20 ตุลาคม 2549 17:57 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
หลายวันแล้วเธอไม่โทรมาหา
พิสูจน์ว่าเธอไม่ได้คิดถึง
ร้อยปีเธอโทรมาแค่ครั้งหนึ่ง
นี่เหรอเธอบอกคิดถึงอย่างมากมาย
ฉันไม่หลงกับคำพูดตื้นตื้น
มาหยิบยื่นความหวังที่เหลือร้าย
ขอโทษทีบังเอิญไม่ใช่ควาย
หลงลมปากคุณง่ายง่ายน่ะพ่อคุณ
จะเล่นกับฉันยังอ่อนหัด
เดี๊ยวแม่ซัดตบกบาลให้หัวหมุน
อยากบอกอะไรให้เอาบุญ
พ่อกะล่อนอย่างคุณยังห่างไกล
ทำเป็นหล่อหลอกล่อให้หลงรัก
ชำนาญนักใช้คารมให้ออ่นไหว
มาหลอกให้รอโทรศัพย์เธอแทบตาย
แต่อย่าหมายว่าฉันรอไม่ง้อเธอ
ไม่มีเธอไม่เห็นตายหายใจได้
ก็อยู่ไปไม่สนใจใครเสมอ
แค่ผู้ชายสนทำไมใช่อยากเจอ
เพื่อนมีเยอะสนทำไมชายชีกอ
20 ตุลาคม 2549 14:29 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
อยากให้ใหญ่พอใหญ่ดันให้เล็ก
แต่ทีเด็กกลับอยากให้เติบใหญ่
วงจรคนที่เป็นเห็นเช่นไร
วงจรไม้ต้นคงใช่คล้ายเช่นนี้
เขาให้โตได้แต่ต้องเพียงเท่านั้น
แถมจัดกันเรียงตับอยู่กับที่
ใช้เขาชมชำหลายกรรมวิธี
จึงไม่มีทางโตได้ตามสายพันธุ์
เหมือนพ่อแม่บางคนเพียรสรรสร้าง
บ้างอวดอ้างนี่เก่งคือลูกฉัน
จับปลุกปั้นเสียจนตามไม่ทัน
เหมือนที่ฝันแต่สิทธิ์ถูกริดรอน
เหมือนต้นไม้ถูกแต่งปรับประดับบ้าน
อวดกิ่งก้านชูดอกใบไหวสลอน
มีค่าแค่เพียงไม้ดัดถูกตัดทอน
ในวงจรความเป็นอยู่ของผู้คน
จึงยืนต้นโตได้แค่ไม้ดัด
ถูกจำกัดความโตทางลำต้น
เขากักกุมให้แกร็นด้วยเล่ห์กล
เป็นตัวตนตามแต่เขาพอใจ
เพียงหวังเห็นทุกอย่างเป็นธรรมชาติ
ใช่มุ่งมาดเปลี่ยนแปลงกันถึงไหน
เรื่องทุกอย่างควรเหมาะกับช่วงวัย
คนกับต้นไม้ควรเติบใหญ่...ในวัยควร...
19 ตุลาคม 2549 01:37 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
ดาวประกายพรายพรึกพร่างกลางฝั่งฟ้า
เสียงนกกาเร่งร้องกู่ก้องขัน
เอ่ยอำลาราตรีเคยมีจันทร์
อาบไออันอุ่นหล้าจากอาทิตย์
น้ำค้างพราวราวหญ้าพาแห้งหาย
ตะวันฉายแสงสาดมาดวิจิตร
ดอกไม้มุ่งเสกสีมีชีวิต
หวังจุมพิตผีเสื้อเอื้อรักตน
หมอกสีขาวเคลียคลอล้อหยอกเหย้า
สายลมเบาปลิวพัดทุกแห่งหน
สกุณาส่งเสียงดั่งต้องมนต์
ในบัดดลเสนาะเพียงเสียงดนตรี
แอบเว้าวอนอ้อนไกลที่ปลายฟ้า
ร่ายมนต์ตราสุขสันต์ทุกวันที่
อย่ารวดร้าวหมดเศร้าเหงาฤดี
ปัดเป่าทีเรื่องเศร้าร้าวรานใจ
อยากจะมอบไออุ่นส่งความรัก
หมายทอถักสายใยส่งไปให้
อยู่หนใดสายสัมพันธ์ไม่เสื่อมคลาย
ทุกห้วงใจติดบ่วงห้วงรักเธอ
17 ตุลาคม 2549 19:29 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
ฉันนั่งวาดดอกไม้ใต้ลานเมือง
เพื่อเล่าเรื่องเคืองหมองของดอกไม้
ผ่านเส้นสายหลายหลากจากหัวใจ
ที่หม่นหมองร้องไห้ในวันวาน
ฉันเจ็บปวดรวดร้าวและหนาวเหน็บ
ยามก้มเก็บเหมือนดอกไม้ไร้กิ่งก้าน
ไร้คนเหลียวมองผ่านมาแสนนาน
จนดอกไม้ไม่บานใต้ลานเมือง
ฉันนั่งวาดดอกไม้ระบายสี
เติบส่วนที่ขาดยับให้กลับเฟื่อง
แต่งกิ่งก้านผ่านมือหวังเรื่อเรือง
อย่างครบเครื่องพานพบลบหมองมัว
แต่แค่ดอกไม้สิ้นไร้ใครมองข้าม
หมดสิ้นหนามโรยลามืดสลัว
แค่ดอกไม้ไร้สีสันขะมุกขะมัว
แสนหมองมัวแค่ดอกไม้ไร้คนแล
13 ตุลาคม 2549 20:27 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
ทิวธารกระทงล่อง
ประกายทองดูเรียงราย
เสน่ห์พรรณรายพราย
ประโลมฝั่ง ณ ถั่งธาร
จีบตองมารองเจียน
ประทีปเทียนชัชวาล
บุปบางามตระการ
ประดับดาววะวาวสี
ปี่ซอแว่วคลอขับ
บรรเลงสรรพดนตรี
เคล้าคลื่นรื่นวารี
ประทับจิตสนิทเสียง
เพลงเรือกังวานก้อง
ประกอบฆ้องเสนาะเพียง
สังคีตกรีดสำเนียง
ประดุจมนต์แห่งคนธรรพ์
อนิษฐานดั่งใจ( ปัจจุบันกาล)
คว้าไขว่เป้าหมาย
พลันธารกระเทือนกระทั่ง
ทำนบพังระทมตรม
ปล่อยลงไป
ในปัจจุบันชม
อุทกหลั่งล้นฝั่งไกล
จุดหมายปลายทาง
ตองโทรมเป็นโฟมจม
( ปัจจุบันกาล)
พลันธารกระเทือนกระทั่ง
ทำนบพังระทมตรม
ในปัจจุบันชม
อุทกหลั่งล้นฝั่งฝาย
ตรองโทรมเป็นโฟมขาว
สาดสีพราวกระจายพราย
บุปผาก็ลากลาย
เป็นพลาสติกทุกก้านแกน
color=#1400C4>
ปี่ซอที่คลอเคลื่อน
" สตริง" เลื่อนมาเทียบแทน
อึกทึกทั่วทุกแดน
คงขาดแคลนคนร้อยเรียง
เพลงเรือต่างลาลับ
ลูกคู่ขับก็ขาดเคียง
หม่นหมองโอ้จองเปรียง
ไม่ทันไรก็ไร้รอย
ตำรับนพมาศล่ม
กระทงจมกระทดถอย
น้ำค้างหล่นพร่างพร้อย
เปลวเทียนดับไม่กลับคืน
( สืบสู่อนาคตกาล)
ประทัดประทุเปรี้ยง
ตระหนกเพียงยินเสียงปืน
ดอกไม้แห่งไฟฟืน
มาเผาใจให้ไขว่เขว
โลกใหม่วิไลศรี
ประเพณีจึงรวนเร
กระทงคงหันเห
และห่างหายจากสายธาร