28 กันยายน 2553 16:40 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
ถือเสียว่าเป็นการฟาดคราวเคราะห์
ที่ร้องไห้คนยิ้มเยาะกันยกใหญ่
เสียน้ำตาเพื่อมาชะล้างใจ
แม้วันใหม่ไม่มีใครก็ยินดี
ฉันจะเริ่มแข็มแข็งกว่าวันวาน
รักตัวเองให้นานในชาตินี้
อุตส่าห์เกิดมาเป็นคนทั้งที
ชาตินี้ไม่ลุกสู้อีกที...ไม่มีทาง...
จะขอเริ่มต้นเป็นคนใหม่
ผู้ชายไร้น้ำใจควรตัดหาง
ตัดหัวเสียบคาไว้บนขื่อคาน
แล้วประจาน..โธ่...ผู้ชาย...ไร้น้ำยา...
เพิ่งรู้ว่าทำไมถึงหายหัว
อ้อหล่อนคั่วชายด้วยกันขวัญผวา
ทำชม้อยแลชม้ายชายหางตา
ฉันอยากบ้ารอแทบตาย...ชายระยำ....
27 กันยายน 2553 23:54 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
จะไม่จำว่าวันวานเป็นเช่นไร
หรือเปลี่ยนแปลงไปในพรุ่งนี้
ขอทุกวันมีกันมอบสิ่งดี
สิ่งสำคัญอยู่ที่ความห่วงใย
ให้ท้องฟ้าลมทะเลคอยเห่กล่อม
ดาวรายล้อมสองเราคู่เห็นอยู่ไหม
เม็ดทรายขาวคล้ายเกล็ดแก้วแววแสงไฟ
เหมือนหัวใจสองดวงอยู่ห้วงรัก
เมฆสีขาวปุยละอองลอยล่องฟ้า
ลมพัดพาดวงฤทัยคล้ายทอถัก
ตกในบ่วงห้วงเสน่หาล้ำลึกนัก
ได้ประจักษ์รักยังอยู่คู่กับเรา
มาแย้มยิ้มยั่วเย้าราวกับฝัน
หรือใครกันซ่อนในใจที่เหงา
อ้อมกอดใครอบอวลแนบบางเบา
คล้ายดั่งเงา....พันธนาการ...หวานหัวใจ.
24 กันยายน 2553 12:52 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
ไม่เคยคิดสักนิดจะคิดถึง
ใครคนหนึ่งเข้ามามีความหมาย
มองท้องฟ้าสดสวยพรรณราย
ดวงดอกไม้ชูช่ออ้อล้อลม
มาซุกซ่อนอยู่ในใจไม่เคยรู้
มาครองอยู่ในใจหมายสุขสม
เหมือนบทเพลงแสนหวานผ่านสายลม
ความเศร้าตรมสิ้นมลายหายพริบตา
ในไออุ่นจับมือคือความรัก
ในอ้อมกอดที่ปกปักและรักษา
ในรอยยิ้มแสนหวานมองผ่านตา
ในคำว่าห่างแค่กายใจใกล้กัน
ในอ้อมอกอ้อมใจในอ้อมกอด
ที่พร่ำพรอดมีเธอและมีฉัน
ใต้ท้องฟ้าสองเราใต้เงาจันทร์
มิติแห่งความฝัน...เริ่มนำพา....
บทเพลงแห่งรักทำงานเดินทางแล้ว
ใจไม่แคล้วยอมตามปรารถนา
อยากบอกผ่านห้วงฝันวันเลา
ผ่านจันทราดวงดาวราวนับพัน
หากวันใดคิดถึงกันจนหวั่นไหว
หากวันใดรวดร้าวหนาวกายสั่น
มอบไออุ่นส่งผ่านวานแสงจันทร์
ในมิติแห่งฝัน...อย่าหวั่นเลย....
22 กันยายน 2553 21:40 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
สายลมเย็นพราวพร่างที่กลางฟ้า
หยดน้ำตาร่วงหล่นปนความเหงา
ความคิดถึงติดตรึงเช่นเป็นดังเงา
สายลมมิปัดเป่าเศร้าเหลือใจ
สายลมพัดเรื่อยฉิวระลิ่วผ่าน
ความร้าวรานเจ็บจนเกินไหว
สายลมรักเจือลมลวงทุกห้วงใจ
รอบางใครมาโอบอุ้มให้ชุ่มเย็น
สายลมความคิดถึงลึกซึ้งนัก
คนเคยรักห่างหายไม่เคยเห็น
มีชีวิตแต่หัวใจตายทั้งเป็น
ความภักดีกลับเป็น..เช่นลมลวง....
หรือเห็นรักเป็นของเล่นเช่นลมว่า
จึงร้างราหลบเร้นไม่เป็นห่วง
เคยฟูมฟักมอบหัวใจให้ทั้งดวง
กลับหลอกลวงทำร้ายใจให้ร้าวราน
ในสายลมแฝงรอยคนคอยเหงา
ในม่านเงาคืนวันอันแสนหวาน
คงเหลือแค่ความทรงจำเป็นตำนาน
ซ่อนสะอื้นสั่นสะท้านกลั้นน้ำตา
16 กันยายน 2553 21:43 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
ไกลออกไปไกลอออกไปจาก
เมืองศิวิไลวิไลที่เลิศหรู
จากความวุ่นวายไม่อยากรู้
ไม่อยากอยู่เพื่อใครในชีวิต
พบหลักแหล่งพำนักที่งดงาม
มีความหมายนิยามในความคิด
เป็นสิ่งที่หลุดพ้นมายาในชีวิต
ท้องทุ่งนาศักดิ์สิทธ์ได้ผ่อนพัก
ยอดหญ้ายามเย็นส่งกลิ่นหอม
หัวใจถูกถนอมพร้อมปกปัก
พื้นดินแห่งนี้มีความรัก
หัวใจเริ่มตระหนักต่อความจริง
เป็นสาวบ้านนาท้องทุ่งที่กว้างใหญ่
มีกลิ่นไออบอวลไปทุกสิ่ง
พื้นดินเกื้อการุณที่แท้จริง
แม้ทุกข์ทนยิ่ง¬-ไม่ทิ้งมวลมนุษย์
...........................................................
แม้เศร้าหมองโหยหาหรือว้าเหว่
อ่อนล้าซัดเซรวนเรสุด
แม้หัวใจเจ็บช้ำจนโทรมทรุด
แทบสิ้นใจเหมือนโดนฉุดทรุดโทรม
ท้องทุ่งนาเชียวชอุ่มยามโดนแสง
แดดโรยแรงฉาบฉายคล้ายไฟโหม
ลมแผ่วบางผ่านทุ้งนาปลอบประโลม
คลื่นใบข้าวเขียวโหมโน้มดินแดน
ข้าวอำพันสาวอำไพมิคลายโศก
วิปโยกอุทกภัยช้ำเหลือแสน
จะลงแรงเกี่ยวเก็บเพื่อทดแทน
กลับแร้นแค้นสิ้นไร้ในท้องนา
น้ำทะลักล้นมานาผืนนี้
ดวงฤดีสาวร่ำไห้ใครอาสา
ทิ้งเมืองหลวงอยากเป็นสาวชาวบ้านนา
เหลือน้ำตาทุ่งนาร้างเหมือนนางคอย