21 กันยายน 2549 15:09 น.
กรกฎายน
หน้า A เพลงลมหายใจ
ตีสี่กว่าๆ
ตื่นขึ้นมาทำไม
เกรงจะรบกวนไก่
ขณะจุดไฟให้เทียน
นั่งเขียนหนังสือ
จากตาปรือก็เปลี่ยน
ส่งใจไปเวียน
อดีตกาลวานวัน
เทียนยังไม่หมดต้น
คนยังเหลือฝัน
กระต่ายบนดวงจันทร์
ยังวิ่งเล่นไปรอบ ๆ
รอบแล้วรอบเล่า
กลับมาที่เก่าหยุดหอบ
ถึงเวลาสอบ
ถึงคิวตอบคำถาม
เทียนไขใกล้หมดต้น
คนยังเพลิดเพลินเดินข้าม
ทะลุมิติโมงยาม
ท่ามกลางกลิ่นกรุ่นละมุน
เทียนอีกต้นมารอต่อคิว
หน้ายังไม่นิ่วคิ้วยังไม่มุ่น
สวัสดีคุณคุณ
ผู้เข็นโลกหมุนโคจร
เสียงไก่เริ่มขันเพรียก
สลับเสียงเรียกของหมอน
ดวงตะวันจะมาถึงเวียดนามก่อน
ดวงตะวันจะมาถึงเวียดนามก่อน
นกน้อยนอนใกล้ตื่น
(บ้างอยากต่อเวลาของคืน
บางกำลังขัดขืนความง่วง)
เป่าเปลวเทียนดับ
ดาวระยับหาวระนาวห้วง
น้ำค้างจับดอกมะเขือพวง
แมลงทั้งปวงล่วงรู้
ขณะน้ำค้างกำลังตก
สิ่งที่อยู่ในอกกำลังเต้นอยู่
ดินสอเริ่มทู่
นั่งอุดหูฟังเสียงลมหายใจ
นั่ง
ฟัง
เพลง
ลม
หาย
ใจ.
หน้า B เพลงลมผาย
ตีสี่กว่าๆ
ตื่นขึ้นมาทำไม
ล้มตัวลงนอนต่อดีหรือไม่
หรือจะจุดไฟให้เทียน
ขยับมือเขียนหนังสือ
จากตาปรือก็เปลี่ยน
อ๊ะอ๊ะอย่าส่งใจไปเวียน
อดีตกาลวานวัน
กว่าเทียนจะหมดต้น
กว่าคนจะหมดฝัน
กระต่ายซนๆบนจันทร์
วิ่งไล่จับกันตลอด
กระทั่งเทียนใกล้หมดต้น
ใครบางคนกำลังเดินข้ามคอคอด
ทั้งๆที่ตาบอด
ที่สูดเข้าปอดคือกลิ่นละมุนกรุ่น
ยังมีเทียนรอต่อคิว
หน้าคอยจะนิ่วคิ้วคอยจะมุ่น
กว่าจะถึงอรุณ
กว่าจะได้สัมผัสแดดอุ่นอ่อนอ่อน
เสียงไก่ขันเพรียก
แข่งกับเสียงเรียกของหมอน
เด็กน้อยฝันร้ายฉี่ราดที่นอน
เสียงนกบนคอนละเมอว่า..
สายลมหยอกล้อเปลวไฟ
พัดอยู่ได้จนขนลุกชูซู่ซ่า
มองทำไมดารา
แค่คนไร้ค่าไร้คู่
แน่ะน้ำค้างกำลังตก
บางสิ่งบางอย่างที่อกกำลังเต้นอยู่
ดินสอเริ่มทู่
นั่งอุดนั่งอุดรูจมูกหลังจากเสียงลมผาย.
14 กันยายน 2549 16:40 น.
กรกฎายน
ไม่อยากตื่นขึ้นมา
อ่อนล้าหลงทาง
ไม่อาจเดินเคียงข้าง
แม้แต่เขาเงาข้า
ถูกฝูงแร้งรุมทึ้ง
แมลงหวี่ตอมหึ่งตามหน้า
เก็บตัวอยู่ใต้กะลา
สรรพเสียงภายนอกล้งเล้ง
ไม่สามารถเขียนหนังสือ
ไม่สามารถวางมือจากความเครียดเคร่ง
โลกภายในเหวงโหวงโคลงเคลง
นอนรอความตายในแต่ละวัน
นอนรอความตายไปวันวัน
เจ้านกน้อยอยากบินออกไป
อยู่ในกรงเหงาจับใจไหวหวั่น
ทดลองกระพือปีกที่ไม่ได้ใช้งานมานานพลัน
คอยเพียงปาฏิหาริย์ประตูกรงเปิด
คอยเพียงปาฏิหาริย์ประตูกรงเปิด
เขามาแล้ว งัวเงียเชียว เขาเอ่ยปากคุยกับข้าเหมือนเคย
"ว่าไงนกน้อย ขันให้ฟังหน่อยซิ"
เฉย
"วันนี้เป็นอะไรไปล่ะ เมื่อคืนฝันร้ายล่ะสิ"
เฉย
"เจ้าอยากบินออกไปข้างนอกนั่นเหรอ"
ยังเฉย
แต่เอี้ยวคอมามองหน้าแล้วเมิน
"ก็ได้นกน้อย แต่..."
หันกลับไปจ้องตาเขาอีก ในดวงตาเขามีอะไรแปลก ๆเหมือนกับในดวงตาข้ามี
เห็นแล้วอยากจิกแฮะ
"....ข้าจะไปด้วย! "
นี่หูข้าฝาดไปป่ะ
เขาหายไปข้างในครู่หนึ่งแล้วออกมาพร้อมกับสัมภาระพะรุงพะรัง
ในขณะที่ข้ามีเพียงตัวเปล่าและปีก
ความไม่มั่นใจกลับมาอีกแล้ว จะบินได้หรือเปล่าก็ไม่รู้
นานแค่ไหนแล้วนะที่ข้าไม่ได้ใช้งานปีกคู่นี้เลย
ข้าหันไปมองเขาราวกับชะโงกหน้าเห็นเงาตัวเองในน้ำ
สภาพของเขาก็ย่ำแย่ไปไม่ต่างกับข้า
แววตาแทบจะไม่มีประกาย เขากำลังเปิดประตูกรง
มือเขาสั่น หัวใจเขาก็คงสั่น
"ไปกันเถอะ"
ข้าเดินไปยืนสูดสายลมแห่งอิสระภาพอยู่ที่ปากประตู รู้สึกหวิว ๆ
เอาล่ะนะปีก
พร้อมหรือยัง ข้าจะขยับเจ้าล่ะ โอ ไม่
พั่บ ๆ ๆ
ตุ้บ!
อูยย
"นกน้อย!เด็กดี เจ้าบินได้ข้ารู้"
เขาก้มลงอุ้มข้าขึ้นมาแนบอกลูบปีกข้าไปมา
อบอุ่นเหลือเกิน ข้าไม่ได้สัมผัสกับความอบอุ่นแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว
เหมือนข้ายังอยู่ในไข่และความอบอุ่นของแม่แผ่ผ่านเปลือกบางๆเข้ามา
"เราจะไปไหนกันดี..หือ..นกน้อย"
ข้าโผเผขึ้นฟ้าอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้สำเร็จ สายลมช่วยพะยุงทุลักทุเล
ข้าบินได้อย่างกระท่อนกระแท่นตุปัดตุเป๋ไปเกาะอยู่บนกิ่งไม้หนึ่งหอบแฮ่ก ๆ
เขาเงยหน้าหมองหม่นมองเหม่อ
"นำทางข้าสินกน้อย นำทางข้า "
บ้าจัง คนจะเดินทางกับนกได้ไง เฮ้อ แค่คิดก็กลุ้มแล้ว
เขาคงไม่รู้กระมังว่าเข็มนาฬิกาในโลกของข้ากระดิกเร็วกว่า
ปีกของข้าเร็วกว่าขาของเขา
และโลกของข้าไร้พรมแดน
ข้าบินไปเกาะบนหัวไหล่เขาจิกไปที่แก้มเบา ๆ
ภาพวันคืนที่ผ่านมาพรั่งพรู
เขาเองก็อยู่ในกรงมาตลอดกรงที่เขาสร้างขึ้นกักขังตัวเองกรงที่มองไม่เห็น
ไม่รู้นกจะน้ำตาไหลได้หรือเปล่าแต่น้ำตาข้ากำลังไหลอยู่เห็น ๆ
ไหลรดไหล่เขาจนเปียกชุ่ม
และแล้วปีกข้าก็เริ่มกระพือพาตัวข้าลอยลมลับหายไปทางทิศหนึ่งของฟ้า
ข้าได้เลือกทางของตัวเองแล้ว
ถัดจากนี้เป็นการเดินทาง
ฟ้ากว้างเหลือเกินถ้าไม่ระวังข้าอาจจะทำได้แค่บินวนไปวนมา
ข้าไม่แน่ใจจะมีโอกาสได้พบเขาอีกหรือเปล่า
โลกกว้างเหลือเกิน
ข้าบินไป น้ำตาไหลไป
คอเริ่มแห้ง
ท้องเริ่มร้อง
คิดถึงเขาจัง คิดถึงกรงจังแต่ข้าจะไม่ถอยกลับไปอีกแล้ว
และข้าภาวนาว่าเขาเองก็จะไม่
แม้จะยังไม่มีจุดหมาย และเส้นขอบฟ้ายังไกลเท่าเดิม
ทะยานไปไหนหนอใครรออยู่
เสียงโลกกู่กังวานไกลในห้วงหาว
ตกดึกนกเกาะกิ่งไม้เหม่อดูหมู่ดาว
ขณะคนนอนหนาวกอดเงาแน่น.
"สวัสดีดาว"
ข้าพูดภาษานกกับดาว
ข้าไม่รู้ดาวจะฟังภาษานกรู้เรื่องไหม
"ข้าไม่ได้อยู่ในกรงนั่นแล้วท่านเห็นเปล่า
ดาวเอย ข้ารู้ ยังมีกรงที่มองไม่เห็นที่ข้าต้องหาประตูทางออกให้พบเป็นการบ้าน
ไม่ต้องยิ้มเยาะข้าหรอกดาวเอ๋ย
ข้ารู้ท่านมองเห็นกรงนั้น
และกำลังลุ้น.
12 กันยายน 2549 14:49 น.
กรกฎายน
*ภาพ
นอนเขียนบทกวี
ในใจ
ไม่รู้จบ
ภาพเด็กน้อยคนนั้น
ปรากฎ
ลอบดูเมฆก้อนหนึ่งลอยจนลับตา
เด็กน้อย
สาบสูญ
ธารลมไหล
นั่ง
หันหลังให้
สายลม
*ในเงา
เปลี่ยนมุมหลบ
ล้วงมือหยิบ
ของวิเศษในย่าม
รถไฟขบวนนั้นกำลังจะมาถึง
ข้าอาจขึ้นไป
อาจนั่งต่ออยู่กลางม่านหมอก
ดินแดน
ที่ข้ากำลังมุ่งหน้าไป
ไม่มี
ค้างคาว
ลืมตาโพลง
ในถ้ำมืด
ไร้ไฟจุดตะเกียง
นอนเขียนบทกวีไม่รู้จบ
ในเงาดวงจันทร์
*เหนือความคาดหมาย
กระโดดขึ้นม้าเหล็ก
ควบปุเล็งๆ
หนีความลังเล
เดินตั้งแต่หัวขบวน
ยันท้ายขบวน
ไม่พบปาฏิหาริย์
บนฟ้าเมฆครึ้ม
ในใจ
ฝนเพิ่งหยุดลงเม็ด
ยังไม่หมด
ฤดู
เมฆ
หนังสือเล่มนั้น
สหายสนิท
เหนือความคาดหมาย
*อาณาจักรแสง
เรานั่งอยู่
ไม่ไกลกัน
ก็จริง
ประสานสายตา
เขตหวงห้าม
ข้าเป็นบุคคลภายนอก
เดินทาง
เป็นเพื่อน
ดวงดาว
บนใบหน้านั้น
มี
ดาวฤกษ์แฝด
ทะลุทะลวง
เมฆทะมึน
สู่อาณาจักรแสง
*หล่อน
ลมพัด
ยอดหญ้าเอน
เสียงเส้นผมหัวเราะ
เมื่อไหร่
เมฆ
จะจม
สายลม
ลบ
ภาพวาดบนฟ้า
มดน้อยแปลกแยก
ไต่ขึ้นไปบนนยอดไม้
เริ่มต้นเล่นชิงช้า
หล่อน
เปิด
หน้าต่าง
*แหวก
เราโคจรเข้าใกล้กันมากที่สุด
ในรอบหนึ่งชีวิต
เช้าวันนั้น
ปีน
ขึ้นไปนั่งสนทนากัน
บนภูเขา
เมฆ
สลาย
ท้องฟ้าไร้ความรู้สึก
เดิน
แหวก
ลิง
ไม่ปรากฎ
รอยเท้า
บนขั้นบันได
*อาจจะ
บนฟ้าไม่ปรากฎพรมแดน
ข้านั่ง
เขม้นมองลม
ธารน้ำ
ไหลลงมาจากเขา
ถูกลบความทรงจำ
อาจจะเป็นไปได้
ในมุมตรงกันข้าม
ท่านกำลังนั่งมองเมฆ
นัยน์ตาเรา
ไม่เคยสบกัน
เลย
*ทั้ง ๆที่
เหนื่อย
เมื่อย
นึกอยากให้สายลมอุ้ม
นอนแผ่
หลับตาพริ้ม
เปิดเผยความในใจกับลมแล้ง
พร่ำบ่นว่า
ไม่มีใครเลย
ทั้ง ๆที่มีเธอ
นอนสูดกลิ่นหญ้า
ไม่อยากลุก
ฝนลงเม็ดเล็ก ๆ
นอน
อ้า
ปาก
บ๋อ
เธอ
ให้
อยู่ตลอด
*บนราวสะพาน
ลมทะเล
พัดเข้าไปในเมือง
สูญเสียสภาพ
ลม
พัดขึ้นบก
ใบเรือมีรอยขาดเพิ่ม
ไม่มีคันเบ็ด
นั่งอยู่บนราวสะพาน
ตกตัวหนังสือ
10 กันยายน 2549 11:48 น.
กรกฎายน
ความซึมเซา
ร่วมมือกับความเหงาเล่นงานหัวใจข้า
ถูกแขวนไว้ที่ตัวเลขหนึ่งบนหน้าปัดนาฬิกา
กลอกตาไปมาดูนกโบยบิน
กลิ่นดอกไม้เดินทางมาถึงจมูก
ร่างซึ่งถูกพันธนาผวารนดิ้น
เลือดหยดแล้วหยดเล่าหลั่งริน
ระบายสีแผ่นดินจนแดง
ยังยึดยื้อโยงใยใดกัน
เปลวไฟประลัยกัลป์เผาโลกภายในแล้ง
ขอบคุณน้ำค้างชุบเรี่ยวคืนแรง
เหยียดขาแข้งสลัดความงัวเงีย
ทุ่มแรงพังประตูสถานกักกันตนเอง
เสียงโลกบรรเลงประโลมฤทัยละเหี่ย
กระโดดเกาะเข็มนาฬิกาทั้งอ่อนล้าแสนเพลีย
โอกาสอาจเสียถ้าเฉยเลยละ
สวนทางกับสรรพสิ่งในความจริงข้างนอก
กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอึกทึกเอะอะ
รีรีรอรอเงอะเงอะงะงะ
เกรงจะเกิดการปะทะกระทบกระทั่ง
ทะยานไปทั้งที่ไม่มีจุดหมาย
ดาวกะพริบพรายเรือกลับไร้ฝั่ง
เปลวเทียนวูบวาบลมพัดลมเพประดัง
หย่อนก้นลงนั่งกลิ่นมาลีลอยฟุ้ง
รอนแรมอยู่ในสายลม
ระทมซมซานพล่านพลุ่ง
ขอบใจกระเจียวกำจายจรุง
ลุกขึ้นพยุงร่างระทวย
เอื้อมมือหมายเด็ดสักดอก
จิ้งหรีดกรีดปีกบอกไม่เห็นด้วย
โบกมืออำลาโกสุมแสนสวย
ขอบคุณที่ช่วยชีวิต.
1 กันยายน 2549 14:34 น.
กรกฎายน
๐.อย่างเคย
ความเกลียดชัง
หลั่งไหลใจหนึ่ง
กระหวัดรัดรึง
อุดอู้อลอึงอกเอย
จนล่มจมดิ่ง
นอนครางอิ๋งอิ๋งโถ่เอ๋ย
พ่ายแพ้ย่อยยับอย่างเคย
ภูตผีเยาะเย้ยไยไพ
๑. เดินลากหาง
สัมภาระหนัก
รองเท้าสึก
เร่งตะวันตก
ความผิดพลาดพอก
เดินลากหาง
เสียงสายน้ำร้องเรียก
ลมพัดแรง
เกลียวหมอกม้วนขมวด
วิญญาณในหม้อทุรนทุราย
จิ้งหรีดร้อง
น้ำค้างตก
นอนหลับตาอ้าปาก
ความทุกข์ของท่าน
ชุบชีวิตข้า
แรงดึงดูดดาว
ยินดีต้อนรับ
ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ
ลมหายใจ
จนมาถึงที่นี่
ข้า
เดินลากหาง
๒.แลกเปลี่ยน
ไม่ไหวแล้วล่ะ
โลกภายในวุ่นวายเสียยิ่งกว่าโลกข้างนอก
แทบไม่มีที่ให้หลบเร้นอีกต่อไป
ไม่มีมุมไหน
ที่สายลมร้ายจะโบกโบยไปไม่ถึง
ข้าไม่สามารถตื่นจากฝันร้าย
ไม่มีใครกำลังตื่นอยู่เลย
ผู้คนเดินละเมอสวนทางกันไปมา
คุยกับใครไม่ได้
กับตัวเองยิ่งคุยไม่รู้เรื่อง
ร่างนั้น
นอนหลับใหลลึก
คล้ายกำลังทะยานท่องอยู่ในอีกโลก
ใบหน้าบิดเบี้ยว เหยเก
คิ้วขมวด
ลมหายใจถี่
หลังหมอกแห่งความลังเลจากจาง
ข้าโน้มตัวลงไปจุมพิตเจ้ากวีนิทรา
๓. แอบ
บ้ า น เ อ๋ ย บ้ า น ร้ า ง
มี ใ ค ร อ ยู่ บ้ า ง ไ ห ม
เ ปิ ด ห รื อ ปิ ด จิ ต ใ จ
แ ม ง มุ ม ชั ก ใ ย ส บ าย อุ ร า
ทอดร่างเดียวดายบนพื้น
กี่วันกี่คืนแล้วข้า
เปิดประตูทิ้งไว้เผื่อใครเข้ามา
ไขลานนาฬิกาเรือนนั้น
อีกครั้งลุกขึ้นปัดกวาดถู
อุดหูร้องเพลงเสียงลั่น
เปิดหน้าต่างบานแหว่งรับแสงตะวัน
โลกจริงโลกฝันซ้อนกันกี่ทบ
........
..........
....
...............
แล้วก็ถึงยามพราจากไป
ปล่อยบ้านร้างไว้ในความสงบ
ข้างนอกนั่นไร้ใครคบ
อาลัยสถานซบหลบเร้น
บ้ า น เ อ๋ ย บ้ า น ร้ า ง
สำ ห รั บ ค น อ้ า ง ว้ า ง แ ว ะ นั่ ง เ ล่ น
ห ลั ง ต ะ วั น ต ก โ ล ก มื ด ชื ด เ ย็ น
กางปีกตระเวณรัตติกาล.
๔.ชู
สร้างงานไม่ได้
ด้วยเหตุอันใด
ตุบตุบหัวใจยังเต้น
เหน็บปวดรวดร้าวหนาวเย็น
แร้นแค้นยากเค้น
ป่วยเป็นอะไรไปฤๅ
แม้ยังไม่ตาย
แต่ยังความหมายใดหรือ
วิญญาณวิ่นว้างครางฮือ
หลังค่อมตาปรือ..ขื่อคา
สะเก็ดใจกระจายรายรอบ
จะกอบก็เจ็บเกินกว่า..
ล่วงหน้าไปเถิดกาลา
นอนท่ายมฑูตกับที่
ท่านคงไม่มาง่าย ๆ
มากมายภาระเพียงนี้
ตื่นจากหลับนะฤดี
ไป่มีหรอกใดใครปลุก
ชันกายลุกขึ้นยืนท่าม
ไม่เหลือโมงยามทุกข์สุข
นักโทษเหม่อดูประตูคุก
คนล้มได้เวลาลุกแล้ว
รอบราย
ในความระส่ำระสายใดแว่ว
ภายนอกลมเริ่มพัดแผ่ว
จันทร์เพ็ญผ่องแผ้วก่นกู่
ขังตัวเองไว้ในห้อง
จนตรอกจนต้องต่อสู้
กระดืบก้าวขาลารู
ข้างข้างคูคูชูก้าม
ข้างข้างคูคูชูใจ
๔. อย่าระย่อ
ดึกดื่นคืนค่อน
ลุกจากนอนล้างหน้า
ตีสองกว่าๆ
ใต้ฟ้าราตรี
ประกายตะเกียงหม่น
เปลวกมลหรี่
ก่อนรุ่งพรุ่งนี้
อีกกี่ลี้กี่ฝัน
ตั้งหลักตั้งต้น
ผ่านพ้นด้นดั้น
พงร้างถางฟัน
ฤๅหวั่นรีรอ
ราตรีไร้รุ้ง
ยุงเยอะแยะหนอ
เลือดเท่าไรถึงพอ
อย่าระย่อวิญญาณ.
๖. จนกระทั่ง
บทกวีกลางอากาศ
ถูกสายลมพัดลอยไปพร้อมกับเมฆ
พร้อมกับลูกโป่งสวรรค์ที่เพิ่งหลุดจากมือเด็กน้อยคนนั้น
ข้าถึงกับอาลัยอาวรณ์
รำพึงรำพัน
ภาวนา
เอาใจช่วย
สิ่งที่ลอยอยู่
อย่าเพิ่งตกลงมา
แต่
เด็กน้อย
น้ำตาไหลไม่ขาดสาย
วิ่งตาม
มารดาวิ่งตาม
สุนัขน้อยรั้งท้าย
ลูกโป่งสวรรค์ลอยสูงขึ้นเรื่อย ๆ
ชนเพดานโลกดึ๋ง ๆ ๆ
เสียงจากดาวอื่นแผ่วเบา
สายลม
ควงลูกโป่งลอยไปไกลลิบ
ไม่ไยดีเสียงกู่ตะโกน
มารดาวิ่งตามเด็กน้อยจนทัน
เงื้อมือตีก้นปั่บๆๆ
เด็กน้อยสะอื้น ฮั่ก ๆ ๆร้องแงๆ
สุนัขน้อยหอบลิ้นห้อยวิ่งตามหนูน้อยจนทัน
หางกระดิกดิ๊ก ๆๆ
เห่าบ๊อก ๆ ๆ
ครางหงิง ๆ ๆ
เลียแผล็บๆๆ
เด็กน้อยอารมณ์บูด
เตะเจ้าสี่ขาตัวน้อยร้องเป๋ง ๆ ๆ
ใส่แว่นตาดำ
มอง
ดวงตะวัน
มารดา อุ้มเด็กน้อยจากไปแล้ว
สุนัขน้อยย่างเหยาะตามต้วมเตี้ยม
ข้าหลับตาเห็นลูกโป่งสวรรค์ลอยทะลุเพดานดวงดาว
ถอดแว่นตาดำออก
ขยับดินสอขยุกขยิกบนกระดาษ
แสงทองสุดท้ายมาถึง
ดึกดื่น
กระดาษเปื้อนรอยดินสอยับย่นยู่ยี่
จุดไม้ขีดจ่อ
อังมือเย็นเจี๊ยบเหนือเปลวไฟ.