่า ถูกตำหนิ ทำให้สูญเสีย
ท้อถอย หมดกำลังใจ ถ้าเราต้องเจอเหตุการณ์เหล่านี้ซ้ำซาก เป็นประจำ
เราเปลี่ยนความคิดและการกระทำคนอื่นไม่ได้ เราต้องเปลี่ยนความคิดตัวเอง
และมุมมองแบบใหม่ว่าควรคิดอย่างไรให้ใจเป็นสุข
ด้วยเหตุผลกลไกหลายประการ ด้วยสถานะ หน้าที่ ความรับผิดชอบที่แตก
ต่างกัน เพราะมนุษย์ทุกคนต้องมีเหตุผลในตัวเองเสมอ
แต่ความอ่อนแอและความเข็มแข็ง ในแต่ละคน มีภูมิคุ้มกันแตกต่างกัน
และการต้านแรงเสียดทานต่างกัน บางคนมีมาตั้งแต่เกิด โดย ดีเอ็นเอ
แต่บางคนสร้างขึ้นเองภายหลัง
ด้วยเหตุนี้ความเปราะบางที่ทุกคนควรมีคือ การเข้าใจโลก เข้าใจชีวิต
และสิ่งสำคัญคือ ควรอยู่อย่างมีความหวัง แม้จะไม่มีสิ่งที่ดีเกิดขึ้น
การอยู่อย่างมีความหวังไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร เรื่องนี้มิได้ดั่งหวัง
ก็หวังเรื่องอื่นแทนเพราะการอยู่อย่างมีความหวังย่อมดีกว่า อยู่อย่างไม่มี
หวัง มิใช่หรือ....?
14 สิงหาคม 2551 15:24 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
อ่านกันแล้ว คงนึกกันไปหลายอย่าง ตีความกันไปตามจินตนาการของแต่ละคน
แต่ถ้าในความรู้สึก ตัวเอง คงจะนึกถึงไข่ ที่มีหลายขนาด หลายประเภท
แล้วแต่ประเภท แล้วแต่ขนาด และความชอบของแต่ละคน เป็นต้นว่า
ไข่ต้ม ไข่เจียว ไข่ดาว เพราะ เป็นอาหารที่ทำเป็นประจำ ทานง่าย
ทำคล่อง ถนัดนัก ถือว่า เป็นอาหารยอดฮิต ที่ถนัดที่สุด แต่ลองมาสังเกต
กันดูสักหน่อยดีไหม ว่าชอบทำและรับประทานไข่แบบไหน จะเป็นคนที่มี
ลักษณะนิสัยอย่างไร เท่าที่ได้อ่านและศึกษามา ว่าจะเป็นอย่างไร ลอง
ติดตามอ่านกันดูค่ะ
ไข่ต้ม ถ้าชอบ และทำไข่ต้ม ทุกครั้ง ที่เข้าครัว แสดงว่า คุณเป็นคน
อดทนมาก หากทำงานสักชิ้น จะทำให้สำเร็จไปเลย ไม่ชอบจับโน่นผสมนี่
และจะหงุดหงิดมาก ถ้าไม่สำเร็จ เป็นคน ที่ใช้เหตุผลในการดำเนินชีวิต
ไข่ตุ๋น ใครที่ชอบ ไข่ตุ๋น แสดงว่า เป็นคนที่เตรียมพร้อมในทุกเรื่อง
ชอบท่องเที่ยว แต่ไม่ชอบความยากลำบากมากนัก เพราะคุณมักไม่ค่อยมี
ความอดทน แม้กระทั่งการทำงาน ถ้า คุณต้องทุ่มเท กับมันคุณจะรับกับไม่
ค่อยจะได้
ไข่ลวก จากชื่อนี้คงบ่งบอก อยู่แล้วว่า คุณเป็นคนไม่ค่อยเรื่องมาก และ
เป็นคนง่ายๆใครอยู่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ เพราะคุณไม่ค่อยเก็บเรื่องเล็กน้อยมา
คิด นอกจากนี้คุณยังเป็นคนรักความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่
ค่อนข้างใจร้อน
ไข่เจียว ถ้าคุณเป็นคุณนายไข่เจียว ทำเป็นอย่างเดียว เพราะทำง่ายและทำ
บ่อยแสดงว่า คุณเป็นคนมีความยุติธรรม เป็นนักคิด นักวางแผน ทำอะไร
เป็นระบบแบบแผนมีความยุติธรรม เป็นนักคิด นักวางแผน ทำอะไรเป็น
ระเบียบและคิดว่าคนอื่นคงคิดเห็นด้วยกันกับคุณทุกเรื่อง
ไข่ดาว จะเป็นแบบสุกทั้งฟองหรือ เป็นยางมะตูมก็ตามแสดงว่าคุณเป็นคนชอบ
ความท้าทายและเป็นคนที่มีความพยายามเป็นอย่างยิ่งกระตือรือล้นไขว่คว้า
หาโอกาสโดยไม่รอโชคชะตา
18 มิถุนายน 2551 16:30 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
หลายครั้งในชีวิตคนเรา มีทั้ง ความเหงา ความอ้างว้าง และความหวาดกลัวที่ซุกซ่อน อยู่ในส่วนลึกของหัวใจ
และในหลายคนอีกเช่นกัน อยากจะปลดปล่อยความรู้สึกเหล่านี้ออกไป เพราะอยากเป็นอิสระทางความคิด แต่ความรู้สึกเหล่านี้ กลับพัดหวนคืนหา มาหาสู่เรา ครั้งแล้วครั้งเล่าในบางครา มีคนจำพวกหนึ่ง เอามาทุกข์ แปรเปลี่ยนมาเป็นความต้านทาน เพื่อจะได้ อยู่สู้กับโลกที่สับสนในใบนี้ได้ต่อไป
แต่ก็มีอีกจำพวก ที่ฟูมฟาย ยึดติด กับอดีต ไม่ว่าผ่านไปไม่กี่ปีก็ลืมไม่ได้ น่าแปลกที่มันสมองคนเรามักเลือกจดจำ ในส่วนที่เลวร้ายมากกว่าส่วนดี ซึ่งมันน่าจับมันสมองออกมาตีและเรียนรู้ใหม่เสียยิ่งนัก
ในยาม ที่มีปัญหาว้าวุ่นใจ ฉันเองเป็นคนที่อยู่ในจำพวก ชอบมองแม่น้ำ หรือท้องทะเล ทั้งในยามค่ำคืน ยามที่แสงพระอาทิตย์เริ่มอัสดง แม้กระทั่งในเวลาที่แสงอาทิตย์ หายลับไปกับขอบฟ้า รอดูเส้นขอบฟ้าและขอบน้ำของท้องทะเลมาบรรจบกัน
เส้นสายของสายน้ำ ถ้ารับรู้อารมณ์ในแต่ละคน ที่แวะเวียนมาหา คงจะสามารถบอกเรื่องราว ความคิดของใครคนหนึ่งได้
ทะเลเหมือนมีชีวิต บางครั้งในยามค่ำคืน เหมือนได้ยินเสียง ผะแผ่ว แว่วเหมือนเสียงสะอื้น ของท้องทะเล ที่ยังคงอ้อยอิ่งอยากอยู่ในอ้อมกอดของใครยามนี้
ในราตรีที่ทอดยาว มีบางคน อาจนอนไม่หลับ แต่บางคนหลับอย่างสุขสบาย กลไกความคิดของคนต่างกันไป คงเหมือนท้องทะเลที่บางครั้งเงียบสงบ แต่สักพัก มีคลื่น มาเป็นระลอก แต่บางทีเหมือนไม่มี แต่กลับแอบแฝงอยู่ใต้ผิวน้ำรอจังหวะ ที่ถาโถมซัดกระหน่ำซ้ำเติมอย่างไม่รู้ตัว
ถ้าเปรียบทะเล คงเหมือนกับชีวิต คน ที่บางครั้ง สุขสงบ แต่หลายครั้ง เงียบเหงา โดดเดี่ยว อ้างว้างจับขั้วหัวใจ
คนที่มีชีวิตผูกพันกับท้องทะเล บางทีคงจะเบื่อ และต้องระวังอันตราย ที่แอบซุกซ่อนอยู่ ใต้ท้องทะเล อยู่เสมอไม่ว่าเวลาใด
แต่ทะเลสำหรับฉัน คือ สิ่งที่น่าค้นหา และนำเรื่องราวที่เป็นความลับไปปลดปล่อย ให้ท้องทะเลซัดจมหายไป ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ก็ไม่มีใครค้นหาเจอ นอกจากตัวฉัน และท้องทะเลเท่านั้นที่รู้
5 มิถุนายน 2551 11:19 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
จากการที่ได้อ่านหนังสือ ศิลปะแห่งความสุข โดยดาไลลามะที่14 และโฮเวิร์ด ซี. คัทเลอร์ เป็นผู้เขียน ทำให้เปลี่ยนมุมมองและยอมรับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้อย่างสงบและยอมรับไม่ทุรนทุรายหรือเสียดายและเสียใจในสิ่งที่เคยมีทำให้เรารู้ว่า
ขั้นตอนแรกในการแสวงหาความสุขคือการเรียนรู้ ก่อนอื่นเราต้องเรียนรู้อารมณ์และพฤติกรรมทางลบทั้งหลายว่าทำร้ายเราอย่างไร และเราต้องรู้พฤติกรรมเข้าใจถึงประโยชน์ของอารมณ์ในทางบวกเช่นกัน และต้องอาศัยกระบวนการทางจิตพิจารณาดูว่าอย่างไหนให้คุณให้โทษ ยกตัวอย่างเช่น ความโกรธ เกลียด อิจฉาริษยา นั้นเป็นโทษนั้นถือว่า ภาวะจิตเราเป็นลบ เพราะทำลายความสุขสงบในใจเรา เมื่อเราเก็บความเกลียดใครหรือเจตนาร้ายต่อใครบางคน เราจะมีแต่ความเกลียดและอารมณ์ด้านลบต่างๆและจะมองคนอื่นๆด้วยเจตนาร้ายเช่นกัน ผลก็คือ ทำให้กลัวมากขึ้น หวาดระแวง รู้สึกไม่ปลอดภัยและไม่กล้าสบตาคนที่คนพูดให้ร้ายด้วยสายตาเต็มสองตา จนกระทั่งในที่สุด จะรู้สึกโดดเดี่ยว เหงาและคิดว่า โลกโหดร้ายในสายตา ความรู้สึกเหล่านี้เติบโตขึ้นเพราะความเกลียดเป็นเหตุ แต่ถ้าในทางกลับกัน คิดแต่สิ่งดี ทำดี คิดแต่เรื่องสร้างสรรค์ มีจิตใจเมตตา กรุณา ไม่ชิงดีชิงเด่น และในอภัย จิต ก็จะเป็นไปในทางบวก นำไปสู่สุขภาพจิตที่ดีและมีความสุขในการคิดแน่นอนสิ่งเหล่านี้ต้องฝึกฝนไปเรื่อยๆในที่สุดพฤติกรรมทางลบจะหายไปเอง ซึ่งหมายความว่า จิตที่มีวินัยย่อมนำไปสู่ความสุข ที่กล่าวถึงในที่นี่คือวินัยในตนเองไม่ใช่ให้ผู้อื่นบังคับให้กระทำ หมายถึงวินัยที่เราชอบนำไปปฏิบัติคือการเอาชนะลักษณะนิสัยอันเป็นโทษ ซึ่งพฤติกรรมและอารมณ์ในทางลบเรียกว่า อกุศล และพฤติกรรมในทางบวกเรียกว่า กุศล
วิธีที่เรามองชีวิต โดยรวมกำหนดทัศนะที่เราคิดว่าเรามีความทุกข์ เช่น ถ้าเรามองพื้นฐานว่าความทุกข์เป็นสิ่งไม่ดี ต้องหลีกหนีทุกวิถีทาง แถมบางคนยังมองว่า ส่อแววให้เห็นถึงความล้มเหลว อ่อนแอ ก็เท่ากับไปเพิ่มความกังวลใจและความไม่อดกลั้นในยามเผชิญสถานการณ์ลำบาก จะรู้สึกเหมือนว่า เราจมอยู่ในกองทุกข์ ในทางกลับกัน ถ้าเรามีมุมมองพื้นฐานที่ยอมรับว่าความทุกข์เป็นส่วนหนึ่งที่ธรรมดาของการมีชีวิตอยู่ที่เราทุกคนต้องพบเจอ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เราจะอดทนและอดกลั้นต่อความทุกข์และความยากลำบากในชีวิตได้มากขึ้น
คนเรามักเพิ่มความเจ็บปวดและความทุกข์ให้ตัวเอง จากการอ่อนไหวเกินเหตุ ตีโพยตีพายกับเรื่องเล็กๆน้อยๆและบางครั้งมักเก็บเอาเรื่องต่างๆมาเป็นอารมณ์
บางคนทุกข์เพราะว่า จับได้ว่า มีคนบางคนพูดว่าเราหลับหลัง แต่ถ้าเราเลือกที่จะตอบโต้สิ่งไม่ดีด้วยความเจ็บปวดเคืองแค้น เท่ากับว่า ตัวเราเองทำลายความสุขสงบในใจเราเองเพราะความทุกข์เกิดจากความคิดเราเป็นผู้ก่อ ในทางกลับกัน ถ้าเราปล่อยให้คำนินทาว่าร้ายผัดผ่านไปเหมือนสายลมที่พัดผ่านหูอย่างสงบเท่ากับเราได้ปกป้องตัวเองจากความรู้สึกที่เราเจ็บและรวดร้าว แต่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงเรื่องยุ่งยากได้เสมอไปแต่สามารถเปลี่ยนระดับทุกข์ที่ประสบ ด้วยการ เลือกท่าทีที่จะตอบสนองต่อสถานการณ์นั้น
จงใช้จิตพิจารณาและสงสารต่อคนที่นินทาเรา พร้อมทั้งให้อภัยและอโหสิกรรมต่อสิ่งที่คนว่าร้ายหรือนินทาเราหลับหลังแล้วชีวิตเราจะมีความสุข แต่นี่นับเป็นเรื่องยาก เพราะคนยังมีกิเลส แต่ถ้าลองฝึกและทำดูหลายๆครั้งเราจะทำได้ในที่สุด ผลสุดท้ายความสุขจะอยู่ที่ตัวเรา
จงเรียนรู้ที่จะใช้จิตควบคุมอารมณ์อย่าให้อารมณ์ควบคุมจิต
30 พฤษภาคม 2551 08:41 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
ถ้าอยากรู้เวลา ๑๐ ปี มีค่าขนาดไหน
ให้ถามคู่แต่งงานที่เพิ่งหย่าร้างกัน
ถ้าอยากรู้เวลา ๕ ปี มีค่าขนาดไหน
ให้ถามนิสิตนักศึกษาที่เพิ่งรักปริญญาจากมหาวิทยาลัย
ถ้าอยากรู้เวลา ๑ ปี มีค่าขนาดไหน
ให้สอบถามนักเรียนที่สอบไล่ตก
ถ้าอยากรู้เวลา ๙ เดือน มีค่าขนาดไหน
ให้ถามแม่ที่เพิ่งให้กำเนิดบุตร
ถ้าอยากรู้เวลา ๑ เดือน มีค่าขนาดไหน
ให้ถามแม่ที่คลอดบุตรก่อนกำหนด
ถ้าอยากรู้เวลา ๑ สัปดาห์ มีค่าขนาดไหน
ให้ถามคนรักที่รอพบกัน
ถ้าอยากรู้เวลา ๑ นาที มีค่าขนาดไหน
ให้ถามคนที่พลาดรถไฟ รถประจำทาง หรือเครื่องบิน
ถ้าอยากรู้เวลาเสี้ยวหนึ่งของนาทีมีค่าขนาดไหน
ให้ถามนักกีฬาโอลิมปิคที่ได้เหรียญเงิน
ถ้าอยากรู้ว่า มิตรภาพมีค่าแค่ไหน
ให้ลองเสียเพื่อนที่ดีสักคน