28 กันยายน 2549 11:37 น.
กรกฎายน
ขอบคุณเพื่อนเกลอที่มาเข้าฝันกัน
ในคืนที่ไหวหวั่นอ่อนล้าเหว่ว้าอย่างยิ่ง
ไม่ยอมก้าวไปในโลกใบจริง
หยุดนิ่งปล่อยผึ้งต่อแตนรุมต่อย
ในความคำนึง
กาลครั้งหนึ่งเราเล่นกันบ่อย
ตื่นเช้าก่อนนอนพบกันในซอย
เดี๋ยวเดินเกี่ยวก้อยเดี๋ยวตะลุบตุบตับ
เจ้าจากโลกไปไกลแล้ว
ไยกลับยังแว่วเสียงนั้นในฝันยามหลับ
ประกายตากะพริบวิบวับ
เวลาเคลื่อนขยับมิตรภาพคงอยู่
สหายเอยท่านต้องการบอกอะไรข้า
จูงมือกลับมาจากความไม่รู้
ใดจับใดยึดปล่อยลดปลดดู
ใดโหมโจมจู่ดวงใจอาจินต์
น้ำขึ้นน้ำลงภายในฤดี
ท่วมมีแล้งมีไม่จบไม่สิ้น
ขอบใจมิตรรักช่วยทักชีวิน
ธารตะวันรินลุกขึ้นล้างหน้า
ล้างตา
ล้างใจ
อาทิตย์อุทัยฉายฉาบอาบหล้า
อัมฤทธิ์ชโลมวิญญา
ฟ้าเสกเมฆดอกไม้.
28 กันยายน 2549 10:59 น.
กรกฎายน
ถ อ น
เรานั่งอยู่ใกล้กัน
หลบตากัน
ลอบชำเลืองแล
ผีเสื้อขยับปีกดูดน้ำหวานดอกไม้
คนนั่งนิ่งนัยน์ตาค้าง
เคลิบเคลิ้ม
เมล็ดพันธุ์ไม่พึงประสงค์
แอบงอกขึ้นในแปลง
พรุ่งนี้เช้าจะถูกจัดการ
ปลายทางสถานีหน้า
ทางแยกชีวิต
บันทึกภาพครั้งสุดท้าย
โชคดีเถิดสหายลาไกลแล้ว
ลมหายใจแผ่วร้อนผ่าวคราวถอนผ่อน
โลกเอ๋ยโลกหลอกให้ข้าเล่นละคร
เสียงอกสะท้อนเสียงสะเก็ดถูกแกะสะกิด
ในตาดวงนั้นมีบางสิ่งซุกซ่อน
เหมือนเคยตะลอนแสวงหามาตลอดชีวิต
ตื่นจากภวังค์แค่เพียงชะตาเล่นตลกลิขิต
โคจรใกล้ชิดก่อนกระชากออกจากกัน
นั่งลงซ่อมแซมความรู้สึกสึกหรอ
ไม่อาจสานต่อบางสิ่งสุดสิ้นในเวลาอันสั้น
สงบดูความเป็นไปภายในความเงียบงัน
ปลอบดาวเคราะไร้จันทร์จากหวั่นไหว
โกสุม....เจ้าผีเสื้อบินจากไปไกลมากแล้ว
สายลมลอยล่องแผ่วผ่านกอไผ่
เบาลง-เบาลงเสียงรถไฟ
ฟังสิเสียงหัวใจยังชัดเจน
ได้ยินเสียงพึมพำพร่ำเพ้อว่า...
ชะแง้ชะเง้อเหม่อหาไม่อาจเห็น
สิ่งที่งอกในแปลงกลับกลายเป็น
เถอะพรุ่งนี้จะถอนเล่นเซ่นความซึ้ง.
22 กันยายน 2549 18:39 น.
กรกฎายน
๑.
เฉอะแฉะโชกชุ่มพสุธา
ทั่วท้องนภาฉ่ำน้ำ
นกน้อยโบกบินระบำ
ฝนตกพรำพรำกะปริบกะปรอย
ตาคู่นั้นไม่สบใครใดเลย
ไม่เงยงุดงุดก้มหน้าตาละห้อย
ทึมทึมซึมเซาเหงาๆหง็อยๆ
หน้าต่างบานน้อยหับสนิท
มีแต่แววตาสุนัขตัวนั้น
ที่สบกันซาบซึ้งตรึงจิต
อบอุ่นเหลือเกินเพลินพิศ
กระดิกหางผูกมิตรไมตรี
แต่
ช่องว่างระหว่างข้าฯกับท่าน
ยังไร้สะพานพาดผ่านหนอป่านฉะนี้
น้ำเลาะเซาะขอบวารี
ในมหานทีมีชาละวัน
๒.
โอ
หลังพิรุณสะพานประหลาดพาดพุ่ง
เชื่อมสองฝั่งคุ้งไม่คาดวาดฝัน
เราเพลิดแหงนจ้องมองพลัน
เกิดการพบกันอัศจรรย์ใจ
อ่า
เราปล่อยหัวใจไถลลื่น
สองฝั่งกลมกลืนชิดใกล้
หลังรุ้งลางเลือนลับไป
หย่อนขาลงไปในน้ำ
อึ๋ย
จระเข้แหวกพุ่งมุ่งมา
มีหวังถูกงับขาไม่ขำ
จระเข้บอกเล่ากล่าวย้ำ
รับรองจะไม่ขย้ำทำอันตราย
จระเข้อ้าปากจากนั้น
ปากกว้างอวดฟันมั่นหมาย
แหลมเปี๊ยบวาววับระยับประกาย
นะ
วานน้องชายช่วยตรวจสำรวจยิ้ม
สะพานรุ้งชักกลับลับไกล
ไม่เป็นไรหลังข้านั่งนิ่ม
หน้าคนแย้มย่องกระหยิ่ม
จระเข้หลับตาพริ้มลาภปาก
แอ่ว
ล้อเล่นล้อเล่นล้อเล่น
ที่แท้เป็นอย่างนี้ต่างหาก
เกิดแล้วมิตรภาพงามยามยาก
วางหัวใจถอดหน้ากากรักกัน
๓.
คนฝั่งโน้นโบกมือหยอยๆ
ระวังหน่อยอันตรายนะนั่น
ไฉนไว้ใจชาละวัน
เกรียวกราวกันลั่นสนั่นระทึก
สองฝั่งนทีมีชีวิต
เชื่อมต่อสนิทความรู้สึก
เหลือความทรงจำไว้ระลึก
ปลุกใจให้คึกฮึกหาญ
นัยน์ตาจระเข้เป็นประกาย
ชีวิตมีความหมายมหาศาล
สัมพันธ์รักมั่นอนันตกาล
สิ้นสุดฝั่งท่านฉันเธอ
ต่อแต่นี้กระโดดน้ำเล่นได้
สาครเย็นใสสนองเสนอ
จระเข้สุนัขคนกลายเป็นเกลอ
อะเหอ อะเหอ พิลึก.
แหะๆ
จบดีกว่าครับ
21 กันยายน 2549 15:09 น.
กรกฎายน
หน้า A เพลงลมหายใจ
ตีสี่กว่าๆ
ตื่นขึ้นมาทำไม
เกรงจะรบกวนไก่
ขณะจุดไฟให้เทียน
นั่งเขียนหนังสือ
จากตาปรือก็เปลี่ยน
ส่งใจไปเวียน
อดีตกาลวานวัน
เทียนยังไม่หมดต้น
คนยังเหลือฝัน
กระต่ายบนดวงจันทร์
ยังวิ่งเล่นไปรอบ ๆ
รอบแล้วรอบเล่า
กลับมาที่เก่าหยุดหอบ
ถึงเวลาสอบ
ถึงคิวตอบคำถาม
เทียนไขใกล้หมดต้น
คนยังเพลิดเพลินเดินข้าม
ทะลุมิติโมงยาม
ท่ามกลางกลิ่นกรุ่นละมุน
เทียนอีกต้นมารอต่อคิว
หน้ายังไม่นิ่วคิ้วยังไม่มุ่น
สวัสดีคุณคุณ
ผู้เข็นโลกหมุนโคจร
เสียงไก่เริ่มขันเพรียก
สลับเสียงเรียกของหมอน
ดวงตะวันจะมาถึงเวียดนามก่อน
ดวงตะวันจะมาถึงเวียดนามก่อน
นกน้อยนอนใกล้ตื่น
(บ้างอยากต่อเวลาของคืน
บางกำลังขัดขืนความง่วง)
เป่าเปลวเทียนดับ
ดาวระยับหาวระนาวห้วง
น้ำค้างจับดอกมะเขือพวง
แมลงทั้งปวงล่วงรู้
ขณะน้ำค้างกำลังตก
สิ่งที่อยู่ในอกกำลังเต้นอยู่
ดินสอเริ่มทู่
นั่งอุดหูฟังเสียงลมหายใจ
นั่ง
ฟัง
เพลง
ลม
หาย
ใจ.
หน้า B เพลงลมผาย
ตีสี่กว่าๆ
ตื่นขึ้นมาทำไม
ล้มตัวลงนอนต่อดีหรือไม่
หรือจะจุดไฟให้เทียน
ขยับมือเขียนหนังสือ
จากตาปรือก็เปลี่ยน
อ๊ะอ๊ะอย่าส่งใจไปเวียน
อดีตกาลวานวัน
กว่าเทียนจะหมดต้น
กว่าคนจะหมดฝัน
กระต่ายซนๆบนจันทร์
วิ่งไล่จับกันตลอด
กระทั่งเทียนใกล้หมดต้น
ใครบางคนกำลังเดินข้ามคอคอด
ทั้งๆที่ตาบอด
ที่สูดเข้าปอดคือกลิ่นละมุนกรุ่น
ยังมีเทียนรอต่อคิว
หน้าคอยจะนิ่วคิ้วคอยจะมุ่น
กว่าจะถึงอรุณ
กว่าจะได้สัมผัสแดดอุ่นอ่อนอ่อน
เสียงไก่ขันเพรียก
แข่งกับเสียงเรียกของหมอน
เด็กน้อยฝันร้ายฉี่ราดที่นอน
เสียงนกบนคอนละเมอว่า..
สายลมหยอกล้อเปลวไฟ
พัดอยู่ได้จนขนลุกชูซู่ซ่า
มองทำไมดารา
แค่คนไร้ค่าไร้คู่
แน่ะน้ำค้างกำลังตก
บางสิ่งบางอย่างที่อกกำลังเต้นอยู่
ดินสอเริ่มทู่
นั่งอุดนั่งอุดรูจมูกหลังจากเสียงลมผาย.
14 กันยายน 2549 16:40 น.
กรกฎายน
ไม่อยากตื่นขึ้นมา
อ่อนล้าหลงทาง
ไม่อาจเดินเคียงข้าง
แม้แต่เขาเงาข้า
ถูกฝูงแร้งรุมทึ้ง
แมลงหวี่ตอมหึ่งตามหน้า
เก็บตัวอยู่ใต้กะลา
สรรพเสียงภายนอกล้งเล้ง
ไม่สามารถเขียนหนังสือ
ไม่สามารถวางมือจากความเครียดเคร่ง
โลกภายในเหวงโหวงโคลงเคลง
นอนรอความตายในแต่ละวัน
นอนรอความตายไปวันวัน
เจ้านกน้อยอยากบินออกไป
อยู่ในกรงเหงาจับใจไหวหวั่น
ทดลองกระพือปีกที่ไม่ได้ใช้งานมานานพลัน
คอยเพียงปาฏิหาริย์ประตูกรงเปิด
คอยเพียงปาฏิหาริย์ประตูกรงเปิด
เขามาแล้ว งัวเงียเชียว เขาเอ่ยปากคุยกับข้าเหมือนเคย
"ว่าไงนกน้อย ขันให้ฟังหน่อยซิ"
เฉย
"วันนี้เป็นอะไรไปล่ะ เมื่อคืนฝันร้ายล่ะสิ"
เฉย
"เจ้าอยากบินออกไปข้างนอกนั่นเหรอ"
ยังเฉย
แต่เอี้ยวคอมามองหน้าแล้วเมิน
"ก็ได้นกน้อย แต่..."
หันกลับไปจ้องตาเขาอีก ในดวงตาเขามีอะไรแปลก ๆเหมือนกับในดวงตาข้ามี
เห็นแล้วอยากจิกแฮะ
"....ข้าจะไปด้วย! "
นี่หูข้าฝาดไปป่ะ
เขาหายไปข้างในครู่หนึ่งแล้วออกมาพร้อมกับสัมภาระพะรุงพะรัง
ในขณะที่ข้ามีเพียงตัวเปล่าและปีก
ความไม่มั่นใจกลับมาอีกแล้ว จะบินได้หรือเปล่าก็ไม่รู้
นานแค่ไหนแล้วนะที่ข้าไม่ได้ใช้งานปีกคู่นี้เลย
ข้าหันไปมองเขาราวกับชะโงกหน้าเห็นเงาตัวเองในน้ำ
สภาพของเขาก็ย่ำแย่ไปไม่ต่างกับข้า
แววตาแทบจะไม่มีประกาย เขากำลังเปิดประตูกรง
มือเขาสั่น หัวใจเขาก็คงสั่น
"ไปกันเถอะ"
ข้าเดินไปยืนสูดสายลมแห่งอิสระภาพอยู่ที่ปากประตู รู้สึกหวิว ๆ
เอาล่ะนะปีก
พร้อมหรือยัง ข้าจะขยับเจ้าล่ะ โอ ไม่
พั่บ ๆ ๆ
ตุ้บ!
อูยย
"นกน้อย!เด็กดี เจ้าบินได้ข้ารู้"
เขาก้มลงอุ้มข้าขึ้นมาแนบอกลูบปีกข้าไปมา
อบอุ่นเหลือเกิน ข้าไม่ได้สัมผัสกับความอบอุ่นแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว
เหมือนข้ายังอยู่ในไข่และความอบอุ่นของแม่แผ่ผ่านเปลือกบางๆเข้ามา
"เราจะไปไหนกันดี..หือ..นกน้อย"
ข้าโผเผขึ้นฟ้าอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้สำเร็จ สายลมช่วยพะยุงทุลักทุเล
ข้าบินได้อย่างกระท่อนกระแท่นตุปัดตุเป๋ไปเกาะอยู่บนกิ่งไม้หนึ่งหอบแฮ่ก ๆ
เขาเงยหน้าหมองหม่นมองเหม่อ
"นำทางข้าสินกน้อย นำทางข้า "
บ้าจัง คนจะเดินทางกับนกได้ไง เฮ้อ แค่คิดก็กลุ้มแล้ว
เขาคงไม่รู้กระมังว่าเข็มนาฬิกาในโลกของข้ากระดิกเร็วกว่า
ปีกของข้าเร็วกว่าขาของเขา
และโลกของข้าไร้พรมแดน
ข้าบินไปเกาะบนหัวไหล่เขาจิกไปที่แก้มเบา ๆ
ภาพวันคืนที่ผ่านมาพรั่งพรู
เขาเองก็อยู่ในกรงมาตลอดกรงที่เขาสร้างขึ้นกักขังตัวเองกรงที่มองไม่เห็น
ไม่รู้นกจะน้ำตาไหลได้หรือเปล่าแต่น้ำตาข้ากำลังไหลอยู่เห็น ๆ
ไหลรดไหล่เขาจนเปียกชุ่ม
และแล้วปีกข้าก็เริ่มกระพือพาตัวข้าลอยลมลับหายไปทางทิศหนึ่งของฟ้า
ข้าได้เลือกทางของตัวเองแล้ว
ถัดจากนี้เป็นการเดินทาง
ฟ้ากว้างเหลือเกินถ้าไม่ระวังข้าอาจจะทำได้แค่บินวนไปวนมา
ข้าไม่แน่ใจจะมีโอกาสได้พบเขาอีกหรือเปล่า
โลกกว้างเหลือเกิน
ข้าบินไป น้ำตาไหลไป
คอเริ่มแห้ง
ท้องเริ่มร้อง
คิดถึงเขาจัง คิดถึงกรงจังแต่ข้าจะไม่ถอยกลับไปอีกแล้ว
และข้าภาวนาว่าเขาเองก็จะไม่
แม้จะยังไม่มีจุดหมาย และเส้นขอบฟ้ายังไกลเท่าเดิม
ทะยานไปไหนหนอใครรออยู่
เสียงโลกกู่กังวานไกลในห้วงหาว
ตกดึกนกเกาะกิ่งไม้เหม่อดูหมู่ดาว
ขณะคนนอนหนาวกอดเงาแน่น.
"สวัสดีดาว"
ข้าพูดภาษานกกับดาว
ข้าไม่รู้ดาวจะฟังภาษานกรู้เรื่องไหม
"ข้าไม่ได้อยู่ในกรงนั่นแล้วท่านเห็นเปล่า
ดาวเอย ข้ารู้ ยังมีกรงที่มองไม่เห็นที่ข้าต้องหาประตูทางออกให้พบเป็นการบ้าน
ไม่ต้องยิ้มเยาะข้าหรอกดาวเอ๋ย
ข้ารู้ท่านมองเห็นกรงนั้น
และกำลังลุ้น.