เสียงรองเท้าส้นสูง ดังกระทบพื้น เป็นระยะๆ เสียงบ่งบอกถึงความเป็นสาวมั่น ไม่มีทางที่เธอจะสะดุด สายไฟ หรือสาย ใดๆ ของอุปกรณ์ใน ออฟฟิต เป็นอันขาด นอกจากสายใจ ของหนุ่มๆ ทั้งโสดและไม่โสด เท่านั้น ฉันนึกยังไม่จบน้ำเสียงอันมั่นเกิน 100 ของเธอทักทายมาอย่างอ่อนหวาน พี่พร ขา อรุณสวัสดิ์ เช้าวันสุดท้ายของวันทำงานในสัปดาห์ นี้ค่ะ พรุ่งนี้ จะพาครอบครัวเที่ยวที่ไหน กันค่ะ คงไม่หรอก ค่ะ น้องชะเอม พอดีพี่ยัง ปิดงบไม่ลงตัว นะค่ะ ต้องปิดงบให้ทันวันสองวันนี้ค่ะ ถ้าน้องเอมว่าง ช่วยพี่ปิดงบหน่อยซิค่ะ ฉันแกลังพูดไปงั้น เพราะรู้ในคำตอบล่วงหน้าแล้ว แต่คำตอบกลับเกินคาดกว่าที่ฉันคิดไว้เสียอีก คงไม่ได้ หรอกค่ะพี่พร หนูต้องไปทำบุญค่ะ พรุ่งนี้วันเสาร์ ตรงกับวันพระด้วย หนูต้องรีบทำบุญเพื่อสะสมไว้ให้เยอะๆ ค่ะ ชาติหน้าหนูจะได้เกิดมาสวยผุดผ่อง มากกว่านี้ค่ะ พี่พรก็ควรหาเวลาไปทำบุญเสียบ้างนะค่ะ ชาติหน้าจะได้สวยเหมือนหนู ดูพี่ซิค่ะ ผิวพรรณไม่สดใสผุดผาด เหมือนหนูเลย ไม่ได้นะค่ะ พี่เรื่องอย่างนี้มีผลจริงๆ นะค่ะ จ๊ะ แล้วพี่จะหาเวลา นะจ๊ะ ฉันรีบตัดบทก่อนที่คุณเธอ จะเอ่ยคำเปรียบเทียบที่บาดใจฉันมากกว่านี้ โถ จะไม่ให้ต่างกันอย่างไร ฉันอายุ 49 จะ 50 เข้าไปแล้วส่วนเธอเพิ่งจะ 30 มามาดๆ ทั้งยังไม่แต่งงานด้วยเหตุผลที่เธอเคยบอกฉันว่า ไม่รู้จะ เลือกใครดีค่ะ พี่พร มันเยอะเสียจนหนูเลือกไม่ถูก เลยค่ะแค่ควง กันไปศึกษานิสัยใจคอกันไปนะค่ะ และยังการแต่งตัวของเธอกับฉันสิ ต่างกันหน้ามือกับหลังมือ ฉันขุดกรุมาเมื่อ 10 ปีทีแล้วที่เขานิยมกัน เธอล้ำแทบจะทันแฟชั่นเสียวันต่อวัน เฮ้อ ฉันคิดอย่างอิจฉา และหมั่นใส้หล่อนจริงๆ ให้ดิ้นตายซิเอ้า หนู ขอตัวไปทำงานก่อนนะค่ะ พี่พร แล้วเจอกันตอนเที่ยง นะค่ะ จ๊ะ ขอให้มีความสุข กับงานทำงานวันนี้ นะค่ะพี่พร นั่น ใช่แต่ความหมั่นไส้ ที่ฉันมีให้หล่อน หรอก ความปรารถนาดีเธอก็มีให้ฉัน จนใกล้เที่ยงเธอเดิน มาพร้อมเสียงแสนหวาน พี่พรขา ไปทานข้าวได้แล้วค่ะ วันนี้จะทานอะไรกันดีค่ะ พี่อยากทานก๊วยเตี๋ยว เนื้อเปื่อย เจ้าอร่อย ข้างบริษัทจังเลยค่ะ เราไปทานกันไหมค่ะ โอ๊ะ ไม่หรอกค่ะ ชะเอมไม่ทานเนื้อ พี่พรก็ทราบนี่ค่ะ มันไม่ดีกับสุขภาพ และมันเป็นการร่วมกันสร้างบาป โดยที่เราไม่รู้ตัว นะค่ะ พี่พร เรื่องอย่างนี้ก็มีผลกับผิวพรรณ รูปร่างหน้าตา สง่าราศรี ของเราเหมือนกันนะค่ะ ชะเอมว่าเราไปทานสลัดมังสวิรัติ กันดีกว่านะค่ะ งั้นน้อง ชะเอมไปเถอะค่ะ พี่พรตั้งใจแล้วว่าวันนี้จะทำบาป อีกสักวัน มันห้ามใจไม่ไหวค่ะ งั้น ชะเอมขอตัวนะค่ะ พอดีธีระ นัดชะเอมไว้ด้วยนะค่ะ จ๊ะ ตามสบายเถอะ ว่าแต่วันนี้ทำไม ถึงควงธีระ ได้ล่ะ ฉันถามด้วยความสงสัย(ปนอยากรู้) เพราะเธอเคยบอกกับฉันว่าธีระ หาใช่สเปค ผู้ชายของเธอไม่ ชะเอม สงสารเค้า นะค่ะ หลงรักชะเอมเสียหัวปักหัวปำ วันนี้เลยรับนัด เค้าหน่อยค่ะ เนี่ย เป็นการทำบุญอย่างหนึ่งนะค่ะ พี่พร เราจะได้บุญสะสมไว้เป็นทางอ้อมนะค่ะ ดูความเชื่อเรื่องบุญ ของเธอซิค่ะ แต่ฉันไม่แปลกใจซะแล้ว ในเรื่องความเชื่อของเธอ เพราะเอกลักษณ์ของเธอ เป็นอย่างนี้ จนฉันชินไปแล้ว แต่เธอ จะเป็นคนที่มีความจริงใจในระดับหนึ่ง และจะน่าคบมากกว่านี้หากเธอจะลดความเป็นสาวมั่นลงเล็กน้อย และทิ้งมาดและคำพูดอันน่าหมั่นไส้ไปอีกสักหน่อย แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เธอมักมาปรึกษาฉันในทุกๆ เรื่อง พร้อมกับขอความคิดเห็นไปงั้นๆ พอฉันเสนอความคิดเห็นไป เธอกลับไม่สนใจ และมีคำมายืนยันในความคิดเดิมของเธอทุกครั้ง (แล้วไม่รู้จะมาปรึกษาฉันทำไม) เป็นอย่างนี้ เกือบจะทุกวัน ที่เราทำงานร่วมแผนกกันมา เกือบ 5 ปี ฉันรู้เรื่องราวต่างๆ ของเธอดีเพราะเธอจะมาเล่าให้ฟัง ทุกเรื่อง และทุกเรื่อง ที่เธอไม่สมหวัง เธอจะสรุปมันตรงคำตอบสุดท้าย ว่า ชะเอม กลัวบาปค่ะ มาสัปดาห์นี้ทั้งสัปดาห์ ฉันเห็นชะเอมควงกับ ธีระ ไปทานข้าวเที่ยงทุกวัน เห็นสีหน้า ปริ่มไปด้วยความสุขของทั้งสอง คน ฉันก็คิด ว่าทั้งคู่น่าจะลงเอยกันได้แน่นอน ทั้งอายุ เธอก็น่าที่จะมีครอบครัว ได้แล้วธีระเองก็ยังโสด ในความคิดฉันคิดว่า ทั้งคู่เหมาะสมกันที่สุดแล้ว จนมาสัปดาห์ที่สาม วันศุกร์ ไกล้เที่ยงน้องชะเอมเดินเข้ามาหาฉันพร้อมเสียงอ่อนหวาน พี่พร ขา วันนี้ไปทานข้าวกับชะเอม นะค่ะ ชะเอมมีเรื่องปรึกษา พี่ด้วยค่ะ แต่พี่ว่าจะไป ทานเนื้อเปื่อย เจ้าเดิมอีก นี่จ๊ะ ชะเอมไม่ทานเนื้อไม่ใช่หรอ ไม่เป็นไร ค่ะพี่วันนี้ ชะเอมจะทานสักวัน คงไม่เป็นไรหรอกค่ะ ชะเอมสะสมบุญเอาไว้เยอะแล้ว แค่มื้อเดียวเอง ไปค่ะ เก็บงาน ชะเอมมีเรื่องร้อนใจค่ะ เราเดินจนมาถึงร้านโปรดของฉัน คนยังไม่แน่นเพราะเราออกกันมาก่อนพักเที่ยงครึ่งชั่วโมง ฉันสั่ง เกาเหลาพร้อมข้าว ได้ยินเสียงชะเอมสั่ง ขอเกาเหลา ชามพิเศษนะ เอาเนื้อเปื่อย เยอะๆ ผักเยอะๆ จ๊ะ ข้าวสวยไม่ต้อง ฉันแอบอมยิ้ม กับเมนูของเธอ พร้อมถาม ชะเอม มีเรื่องอะไร หรอจ๊ะ แล้ว วันนี้ธีระไปไหนเสียล่ะ ถึงไม่ไปทานข้าวด้วยกัน ก็ เรื่องนี้แหละค่ะ พี่พร ขา ชะเอมละกุ้ม กุ้ม ถึงได้ชวนพี่พรมาทานข้าว ด้วยยังไงละค่ะ คืองี้นะค่ะ เธอกำลังจะอ้าปากเล่าต่อ พอดีเด็กเสริฟ นำเกาเหลามาเสริฟเสียก่อน เราจึงหยุดการสนทนา และปรุงเกาเหลาชามใครชามมัน คืองี้ นะค่ะ พี่พรขา ธีระนะ เค้าเป็นแฟนเก่าของ ซาร่าค่ะ หลังจากที่เราซัดเข้าปากกันไปคนละสี่ห้าคำเธอจึงพูดขึ้น เราสามคนเลยตกลงกันใหม่ ชะเอมขอเสียสละ คืนธีระให้เค้า ไปค่ะ ชะเอมสงสารเค้า ซาร่าไม่เคยมีผู้ชายมาจีบเลยนะค่ะ ทีนี้พอธีระ ทำท่าว่าจะมาติด ชะเอมนะ ซาร่าเค้าเสียใจใหญ่เลยค่ะ พูดพลาง เธอโซ้ยเนื้อเปื่อยเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดทั้งกินและพูด ฉันมองหน้าเธอด้วยความสงสัย เนี่ย นะค่ะ เห็นบอกว่าจะฆ่าตัวตายด้วย ฉันยิ่งสงสัยเข้าไปอีก ชะเอม เลยคิดว่าไหนๆ คนเค้าเคยรักกันมาตั้งนาน เลยคืนธีระให้เค้าไปดีกว่านะค่ะ ฉันไม่อยากเก็บความสงสัยอีกต่อไปแล้ว รีบถามเมื่อเห็นเธอกำลัง โซ้ย ตับสด เข้าปาก อ้าว แล้วหนูรู้ได้อย่างไรละจ๊ะ ว่าธีระนะเคยมีแฟนชื่อ ซาร่า.... "อ้าว ก็ซาร่ากับหนูเป็นเพื่อนรักกันนิค่ะ เราคบกันตั้งแต่เรียน ม.1 แนะค่ะ อีกอย่าง ชะเอมกลัวบาป จริงๆ ค่ะที่ทำให้เพื่อนรัก ถึงกับคิดฆ่าตัวตาย เฮ้อ!! ฉันก็พลอย เฮ้อ!!! ไปกับเธอด้วยอีกคน....
ฝ้ายนั่งมองแม่ซึ่งนั่งชันเข่าแอบร้องไห้ อยู่คนเดียวเงียบๆ เด็กหญิง วัย 10 ขวบผิวน้ำตาลแดงค่อนข้างแห้ง รู้สึกสงสารแม่จับใจ แต่ไม่สามารถที่จะปลอบแม่ให้หายเศร้า หรือหายจากอารมณ์ใดๆ ที่ทำให้แม่ร้องไห้ได้ อย่างเดียวเด็กหญิงมั่นใจ ว่า การที่แม่ร้องไห้ครั้งนี้ต้องเกิดจากพ่ออีกแน่นอน เพราะมีแม่ที่อ่อนแอ ทำให้ฝ้ายเป็นเด็กที่กล้าหาญ หรือพ่อมักใช้คำว่าแก่แดด กับฝ้ายเสมอ พร้อมที่จะตัดสินใจเองในบางเรื่อง โดยไม่ถามความเห็นของแม่เพราะ เบื่อในความอ่อนแอ ไม่กล้าพูด หรือต่อว่าพ่อ ในสิ่งที่พ่อประพฤติ พ่อ ชอบเล่นการพนัน ทุกชนิด โดยเฉพาะ การตั้งวงเล่นไพ่ กับเพื่อนพ่อที่บ้าน ใกล้เคียงโดยเปิดเป็นบ่อนเล็กๆ แต่สามารถรีดเงินในกระเป๋าของพ่อจนเกลี้ยงกระเป๋า ฝ้ายอายุ 10 ขวบแล้วแต่เพิ่งได้เรียนแค่ชั้น ป.2 นั่นเป็นเพราะความไม่เอาไหนของพ่อ และความอ่อนแอของแม่ วันนี้คงเป็นอีกวันที่ฝ้ายคิดว่าแม่ต้องกินข้าวเคล้าน้ำตา และฝ้ายกินข้าวคลุกน้ำปลา มีอะไร กินมั่ง หิวโว้ย เสียงพ่อดังก่อนจะเข้าบ้านเหมือนส่งสัญณาณ การมีปากเสียง(จากพ่อ) มาก่อน แม่รีบเช็ดน้ำตาแต่ยังคงนั่งนิ่งเฉย ไม่ตอบคำถามพ่อ โว้ย ถามว่ามีอะไรกินมั่ง ไม่ได้ยินรึไง นั่งทื่ออยู่ทำไม รีบไปยกสำรับมาหน่อย เฮ้ย ฝ้าย ได้ยินที่พ่อ สั่งไหม ฝ้ายรีบเปิดตู้กับข้าว ไม่มีอะไรเหมือนที่ฝ้ายคิด ที่จริงฝ้ายไม่ต้องเปิดก็ได้ก็อยากเปิดนี่ ฝ้ายหยิบจานข้าวสังกะสี พร้อมช้อน ไปตักข้าวเย็น 2 จาน พร้อมหยิบขวดน้ำปลา ติดมือไปด้วย สองมือน้อยๆ ค่อยๆ ประคองจานข้าวและขวดน้ำปลา แล้วก้มวางตรงหน้าพ่อ พร้อมนั่งขัดสมาด และใช้น้ำปลาราดข้าว แล้วตักกินโดยไม่สนสายตาผู้เป็นพ่อ จนคนเป็นพ่อ ต้องเอ่ยปาก อะไรวะ มีกินแค่นี้หรอว่ะ กับข้าวบ้านนี้ทำไมมัน ห่วย สิ้นดี ข้าไม่กินก็ได้ว่ะ วันนี้ได้มาเยอะ โว้ย ข้าไปกิน ร้านไอ้โกก็ได้ ไม่เห็นจะง้อเลย พ่อเล่นได้หรอ วันนี้ ฝ้ายถามด้วยเสียงแก่แดด และแก่นแก้ว เออ แล้ว ทำไมพ่อ ไม่ซื้อข้าวสาร กับข้าวกลับบ้าน บ้างล่ะจ๊ะ โธ่โว้ย ข้าก็จะใช้ทำทุนใหม่ ซิโว้ย พอดีข้าหิว เลยกลับมาหาอะไรกินก่อน เดี๋ยวข้า จะกลับไปเล่นต่อโว้ย พ่อตะคอกด้วยเสียงอันดังและชัดเจน แต่ พ่อจ๊ะ ข้าวสารหมด แล้วแม่ไม่มีเงิน เลยนะ กับข้าวเราก็ไม่มี พ่อแบ่งเงินให้หนูเอาไปให้แม่หน่อยนะ จะได้ซื้อ อะไรไว้กินนะจ๊ะ เฮ้ย แกไม่ต้องพูดมาก ไอ้ฝ้าย ข้าไม่ให้แกให้เสียฤกษ์ เป็นเคล็ดโว้ย หากข้าให้แกไปซื้อของกินเท่ากับ เดี๋ยวพอข้าไปเล่นอีกก็โดนเจ้ามือ กินเรียบซิวะ อ้าว แล้วเดี๋ยวพ่อ จะแวะกินที่ร้านอาโก ต้องจ่ายเงิน แล้วไม่เสียหรอจ๊ะ เออ จริงวุ้ย งั้นข้าไม่กินดีกว่า ไปเล่นต่อดีกว่า โว้ย เดี๋ยววข้าต้องได้มากกว่าเดิมอีก ฮ่า ฮ่า เสียงหัวเราะของพ่อคงบาดเข้าไปในใจของแม่มาก ฝ้ายคิด พลางหันไปมองแม่ที่เริ่มน้ำตาคลอเบ้าขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ฝ้ายเบื่อสภาพบ้านตัวเองเต็มที แต่พอข้าวในจานหมด ฝ้ายเกิดความคิดว่าต้องไปเอาเงินมาจากพ่อก่อนสักส่วนก่อนที่พ่อ จะส่งให้เจ้ามือหมดโดยไม่เหลือกลับบ้านเลย ฝ้ายรีบกระโดดผลุง ลงจากบ้านรีบวิ่งไปบ้านลุงก้อน เพื่อนพ่อ อ้าว อีฝ้าย มาทำอะไร ที่นี่วะ เสียงป้าสาร้องถามเมื่อเห็นหน้าฝ้าย แม่ให้มาตามพ่อกลับบ้าน จ๊ะ ป้าสา พ่อแก เค้าเข้าขา แล้วโว้ย มันไม่ลุกหร้อก เสียงป้าสาบอก อย่างกีดกันเพราะรายได้ส่วนหนึ่งของป้าสา คือค่าต๋ง ที่คนมาเล่นไพ่ได้แล้วแกจะหักเปอร์เซ็นทุกครั้ง ซึ่งแต่ละวันจะมีรายได้ดีกว่า คนทำงานใช้แรงงานเยอะมาก แต่ แม่ไม่สบายนะจ๊ะ หนูต้องไปตามพ่อ ป้าสาเปิดประตู ให้หนู หน่อย อ้าว หรอ แล้วแม่แกเป็น รัยไปว่ะ ไม่รู้จ๊ะ เห็นบอกเหมือนจะเป็นลม เด็กหญิงพูดปด นางสาเห็นท่าไม่ค่อยดีจึงเปิดประตูให้เด็กน้อย เข้าปาตามพ่อ ฝ้ายเดินเข้าไปในห้องทึบๆ ที่ปิดหน้าต่างรอบบ้านให้การเปิดไฟ เพื่อนให้แสงสว่าง มีกลิ่นบุหรี่ คละคลุ้ง ฝ้ายเห็นพ่อแล้ว จึงรีบวิ่งเข้าไปหาพ่อที่มีเงินวางกองอยู่ด้านหน้า หลายใบ พร้อมบอก พ่อ แม่ไม่สบายให้มาตามกลับบ้าน อะไรว่ะ เมื่อกี้ข้ายังเห็นสบายดีอยู่ นี่หว่า แกไม่ต้องมาลูกไม้กับข้าเลยไอ้ฝ้าย ข้ารู้ทันแกหรอก ไป กลับบ้านไป๊ อย่ามาขัดลาภข้า เดี๋ยวจะโดน หนักนะโว๊ย งั้น พ่อ เอาตังส์มาให้หนูก่อนซิจ๊ะ แล้วหนูจะไป เอ๊ะ เด็กนี่ เอ้า เอ้าไป พรางยื่นเหรียญ 10 ให้เด็กหญิง ๆ รับมาอย่างเริ่มชัง นิสัยพ่อเต็มที ไป ไป๊ ไป ไกลๆ ถ้ายังไม่ไปแกโดนแน่ ฝ้ายรีบถอยห่างเพราะยังจำรสมือพ่อ ได้ดี วันนั้นฝ้ายโดนเอาเลือดเกือบกลบปาก จีงค่อยๆ ถอยออกมาในมือกำเหรียญ สิบ ไว้แน่น ถึงตอนนี้ฝ้ายรู้สึกแล้วว่าความอ่อนแอ ของแม่เกิดจากสิ่งใด เด็กหญิง ค่อยๆ ก้าวออกจากบ้าน ด้วยความรู้สึกโกธรผู้เป็นพ่อ ก็ครูที่โรงเรียนสอนว่าการพนันเป็นสิ่งไม่ดี แต่พ่อยังทำ แถบไม่ให้ซื้อกับข้าว ซื้อข้าวสาร ทำให้แม่ต้องร้องไห้ ทุกวัน และฝ้ายยังเห็นว่าพ่อมีเงินตั้งเยอะแต่กลับให้ฝ้ายมาแค่สิบบาท ฝ้ายเดินไปเรื่อยๆ จนผ่านตู้โทรศัพท์สาธารณะ ฝ้ายหยุดกึกมีความคิดผุดขึ้นมาในสมองเล็กๆ เด็กหญิงรีบวิ่งกลับไปบ้านลุงก้อง อ้าว นังฝ้ายกลับมาทำไมอีกว่ะ เดี๋ยวเหอะ ข้าว่าได้โดนมือ พ่อแกแน่ๆ ป้า จ๊ะบ้านป้า บ้านเลขที่เท่าไหร่ จ๊ะ ปล่าวจ๊ะ พอดีคุณครูให้กรอก ชื่อเพื่อนข้างบ้าน ไว้ด้วยนะจ๊ะ ที่โรงเรียน ทีนี้ฉันคิดว่าจะเอา บ้านไอ้ต่อ ลูกป้านี่แหละเพราะเราอยู่ห้องเดียวกัน เผื่อวันไหนคุณครูจะได้สอบถาม ได้เมื่อใครขาดโรงเรียนไปนะจ๊ะ หรอ วะ ไม่เห็นไอ้ต่อมัน บอก ต่อ มันคงเอาชื่อคนอื่นมั้ง จ๊ะ เออ บ้านเลขที่ 20 โว้ย ขอบคุณ จ๊ะป้า หนูไปล่ะ ฝ้ายรีบวิ่งมาหยุดที่ตู้โทรศัพท์ หยอดเหรียญสิบในมือ พร้อมกดหมายเลขปลายทาง 191 สวัสดีค่ะ หนูต้องการแจ้งความค่ะ คือมีการเล่นการพนันกันที่บ้านเลขที่ 20 ถนน...........ค่ะ รีบมาเลยนะค่ะ บ้านนี้อยู่ใกล้ตู้โทรศัพท์สาธารณะด้วยค่ะ สังเกตง่ายค่ะ มีคนเล่นประมาณ 20 คนค่ะเตรียมเจ้าหน้าที่มาให้พร้อมนะค่ะ ค่ะ สวัสดีค่ะ ฝ้ายวางหู พร้อมยืนแอบตู้โทรศัพท์รอดูสถานการณ์ นานจนฝ้ายคิดว่าหมดหวังไปแล้ว จึงเห็นรถกะบะตราโล่แล่นเข้ามาในซอย พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ 5 นายนั่งท้ายรถกะบะ ฝ้ายรีบแอบตู้โทรศัพท์ เพื่อดูเหตุการณ์ต่อไป สักพักได้ยินเสียง โหวกเหวก ดังลั่น และได้ยินเสียงรถตำรวจเปิดหวอ เพื่อที่จะกลับโรงพัก ฝ้ายรีบเดินออกมาจากตู้โทรศัพท์ มองหาพ่อบนท้ายรถกะบะ นั่นไงฝ้ายเห็นพ่อแล้วพร้อมกับพ่อ หันหน้ามามองฝ้ายตรงกันพอดี ฝ้ายได้แต่ยกมือขึ้น โบกมือให้ผู้เป็นพ่อ พลางคิดในใจ งานนี้ไม่รู้ว่าแม่จะร้องไห้หนักกว่าเดิมหรือว่า หยุดร้องไห้สักที่ เฮ้อ!!!!!~ เด็กหญิงถอนหายใจ.....
ขณะที่ นิภา นั่งก้มหน้าทำงาน เพลินๆ อยู่นั่นเอง รู้สึกเหมือนมีใครเปิดประตูห้องทำงาน แคบๆ เข้ามา จึงเงยหน้าขึ้นมองแต่ต้องตกใจ อย่างสุดขีด สิ่งที่นิภาเห็น คือ เด็กผู้หญิง หน้าตา ดูน่ากลัว ป้ำๆ เป๋อๆ ในความคิดของนิภา ด้วยความตกใจ เธอตะโกนว่า ใครให้คนบ้าเข้ามานะ แต่พอพิจารณาอีกทีเด็กผู้หญิงที่เกือบจะสาวเต็มตัวแล้ว แต่งตัว เรียบร้อย ถักเปียสองข้าง หากเป็นเด็กธรรมดาคงจะน่ารัก มากกว่านี้ เท่าที่นิภาสังเกต บ่ง บอกว่าได้ว่าไม่ใช่เด็กจรจัดอย่างแน่นอนเธอ ส่งยิ้มให้นิภา อย่างเต็มอกเต็มใจ พร้อมเข้าประชิดตัว เอื้อมมือมาจะจับมือนิภา แต่ด้วยความกลัวนิภารีบหดมือหนี เด็กผู้หญิงคนนั้นทำหน้างง คล้ายตั้งคำถาม ว่า ฉันผิดอะไรหรอ พร้อมทำท่าขัดใจ จะดึงมือนิภาให้ได้ นิภายอมรับกับตัวเอง ว่าเธอกลัวเด็กสาวคนนี้ มาจากไหนไม่รู้ แล้ว ทำมือ แบะ แบะ พยามดึงมือนิภา ไปจับให้ได้ ทำให้นิภารู้ว่าเด็กพูดไม่ได้ มีความเอาแต่ใจตัวเองสูง แต่อีกสิ่งหนึ่งที่นิภามองเห็นจากเด็กสาวคนนี้คือ เด็กต้องการเป็นเพื่อนกับเธอ มีความเป็นมิตรสูง เพียงแต่เธอสื่อออกมา ในแบบที่เด็กเป็นเท่านั้นเอง และมันเป็นการเจอกันครั้งแรกนิภาจึงยังทำใจให้ยอมรับไม่ได้ ถึงแม้ว่าเด็กสาวจะแสดงว่าเธอเป็นมิตรแค่ไหนก็ตาม ในตอนนั้นสิ่งที่อยู่ในหัวนิภามีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ จะทำอย่างไร ให้เด็กคนนี้ออกไปจากห้อง ทำงานเธอ เพื่อที่เธอจะได้ ล๊อค ห้องแล้วไม่ให้เด็กคนนี้เข้ามาอีก ขณะที่นิภากำลังจะออกปากไล่ นั้นหูเธอพลันได้ยินเสียงเรียก น้องเบน ๆๆๆๆ อยู่หน้าห้องแถวที่เป็นตั้งสำนักงานของนิภา เด็กผู้หญิง คนนั้นหัน ตามเสียงเรียก พร้อมหันมาพูดด้วย เสียง อ้อ แอ้ และ มือเป็นระวิง แต่ที่ไม่จางหายไปเลยคือ รอยยิ้ม จากเด็กหญิงคนนั้น พร้อมกันนั้นยังพยายามเอื้อมมือมาเพื่อจะจับมือ เธอ ลากออกไปนอกห้อง แต่นิภารีบหดมือหนี และรีบเดินออกไปจากห้องทำงาน เธอคิดว่าหญิงกลางคนที่ส่งเสียงเรียกอยู่นั้น น่าจะมาหา เด็กสาวคนนี้แน่นอน สิ่งหนึ่งซึ่งวิภามั่นใจแน่นอนว่าไม่เคยเห็นทั้งสองคน นี้มาก่อน พอวิภาเปิดประตู ออกมาเด็กสาว ก็รีบเดินตามออกมา พอเห็นหญิงวัยกลางคน เด็กหญิงเดินแกมวิ่งไปเกาะแขน พร้อม ชี้บอกให้ เดินมาหานิภา หญิงวัยกลางคนเดินมาหานิภา พร้อมพูดว่า น้องเบน มากวนคุณ หรือ เปล่าค่ะ นิภาคิดในใจอยากจะบอกว่า กวน ซิค่ะ แล้วฉันก็กลัว เด็กนั่นด้วย แต่ปากบอกไปว่า แค่ตกใจ นะค่ะ จู่ๆ แกก็โผล่ เข้ามา เออ น้องอายุเท่าไหร่ แล้วค่ะ 14 ค่ะ พอดีฉันเผลอ ทำกับข้าวอยู่ในครัวนะค่ะ น้องเบน เดินออกมาเมื่อไหร่ ไม่รู้ ต้องขอโทษ จริงๆ นะค่ะ เธอทำให้คุณ กลัวหรือเปล่าค่ะ แกเป็น ดาวน์ซินโดมค่ะ พูดไม่ค่อยออกเป็นคำพูด หรอกค่ะ ถ้าไม่สนิท กันจะไม่รู้เรื่อง ก็พอสื่อกันได้ จะเข้าใจค่ะ เธอไม่เคยทำร้ายใครนะค่ะ แต่ คนมักตกใจ เมื่อเห็นท่าทางแกนะค่ะ ฉันส่งให้แกเรียนโรงเรียน เฉพาะ เด็กพวกนี้นะค่ะตอนนี้ปิดเทอมค่ะ อ้อ เราเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ค่ะ ร้านขายอะไหล่ รถยนต์ นะค่ะ เหมือนเธอจะนึกรู้ว่านิภากำลังสงสัยเรื่องอะไรอยู่ อ๋อ ค่ะ ยินดีที่รู้จักนะค่ะ นิภา ค่ะ ทำบัญชีอยู่บริษัท นี้นะค่ะ มิน่าว่าไม่เคย เห็นหน้ากัน พร้อมหันไปมองเด็กสาวอีกครั้งแต่ครั้งนี้นิภา มองด้วยความสงสาร เห็นเด็กหญิงทำท่าทางบอกผู้เป็นแม่บางอย่าง เธอ ให้ฉันบอกว่า อยากจะเล่นกับคุณ คุณ สวย ค่ะ เธอชอบคุณ ค่ะอยากมาหาคุณอีก ตอนแรกนิภายังลังเลแต่พอเห็นรอยยิ้มของเบนใจของนิภาอ่อนลงมานิดหนึ่ง พร้อมตอบไปว่า ได้ ค่ะ แต่ภา ขอเป็นตอนเที่ยงนะค่ะ เพราะว่า ภาก็เป็นลูกจ้างเค้า คงไม่มีเวลาเล่นกับน้องเค้านานหรอกค่ะ คนเป็นแม่ยิ้ม ด้วยความยินดี ในตอนนั้นนิภา ไม่เข้าใจว่าทำไม แม่น้องเบนถึงได้ยิ้มอย่างยินดีมากขนาดนั้น แค่เธอ ยอมให้น้องเบน มาเล่นกับเธอ บางวันในตอนเที่ยง และเห็นผู้เป็นแม่ทำมือ ทำไม้และบางครั้งก็พูด บอกลูกสาว เห็นน้องเบนยิ้ม อย่างสดชื่น พร้อม เดินมาจับมือ เธอ มากุมพร้อม โยก ไป มา จนแม่ต้องมาดึงตัวน้องเบนออกมา และ ทำท่าทางเหมือนบอกอะไร กับน้องเบน นิภาเห็น น้องเบน พยักหน้า ตอบ ต้องขอตัว กลับก่อนนะค่ะ ขอโทษอีกครั้งค่ะ ที่น้องเบนทำให้คุณตกใจ ไม่เป็นไร ค่ะ พี่ นิภา ตอบผู้เป็นแม่ไป และ ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว และไม่ได้ใส่ใจ ในเรื่องนี้อีก จนมาวันหนึ่งนิภาต้องตกใจ อีกครั้ง ที่น้องเบนโผล่หน้า เข้ามาทักทายเธออีกครั้ง พร้อมท่าเหมือนเดิม คือ พยายามจับมือนิภาไปกุมไว้ เพื่อโยกไป โยกมา แต่ครั้งนี้ นิภา ยอมให้น้องเบนจับมือ น้องเบนพยายาม ที่จะพูด กับนิภา นิภาพอเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ที่นิภาเริ่มรำคาญ คือ น้องเบน จะพยายามรื้อ งานบนโต๊ะ ของเธอ หยิบปากกา มาขีดๆ เขียน ต้องคอยห้ามปรามกันตลอด แต่ไม่ว่าจะห้ามอย่างไร พอน้องเบนวางปากกา เธอก็คว้า ที่ปั๊มงาน ต่อ แล้วทำท่าถามเธอว่าใช้ทำอะไร นิภา ไม่ตอบแต่ขอคืน และเก็บเข้าลิ้นชัก ทุกอย่าง พร้อมบอกน้องเบน ว่า พี่ภา จะไปทานข้าวแล้วค่ะ น้องเบนกลับบ้านนะค่ะ คุณ แม่ ทราบยังว่าน้องมาที่นี่ค่ะ น้องเบนพยักหน้า และ ทำท่าเตรียมออกไปพร้อมกับนิภา โดยกุมมือนิภาไว้ แล้วจูงออกมาจากห้องเอง นิภา ล๊อกห้องทำงาน เดินออกมาพร้อมน้องเบนพร้อมคิดว่า จะพาน้องเบนเดินไปส่งบ้าน แล้วหาอะไรทานแถวนั้น ไม่ต้องไปไกล แต่พอถึงหน้าบ้านน้องเบน น้องเบนกลับลากนิภาเข้าไปในบ้าน เมือเข้าบ้านเจอกับแม่น้องเบนร้องทักว่า มากันแล้วหรอค่ะ แม้ น้องเบนไปเอาตัวน้อง มาทานข้าวเที่ยงกับเราจนได้นะค่ะ นิภางง คือ แกขอให้ฉันทำกับข้าว ไว้บอกจะไปชวนคุณมาทานกับเราด้วยนะค่ะ คะ นิภาอุทานซะมากกว่า จะหมายความว่าตกลง แต่สุดท้ายนิภา ต้องร่วมทานอาหารร่วมกับครอบครัวน้องเบนเพราะด้วยอาการดื้อ และ ตื้อ ของน้องเบน แต่ทำให้นิภา ได้รู้จักกับครอบครัวน้องเบนมากขึ้น พ่อน้องเบนที่แม่น้องเบนเรียก เฮีย เป็นชายมีอายุมากแล้ว น่าจะ สัก เกือบ 60 แล้วแต่ท่าทางเป็นคนใจดี น้องเบนมีพี่ชายอีกคน ชื่อ พี่โต อายุมากกว่าน้องเบนสองปี ตอนนี้ อายุ 16 กำลังเรียน อยู่ ม.6 เตรียมสอบเอ็นทราน แล้วพี่โตจะคอยตักอาหารให้น้องเบน และไม่มีอาการว่ารำคาญน้องเบน เลย ทั้งๆ ที่เด็กผู้ชายวัยนี้น่าจะ อายที่มีน้องสาว เป็นดาวน์ซินโดม หรือพูด ง่าย ๆ แต่ฟังแล้วมันเจ็บปวดสำหรับคนในครอบครัว คือ เด็กเอ๋อ นั่นเอง แม่น้องเบนเล่าว่าเธอมีน้องโต และ น้องเบน ตอนที่อายุมากแล้ว แต่น้องโตปกติ ดี ส่วนน้องเบนก็เป็นอย่างที่เห็นแต่ในครอบครัวสามารถยอมรับน้องเบนได้ เลยไม่มีปัญหาทุกคน จะรักและสงสารน้องเบนมาก พี่โตของน้องเบนจะคอยช่วยเหลือ น้องสาวทุกอย่าง หากพากันไปเที่ยวข้างนอกบ้าน พี่โตจะเป็นคนเดินจูงน้องเบน เพราะ หากไปไม่จูง น้องเบนก็จะเดินเรื่อยเปื่อย ไปเรื่อยๆ หากที่นั่นเป็นที่ที่น้องเบนไม่เคยชิน มากนักก็จะพลัดหลงต้องตามตัวกันให้ทั่ว ด้วยใจที่หวั่นกลัวไปหมด ว่าน้องจะเดินข้ามถนน หรือ มีใครมาจูงไปทางไหนเพราะสมัยนี้ไม่สามารถที่จะไว้ใจใครได้เลย และน้องเบนยังเป็นเด็กสาว ถึงแม้ว่าจะ เป็นเด็กดาวน์ แต่พวกทรชนมันกลับคิดว่าดีเสียอีกหากจะทำอะไร เด็กไม่สามารถ ที่จะชี้ตัวได้ ข้อนี้ครอบครัวน้องเบนกลัวกันเป็นที่สุด ซึ่งนิภาก็เห็นด้วยในข้อนี้ สังคมในปัจจุบัน มันสามารถที่จะเกิดได้ทุกขณะ หลังจากวันนั้น นิภาและน้องเบน สนิทกันมากยิ่งขึ้นเข้าใจกันมากยิ่งขี้นและสื่อสาร กันได้มากยิ่งขึ้น น้องเบนสามารถเรียก พ่อได้ ว่า ป๊ะ เรียกแม่ได้ว่า ม๊ะ เรียกพี่ชายว่า พี้ มาถึงตอนนี้นิภา คิดว่า ความรังเกียจ ความหวาดกลัวที่เธอมีต่อน้องเบน หายไปหมดแล้วเหลือไว้แต่เพียง ความสงสาร เห็นใจ ในโชคชะตา ของเด็กสาว แต่น้องเบนก็ไม่ได้มากวนนิภาบ่อยๆ นักและช่วงหลัง นิภาจะเตรียม ของที่ตัวเองไม่ใช้แล้วไว้บนโต๊ะ และเก็บงานที่สำคัญ ไว้ในลิ้นชัก เมื่อน้องเบนมาหาเธอ เธอจะจับให้น้องเบน นั่งตรงข้าม หากระดาษ เอ 4 พร้อมปากกามาให้ น้องเบนขีดเล่นแล้วเธอนั่งมอง เรื่องทำงานต่ออย่าหวังหากน้องเบน มา เพราะเธอจะ พยายามรื้อ นั่นนี่ คอยถามนั่น นี่นิภาตลอด เข้าใจมั่งไม่เข้าใจมั่งได้แต่บอกว่า นั่งลงๆ แล้วยัดปากกาใส่มือ แต่ขีดได้แป๊บเดียว คุณเธอก็จะ หาเรื่องถามนั่นนี่ แบ๊ะ แบะ ทำไม้ทำมืออีก จนแม่น้องเบนมาตามตัวกลับ นั่นแหละนิภาถึงได้ทำงานต่อ แต่ไม่เกิน ครึ่งชั่วโมงแม่น้องเบนจะมาตามกลับแล้วเพราะรู้ว่านิภาต้องทำงาน ในขณะเดียวกันก็อยากปล่อยลูกสาวออกมาหาประสบการณ์ที่เธอเชื่อว่ามันปลอดภัยกับลูกสาว ของเธอ และวันหนึ่ง นิภายิ้มกับน้องเบนเมื่อ น้องเบนเรียกนิภา ว่า พิภะ คำๆ นี้ มันทำให้นิภา รู้สึกเอ็นดูน้องเบนมากยิ่งขี้น เพราะนอกจากคนในครอบครัวแล้วน้องเบนจะไม่เรียกใครอีกเลย แสดงว่าเพราะน้องเบนรักเธอ นั่นเองจึงพยายามเรียกชื่อของเธอ ตอนนี้น้องเบนมาเล่นซนนิภาเริ่มทำใจได้มากยิ่งขึ้นแล้ว เป็นอย่างนี้จน พี่โตของน้องเบน เอ็นทรานติดต้องไปอยู่หอ ขาดคนคอยดูแล ไปหนึ่งคนและมันเป็นงานที่หนักมากสำหรับคนวัยพ่อ แม่ น้องเบนที่ต้องดูแลลูกสาวที่เป็นดาวน์ และไหนต้องทำงานหน้าร้านอีก ทั้งส่งของ ขายของ สองคนผัวเมียอีกอย่างน้องเบนเป็นสาวเพิ่มขึ้นอีก เริ่มมีประจำเดือน จึงตัดสินใจ ที่จะพาน้องเบน เข้าโรงพยาบาล เพื่อ ทำหมัน ด้วยความกลัว ว่าหากเกิดอะไรขึ้น น้องเบนจะปลอดภัย ในชั้นหนึ่งนั่นคือ จะไม่ท้องขึ้นมาเพื่อเป็นภาระของครอบครัวและสังคม ส่วนนิภา ช่วงนั้นก็ยุ่ง ๆ อยู่กับการเตรียมตัวแต่งงาน กับคนรักที่ดูใจกันมานานแล้ว จนวันหนึ่งโตเดินหน้าเศร้า มาบอกกับนิภา ว่า น้องเบนเสียชีวิตแล้ว นิภาตกใจกับข่าวที่เกิดขึ้นนี้มาก เย็นวันนั้นนิภากับคนรักได้ไปร่วมงานศพน้องเบน นิภามองรูปถ่ายน้องเบน น้ำตาไหลอาบแก้ม ภาพที่น้องเบนยิ้ม สู้กล้อง ด้วยท่าที่น้องเบนคิดว่า เธอจะสวยที่สุด ในวันนั้น ชุดสีฟ้า สดใส ที่น้องเบน สวมในรูปถ่าย ช่วยเน้นความสดใส ของน้องเบนมากยิ่งขึ้น แม้หน้าตาน้องเบนจะ บ่งบอกว่า เป็นดาวซินโดม ก็ตาม แม่น้องเบนเล่าว่า น้องเบนหลังจากทำหมัน แล้วจะเจ็บออด ๆ แอดๆ เป็นประจำ จากที่เคยเข้าโรงพยาบาลเป็นปกติ ของเด็กดาว แล้ว ทีนี่เกือบจะต้อง ย้ายครอบครัวไปอยู่โรงพยาบาลกันหมดเพราะน้องเบนเกิดติดเชื้อ ในกระแสเลือด ขึ้นมา หลังจากทำหมัน สักเดือน ภูมิต้านทานที่ต่ำอยู่แล้ว ทำให้น้องเบนไม่สามารถที่จะทนต่อ สภาพความเจ็บปวด ได้อีก เธอจึงเลือกที่จะ ไม่หายใจ นิภาคิดอย่างนั้น หลังจากนั้นอีก เดือน นิภาแต่งงานกับดนัย คนรัก เธออยากมีลูกทันทีจึงปล่อยให้ท้อง และสมใจเธอหลังจากแต่งงานได้ห้าเดือนนิภา ก็ท้อง เธอไม่มีอาการแพ้ท้องเลย สามารถทำงานได้ตามปกติ จนทำให้ลืมไปฝากครรภ์ จนเวลาล่วง มา 4 เดือน ท้องนิภาเริ่มโตขึ้น เธอจึงไปฝากครรภ์กับคุณหมอที่โรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่งคุณหมอ เจาะเลือด สืบประวัติ พันธุกรรม ทั้งทางสามี และ เธออย่างละเอียด สุดท้ายคุณหมอบอกว่า เราจะเจาะ เลือดคุณ เพื่อ หาความเสี่ยงนะครับ หาเชื้อ เอดส์ กรุ๊ปเลือด และเพื่อดูโซโมโซม ว่าเด็กปกติหรือเปล่า ซึ่งความผิดปกตินี้ มีอยู่สองคือ ธาธัสซีเมีย และ ดาวน์ซินโดม ดาวน์ซินโดม มันกระตุกใจนิภา ให้คิดถึงน้องเบนขึ้นมาทันทีทันใด คุณหมอ บอกให้มาฟังผลเลือดอีกหนึ่งอาทิตย์ถัด มา และท้วงว่า ทำไมคุณถึง ไม่มาฝากครรภ์ตั้งแต่เริ่มรู้ว่าท้องครับ พอดี ช่วงนั้นงานมันยุ่งนะค่ะ นิภาอ้างเหตุผลกับหมอ เมื่อถึงวันหมอนัด นิภาและสามี ไปฟังผลเลือด พร้อมกันคุณหมอเรียกทั้งสองคนเข้าไปคุยในห้อง พร้อมคำถาม คุณรู้จัก คำว่า ดาวน์ซินโดม มากแค่ไหนครับ นิภาตะลึงในคำถามหมอ ตอบไปเหมือนคนเพ้อ ว่า ค่ะ พอรู้จัก ขณะทีสามีมีสีหน้า งงๆ นิภาได้ยินเสียงคุณหมออธิบายอย่างชัดเจนว่า ผลการตรวจ เลือดคุณนิภา ออกมาว่าเด็กในท้องคุณ เป็นดาวน์ซินโดมครับ พร้อมบอกต่อว่า หากคุณมาฝาก ครรภ์เมื่ออายุครรภ์ยังน้อย หาเราตรวจพบ คุณสามารถที่จะเลือกทำแท้งได้ โดยที่คุณจะไม่เสี่ยงเท่าอายุครรภ์ ขนาด 5 เดือนแล้วนะครับ และคำพูดอีกมากมายของหมอที่นิภา ฟังไม่รู้เรื่องแล้ว ในตอนนั้นมันมีแต่เสียงก้องในใจ ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ น้องเบน เธอเล่นตลกอะไรกับฉัน ฉันไปทำอะไรให้เธอ เธอถึงทำกับฉันอย่างนี้ นิภาโยนเรื่องนี้ให้เป็นความผิดของ น้องเบนไปเสียหมด โดยไม่สามารถหาเหตุผลใดมาบอกได้ว่าเพราะอะไรเธอจึงได้คิดอย่างนั้น ตอนนั้น เธอ โกธรน้องเบน เกลียดน้องเบน ข้อกล่าวหาที่เธอตั้งขึ้นมีน้องเบนเป็นผู้ต้องหาทั้งหมดในใจเธอ หนึ่งสัปดาห์ที่ นิภา ให้เวลาตัวเอง ตัดสินใจ ว่าจะทำอย่างไรกับเด็กในท้อง สามียกให้เป็นหน้าที่ที่เธอต้องตัดสินใจเอง เพราะเธอเป็นคนอุ้มท้อง ในที่สุด นิภาตัดสินใจ ที่จะเอาเด็กไว้ โดยคิดยอมรับสภาพทั้งหมด ณ วันนี้ นิภายืนมองน้องก้อง ด.ช.เกริกก้อง วัย 6 ขวบ พยายามที่จะลุกเดินเป๋ไปเป๋มาในสนามหน้าบ้าน พร้อมหันมายิ้มกับแม่ ด้วยรอยยิ้มของน้องเบน ที่นิภาเคยเห็นมาแล้ว และในตอนนี้นิภารู้แล้วว่าน้องเบนไม่ได้เป็นศัตรูกับเธอแต่ฟ้าได้ส่งน้องเบน มาเพื่อให้รู้จักกับเธอ เพื่อให้เธอเตรียมพร้อมที่จะเป็นแม่ของ น้องก้องนั่นเอง วันนี้เธอขอบคุณน้องเบน ในใจ และยิ้มตอบลูกชาย ที่พยายามลุกยืน เพื่อเดินมาหามือของแม่มาจับกุมยึดเหนี่ยวไว้เหมือนที่ครั้งแรกน้องเบนได้พยายามทำกับกับเธอ เมื่อเจอกันในวันแรก....... กลุ่มอาการดาวน์ (Down's syndrome) มีสาเหตุจากการที่โครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 โครโมโซม ทำให้มีสภาพของนิวเคลียสหรือคารีโอไทป์ (karyotype) เป็นแบ บ 47, XX สำหรับเพศหญิง หรือ 47 , XY สำหรับเพศชาย ซึ่งสังเกตได้จากการนำภาพถ่ายของโครโมโซมมาจัดเรียงเป็นกลุ่มตามลำดับความยาวและตำแหน่งของเซนโทรเมียร์ (Centromere) ดังภาพ ผู้ป่วยกลุ่มนี้ มี I.Q. ประมาณ 20-50 นอกจากมีภาวะปัญญาอ่อนแล้วผู้ป่วยยังมีลักษณะลำตัวนิ่ม มีหน้าตาแปลกจากลูกคนอื่นๆ กล่าวคือ มีศีรษะเล็กกลม ท้ายทอยแบน ลิ้นใหญ่จุกปาก ริมฝีปากบนโค้งขึ้น ใบหูต่ำกว่าปกติ หางตาชี้ขึ้น เป็นเด็กที่นอนหลับเก่ง ไม่ค่อยร้องกวน เจริญเติบโตช้า เช่น ผู้ป่วยหญิงคนหนึ่งคว่ำได้เมื่ออายุ 8 เดือน คลานได้เมื่ออายุ 11 เดือน เดินได้เมื่ออายุ 23 เดือน พูดได้คำแรกได้เมื่ออายุ 27 เดือน มีประจำเดือนเมื่ออายุ 16 ปี ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.bangkokhealth.com/consult_htdoc/Question.asp?GID=8820