12 กันยายน 2549 14:49 น.
กรกฎายน
*ภาพ
นอนเขียนบทกวี
ในใจ
ไม่รู้จบ
ภาพเด็กน้อยคนนั้น
ปรากฎ
ลอบดูเมฆก้อนหนึ่งลอยจนลับตา
เด็กน้อย
สาบสูญ
ธารลมไหล
นั่ง
หันหลังให้
สายลม
*ในเงา
เปลี่ยนมุมหลบ
ล้วงมือหยิบ
ของวิเศษในย่าม
รถไฟขบวนนั้นกำลังจะมาถึง
ข้าอาจขึ้นไป
อาจนั่งต่ออยู่กลางม่านหมอก
ดินแดน
ที่ข้ากำลังมุ่งหน้าไป
ไม่มี
ค้างคาว
ลืมตาโพลง
ในถ้ำมืด
ไร้ไฟจุดตะเกียง
นอนเขียนบทกวีไม่รู้จบ
ในเงาดวงจันทร์
*เหนือความคาดหมาย
กระโดดขึ้นม้าเหล็ก
ควบปุเล็งๆ
หนีความลังเล
เดินตั้งแต่หัวขบวน
ยันท้ายขบวน
ไม่พบปาฏิหาริย์
บนฟ้าเมฆครึ้ม
ในใจ
ฝนเพิ่งหยุดลงเม็ด
ยังไม่หมด
ฤดู
เมฆ
หนังสือเล่มนั้น
สหายสนิท
เหนือความคาดหมาย
*อาณาจักรแสง
เรานั่งอยู่
ไม่ไกลกัน
ก็จริง
ประสานสายตา
เขตหวงห้าม
ข้าเป็นบุคคลภายนอก
เดินทาง
เป็นเพื่อน
ดวงดาว
บนใบหน้านั้น
มี
ดาวฤกษ์แฝด
ทะลุทะลวง
เมฆทะมึน
สู่อาณาจักรแสง
*หล่อน
ลมพัด
ยอดหญ้าเอน
เสียงเส้นผมหัวเราะ
เมื่อไหร่
เมฆ
จะจม
สายลม
ลบ
ภาพวาดบนฟ้า
มดน้อยแปลกแยก
ไต่ขึ้นไปบนนยอดไม้
เริ่มต้นเล่นชิงช้า
หล่อน
เปิด
หน้าต่าง
*แหวก
เราโคจรเข้าใกล้กันมากที่สุด
ในรอบหนึ่งชีวิต
เช้าวันนั้น
ปีน
ขึ้นไปนั่งสนทนากัน
บนภูเขา
เมฆ
สลาย
ท้องฟ้าไร้ความรู้สึก
เดิน
แหวก
ลิง
ไม่ปรากฎ
รอยเท้า
บนขั้นบันได
*อาจจะ
บนฟ้าไม่ปรากฎพรมแดน
ข้านั่ง
เขม้นมองลม
ธารน้ำ
ไหลลงมาจากเขา
ถูกลบความทรงจำ
อาจจะเป็นไปได้
ในมุมตรงกันข้าม
ท่านกำลังนั่งมองเมฆ
นัยน์ตาเรา
ไม่เคยสบกัน
เลย
*ทั้ง ๆที่
เหนื่อย
เมื่อย
นึกอยากให้สายลมอุ้ม
นอนแผ่
หลับตาพริ้ม
เปิดเผยความในใจกับลมแล้ง
พร่ำบ่นว่า
ไม่มีใครเลย
ทั้ง ๆที่มีเธอ
นอนสูดกลิ่นหญ้า
ไม่อยากลุก
ฝนลงเม็ดเล็ก ๆ
นอน
อ้า
ปาก
บ๋อ
เธอ
ให้
อยู่ตลอด
*บนราวสะพาน
ลมทะเล
พัดเข้าไปในเมือง
สูญเสียสภาพ
ลม
พัดขึ้นบก
ใบเรือมีรอยขาดเพิ่ม
ไม่มีคันเบ็ด
นั่งอยู่บนราวสะพาน
ตกตัวหนังสือ
10 กันยายน 2549 11:48 น.
กรกฎายน
ความซึมเซา
ร่วมมือกับความเหงาเล่นงานหัวใจข้า
ถูกแขวนไว้ที่ตัวเลขหนึ่งบนหน้าปัดนาฬิกา
กลอกตาไปมาดูนกโบยบิน
กลิ่นดอกไม้เดินทางมาถึงจมูก
ร่างซึ่งถูกพันธนาผวารนดิ้น
เลือดหยดแล้วหยดเล่าหลั่งริน
ระบายสีแผ่นดินจนแดง
ยังยึดยื้อโยงใยใดกัน
เปลวไฟประลัยกัลป์เผาโลกภายในแล้ง
ขอบคุณน้ำค้างชุบเรี่ยวคืนแรง
เหยียดขาแข้งสลัดความงัวเงีย
ทุ่มแรงพังประตูสถานกักกันตนเอง
เสียงโลกบรรเลงประโลมฤทัยละเหี่ย
กระโดดเกาะเข็มนาฬิกาทั้งอ่อนล้าแสนเพลีย
โอกาสอาจเสียถ้าเฉยเลยละ
สวนทางกับสรรพสิ่งในความจริงข้างนอก
กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอึกทึกเอะอะ
รีรีรอรอเงอะเงอะงะงะ
เกรงจะเกิดการปะทะกระทบกระทั่ง
ทะยานไปทั้งที่ไม่มีจุดหมาย
ดาวกะพริบพรายเรือกลับไร้ฝั่ง
เปลวเทียนวูบวาบลมพัดลมเพประดัง
หย่อนก้นลงนั่งกลิ่นมาลีลอยฟุ้ง
รอนแรมอยู่ในสายลม
ระทมซมซานพล่านพลุ่ง
ขอบใจกระเจียวกำจายจรุง
ลุกขึ้นพยุงร่างระทวย
เอื้อมมือหมายเด็ดสักดอก
จิ้งหรีดกรีดปีกบอกไม่เห็นด้วย
โบกมืออำลาโกสุมแสนสวย
ขอบคุณที่ช่วยชีวิต.
1 กันยายน 2549 14:34 น.
กรกฎายน
๐.อย่างเคย
ความเกลียดชัง
หลั่งไหลใจหนึ่ง
กระหวัดรัดรึง
อุดอู้อลอึงอกเอย
จนล่มจมดิ่ง
นอนครางอิ๋งอิ๋งโถ่เอ๋ย
พ่ายแพ้ย่อยยับอย่างเคย
ภูตผีเยาะเย้ยไยไพ
๑. เดินลากหาง
สัมภาระหนัก
รองเท้าสึก
เร่งตะวันตก
ความผิดพลาดพอก
เดินลากหาง
เสียงสายน้ำร้องเรียก
ลมพัดแรง
เกลียวหมอกม้วนขมวด
วิญญาณในหม้อทุรนทุราย
จิ้งหรีดร้อง
น้ำค้างตก
นอนหลับตาอ้าปาก
ความทุกข์ของท่าน
ชุบชีวิตข้า
แรงดึงดูดดาว
ยินดีต้อนรับ
ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ
ลมหายใจ
จนมาถึงที่นี่
ข้า
เดินลากหาง
๒.แลกเปลี่ยน
ไม่ไหวแล้วล่ะ
โลกภายในวุ่นวายเสียยิ่งกว่าโลกข้างนอก
แทบไม่มีที่ให้หลบเร้นอีกต่อไป
ไม่มีมุมไหน
ที่สายลมร้ายจะโบกโบยไปไม่ถึง
ข้าไม่สามารถตื่นจากฝันร้าย
ไม่มีใครกำลังตื่นอยู่เลย
ผู้คนเดินละเมอสวนทางกันไปมา
คุยกับใครไม่ได้
กับตัวเองยิ่งคุยไม่รู้เรื่อง
ร่างนั้น
นอนหลับใหลลึก
คล้ายกำลังทะยานท่องอยู่ในอีกโลก
ใบหน้าบิดเบี้ยว เหยเก
คิ้วขมวด
ลมหายใจถี่
หลังหมอกแห่งความลังเลจากจาง
ข้าโน้มตัวลงไปจุมพิตเจ้ากวีนิทรา
๓. แอบ
บ้ า น เ อ๋ ย บ้ า น ร้ า ง
มี ใ ค ร อ ยู่ บ้ า ง ไ ห ม
เ ปิ ด ห รื อ ปิ ด จิ ต ใ จ
แ ม ง มุ ม ชั ก ใ ย ส บ าย อุ ร า
ทอดร่างเดียวดายบนพื้น
กี่วันกี่คืนแล้วข้า
เปิดประตูทิ้งไว้เผื่อใครเข้ามา
ไขลานนาฬิกาเรือนนั้น
อีกครั้งลุกขึ้นปัดกวาดถู
อุดหูร้องเพลงเสียงลั่น
เปิดหน้าต่างบานแหว่งรับแสงตะวัน
โลกจริงโลกฝันซ้อนกันกี่ทบ
........
..........
....
...............
แล้วก็ถึงยามพราจากไป
ปล่อยบ้านร้างไว้ในความสงบ
ข้างนอกนั่นไร้ใครคบ
อาลัยสถานซบหลบเร้น
บ้ า น เ อ๋ ย บ้ า น ร้ า ง
สำ ห รั บ ค น อ้ า ง ว้ า ง แ ว ะ นั่ ง เ ล่ น
ห ลั ง ต ะ วั น ต ก โ ล ก มื ด ชื ด เ ย็ น
กางปีกตระเวณรัตติกาล.
๔.ชู
สร้างงานไม่ได้
ด้วยเหตุอันใด
ตุบตุบหัวใจยังเต้น
เหน็บปวดรวดร้าวหนาวเย็น
แร้นแค้นยากเค้น
ป่วยเป็นอะไรไปฤๅ
แม้ยังไม่ตาย
แต่ยังความหมายใดหรือ
วิญญาณวิ่นว้างครางฮือ
หลังค่อมตาปรือ..ขื่อคา
สะเก็ดใจกระจายรายรอบ
จะกอบก็เจ็บเกินกว่า..
ล่วงหน้าไปเถิดกาลา
นอนท่ายมฑูตกับที่
ท่านคงไม่มาง่าย ๆ
มากมายภาระเพียงนี้
ตื่นจากหลับนะฤดี
ไป่มีหรอกใดใครปลุก
ชันกายลุกขึ้นยืนท่าม
ไม่เหลือโมงยามทุกข์สุข
นักโทษเหม่อดูประตูคุก
คนล้มได้เวลาลุกแล้ว
รอบราย
ในความระส่ำระสายใดแว่ว
ภายนอกลมเริ่มพัดแผ่ว
จันทร์เพ็ญผ่องแผ้วก่นกู่
ขังตัวเองไว้ในห้อง
จนตรอกจนต้องต่อสู้
กระดืบก้าวขาลารู
ข้างข้างคูคูชูก้าม
ข้างข้างคูคูชูใจ
๔. อย่าระย่อ
ดึกดื่นคืนค่อน
ลุกจากนอนล้างหน้า
ตีสองกว่าๆ
ใต้ฟ้าราตรี
ประกายตะเกียงหม่น
เปลวกมลหรี่
ก่อนรุ่งพรุ่งนี้
อีกกี่ลี้กี่ฝัน
ตั้งหลักตั้งต้น
ผ่านพ้นด้นดั้น
พงร้างถางฟัน
ฤๅหวั่นรีรอ
ราตรีไร้รุ้ง
ยุงเยอะแยะหนอ
เลือดเท่าไรถึงพอ
อย่าระย่อวิญญาณ.
๖. จนกระทั่ง
บทกวีกลางอากาศ
ถูกสายลมพัดลอยไปพร้อมกับเมฆ
พร้อมกับลูกโป่งสวรรค์ที่เพิ่งหลุดจากมือเด็กน้อยคนนั้น
ข้าถึงกับอาลัยอาวรณ์
รำพึงรำพัน
ภาวนา
เอาใจช่วย
สิ่งที่ลอยอยู่
อย่าเพิ่งตกลงมา
แต่
เด็กน้อย
น้ำตาไหลไม่ขาดสาย
วิ่งตาม
มารดาวิ่งตาม
สุนัขน้อยรั้งท้าย
ลูกโป่งสวรรค์ลอยสูงขึ้นเรื่อย ๆ
ชนเพดานโลกดึ๋ง ๆ ๆ
เสียงจากดาวอื่นแผ่วเบา
สายลม
ควงลูกโป่งลอยไปไกลลิบ
ไม่ไยดีเสียงกู่ตะโกน
มารดาวิ่งตามเด็กน้อยจนทัน
เงื้อมือตีก้นปั่บๆๆ
เด็กน้อยสะอื้น ฮั่ก ๆ ๆร้องแงๆ
สุนัขน้อยหอบลิ้นห้อยวิ่งตามหนูน้อยจนทัน
หางกระดิกดิ๊ก ๆๆ
เห่าบ๊อก ๆ ๆ
ครางหงิง ๆ ๆ
เลียแผล็บๆๆ
เด็กน้อยอารมณ์บูด
เตะเจ้าสี่ขาตัวน้อยร้องเป๋ง ๆ ๆ
ใส่แว่นตาดำ
มอง
ดวงตะวัน
มารดา อุ้มเด็กน้อยจากไปแล้ว
สุนัขน้อยย่างเหยาะตามต้วมเตี้ยม
ข้าหลับตาเห็นลูกโป่งสวรรค์ลอยทะลุเพดานดวงดาว
ถอดแว่นตาดำออก
ขยับดินสอขยุกขยิกบนกระดาษ
แสงทองสุดท้ายมาถึง
ดึกดื่น
กระดาษเปื้อนรอยดินสอยับย่นยู่ยี่
จุดไม้ขีดจ่อ
อังมือเย็นเจี๊ยบเหนือเปลวไฟ.