4 พฤศจิกายน 2550 06:47 น.
กชมนวรรณ
อาจจะดู.....เร็วไปใจรักฉัน
อาจจะดู.... เหมือนฝันหรือไฉน
อาจจะดู.... เหมือนเราต่างรอใคร
อาจจะดู.....ไม่ใสในรักเรา
ฉันรักเธอ....ใช่เพียงแค่พลั้งเผลอ
ฉันรักเธอ... ใช่จะเบลอหรือโง่เขลา
ฉันรักเธอ... ใช่เหงาของสองเรา
ฉันรักเธอ... เกินเขาจงเชื่อใจ
เพียงหัวใจ.....ร้องบอกชอบแล้วหนอ
เพียงหัวใจ.... บอกพอไม่หวั่นไหว
เพียงหัวใจ.... ว่าใช่มากกว่าใคร
เพียงหัวใจ.... เน้นรักทักว่าเธอ
ขอจงเชื่อ...... เพื่อรักเราทั้งสอง
ขอจงครอง.... ใจฉันมั่นเสมอ
ขอจงหมั่น..... คิดถึงอย่าเผอเรอ
ขอใจเธอ.... ให้ฉันนั้นดูแล.
24 ตุลาคม 2550 08:15 น.
กชมนวรรณ
ร้อยอักษรเป็นมาลัยแทนบุปผา
แทนวาจาแทนรักไม่แปรผัน
จะร่วมสู้อยู่เคียงมิเกี่ยงกัน
มากสีสันต์ครองเรือนสิบหกปี
เลือกมาลัยดอกกุหลาบสีสดใส
คล้องดวงใจคนรักด้วยศักศรี
มอบตอบแทนรักแท้ที่แสนดี
รับไว้ทีที่รักจากดวงมาลย์
กาลเวลาเนิ่นนานที่ผ่านพ้น
ฝ่าสายฝนแดดร้อนและอ่อนหวาน
ร่วมกันสานฝันแรกแบบหัดคลาน
รวมผสานใจเดียวกลมเกลียวกัน
จากวันนั้นฝันแรกไม่สลาย
แต่กลับกลายเป็นแรงแสนแข็งขัน
อุปสรรคมักมีเสริมคุ้มกัน
ประสานมั่นสองมือสองหัวใจ
แม้บางคราวเรื่องราวรักสับสน
แสนวกวนทนหนักคิดผลักไส
หากเหหันไม่ฟังคำผู้ใด
ทุกการไปใจมุ่งสู้ความจริง
ชีวิตคู่เริ่มนับหนึ่งสองสาม
แล้วติดตามด้วยสี่มีลูกหญิง
เป็นโซ่ทองคล้องเราได้พักพิง
คอยแอบอิงยามเหนื่อยและอ่อนแอ
ยี่สิบสี่ตุลาอีกคราหนอ
เพียงแค่ขอรักมั่นในดวงแข
ขอความรักเท่าเดิมมิเพิ่มแปร
จนชราแรแค่รักฉันเท่าเดิม
23 ตุลาคม 2550 01:35 น.
กชมนวรรณ
ลอยละลิ่ว ก่อนลมปราณ เจ้าสลาย
ฆ่าตัวตาย ได้คิด ผิดใหญ่หลวง
ก่อนจิตดับ กายแหลก แลกรักลวง
แสงแห่งดวง เทียนส่อง ก่อนดับขันธ์
นึกถึงวัน วัยเด็ก เล็กนักหนอ
ใครกันพอ เราล้ม ก้มรับขวัญ
มือทั้งสอง ประสาน ไว้ด้วยกัน
สารพัน คำปลอบ พร้อมหยูกยา
เมื่อทำผิด ไม่คิด คอยเหยียดหยาม
คำประณาม น้อยนิด ไม่กล่าวหา
คอยพร่ำสอน วอนเว้า ค่อยเจรจา
ไม่นำพา ลูกผิด คิดอภัย
ถึงวัยเรียน เพียรมุ่ง คอยคิดหา
เรียนวิชา ดีเลิศ ล้ำสมัย
ส่งเรียนต่อ นอกเขต ประเทศไทย
สู่แดนไกล เมืองใหญ่ ด้วยพัฒนา
เมื่อเรียนจบ คิดการณ์ เพื่อลูกรัก
บรรดาศักดิ์ คัดหนอ รอกลับมา
พร้อมตำแหน่ง แต่งตั้ง มีศักดา
ทุกเรื่องนา แม่พ่อ พอใจทำ
มาวันนี้ เจ้ายอม ร่างแหลกเหลว
เพราะรักเลว หลอกลวง เจ้าถลำ
เพียงผิดหวัง ในรัก เจ้ากล้าทำ
สำนึกกรรม ในมโน บังเกิดพลัน
ก่อนลมปราณ ปลิดปลิว เกิดกระแส
ร้าวดวงแด แม่พ่อ ลูกหุนหัน
ไม่ยั้งจิต คิดได้ ยั้งไม่ทัน
ถึงพื้นพลัน ชีพดับ ลับจากลา
ใจดวงเดียวมาดับหลับเถิดหนอ
หากเจ้ารอ พ่อรับ เจ้าทันหนา
แต่ตัวเจ้า ไม่คิด มีเมตตา
แค่รักษา กายใจ ของเจ้าเอง
เหลือเพียงร่าง แหลกเหลว และความเหงา
เหลือเพียงเถ้า ผุยผง ดูโหรงเหรง
เหลือเพียงเพลง แสนโศก ไม่ครื้นเครง
ความวังเวง เพียงซากเงา รอยอาลัย.
3 ตุลาคม 2550 08:39 น.
กชมนวรรณ
ได้ยินเสียง ร่ำไห้ คล้ายสิ้นหวัง
จากหลุมฝัง ตามแถว แนวสุสาน
ฝากความคิด บอกเล่า เรื่องตำนาน
เมื่อครั้งกาล แตกรัก สามัคคี
แว่วยินเสียง ย้อนไป สมัยก่อน
เรื่องกระฉ่อน อ่อนเปลี้ย เสียกรุงศรีฯ
เพราะไทเรา ขาดรัก สิ้นภักดิ์ดี
ชีพกูพลี กรุงแตก แหลกยับพลัน
แว่วยินเสียง ถึงไทย ในวันนี้
คล้ายวันที่ กรุงล่ม จมอาสัญ
ด้วยต่างแย่ง ชิงเด่น เป็นสำคัญ
เพราะว่ามัน อยากใหญ่ มิไตร่ตรอง
แว่วยินเสียง สาปแช่ง พวกฉ้อฉล
ทุรชน คนพาล สันดาลผยอง
เห็นแก่เบี้ย สอพลอ ก็ลำพอง
ไม่เคยมอง เห็นแก่ชาติ คิดคาดการณ์
แว่วยินเสียง ฝากฝัง ให้ตระหนัก
ลูกไทรัก แผ่นดิน และถิ่นฐาน
จงปกปักษ์ รักษา ไว้ช้านาน
อย่าให้พาล ครอบงำ ทำเป็นจุล...
ก่อนเสียงหาย ได้กล่าว ถึงดินนี้
ผืนดินที่ มีพ่อ คอยเกื้อหนุน
ทรงปกครอง ประเทศ ด้วยการุณ
อย่าเนรคุณ ผืนดิน ถิ่นก่อกาย.
30 กันยายน 2550 07:47 น.
กชมนวรรณ
คิดถึงเพื่อนนักกลอนอ้อนคุณครู
อักษรหรูกรูเย้าเจ้าเสมอ
หากวันนี้ที่สอนคงผะเรอ
ไม่เจอะเจอเผลอนับวันคอยรอ
ว่างจากการงานตรวจและสั่งสอน
อย่าจากจรนอนก่อนทักทายหนอ
เขียนกานท์กลอนให้อ่านยามว่างพอ
หากเหนื่อยท้อก็พักสักหนึ่งวัน
นั่งวาดภาพเพื่อนครูรับงานเพิ่ม
เพื่อจะเสริมสร้างศิษผลิดอกฝัน
ไม่หวังมอบตอบแทนเป็นรางวัล
แค่สร้างสรรค์ผองศิษย์คิดการดี
เป็นคุณครูผู้มอบคอยสอนศิษย์
เหมือนประดิษฐ์คิดสานไม่หันหนี
ทั้งครูพิมครูรินครูรพี
ครูคนดีจิตรำพันขันลงแรง
อีกหลายท่านขานกล่าวถึงไม่หมด
ขอไปจดเพื่อจำใช่กำแหง
แล้วจักเร่งทำคำเพื่อส่งแรง
ใจกล้าแกร่งแจงมาเพื่อทักทาย
อยากจะบอกออกปากว่ารักเพื่อน
ใช่บิดเบือนเตือนจิตถึงสหาย
ขอมีสุขไร้ทุกข์ทั้งจิตกาย
อันตรายใดใดไม่เจอะเจอ