15 ตุลาคม 2550 01:09 น.
กชมนวรรณ
วันหนึ่งเจ้าเพื่อนรักซึ่งเรียน กันมาตั้งแต่อนุบาล ยันเรียนจบ แล้วทำงาน ยื่นบัตรเลี้ยงรุ่น (ม. 3) ให้ฉันพร้อมบอก ปีก่อนแกไม่ได้ไป เพื่อนห้องแกถามหากัน จนชั้นขี้เกียจตอบแล้วปีนี้แกว่างใช่ไหมไม่ต้องมาอ้างเลย ชั้นรู้หรอกว่าแกไม่อยากไปนะ แต่ปีนี้แกต้องไปนะ ชั้นจะได้มีเพื่อนด้วย เสียงเพื่อนบังคับแบบกลายๆ
ตอนแรกฉันก็กะจะไม่ไปอีกปีนี้เพราะ ไม่อยากเสียเงิน หนึ่งละ แล้วไม่รู้ว่าเพื่อนในห้องสมัย ม.3 คิดดูว่าห่างกันประมาณ 25 ปีแล้วเพื่อนที่สนิทกันในสมัยนั้น คิดในใจคงไม่สนิทกันเหมือนเก่าแล้ว ล่ะ แต่สิ่งที่สะกิดใจคือ กิ๊กเก่าสมัยม. 3 ที่ไม่ได้เจอกันนานมากจะมีหน้าตาอย่างไรหนอ นึกแล้วมันขำตัวเอง ทุกครั้ง ที่โดนหนุ่มส่งจดหมายจีบครั้งแรกในตอน ม.1 ทำเป็นจรวดร่อนใส่ แล้วเขียนว่า ชอบเรา แค่นั้นแหละ ร้องไห้ เลย (ฮาฮา) มาถึงตอนนี้ยังนึกไม่ออกว่าร้องทำไม มันเป็นความทรงจำที่พอนึกขึ้นมาครั้งไหนอมยิ้มกับตัวเองทุกครั้ง แล้วก็ หาคำตอบให้ตัวเองยังไม่ได้สักที
วันงานสักบ่ายสามโมง ฉันนั่งรีดชุดที่เตรียมจะใส่คืนนั้นอยู่โทรศัพท์ดังขึ้น พอรับปรากฏว่าเป็นเพื่อนดา เพื่อนสนิทคนหนึ่งในห้องโทรมา ไม่รู้เอาเบอร์มาจากไหน จอย เหรอ นี่ดานะ คืนนี้จอยไปไหม งานเลี้ยงน่ะ
โห อารมณ์ดีใจที่เพื่อนรักที่ไม่ได้เจอกัน 20 กว่าปีโทรมา แล้วเราจะเจอกันคืนนี้แล้วด้วย ไปซิ ดา นี่ จอย กำลังรีดชุดอยู่นะ แล้วนา ล่ะ ดา เจอมันหรือเปล่ามันไปไหม
ไปซิ ตอนนี้ดา อยู่บ้านนานะ เอ้า พูดกับนานะ แหม เพื่อนรักสองคนอยู่ด้วยกัน
บ้านเพื่อนสองคนนี้อยู่ในอำเภอเดียวกันแต่ไม่ใกล้กันมากนัก ได้ยินเสียงเพื่อนนา
ฮัลโหล จอย ปีนี้ไปให้ได้นะจ๊ะ ปีก่อนเรารอตัวอยู่ ตัวไม่ไป แต่เข้าใจสุมันบอกแล้วว่าลูกป่วย
จ้า คืนนี้แน่นอน เจอกันนะเพื่อน เราจะเอากล้องไปถ่ายกลุ่มเราเก็บไว้ด้วย จะดูใครแก่กว่ากัน น้า
จ้า เพื่อน เดี๋ยวเจอกันนะ บายจ้า
ฉันยิ่งตื่นเต้นใหญ่ว่าจะเจอเพื่อนรักทั้งสอง พอไปถึงในงานฉันบอกตามตรงฉันจำเพื่อนๆ ได้ไม่กี่คนเอง ทั้งๆที่ตอนนั้นสนิทกันนะ แต่จำไม่ได้จริงๆ นี่แหละที่เค้าบอกสังขารมันไม่เที่ยงฉันเข้าใจในสัจธรรมข้อนี้แล้วล่ะ แต่ก็สนุกนะ อำกัน ทักกัน ให้วุ่นวายไปหมด
ทำเป็นวัยรุ่น ขาเมาท์ยังไง ยังงั้น แต่เราจะนั่งกันแบบใครอยู่ห้องไหน จะนั่งกับเพื่อนห้องนั้น คิดแต่จะคุยกันเอง ทำให้งานจะสนุกเฉพาะห้อง แต่มันเป็นงานเลี้ยงรุ่นต้องทำความรู้จักกันให้หมดทั้งรุ่นซิ ทั้งที่สมัยนั้นเราจะรู้จักกันดี เกือบทุกห้องแหละ จนรองประธานในรุ่นมีไอเดียขึ้นมา บอกต้องมีการละลายพฤติกรรมกัน โดยไม่ให้นั่งกับเพื่อนในห้องเดียวกันโดยการจับแยกกลุ่ม แต่จนสองทุ่มกว่า เจ้าเพื่อนดา กับเพื่อนนา ยังไม่โผล่ทั้งที่คุณเธอทั้งสองนัดเองเป็นมั่นเป็นเหมาะที่สุด ฉันแอบเข้าห้องน้ำกดหาเพื่อนดาก่อน ไม่รับสายค่ะ กดหาเพื่อนนา ปิดเครื่องค่ะ ให้มันได้อย่างนี้ซิเพื่อนรัก บอกปีก่อนเพื่อนถามหาเรา มาปีนี้เพื่อนถามหาคุณเธอทั้งสองดันไม่มา ไอ้เรายังมั่นในเพื่อนรักมากๆ ว่าเพื่อนต้องมาซิก็นัดกันหู ต่อหู นี่น่า ไม่น่าที่จะหลอกกันตอนกลางวันแสกๆ คอยจนเพื่อนวิ บอกว่านามันไม่มาหรอก
ชั้นเห็นมันนั่งไหว้เจดีย์ใส่กระดูกบรรพบุรุษ อยู่ในวัดโน้น แกไม่รู้หรอ ว่านานะตอนนี้นะ ไปวัดทุกวันพระเลยตอนนี้มันมุ่งหาทางธรรมแล้วนะ
เฮ้ย เป็นไปได้งัยว่ะ ฉันอุทาน แทนที่จะมางานสนุกกับเพื่อนเก่าคุณเธอ เลือกที่จะไปนั่งในป่าช้า ทำไปได้เนาะเพื่อน อายุยังไม่มากถึงขนาดนั้นนี่น่า มันจะปลงอะไรขนาดนั้น ตกลงสองเพื่อนรักฉันไม่มาค่ะ แล้วการละลายพฤติกรรมก็เกิดขึ้นเราโดนจับแยกกันนั่งในกลุ่มเพื่อนชาย หญิง ที่ไม่ค่อยคุ้นกัน ตอนแรก จะถามกันว่าอยู่ห้องไหน จนรู้กันหมดประมาณ 7 คน รวมทั้งประธานรุ่นตัวแสบนั่งรวมกับฉันด้วย งานนี้ห้ามใครนำลูกและสามี หรือ ภรรยามาด้วย แต่ขอโทษยังมีอีกพวกหนึ่งค่ะ ที่มีเมียในรุ่นเดียวกัน และมีแฟนเก่าอยู่ในห้องเดียวกัน 5555 เพื่อนจำพวกนี้ เหงาค่ะ ขอบอก และคนนั้นคือ เจ้าประธานรุ่นตัวแสบของเรา ตำแหน่งงานดีด้วยนะมีการรับทั้งงานราษฎร์และหลวง ขณะที่นั่งอยู่นั้นเพื่อนอีกคนเข้ามานั่ง เจ้าประธานตัวแสบซี่งสมัยนั้นเรียนห้อง 3 ส่วนฉันเรียนห้อง 5 อมยิ้ม แล้วถามฉันดังๆ
จอย นี่ ปฐมนะ จำได้ไหม ฉันหันไปดูหน้าให้ชัดๆก็บอกแล้วปีก่อนซึ่งเป็นปีแรกฉันไม่ได้เจอเพื่อนแต่ ฉันว่าฉันจำได้นะ อ้าปากจะตอบ เจ้าประธานรีบเบรกเอี๊ยด
เดี๋ยว มีกติกาเพิ่ม พวกเรา เอาไงกันดี อาจารย์มาลัยเพื่อนอีกคนรีบพูด
ต้องเลี้ยง หนึ่งโต๊ะ ถ้าทายผิด
แล้วถ้า ทาย ถูกล่ะ ฉันถาม
ผมเลี้ยงเอง วันอาทิตย์หน้าเฉพาะ โต๊ะเรานะ
ได้ ห้อง สาม ฉันรีบตอบด้วยความมั่นมั๊กๆ
เงียบไปทั้งโต๊ะ เพียงเสี้ยวเดียว เจ้าประธานตัวแสบ หัวเราะเสียงดังแล้วพูดบอกแบบที่ฉันไม่อยากได้ยินเล้ย สาบานได้ จริงๆ เอ้า !
ฮา ฮา ฮา มีคนเลี้ยงแล้วโว้ย พวกเราอาทิตย์นี้ ถมมันอยู่ห้องผมครับ ห้อง 4 คุณจอย
ใช่ไหม ถม ฉันได้ยินเสียง ปฐมพูดเพราะๆว่าตามสไตต์ ตัวเองว่า ตอบว่า
ครับ ผม พร้อมกับหัวใจฉันลงไปอยู่ตาตุ่ม ได้แต่คิดในใจ เป็น ไปได้ไง หว่า
แล้วอีกเสียงในใจที่เสียงดังขึ้นกว่าเสียงแรกอีก ว่าตาย ตาย ฉันต้องเลี้ยงเจ้าพวกที่มีหน้าที่การงานที่ดี กว่าฉันทั้งนั้นเลย หรอนี่ แต่เสียงที่ออกจากปาก กลับออกมาว่า
ได้ เพื่อน แต่ เราขอเลือกร้านเองนะ
ได้ เสียงเจ็ดเสียงดังแทบจะพร้อมกัน โดยไม่ได้นัดหมาย ฉันนึกในใจ เวร อะไรตุหว่า ไม่มาก็ดี เพื่อนรักก็หลอก โดนเพื่อนห้องอื่นถล่มด้วยวิธีนี้อีก แม้! มันเจ็บใจ แต่ฉันไม่เสียคำพูดเด็ดขาดตกลงว่าฉันเลือกร้านเอง ไม่บอกรายละเอียดอะไรเพื่อนนอกจากชื่อร้านกับที่ตั้งเท่านั้น เป็นร้านเล็กๆ อาหารไม่แพง ฉันคิดในเมื่อเพื่อนที่ทำงานเป็นนายคนต้องการให้ฉันเลี้ยงฉันก็จะเลี้ยง แต่ขอเลือกเอง ตามอัตภาพของฉัน
วันอาทิตย์เรานัดกันมื้อเที่ยง เมื่อเพื่อนมาครบทั้งเจ็ดคนที่ร้านจะเป็นโต๊ะเล็กๆ เหมาะสำหรับสองคน สูงสุดสี่คน เลยต้องต่อโต๊ะ เมื่อครบองค์ประชุม ฉันรีบออกตัว เพราะความเค็มขึ้นก่อนว่า เพื่อนเรา ไม่ได้ทำงานอะไรนะ แต่เมื่อแพ้พนันเพื่อน ต้องทำตามสัญญา แต่เราขอสั่งอาหารเองนะ ได้ สั่งมาเลย ได้ทั้งนั้นของฟรีทั้งที เสียงประธานพูด พร้อมยิ้มแบบอารมณ์ดีเกินเหตุ ฉันเรียกน้องพนักงานเสริฟมาพร้อมสั่ง น้อง ข้าวผัดปู แปดจาน ค่ะ น้ำเปล่านะ แล้วแกงจืด อะไรก็ได้สัก 2 หม้อกลางนะค่ะ รีบคืนเมนู ที่ไม่ได้เปิดดูเลยคืนเด็กเสริฟทันที ระหว่างนั่งรอ ฉันรีบบอกเพื่อนว่า ร้าน นี้นะข้าวผัดปูเค้าอร่อยนะเพื่อน ลองชิมดู เดี๋ยวกินเสร็จนะ เพื่อนต้องติดใจ วันหลังต้องพาครอบครัวกันมาทานกันเอง เพื่อนยิ้มแกมประชดฉันซะเป็นส่วนมากพร้อมพูด แซวฉัน หลายอย่าง แต่ฉัน ว่า ข้าวผัดไข่น่าจะอร่อยกว่านะ ไม่ต้องถามว่าเป็นใคร นอกจาก พ่อประธาน ตัวต้นเหตุทำให้ฉันต้องเสียเงิน แต่ฉันทำเป็นไม่เข้าใจที่เพื่อนพูด ทำหน้านิ่งอมยิ้มบอกมันไปว่า ตัวเองจะเปลี่ยนเป็นข้าวผัดไข่ ก็ได้นะ เค้าไม่ว่าหรอก จนข้าวผัด พร้อมแกงจืดมา ฉันรีบชวนเพื่อนทานทันที
เอาเลยเพื่อน ลองดูอร่อยนะ เจ้าประธานตัวแสบทำเป็นจับช้อน ส่อมเสียงดังเคาะจานเหมือนประจานฉัน แต่บอกแล้วว่ามันใช้ไม่ได้ผลกับฉัน เพื่อนคนอื่นอมยิ้มกันเป็นแถวไม่มีใครทำกิริยาน่าเกลียดเหมือนประธานรุ่นของฉันสักคน มีแต่เสียงชมว่าข้าวผัดอร่อยอีกต่างหาก (เพราะเรา คุยกันสนุกมากกว่า เรื่องการทวนอดีต นี่เป็นอะไรที่เท้าความกันแบบไม่มีลิมิต จริงๆ) เราทานกันไปกัดกันไป จนใกล้จะหมดจานข้าว ปฐมพูดขึ้นว่า
เออ เมื่อวานซืน เราเจอ ไอ้มล ด้วยว่ะ วันงานเลี้ยรุ่นมันไม่มา แกเอาบัตรให้มันเปล่าวะ พร้อมหันไปถามประธาน และพูดต่อ โดยไม่มีการยั้งความคิดและปาก (สงสัยปฐมคงคิดว่าพูด ไม่พูดมัน ก็กินฟรี ทั้งขึ้น ทั้งล่อง ข้อนี้ฉันมาคิดได้ในวันหลัง แล้วนะ ไม่รู้เข้าใจถูกไหม) ห้องเดียวกันกับเรานะโว้ย แกไม่น่าลืมมัน เจ้าประธานเงียบกริบ พร้อมทำหน้าขรึมแกล้งวางฟรอมต่อ
มึงมาบอกอะไร ตอนนี้วะไอ้ถม เอ้ย มึงรอให้ไอ้จอยมันจ่ายเงินก่อนไม่ได้หรืองัยว่ะ ถึงค่อยพูด ฉันหัวเราะก๊าก ทันที พร้อมเรียก น้องๆ ที่นี่ของหวานมีอะไรอร่อยจ๊ะ เด็กเสริฟยื่นเมนูไอศกรีมแต่ละชุดให้ฉันดู ฉันรับมาพร้อมสั่งโดยไม่มองเมนูไอศครีมอีกตามเคย เอาแบบที่แพงที่สุด มา 8 ชุดจ๊ะ พร้อมเสียงหัวเราะดังที่สุดในกลุ่มของฉัน และเสียงฮา ของเพื่อนอีก 6 คนตามมาก้อจะไม่หัวเราะได้ยังไงก้อ มล นะอยู่ห้องสามนี่น่า ที่ฉันรู้เพราะว่ามลมันอยู่ บ้านเดียวกับฉันเรานั่งรถประจำไปด้วยกันทุกวัน 5555
ตกลงวันนั้นสรุป ฉันกลับถึงบ้านในสภาพที่ อิ่มจัง...ตังส์ อยู่ครบ แต่ฉันรู้และเพื่อนๆ ทุกคนในวันนั้นรู้ดีว่า เจ้าประธานแกล้งเก็กหน้าไปงั้นเองที่จริงแล้วอยากเจอเพื่อนๆ อีกรู้ทันน่า ก็วันงานเลี้ยงนั้นมีเมียไปด้วยไม่ได้คุย กับ แฟนฉัน สมัยเรียนนี่น่า แล้วเพื่อน คนนั้นก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย อิอิ รู้ทันหรอกเพื่อน......แต่ ยังมีอีกสองคนที่มีบัญชีต้องชำระกัน เพื่อนรักฉันมีแผนคิดเอาคืนคุณเธอแล้ว ในปีหน้า แล้วเจอกันเพื่อนรัก..
9 ตุลาคม 2550 07:21 น.
กชมนวรรณ
วันนั้น ฉันได้เข้ามาเว็ป Thaipoem เป็นครั้งแรกเพื่อที่จะเข้ามาอ่านผลงานของพี่สาวที่ฉันนับถือคนหนึ่งซึ่งเธอและฉันก็รู้จักกันผ่านทางสื่ออินเตอร์เน็ต สำหรับฉันนับถือเธอเป็นพี่สาวของฉันคนหนึ่งด้วยความจริงใจ และเต็มใจ ปกติฉันจะเป็นคนที่เลือกคบคนมากคนหนึ่งแต่กับพี่สาวคนนี้เหมือนมีอะไรทำให้ฉันเข้าไปทักเธอ ก่อน และคุยกันไม่กี่ครั้งฉันก็มอบความเป็นน้องสาวให้กับเธอโดยไม่มีเงื่อนไขใดใดทั้งสิ้น นอกจากความรักและนับถือจากใจที่แท้จริง คำว่า เพื่อน สำหรับฉัน คือ มิตรภาพที่มีความต่อเนื่องที่จริงใจไม่หวังผลใด ใด นอกจากคำปรึกษาและแนะนำ กำลังใจ (เงินทองไม่เกี่ยว มันไม่รวมอยู่ในมิตรภาพ) แต่ที่แปลกคือมิตรภาพทางสื่ออินเตอร์เน็ต ซึ่งหลายคนบอกว่าไม่มีความจริงใจกันในสื่อนี้ หรือหากตีออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ของมิตรภาพกับคนที่เราไม่เคยเจอกันเลยเพียงแต่คุยกันผ่านตัวอักษรแค่นั้นสามารถให้ความเชื่อถือ ฉันให้แค่ 1%
เมื่อมีพี่สาวซึ่งเป็นนักเขียนกลอน เราก็ต้องติดตามผลงานซึ่งเรื่องนี้เป็นของชอบอยู่แล้ว ชอบอ่านหนังสือ นวนิยาย เรื่องสั้น อ่านกลอนซึ้งๆ ที่ตัวเองเขียนไม่เป็น เธอจึงให้ฉันเข้ามาอ่านเรื่องราวในเว็ปแห่งนี้ เข้า Thai poem ครั้งแรกฉันรู้สึกเลยว่าใช่แล้วที่นี่คือที่ที่ฉันต้องมาเป็นประจำ แน่นอน สารภาพกับพี่สาววันนี้ว่าวันนั้นที่เข้ามาฉันไม่ได้อ่านผลงานพี่หรอก พอเข้ามาบุ๊ป รู้ว่าใช่ ทำให้ฉันใช้เวลาอยู่ในเว็ปนี้ไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมงโดยเปิดอ่านผลงานคนอื่นไปเรื่อย ๆ จนไปเจอนามปากกา คนบนเกาะ เออต้องเป็นคนใต้เหมือนเราแน่เลย และเพราะมีพี่ชายคนที่ถัดจากฉันซึ่งอายุใกล้ กับพี่คนบนเกาะ มากเป็นชาวเกาะด้วย แต่อยู่ที่เกาะลันตา ฉันกับพี่ชายอายุห่างกันมาก เพราะฉันเป็นลูกหลงของพ่อกับแม่ พี่ชายโตแล้ว ฉันเพิ่งเกิด พอห็นชื่อ คนบนเกาะ ทำให้คิดถึงพี่ชายขึ้นมาทันที คิดในใจว่าต้องทำความรู้จักกับพี่คนนี้เป็นเพื่อนให้ได้(คิดได้ไง อยากทำความรู้จักพี่เป็นเพื่อน แต่คิดเข้าข้างตัวเองว่าคนอ่านคงเข้าใจ) แหมพูดซะเหมือนเรื่องยากเหลือเกิน อิอิ แต่ตอนนั้นสำหรับฉันมันยากที่จะทำความรู้จัก กับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งไม่เคยคุยกันเลย เห็นแค่นามปากกา อ่านงานเขียนรู้สึกว่าพี่ชายคนนี้มีความคิดคล้ายฉัน กลอนที่เขียนด้วยคำอ่านง่ายๆและไม่ต้องหาความหมาย มาก เข้าใจง่ายตรงๆ เนื้อหาโดนใจฉันมาก ฉันจึงแอด ไปคุยกับพี่คนบนเกาะ ทำให้รู้ว่าชื่อ พี่ธิป ซึ่งต่อไปขอเรียกว่า พี่ธิป นะค่ะ ครั้งแรกที่คุยเข้าใจว่าเป็นผู้ใหญ่ที่ใจดี แต่พอสนิทกันทำให้รู้เพิ่มว่าพี่แก
เป็นคนทะลึ่งตึงตังที่สุดถ้าเป็นผู้ชายอื่น ฉันไม่คุยด้วยแล้วและโดนฉันตอกกลับไปหลายดอกแล้วด้วย แต่บอกแล้วว่าคนๆ นี้พิเศษ คือ บ้าได้ใจฉัน 555 ฉันจึงเว้นพี่แกไว้คนหนึ่ง เพราะนิสัยฉันคือ คิดคบใครเป็นเพื่อนแล้วฉันยอมรับทุกเรื่อง ได้เสมอ แต่พี่ธิป
ใช่แต่มีเรื่องทะลึ่งอย่างเดียวแล้วหาสาระไม่ได้ ซึ่งคนที่ได้คุยและเป็นเพื่อนกับพี่ธิป ก่อนฉันคงจะรู้ดีนะค่ะ พี่ธิป เป็นครูคนหนึ่งที่มีวิธีการสอนที่ไม่เหมือนใครถ้าเป็นนักเรียนสมัยฉันจะชอบครูที่สอนแบบนี้ เข้าใจสอนแบบไม่ใช่การสอน แต่มันเป็นวิธีทำให้คิดเป็น เข้าใจง่ายในหลายเรื่อง ที่ฉันไม่รู้ ไอ้เรื่องทะลึ่ง ไม่ต้องพูดถึงเพราะฉันเชื่อว่ามันซึมอยู่ในสายเลือดแกแล้ว คงจะเป็นมาตั้งแต่เกิด และฉันก็ได้วิชานี้มาจากพี่ธิปบ้างเหมือนกัน อิอิ แต่พี่ธิป เป็นคนรักครอบครัวฉันรู้ได้ด้วยเซนส์ และไม่ได้คิดกับฉันมากกว่าเพื่อนหรือน้องแน่นอน(เพราะว่าฉันไม่มีอะไรให้พี่เค้าชวนคิดด้วย 555 ติ๊งต่อง อีกต่างหาก)เรื่องบ้าไม่ต้องพูดถึง ฉันยอมรับว่าเป็นคนบ้าคนหนึ่ง จนฉันทำใจแล้วว่าเรื่องทะลึ่งเป็นความสุขของพี่ชาย ฉันคนหนึ่งเลยตามน้ำไปกับแกเรื่อยๆเวลา ที่พี่ธิปโดนตอกกลับเหมือนฉันได้ยินเสียงหัวเราะของแกในหู(ผ่านการพิมพ์) เสียงที่หัวเราะ เหอ ๆๆๆๆ ฉันรู้สบายใจทุกครั้งที่พี่ธิป หัวเราะ เหอๆๆๆ แต่บางครั้งฉันทำให้พี่ธิปไม่ถูกใจ(หรือไม่พอใจนั้นแหละ พี่แก งือ งือ งือ จนอดถามทุกครั้งไม่ได้ว่าไข้ขึ้นหรอพี่ ซึ่งเหมือนคำพูดที่เป็นใบเบิกทางให้แกหาเรื่องทะลึ่ง ๆ สนุก ๆ มาเล่นอีกพร้อมเสียงหัวเราะ เหอๆๆๆๆๆ แบบถูกใจอีกไม่ได้) ทำให้ฉันอมยิ้ม จนถึงขั้นหัวเราะกับคอมฯเสมอ และทำให้ลูกทั้งสองคนของฉันรู้จัก ลุงธิป ผ่านเน็ตเพิ่มลุงอินเตอร์มาอีกหนึ่ง 555 หลังจากมีป้าริน อินเตอร์ มาก่อนแล้วหนึ่งคน มารู้ว่าภรรยาพี่ธิปก็เป็นครูทำให้ฉันอดคิดว่าพี่ธิป จีบพี่สาวตอนเป็นนักศึกษาฝึกสอนแน่ๆ ใช่ไหมพี่ ? พี่ธิปสอนฉันให้รู้จัก อีคอมเมอร์ด ที่ฉันเริ่มทำแล้วทำให้พี่ผิดหวัง เพราะความไม่ได้เรื่องของฉัน นี่คือข้อเสียอีกข้อของฉันที่พี่ธิปรู้เพิ่มอีกว่าฉันเป็นคนไม่ได้เรื่อง มิตรภาพความเป็นเพื่อนของเรางอกขึ้นเรื่อยๆ ไม่เฉาไปถามสังขารของพี่ธิป (อีกแระ) เดี๋ยวก็ได้ยินเสียง งือ งือ ด้วยความไม่พอใจอีกหรอก
มาถึงในวันหนึ่งซึ่งเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของครอบครัวฉัน เมื่อลูกคนเล็กต้องผ่าตัดฉันกำลังเปลี่ยนชุดปลอดเชื้อในห้องปลอดเชื้อของโรงพยาบาลเพื่อเตรียมลูกเข้าห้องผ่าตัด ไม่ได้ปิดโทรศัพท์คิดว่าเดี๋ยวค่อยปิดเมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จ กำลังเปลี่ยนชุดอยู่
เสียงโทรศัพท์ดังฉันรีบกดรับกลัวรบกวนคุณหมอที่กำลังเตรียมตัวผ่าตัดกันอยู่ด้วย เสียงเหน่อๆ ทองแดงของ พี่ธิป ดังขึ้นกระทบใจฉันที่มันหวั่นๆ เรื่องลูก อยู่ในตอนนั้น หากใครที่เคยมีลูกกำลังจะทำการผ่าตัดในอีกครึ่งชั่วโมงข้างหน้าจะเข้าใจอารมณ์นี้ดียิ่งขึ้น กำลังใจเสียงทองแดงของพี่ธิป ให้ฉันรู้สึกดีขึ้นจนไม่สามารถที่จะบรรยายเป็นคำพูดได้เพราะตอนนั้นสิ่งที่ต้องการที่สุดจากเพื่อนคือ สิ่งนี้แหละเพราะครอบครัวฉันมีเต็มเปี่ยมแล้วเพราะมารอหน้าห้องผ่าตัดแล้วเพียบ เพื่อนรักฉันก็ให้อย่างเต็มเปี่ยม เพื่อนสมัยเรียนที่สนิท ก็เพิ่งโทรเข้ามาก่อนที่ฉันเข้าห้องปลอดเชื้อ 3 คน คนสุดท้ายตอนนั้นก่อนที่ฉันจะเข้าไปในห้องผ่าตัดพร้อมกำมือลูกคือกำลังใจจากพี่ธิป มิตรที่ไม่เคยเจอตัวเป็นๆ เจอกันแต่ตัวอักษร แต่สามารถสื่อถึงกันได้เมื่อยามที่เราต้องการกำลังใจ หลังจากบอกให้ทำใจให้สบาย 2-3 คำฉันรีบไปห้องผ่าตัด แต่รู้แล้วว่าพี่ชายคนนี้เป็นห่วงหลานและน้องด้วยใจ ออกจากห้องผ่าตัด มานั่งรอนอกห้องด้วยจิตใจที่ห่วงลูกอย่างที่สุด ได้รับ SMS ส่งมาบอกรอฟังข่าวอยู่ ใจชื้นและซึ้งในน้ำใจมิตรมาก คุณอาจจะคิดว่า อะไรหนักหนา เรื่องแค่นี้เองเพื่อนคนไหนเขาก็ทำให้กัน สำหรับฉันไม่ใช่ เพื่อนที่เราคบรู้จักเรียนด้วยกันมา มันซึ้งน้ำใจเพื่อนอีกแบบ แต่เพื่อนที่รู้จักผ่านสื่อ ที่ไม่มีใครเชื่อถือกันเกือบ 100% มันรู้สึกดีอีกแบบ และฉันจะเก็บความรู้สึกดีๆ อย่างนี้ไว้อย่างดี ด้วยความทรงจำที่ดี หลังวันนั้นผ่าตัดเสร็จด้วยความเรียบร้อย จนน้องเจนเดินเองได้ในวันนี้ ทุกครั้งที่คุยกัน ลุงธิป จะถามถึงอาการหลานก่อน และลูกสองคนของฉันและสามีพอเห็นฉันนั่งเล่นคอมฯ จะถามว่าแม่คุยกับลุงธิป หรือ ป้าริน จนลุงและป้าซึ่งบ้านอยู่ไกลกันเหนือใต้ไม่ทราบถึงจุดพิกัดที่ตั้งบ้านเลยกลายเป็นเหมือนกับเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เหมือนคนใกล้บ้าน เหมือนญาติที่เวลาเราเปิดหน้าบ้านแล้วมักจะมองว่าญาติข้างบ้านเราอยู่ไหม ถ้าบ้านเราแกงสักหม้อ จะได้ตักแบ่งให้สักถ้วย บางที่รู้ว่าบ้านนี้ทำกับข้าวอะไรวันนี้ อิอิ ไม่พ้นเรื่องกิน ถ้าเห็นปิดบ้านนานๆ ก็รู้สึกเป็นห่วงกันว่าจะไม่สบายหรือเปล่า ทำไมไม่เปิดบ้านให้เราทักมั่งหว่า อย่างวันก่อนป้ารินเห็นฉันหายไปหลายวัน เช้ามารับโทรศัพท์จากป้ารินว่าเป็นรัยหรือเปล่า น้องเจนไม่สบายหรือเปล่า มันบอกถูกว่ารู้สึกดีแค่ไหนกับความเป็นห่วง แบบนี้ ไม่ใช่ว่าฉันเป็นคนขาดความอบอุ่นนะค่ะ อย่าเข้าใจผิด ฉันมีพี่ที่รักฉัน มีเพื่อนสนิท (เพื่อนแท้ คนหนึ่ง ซึ่งบางคนอาจไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว) มันเหมือนเราอยู่ไกล้กันมีญาติที่เป็นห่วงหวังดีเพิ่มขึ้นมาอีก ซึ่งความรู้สึกแบบนี้ฉันคิดว่าใครๆ ก็อยากได้รับทั้งนั้น และฉันยอมรับว่าฉันโลภมาก อยากมีเพื่อนดีๆ มีพี่ดีๆ หลายๆคน บางที่เปิดประตูบ้านเห็นบ้านพี่เค้าปิดกันหมดเราก็ห่วง แต่บางทีพาลคิดน้อยใจไปเองว่า เบื่อเหม็นหน้าเราเปล่าหว่า อิอิ ล้อเล่นน่า
ทุกคนที่อ่านมาถึงตอนนี้อาจคิดว่าฉันคิดอะไรถึงได้มาเขียนถึงผู้ชายคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่ญาติ สนิท ไม่ใช่พี่น้อง ไม่เคยเห็นหน้ากัน ได้ยาวขนาดนี้ หรือว่าไปแอบชอบเค้า หรือเป็นกิ๊ก กันหรอ ขอบอกว่า ไม่ใช่ ค่ะ อย่างเต็มปากและเต็มใจ และบอกว่าคนนี้คือ พี่ชายหรือ พี่หลวงที่บ้านฉันเรียกพี่ชายว่าพี่หลวงนะ สามีไม่ได้เรียกพี่หลวงหรอก เรียก ที่รัก ค่ะ พี่จะรับเป็นน้องหรือไม่ ไม่สนค่ะไม่ได้หวังให้แบ่งมรดกให้ในฐานะน้องหรอก เพราะของรันเองก็เยอะแล้ว (ล้อเล่นน่า อิอิ ) แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของพี่ธิป คนบนเกาะ ที่น้องนับถือ เลยถือโอกาสนี้บอกความเล่าในใจ บอกกล่าวให้เพื่อนๆ ได้รู้ว่ามิตรภาพมันต่อเนื่อง เพราะหากเขียนเป็นกลอนอวยพรก็ได้แค่อวยพรไม่อาจเขียนได้ยาว และถนัดเขียนบอกความรู้สึกได้มากกว่า แต่อวยพรเป็นกลอนสักนิดก็ดีนะค่ะ ฝึกไปในตัวด้วย เนื่องในวันคล้ายวันเกิดพี่หลวงวันนี้รันขออวยพรให้พี่ ค่ะ
คำดีศรีสวัสดิ์คัดให้พี่หลวง
พรทั้งปวงเลิศล้ำนำมาให้
ขอทุกข์ใดใดให้ร้างหาย
ไปทางไหนพบโชคมีมากมาย
ขอบวงสรวงเทวามาส่งเสริม
งานใดเริ่มให้ถึงที่มุ่งหมาย
ขอให้บ้านร่มเย็นสุขสบาย
ขอใจกายไร้โรคพระคุ้มครอง
ให้มีหลานหญิงชายมาอ้อนรัก
ผูกสมัครตายายไว้ทั้งสอง
มีลูกหลานที่ดีและปรองดอง
เป็นสายทองสายใจของยายตา
ให้เรี่ยวแรงแข็งขันสมสนอง
ทั้งเงินทองมากมายดังปรารถนา
คำอวยพรทุกอย่างที่กล่าวมา
ขอพี่ยารับไปจากใจจริง.. .
กลอนมันไม่เพราะ เพราะบอกแล้วว่าไม่ถนัดทางกลอน แต่ถ้าให้เขียนสามวันก็ไม่จบ เหอๆๆๆ แต่จากใจจริงของน้องสาวคนหนึ่ง(จากในหลายคน)รักษาสุขภาพด้วยจ้า ยิ่งรู้ว่าสุขภาพไม่ค่อยดี ก็เป็นห่วงนะแต่ไม่ค่อยได้แสดงออก อยากให้รักษาสุขภาพให้ดี รู้ว่าพี่สาวดูแลดีอยู่แล้ว แต่ขอแสดงความห่วงใยกันบ้างเล็กน้อย จะได้ต่อล้อต่อถียงกันอีก นานๆ ฮา ฮา ฮา นะพี่นะ และนี่คือมุมหนึ่งของมิตรภาพที่ฉันได้รับผ่านสื่ออินเตอร์เน็ตท์ผ่านบ้านกลอน และอีกมุมมองหนึ่งของ คนบนเกาะ ผ่านน้องสาวที่ชื่อ กชมนวรรณ
และขอบคุณสำหรับผู้ที่แวะมาอ่านเรื่องนี้ทุกคนด้วยค่ะ
จากใจน้องสาวคนหนึ่ง รันค่ะ
6 ตุลาคม 2550 07:25 น.
กชมนวรรณ
^O^ คำแนะนำ หากท่านกำลังรับประทานอาหารอยู่โปรดแวะไปอ่านเรื่องอื่น ก่อนนะค่ะ เพราะบทลงโทษครั้งนี้ โหดร้าย ทารุณมากท่านอาจทานอาหารไม่ลงก็ได้ ขอบคุณค่ะ ทานเสร็จแล้วแวะมาอ่านใหม่นะค่ะ ด้วยรักและห่วงใย จากผู้เขียน^-^
พี่มอส บอกให้เปิดช่องเจ็ดไม่ได้ยินหรื่องัย หา
พี่จะดู ช่องนี้นะมุกเรานะดูแต่ละคร น้ำเน่าไร้สาระ น่าเบื่อ โตแล้วนะ
แล้วพี่มอสล่ะ โตเป็นควายตัวผู้แล้วยังจะดูการ์ตูนอาโนเนะอยู่อีกหรอ
การ์ตูนนี่มันสรรสร้างปัญญา นะมุกมุกดูซิ มันชวนให้เราคิดตามตลอดเวลา เราต้องพิจารณาหาคนร้ายให้ได้ว่าใครเป็นฆาตกร มันต้องใช้สตินะมุก แต่ละครของมุกนะ แค่ดูแป๊บก้อรู้แล้วว่าจะเป็นอย่างไร เจ้าเมื่องต้องเชื่อคนโกง นางเอก ซื้อบื้อ สู้ใครก็ไม่ได้ พระเองก็หูเบา ไม่น่าเป็นพระเอก
แล้ว งัย มุกชอบของมุกแบบนี้นี่ มันหนักหัวใครที่ไหน ความชอบมันห้ามกันได้ที่ไหน
ถึงว่างัย มีถึงชี้ให้มุกเห็นข้อดี ข้อเสียในสิ่งที่เราต้องรับเข้าสมองเยาวชนอย่างเรานะ ต้องมีสติปัญญารู้จักคิด แก้ไขทุกสถานการณ์ นะมุก
เสียงเจ้าสองคนฝาแฝดหญิงชาย ยิ่งส่งเสียงดังเข้ามาในห้องของนิ่ม ซึ่งนอนฟังอยู่แต่ลุกไม่ขึ้นเพราะรู้สึกปวดท้องอย่างมาก เมื่อคืนนี้นิ่มไปงานเลี้ยงกับเพื่อนปล่อยเจ้าแฝดกับพ่อเค้า แล้วสารพัดอาหารที่นิ่มสุมลงท้องไปนิ่ม รู้สึกว่ามันจะสะสม จนท้องนิ่มอืด ลุกนั่งห้องน้ำแล้วก้อยังไม่หายมันยังอุดอู้อยู่ในห้องของนิ่ม จนปวดหาย ปวดหาย เป็นระยะ แล้วกลับมาดึกแล้วด้วยเพื่อนมันดึงจนเกือบ สองยาม กว่าจะถึงบ้านป่านนี้พ่อบ้านคงนั่งฟังเสียงนกกรงหัวจุก อยู่ที่ร้านกาแฟแล้วมั้งถึงได้ยินแต่เสียงวัยรุ่นสองตัวนั่นเถียงกันดังลั่น ขนาดนี้ นี่ขนาดอายุ 13 ปีเข้าไปแล้วนะ เจ้าสองคนนี่ไม่เคยที่จะยอมใครสักคนหรอก แล้วทีวีนะมีอีกเครื่องในห้องข้างๆ อีกคนไม่ยอมเสียสละไปดูหรอกความอยากเอาชนะ จะเอาให้ได้ว่างั้นเถอะ
นี่มุก มุกไปดูอีกเครื่องไป เดี๋ยวจบเรื่องนี้แล้ว พี่จะดูอีกเรื่องต่อ
ได้งัย พี่มอส ให้มุกดูเครื่องเล็ก พี่มอสดูเครื่องใหญ่ ไม่เอาเปรียบน้องไปมากหรอ เป็นพี่ประสารัยไม่เสียสละให้น้องอ่ะ
นี่มุก พี่ดูอยู่ก่อนนะ มุกมาทีหลังมุกก้อต้องไปดูอีกเครื่องซิ
ไม่เอา เอารีโมทมาให้เค้าเดี๋ยวนี้นะ
ไม่ให้ ไปอีกเครื่องซิ
นิ่มไม่อยากที่จะเข้าไปยุ่งบางเรื่องของลูกบางครั้งจะปล่อยให้เค้าทะเลาะกันจนพี่ยอมน้องหรือไม่น้องก้อยอมพี่ไป แล้วแยกย้ายเข้าห้องของตัวเองไป เหมือนทุกครั้ง แต่หากเป็นการต่อปากต่อเสียงชักหนักยิ่งขึ้นแบบนี้เดี๋ยวได้มีออกแรง กันสองคน ไม่ว่าจะโตแล้วนะแต่บทจะลงไม้ลงมือกันเจ้าสองคนนี้ไม่มีใครยอมใครเหมือนกัน ซึ่งนิ่มไม่อยากให้พี่น้องต้องลงไม้ลงมือกัน แค่พอเถียงปะคารม โต้ความคิดเห็นกัน นั้นนิ่มชอบที่จะฟังความคิดเห็นของลูกและนำมาปรับสอนเจ้าแฝดทั้งสองประจำ แต่วันนี้สงสัยปล่อยไว้ไม่ได้แล้วเดี๋ยวคงได้ตีกันแน่ๆ นิ่มสลัดผ้าห่มฝืนลงจากเตียงทั้งชุดนอนแบบกระโปรงยาวผ้าฝ้าย ที่สวมสบาย ไม่บางแต่เบาเปิดประตูออกมาพอดีเห็นเจ้ามุกกำลังยื้อมือที่ถือหมอนอิงใบใหญ่ กำลังจะฟาดหัวเจ้ามอสพี่ชายอยู่ ส่วนพี่ชายก็ใช่ย่อยเหมือนกัน ท่าเตรียมรับอาวุธ น้องสาวฝาแฝดก็คือยกเท้ายันตัวน้องไว้แล้วเตรียมอาวุธ หมอนอิงใบใหญ่อีกใบเพื่อสวนกลับ แล้วพี่แกกะแบบตรงแสกหน้าน้องสาวตัวดีด้วยนะนั่นนะอีกมือกำรีโมทแน่นซะด้วย
โถ่ ลูกรักทั้งสองของแม่นิ่มคิด ช่างไร้เดียวสานัก ทำอย่างไรได้เราคนเป็นแม่ต้องสอนลูกให้รู้ผิดรู้ถูก และมีความรักใคร่สามัคคีกันภายในบ้าน ยิ่งตอนนี้เค้ารณรงค์ กันอยู่รากฐานที่บ้านแน่นเยาวชนดีไปครึ่งแล้ว พร้อมเสียงนิ่มตะโกนออกไปอย่างไม่นิ่มสมชื่อ
หยุด เดี๋ยวนี้นะ ทั้งสองคน ได้ผล ทั้งสองคนรีบเอามือและเจ้าตัวที่ยกเท้าก็เอาเท้าลงหันหน้ามาทางแม่นิ่ม ตามแม่มานี่ทั้งสองคน มานั่งในห้องแม่นี่ เดี๋ยวนี้
เจ้าแฝดทั้งสองเดินก้มหน้าตามแม่เข้าห้อง ได้ยินแม่บอก นั่งลงที่ปลายเตียงทั้งสองคน เดี๋ยวนี้
ว่าแล้วนิ่มจึงยืนข้างหน้าลูกทั้งสอง พร้อมยกมือขึ้นกอดอก เดินกลับไปมา ระหว่างทั้งสองคน
ขยับเข้านั่งชิดกัน อีกทำมัยเราเป็นศัตรู กันหรือว่าเป็นพี่น้องกันหรอ
เจ้าสองคนรู้สึกผิดที่ทำให้แม่ต้องลุกขึ้นมาทั้งที่ไม่สบายด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องแต่กว่าจะคิดได้ก็โดนแม่เรียกมานั่งเรียงหน้า ชิดติดกันเพื่อเทศอีกแล้ว เรื่องสำนึกผิดนะ พอจะคิดได้แล้วล่ะ แต่เรื่องจะยอมเป็นคนผิดนี่อีกเรื่องหนึ่ง ทั้งสองคนคิดเหมือนกัน บอกซิ เกิดอะไรขึ้น เล่ามาเอามุกเราเป็นน้องแล้วผู้หญิงด้วยแม่อนุญาต ให้เล่าก่อน มอสได้ยินก็กลัวว่ามุกจะเอาความดีใส่ตัวโยนความผิดมาให้ตัวเอง จึงรีบท้วงแม่ แม่ ฮะ มุกเป็นคนเริ่มก่อนต้องให้มอสเล่าก่อนซิฮ่ะ
ตัวเป็นผู้ชายนะ พี่มอส เสียงมุกแปร๋ดไม่ต่างกัน ก้อตัวเองเริ่มก่อนนี่
ก้อ เค้าจะเล่าให้แม่ฟังก่อนนี่ ก้อเราเริ่มก่อนนี่
นิ่มเกิดความรู้สึก มึนขึ้นมากับเจ้าสองตัวแบบไม่เคยเป็นมาก่อนไม่ใช่ว่าทั้งสองคนจะไม่เคยทะเลาะกันแล้วแม่ตัดสินให้ นี่ มันเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่ครั้งนี้นิ่มเริ่มจากปวดหัวก่อน ตามมาด้วยอาการมวลท้อง อย่างแรง แต่พยายามเก็บอาการเอาไว้ กำลังจะบอกให้ลูกหยุดพูดก่อน ก็ได้ยินเสียงเจ้ามุกพูดขึ้นว่า พี่มอสไปเอากระโปรงมุกมาใส่ก่อนสิ แล้วมุกจะให้พี่มอสเล่าให้แม่ฟังก่อนก้อได้
เอ๊ะ มุกชักจะลามใหญ่แล้วนะเรา พี่ว่าพี่ทนไม่ไหวแล้วนะ นิ่มสุดที่จะฟังลูกทั้งสองทะเลาะกันต่อหน้าในระยะใกล้ขนาดนี้ได้อีกแล้ว ตะโกนออกไปด้วยความลืมตัว หยุ้ดดดดดดดดดดด เดี๋ยวนี้นะทั้งสองคน พร้อมอีกเสียง พร้อมกลิ่นตามมาตลบทั้งห้องนอน ปู้ดดดดดดดดดด แม่ แม่อ่ะ เจ้าสองคนร้องเสียงหลง นิ่มยืนทำหน้านิ่งพร้อมพูดต่อ เอาล่ะนี่ถือเป็นการลงโทษเราสองคน แล้วห้ามออกจากห้องแม่ภายใน 5 นาทีนี้หลังห้านาทีไปแล้วค่อยออกมาทีละ คน แม่จะจับเวลาไว้ด้วยใครออกก่อน แสดงว่าคนนั้นเป็นคนผิด แม่จะลงโทษคนนั้นอีกครั้งจำไว้ ว่าแล้วนิ่มก็สะบัดกระโปรงผ้าฝ้ายตัวโปรดอีกครั้งเพื่อไล่กลิ่นที่อาจติดอยู่กับเสื้อ ออก รีบเปิดประตูห้องนอนออกไปอย่างรวดเร้ว จุดหมายคือห้องน้ำข้างหน้า ปล่อยเจ้าตัวแสบสองตัวให้รับโทษต่อในห้องนอน ก่อนปิดประตูห้องนอนนิ่ม ยังแว่วเสียง อู้อึ้ของลูกทั้งสองว่า แหวะ.........แต่นิ่มเชื่อว่าไม่มีใครยอมออกมาจากห้องก่อน ห้านาทีแน่นอน ห้านาทีนี้นิ่มเชื่อว่าตัวเองได้จัดการเรื่องอาการป่วยของตัวเองได้เช่นกัน.....